คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : file01 :: i am
Every night I rush to my bed
With hopes that maybe I'll get a chance to see you
When I close my eyes I'm going out of my head
Lost in a fairy-tale, can you hold my hands and be my guide?
ทุกๆคืนฉันรีบเข้านอน เพื่อหวังว่าจะได้มีโอกาสเจอเธอ
ยามที่ฉันหลับตาลง ฉันหลุดออกมาจากร่างตัวเอง
หลงอยู่ในเทพนิยาย เธอจะช่วยจับมือฉัน แล้วนำทางฉันไปได้มั้ย?
ประวัติคนไข้
NAME: KIM HANBIN (คิม ฮันบิน) [CODE:22XXXXXXB]
SEX: MALE BIRTH: 22OCTXXXX BLOODTYPE: O
SINCE: 03/200X R-CODE: 17692A
INFORMATION:
มีความสามารถในการจดจำระดับอัจฉริยะ [1500 ตัวอักษร/วินาที]
สามารถจดจำทุกอย่างได้รวดเร็วกว่าคนปกติแต่เพราะข้อมูลที่รับเข้ามาเยอะเกินไป
ทำให้ความทรงจำ80%ถูกลบออกไปภายใน 7 วัน
(เป็นกลไกธรรมชาติที่หากรับข้อมูลมาเยอะเกินไปจะทำให้ต้องลบทิ้งหรือปิดกั้นเอาไว้เยอะ)
DOCTOR:
200X-2008 XXX XXXX
2008-2012 XXX XXXX
2012- NOW KIM JIWON
.
.
.
...ผมถูกขังอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆมาเป็นเวลาเป็นสิบปี...
ถ้าผมบอกอย่างนี้คุณจะเชื่อผมไม๊?
ผมนอนขดตัวอยู่บนพื้นเย็นๆของห้องขังใต้ดินสกปรกๆที่คุ้นเคย...
ไอ้ห้องแคบๆนี้จริงๆมันก็เป็นเหมือนเป็นบ้านของผมล่ะมั้ง
ผมขยับตัวอย่างยากลำบากอีกครั้งก่อนที่สุดท้ายก็ต้องทรุดลงไปนอนท่าเดิม
ความเจ็บปวดจากการพึ่งถูกช็อตไฟฟ้ามาเมื่อวานยังไม่หายดีเท่าไหร่นักถึงแม้ผมจะได้รับยาที่เรียกได้ว่าสามารถรักษาได้อย่างรวดเร็วมากๆ แต่ดูเหมือนยาตัวนี้จะไม่ได้ทำให้ความเจ็บปวดหายไปเร็วเหมือนบาดแผลภายนอก
...และตอนนี้ผมก็ต้องมานอนอยู่บนพื้นที่เย็นเฉียบเพราะสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวน...
จริงๆอากาศมันก็ไม่เท่าไหร่หรอกแค่ 3 องศาเอง ปกติจะตายไปสำหรับหน้าหนาวในเกาหลีอย่างนี้
ไอ้เสื้อบางๆนี่ก็ไม่ได้ช่วยให้หายหนาวได้เลยซักนิด
จริงๆแล้ว 3องศา อาจจะไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมมากเพราะเมื่อฤดูหนาวที่แล้วอากาศหนาวถึง-5ก็เคยเผชิญมาแล้ว แต่จากสภาพร่างกายของตัวเองตอนนี้...แค่อากาศปกติก็เกินจะทนแล้ว
ความเย็นจากพื้นค่อยๆกัดกร่อนผิวผมช้าๆจนจากที่มันเคยมีสีชมพูอ่อนๆตอนนี้เริ่มแดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด...
ทรมาน...แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ไปมากกว่านอนนิ่งๆรอรับความเจ็บปวดอยู่แบบนี้...
อยากจะยืนขึ้นไปนอนบนเตียงเล็กๆเก่าๆนั่นจะแย่ หรือ อย่างน้อยก็อยากได้ผ้าห่มบางๆที่วางอยู่บนเตียงนั่นมาห่มซักนิดให้หนาวน้อยลงง หรือไม่ต้องเจอลมเย็นๆปะทะตรงๆแบบนี้
แต่เรี่ยวแรงที่เคยมีก็หายไปหมดซะแล้ว
แอด..
เสียงผู้คุมเปิดประตูของห้องพักที่ไม่ต่างไปจากคุกเท่าไหร่นัก...ก่อนจะโยนถาดเหล็กบุบๆจากการโดนโยนนับครั้งไม่ถ้วน
ข้างในบรรจุอาหารที่ดูเหมือนจะเป็นแค่เศษอาหารมากกว่าสิ่งที่คนกินได้
เขาเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับขวดใสๆที่ทำให้มองเห็นยานอนหลับที่บรรจุอยู่ภายในได้ไม่ยาก เดินมาบีบหน้าผมเอาไว้ บังคับหใผมอ้าปากและกรอกยานั้นเข้ามาในปากของผม
ถามว่าผมรู้ได้ยังไงว่านี่เป็นยานอนหลับ ผู้คุมพวกนั้นจับมันกรอกใส่ปากผมตั้งไม่รู้เท่าไหร่แล้ว...
ผู้คุมที่คนภายนอกจักกันในฐานะ ‘บุรุษพยาบาล’
ผู้ป่วยที่นี้ก็คงไม่ต่างจากนักโทษ
การรักษาที่บางทีการทรมานในคุกยังโหดร้ายน้อยกว่า
โรงพยาบาลที่เปรียบเสมือนนรกของผู้ป่วย
‘โรงพยาบาลLAWLIET’
นั่นข้อมูลหลักๆของโรงพยาบาลที่ผมไม่อาจะลืมได้แม้เวลาจะผ่านไปนานขนาดไหน...
บางทีหากผมตายๆไปซะเรื่องก็อาจจะจบ.. อย่าถามว่าทำไมผมถึงไม่ฆ่าตัวตายให้รู้แล้วรู้รอดเพราะที่นี่สามารถรักษามันให้หายในพริบตา ราวกับเหมือนมีเวทย์มนต์เลยทีเดียว
ผมรู้ดีเพราะผมเคยลองมาแล้วเกือบทุกรูปแบบ
ไม่ว่าจะเป็นทำร้ายตัวเอง อดข้าว หรือแม้กระทั่งพยายามแขวนคอ
สุดท้ายมันก็ลงเอยที่ผู้คุมเข้ามาช่วยและส่งผมไปยังส่วนของการรักษาพยาบาลของที่นี่และกลับมาที่นี่อีกครั้ง พร้อมกับการโดนเขม่นมากกว่าเดิม
เขาพูดกันว่าผมเป็นคนที่จำอะไรได้ดีกว่าคนอื่น แต่แน่นอนว่าเมื่อคนเราได้พลังอะไรมาซักอย่าง...เราก็ต้องแลกมาด้วยบางอย่างเช่นกัน
และผมแลกความสามารถโง่ๆนี้มาด้วยอาการที่เรียกว่า โรคอัลไซเมอร์
บางที...หลายๆคนอาจจะคิดว่าความทรงจำของผมมันรีเซ็ตภายใน7วัน แต่จริงๆแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น... ความทรงจำผมจะชัดเจนทุกรายละเอียดอยู่ประมาณ7วัน หลังจากนั้นมันก็จะกลายเป็นภาพที่เลือนรางลงเรื่อยๆจนส่วนมากจะหายไป
แต่เรื่องบางอย่างที่ถูกกระตุ้นความทรงจำทุกๆวันจะหายไปช้าลง หรือบางเรื่องก็สามารถจำได้เอง อย่างเช่น...ใครเป็นใคร ที่ไหนเป็นที่ไหน
ผมหมายถึงว่าหากมันเป็นเรื่องเล็กๆเช่นเมื่อสัปดาห์ก่อนผมได้คุยกับคนคนนี้รึเปล่า หรือคุยกับคนนั้นเรื่องอะไรผมจะลืมมันไปอย่างสิ้นเชิง...
แต่อะไรก็ตามที่มันเป็นแผลฝังลึกลงในใจของผมมันจะไม่มีวันหายไป...
นั่นเป็นความสามารถของผม...
ความสามารถที่ไม่ได้เลือกอยากจะมี ความพิเศษที่ไม่ได้คิดอยากจะเป็น..
....สิ่งโง่ๆที่ทำให้ผมเข้ามาติดอยู่ที่นี่
ผมจำไม่ได้แน่ชัดว่ามันผ่านมานานเท่าไหร่นับตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาขึ้นมาในห้องขังสีเทานี่ ผมไม่เคยนับวันเวลาเท่าไหร่ แต่ถ้าให้เดามันคงกินเวลาเป็นสิบๆปีแล้ว
นานพอให้ทุกอย่างๆเปลี่ยนไป แม้กระทั่งตัวผมเอง
นานพอที่จะทำให้ผมลืมเรื่องทุกอย่างที่อยูข้างนอก.. ลืมแม้กระทั่งว่าตัวเองเคยเป็นใคร..
...จำได้แค่ความอบอุ่นของแสงแดด ท้องฟ้าที่คราม และเสียงหัวเราะจอแจของผู้คนที่พบเจอได้แต่ในความฝันเท่านั้น
ผมค่อยๆหลับตาลงช้าๆเพราะเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆจากการกินยาเข้าไปเมื่อครู่
ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราในที่สุด...
.
“น..ฮ.. คิม...คิม ฮันบิน...!”
เสียงที่ขาดๆหายๆทำให้ผมรู้สึกตัว ก่อนจะพยายามหรี่ตาขึ้นอย่างยากลำบาก...
“อื้อ...”
“คิม ฮันบิน!!”
เสียงที่ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมๆกับสัมผัสที่ชาขึ้นมาที่หน้าทำให้ผมสะดุ้งขึ้นมาอย่างหวาดกลัวและตะเกียกตะกายไปหลบอยู่ที่มุมเตียงอย่างจนมุม
ใช้เวลาเพียงเล็กน้อยเขาก็รู้ว่าตัวเองโดนน้ำสาดเข้าฉาดใหญ่
คงเพราะยานอนหลับอย่างแรงขวดนั้น...ที่ทำให้ผมมองอะไรเป็นภาพเบลอๆไปหมด
ถึงจะมองอะไรไม่เห็นแต่ผมได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของอีกฝ่าย... มันชัดเจนว่าคนที่กำลังตะโกนใส่เขาอยู่คือซงยุนฮยอง หนึ่งในผู้คุม floor 4 ที่ถูกขังอยู่
ชีวิตใต้ดินแบบนี้สอนให้เขาเปิดประสาทออกมาทุกส่วน เพราะทุกวินาทีนั่นหมายถึงความเจ็บปวดที่จะเพิ่มขึ้นได้ทุกขณะ ในสถานที่แบบนี้ สัญชาตญาณเป็นสิ่งสำคัญ... พอๆกับการใช้สมองเพื่อหาทางออกที่เจ็บปวดน้อยที่สุดสำหรับตัวเอง
เจ็บปวดน้อยที่สุดน่ะนะ เพราะยังไงไม่มีทางที่จะหนีพ้นไปได้หรอก..
ผมหดขาเข้ามาหาตัวเองเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
พร้อมกับความเจ็บปวดจากการถูกบีบข้างแก้มอย่างแรงที่จู่โจมในเวลาต่อมา
“อย่าทำให้ฉันโมโห รีบลุกขึ้น คนอื่นเขาไปกันหมดแล้ว ชักช้าอยู่ได้”ยุนฮยองพูดก่อนจะสะบัดหน้าผมไปทาง...
ซง ยุนฮยองนับเป็นผู้คุมคนนึงของที่นี่ที่ยังพอจะนิสัยดีอยู่บ้าง... เขาก็แค่ตวาดคนไปเรื่อยให้ดูน่าเกรงขาม..ดูเป็นคนใจร้ายแต่ก็ไม่ได้โรคจิตชอบใช้ความรุนแรงอะไรมากมายนัก ที่เขาทำแบบนั้นก็เพื่อแสดงอำนาจในผู้คุมคนอื่นๆเกรงกลัวในฐานะผู้คุมเบอร์สองของfloor เท่านั้นเอง
ที่นี่ ใครยิ่งเบอร์สูงอำนาจยิ่งมาก ใหญ่ที่สุดคือเบอร์หนึ่งที่ถือเป็นหัวหน้า และ ยิ่ง floor ที่สูงมาก ผู้คุมจะยิ่งนิสัยดีขึ้น มันจริงรึเปล่าไม่รู้แต่เขาว่าอย่างน้อย floor 4 ก็ดีกว่า floor 8 จริงๆนั่นแหละ
ผมเคยอยู่ที่ floor 8 มาก่อน ที่นั่นเป็นนรกยิ่งกว่านี้ซะอีก... พวกผู้คุมซ้อมนักโทษไม่เว้นแต่ละวัน บางคนก็บาดเจ็บ บางคนก็ตาย
ยิ่งถ้ามีใครเป็นผู้หญิงมา นั่นจะยิ่งน่าสงสารเข้าไปใหญ่..
...เพราะยังไงพวกเขาก็คงไม่พ้นจะต้องตกเป็นเหยื่อระบายอารมณ์ของพวกผู้คุมตัวโตพวกนี้แน่ๆ
หรือแม้กระทั่งผู้ชายตัวเล็กๆก็ยังโดนกันไปบ้างเป็นบางราย.. นั่นทำให้เขารู้สึกว่าท่ามกลางความโหดร้ายที่เขาต้องเจอ เขายังโชคดีอยู่บ้าง..ถึงแม้เขาจะตัวเล็กกว่าคนอื่นๆอยู่นิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ตัวเล็กหรือสวยขนาดไปต้องตาต้องใจใคร
ผมค่อยๆพยุงตัวเองลุกขึ้นเมื่อภาพตรงหน้ากลับมาเป็นปกติ
ประตูลูกกรงถูกเปิดทิ้งเอาไว้...
นั่นหมายความว่า...วันนี้จะเป็นอีกวันที่เขาได้อาบน้ำ... ในรอบสัปดาห์
นักโทษ..หรือที่พวกนั้นเรียกพวกเราว่าผู้ป่วย ไม่ได้มีโอกาสอาบน้ำบ่อยๆหรอก คนที่นี่แออัดเกินไป ต้องแบ่งให้แต่ละ floor อาบคนละวัน... กว่าจะวนครบรอบทั้ง 10 ชั้น ก็กินเวลาเข้าไปสัปดาห์กว่าๆแล้ว
ผมก้าวเท้าช้าๆออกไปตามทางเดิน ...ผ่านห้องขังมากมายที่ตอนนี้ว่างเปล่า
ตอนนี้ทุกคนคงไปรวมกันที่โรงอาบน้ำหมดแล้ว
ผมรีบตรงไปตามทางว่างๆที่มีผู้คุมนั่งอยู่ประปราย บ้างก็หันมามองผอย่างขับผิด แต่บางคนก็ไม่สนใจและนั่งคุยกันต่อไป
ถึงมันจะดูมีช่องโหว่มากมายแต่ผมเลิกคิดที่จะหนีไปตั้งแต่ 2 ปีแรกที่มาอยู่แล้ว... ที่นี่...มีทางขึ้นไปข้างบนแค่ทางเดียวนั่นคือลิฟต์ที่พอขึ้นไปก็จะไปโพล่ที่ห้องพักผู้คุมนับร้อย ขึ้นไปยังไงก็ไม่รอดอยู่ดี
ส่วนบันไดฉุกเฉินก็ถูกปิดอย่างแน่นหนา แบบที่เขาคิดว่าคงต้องสั่งเปิดประตูจากที่ไหนซักแห่ง
ผมหยุดลงที่หน้าห้องที่เขียนไปว่าโรงอาบน้ำ...ก่อนจะเดินเข้าไป
ห้องโล่งๆปูด้วยกระเบื้องสีผ้าอ่อนๆที่ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าฝักบัวสีเงินที่เรียงกันเป็นแถวๆ และนักโทษที่ยืนอาบน้ำกันอยู่...
ผมค่อยๆปลดกระดุมเสื้อตัวเองช้าๆก่อนจะโยนมันลงไปในถังอันใหญ่ที่รวมเสื้อสีส้มเก่าๆของทุกคนไว้ทั้งหมด.. ก่อนจะตามด้วยกางเกงและชั้นใน
....ที่นี่ หากจะอาบน้ำ ก็ต้องกล้าที่จะเปลือยต่อหน้าทุกคน มันอาจจะฟังดูน่ารังเกียจหรือน่าอาย แต่เชื่อเถอะ ได้อาบน้ำก็ดีแค่ไหนแล้ว
ถึงมันจะน่าอึดอัด.. และผมก็เกลียดการที่ทุกคนต้องมายืนเป็นบุฟเฟ่ต์อาหารสายตาให้พวกผู้คุมมายืนมองยืนเลือกว่าจะหิ้วใครไปนอนด้วยดีแบบนี้ แต่มันก็ช่วยไม่ได้ เชื่อผมเถอะว่าการทำเป็นหลับหูหลับตาอาบๆไปมันดีกว่าการทนกลิ่นเหม็นเน่าของตัวเองแถมยังต้องโดนผู้คุมซ้อมเพราะไม่ทำตามระเบียบอีก
ผมเอื้อมมือไปหมุนก๊อกน้ำ ก่อนที่น้ำเย็นจะไหลลงมาบนตัวผม จนรู้สึกชานิดๆ แม้ที่นี่จะมีฮีตเตอร์ก็เถอะ
พยายามจัดการร่างกายของตัวเองให้เร็วที่สุด
“เฮ้ ฮันบินฮยอง ไม่ได้เจอกันนานนะ”เสียงจากคนข้างๆเรียกความสนจากผมได้ดี
คนคนนี้....เขาชื่อ จองชานอู เด็กคนนี้อยู่ที่นี่มันตั้งแต่ 7 ขวบ...
อยู่มาจนไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับที่นี่อีกแล้ว ถึงได้ทำตัวร่าเริงแบบนี้ ทั้งๆที่ก็เห็นรอยแผลที่พาดเป็นทางยาวที่หลัง ดูท่าทางน่าจะพึ่งเกิดไม่กี่วัน..
และยังรอยเล็บที่ข่วนเป็นริ้วๆที่หลังคอลงมาถึงช่วงเอวนั้นอีก
ผู้คุมขี้เมาซึงฮุนที่มาเฝ้าเวรหน้าห้องเขาทุกวันพฤหัสพูดอยู่ตลอดเวลาว่า จอง ชานอูเป็นเด็กของซงยุนฮยอง ดังนั้นเขาก็เดาได้ไม่ยากว่ารอยเล็บบนหลังนั่นเป็นฝีมือของใคร
เช่นเดียวกับรอยแดงที่คอของผู้คุมยุนฮยองที่ปรากฎพ้นคอเสื้อให้เห็นบ่อยๆ
“เฮ้”ผมตอบกลับไปคำเดียวโดยไม่ได้หันไปหาอีกคน
“วันนี้ดูดีนะพี่ ไม่มีแผลหนิ”
“โดนช็อตมา”ผมตอบกลับไปนิ่งๆ
“โอ้ว นั่นผมเคยโดนเมื่อสี่เดือนก่อน มันไม่เบาเลยนะ ยิ่งหน้าหนาวแบบนี้ด้วย พี่โอเคไม๊”
“จะโอเคมากถ้านายหุบปาก จอง ชานอู ฉันจะพูดกับนายอีกเป็นครั้งที่ 23 ว่า นายไม่จำเป็นต้องมาทำตัวสนิทกับฉันก็ได้ มันทำให้ฉันโดนผู้คุมซงเพ่งเล็งมากกว่าเดิม”
“พี่ยุนฮยองรู้น่าว่าผมน่ะแค่ชอบคุยกับคนอื่นๆไปเรื่อย” เขายักไหล่อย่างไม่สนใจ
“และบางทีนายก็ควรจะรู้ด้วยว่าตอนนี้ผู้คุมซงมองนายจนจะกินนายเข้าไปได้ทั้งตัวแล้ว” ผมพูดก่อนจะเอื้อมมือไปปิดฝักบัวและเดินไปอีกทาง
เดินไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อ คว้าเอาเสื้อนักโทษสีส้มเข้มที่ออกตุ่นๆไปซะเกือบหมดจากอายุการใช้งานที่ยาวนาน
ผมรีบใส่กางเกงหลวมๆนั่นอย่างเร็ว แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้สวมเสื้อลงไป สัมผัสแปลกปลอมที่แนบเข้าเข้าตัวก็ทำให้ผมสะดุ้งจนเผลอร้องออกมาอย่างตกใจ...
มือของผุ้คุมไม่คุ้นหน้าที่จับสะโพกผมอยู่ทำให้รู้สึกขนลุกไปทั่วร่าง
...ไม่...!
“นายชื่ออะไร J”เขาถามผมด้วยน้ำเสียงที่แผงความนัยบางอย่างอย่างชัดเจน
นั่นมัน...
น่าขยะแยงที่สุด
“ฮ..ฮันบิน” ผมตอบออกไปก่อนจะเลื่อนตัวออกจากเขาช้าๆและพยายามมองไปทางอื่น
“ชื่อเพราะนะ ห้องขังเบอร์อะไร” คำถามนี้ไม่ใช่คำถามทั่วไปที่ถามกันในหมู่นักโทษกับผู้คุม... ผมรู้ดี
ทันทีที่คำถามนี้หลุดออกมาจากปากของผู้คุม นั่นหมายถึง เขากำลังถูกใจนักโทษคนนั้นอยู่ ...
นักโทษบางคนมองว่ามันเป็นเรื่องที่ดี อย่างน้อยผู้คุมคนอื่นๆก็จะเกรงใจเพื่อนร่วมงานกันอยู่บ้าง ยิ่งถ้าเป็นคนโปรดของคนที่เป็นผู้คุมเบอร์ใหญ่ๆก็อาจจะสบายไปเลยถ้าไม่นับการทดลองที่ขึ้นอยู่กับการระบุตัวมาจากฝั่งหมอ
เหมือนกับชานอูนั่นแหละ ถ้านับในหมู่นักโทษด้วยกันเอง หมอนั่นก็เป็นที่เกรงกลัวของใครหลายๆคนที่สุดแล้ว เพราะอำนาจของผู้คุมซงที่ใหญ่เป็นอันดับสองของFloor
แต่สำหรับผม... มันตรงกันข้าม
ผมกลัว....
กลัวจนมือเริ่มสั่น และขาเริ่มหมดเรี่ยวแรง
“ฮงซอก มึงอย่าไปยุ่งกะเด็กนี่เลย”เสียงของใครบางคนดังขึ้นเหมือนระฆังช่วยชีวิตผมไว้
“ทำไมวะ” คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆผมพูดขึ้นก่อนจะผละออกจากตัวผมและหันไปมองต้นเสียง
“เด็กคุณจีวอนเขา ถ้ามึงทำของเขาช้ำ เดี๋ยวจะซวยกันหมด เนี้ยเอกสารพึ่งมาเมื่อเช้าเลย”
“ไอ้เหี้ย แล้วมึงไม่บอกกูก่อน” ฮงซอกพูดอย่างหัวเสียก่อนจะหันมามองที่ผมตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกรอบ “มึงก็อย่าไปฟ้องใครแล้วกัน ไม่งั้นเจ็บตัวแน่” เขาขู่ผม
...ใครคือ คุณจีวอน?
ผมหันไปมองป้ายชื่อที่ติดอยู่บนเสื้อผู้คุมของคนที่ช่วยผมไว้ก่อนจะท่องให้ขึ้นใจ...
ซง มิโน.......
ซง มิโน...
ซง มิโน
ถึงแม้จะรู้ว่าอีกแค่7วัน.. ผมก็จะลืมมันก็ตาม
-60%-
Junhoe’s Side
ผมกำลังคิดว่าตัวเองคิดผิดรึเปล่าที่มาที่นี้?
บางทีถ้าผมแค่สั่งให้คนรถกลับรถออกไปจากทีนี่คงจะทำให้ผมหานใจได้ทั่วท้องมากกว่านี้
บรรยากาศนอกรถนั่นทำให้ผมหายใจได้ไม่ทั่วท้อง ผู้คุมมากมายที่ยินเรียงรายกันอยู่ห่างออกไปแล้วทำท่าเคารพผมทำให้รู้สึกแย่อย่างประหลาด
ทั้งๆที่ปกติผมชอบจะตายเวลามีใครมาแสดงความนับถือ... มันเป็นสิ่งบ่งบอกได้ว่าผมกำลังประสบควาสำเร็จ
ภาพของโรงพยาบาลแห่งนั้นกำลังเคื่อนเข้ามาใกล้ผมทุกที...
แต่สุดท้ายก็ได้แต่นั่งอย่างเงียบงันอยู่อย่างนี้...
และในเวลาไม่นานรถของผมก็หยุดลงที่หน้าทางเข้าของที่แห่งนี้...
ป้ายที่ติดอยู่หน้าประตูบานใส...โรงพยาบาลลลอว์ไลท์
ผมชื่อกู จุนฮเว
จบจากหาลัยด้านการบริหารอันดับต้นๆของโลกด้วยเกียรตินิยมอันดับ1 ทั้งปริญญาตรีและโท
หลังจากนั่งหัวโต๊ะในฐานะประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ของเกาหลีที่ก่อตั้งโดยตัวผมเอง จู่ๆกลับโดนครอบครัวบังคับให้ขายหุ้นทิ้งครึ่งนึงและลาออกจากตำแหน่ง
....ลาออกมาเพื่อมาทำงานเป็นหนึ่งในคณะบริหารของไอ้โรงพยาบาลงี่เง่าแห่งนี้...
โรงพยาบาลนี้เป็นโรงพยาบาลที่พ่อของผมเป็นหนึ่งในผู้บริหารระดับต้นๆ และได้ส่งต่อตำแหน่งนั้นให้ผมเมื่อวานสดๆร้อนๆ
...พ่อของผมป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะที่4 จากการสูบบุหรี่มานานเกินกว่าจะนับจำนวนปีด้วยนิ้วมือทั้งสองข้างบวกกับนิ้วเท้าทั้งหมด ต้องไปรักษาตัวยาวๆ
ใครๆก็บอกว่ามันเป็นเรื่องแปลกที่พ่อของผมทั้งๆที่เป็นหนึ่งในผู้บริหารระดับสูงของโรงพยาบาลที่ชื่อเสียงแท้ๆ แต่กลับปล่อยให้ตัวเองเป็นมะเร็งระยะเกือบสุดท้าย
แต่ก็นั่นแหละคนเรามันก็ต้องมีเจ็บ มีตาย เป็นเรื่องธรรมดา
พ่อผมโลภเกินกว่าที่จะปล่อยให้ตำแหน่งแทนที่ด้วยคนอื่นที่ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของตน... หรือโลภเกินกว่าจะปล่อยให้ขุมทรัพย์ตกไปเป็นของคนอื่น
ผมเลยต้องมาที่นี่....อีกครั้ง
ผมจัดเสื้อสูทตัวเองเล็กน้อยก่อนจะก้าวลงจากรถพร้อมกับมองไปรอบๆ
ที่นี่ไม่ต่างจากตอนที่ผมมาครั้งแรกและล่าสุดก่อนไปเรียนต่อที่อังกฤษมากนัก ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่พ่อของผมยอมพาผมเข้ามาที่นี่ ที่ทำงานของพ่อที่ใครๆก็ต่างชื่นชมว่าเป็นโรงพยาบาลที่ทำการวิจัยยาที่สร้างประโยชน์ให้แก่วงการแพทย์มหาศาล รวมถึงนำรายได้มาให้ประเทศเกาหลีมาอย่างยาวนาน
ไม่น่าเชื่อว่าผมเคยใฝ่ฝันอยากจะเข้ามาทำงานที่นี่มาก่อน
มันเป็นช่วงเวลาในความฝันของเด็กคนนึงที่ยังเชื่อข่าวที่อยู่ในโทรทัศน์ว่ายาที่ผลิตมาจากที่นี่ช่วยคนจำนวนมหาศาลเอาไว้
จนกระทั่งวันที่ผมได้รู้ว่าความจริงที่นี่มันไม่ต่างอะไรจากนรกบนดินเลยซักนิด
ผมเคยให้สัญญากับตัวเองว่าจะไม่มาที่นี่อีกเป็นครั้งที่สอง....แต่สุดท้ายผมก็หนีมันไม่พ้นอยู่ดี ก็นะ มันเป็นโรงพยาบาลของพ่อผมนี่น่า...
แถมสัญญาไว้แล้วด้วย จะให้หันหลังกลับไปตอนนี้ก็คงไม่ไช่เรื่องแล้วล่ะ
ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะหันไปหาเจ้าหน้าที่สาวคนนึงที่ยืนรอรับผมอยู่
“ฉันต้องทำอะไรก่อน?”ผมเอ่ยนิ่งๆ
“ตามดิฉันมาเลยค่ะ” เธอคนนั้นก่อนก่อนจะเดินนำผ่านประตูอัตโนมัติเข้าๆไปภายในโรงพยาบาล
จริงๆที่นี้เป็นกึ่งโรงพยาบาลกึ่งศูนย์วิจัยมากกว่า ที่นี่ไม่รับคนไข้นอก ไม่ใช่ว่าใครๆจะเข้ามาที่นี่ได้ง่ายๆ... เขารักษาเฉพาะคนที่เขาต้องการรักษาเท่านั้น แต่ผลงานส่วนมากจะเป็นการวิจัยต่างๆมากกว่า
FOR NATIONALITY & HUMANITY, เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและมนุษยชาติ
...หน้าปกของหนังสือแนะนำที่นี่บอกผมไว้อย่างนั้น
ผมเดินผ่านส่วนต้อนรับของโรงพยาบาลไปอย่างรวดเร็วก่อนที่เจ้าหน้าที่จะพาผมลงไปในส่วนที่เป็นส่วนที่ใช้ทำการวิจัยของโรงพยาบาล...
ถึงแม้ด้านบนจะดูเป็นศูนย์วิจัยอันยิ่งใหญ่ ลอว์ไลท์ซ่อนบทบาทแท้จริงของตัวเองไว้ใต้ดิน โดยที่มีเพียงแค่คนที่ทำงานในนี้ทั้นที่รับรู้ถึงความน่ากลัวของมัน
เจ้าหน้าที่สาวคนนั้นหยุดลงตรงหน้าประตูที่ต้องใช้บัตรผ่านก่อนจะหันมายื่นบัตรใบนึงให้ผม
“นี่เป็นบัตร VIP ค่ะ บัตรใบนี้จะใช้ในการผ่านประตูต่างๆในโรงพยาบาลรวมถึงใช้ในการเข้าถึงข้อมูลต่างๆเท่าที่มันจะเข้าถึงได้”
เท่าที่มันจะเข้าถึงได้? แสดงว่ายังมีส่วนที่ผมเข้าถึงไม่ได้อีกสินะ...?
แต่เอาเถอะ ผมไม่แคร์หรอก ผมวางแผนไว้แล้วว่าเมื่อไหร่ที่พ่อผมหาย ผมจะรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
ผมใช้บัตรนั่นทาบลงบนที่สแกนโค้ดก่อนที่ประตูจะถูกเปิดออกในเวลาต่อมา
เจ้าหน้าที่คนนั้นเดินเข้าไปก่อนก่อนที่ผมจะเดินตามไปติดๆ
ทางเดินที่ไม่กว้างมากไปกว่าที่จำเป็น...สองข้างทางของผมเต็มไปด้วยห้องทดลองที่เป็นกระจกกันกระสุนเผยให้เห็นสิ่งโหดร้ายที่อยู่ภายในห้องเหล่านั้น
การทดลองที่น่าขยะแขยงของโรงพยาบาลเน่าเฟะแห่งนี้.
....ช็อตไฟฟ้า ผ่าตัดทั้งที่ไม่ได้วางยาสลบ ฉีดยาที่ทำให้คลั่ง โดนอบทั้งเป็น หรือ อะไรหลายๆอย่างที่ผมเห็นและไม่อยากจะประมวลผลออกมา แค่อยากจะรีบเดินผ่านๆไอ้ทางเดินยาวๆนี่ไปให้จบๆ
แต่สุดท้ายภาพเหล่านั้นก็ยังไหลเข้าในหัวผมอยู่ดี...
ผมไม่เคยคิดว่าผมเป็นคนดี เอาจริงๆผมยอมรับว่าผมเป็นคนที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก โลกของเรานั้นมีทั้งด้านที่ดำและเป็นสีเทาหรือขาว ก่อนจะมาที่นี้ผมทั้งโกงธุรกิจ หักหลัง และทรยศเพื่อนร่วมงานมานับไม่ถ้วน ผมทำได้ทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของตัวเองและธุรกิจของผม ถ้าเทียบกัน ผมคงเป็นเทาเฉดที่เข้มที่สุดเท่าที่มันจะเข้มได้ด้วยซ้ำ แต่เมื่อผมมาที่นี่ผมกลับรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก
พูดได้เต็มปากว่านี่มันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะปฎิบัติต่อกัน...
อย่างน้อย... จิตใต้สำนึกผมก็บอกมาแบบนั้น
ผมเดินตามทางไปเงียบๆโดยพยายามไม่พูดอะไรมากรวมถึงพยายามปิดกั้นข้อมูลเกี่ยวกับการทดลองที่เจ้าหน้าที่สาวคนนั้นพยายามจะอธิบายเป็นระยะๆ
กลิ่นเหม็นคาวของเลือดและยาปฏิวีนะตีกันไปหมดจนทำให้ผมอยากจะขย้อนข้าวเช้าออกมา
เจ้าหน้าที่สาวคนนั้นแนะนำโรงพยาบาลไปเรื่อยๆก่อนที่จะมาหยุดลงตรงหน้าประตูกระจกฝ้าที่มีลายสกรีนลงบนตัวบานว่าโซนพิเศษ และตามด้วยป้ายตัวใหญ่ๆว่า...
ห้ามเข้าก่อนได้รับอนุญาต
“...โซนนี้เป็นโซนพิเศษที่ใช้สำหรับการวิจัยที่เป็นโปรเจ็คใหญ่และต้องติดตามผลอย่างใกล้ชิด ภายในนี้จะมีแค่แพทย์แนวหน้าและพยาบาลที่มีฝีมือจริงๆเท่านั้นที่จะได้ผ่านเข้าไปทำงาน อุปกรณ์เครื่องมือทุกอย่างในนี้เป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่ทุกเท่าที่มีได้ เรียกได้ว่าเป็นหัวใจหลักของโรงพยาบาลเลยก็เป็นได้” ว่าแล้วเจ้าหน้าที่คนนั้นก็หลีกทางให้ผม เป็นสัญญาณให้ผมเดินเข้าไปใกล้ประตูนั้นมากขึ้นก่อนจะนำบัตรที่ได้ทาบลงกับที่สแกนเหมือนทุกครั้งที่ผ่านประตู
ทันทีที่ประตูเปิดออก กลิ่นยาฆ่าเชื้อที่ฉุนกว่าภายนอกก็คละคลุ้งออกมาจากโซน
ภายในนั้นมีเคาน์เตอร์สีขาวตรงกลางที่มีพยาบาลนั่งทำงานอยู่จำนวนหนึ่ง รอบๆโซนนั้นเป็นห้องต่างๆที่ใช้วิจัย ทดลอง การตกแต่งดูเรียบง่ายด้วยโทนสีขาวที่ดูสะอาดตา แต่ในขณะเดียวกันก็ดูน่ากลัวอย่างประหลาด
ผมรู้ได้ว่ามีอะไรบางอย่างที่โหดร้ายอย่างน่ากลัวซุกซ่อนอยู่ในห้องสีขาวบริสุทธิ์นี้
เจ้าหน้าที่สาวคนนั้นเดินนำผมไปหยุดอยู่หน้าห้องที่หนึ่งที่มีผู้ป่วยรายหนึ่งนอนอยู่
ผมอ่านชื่อของเขาได้ว่า คิม จินฮวาน...
ชื่อของคนไข้รายนี้ถูกพิมพ์ติดไว้ที่หน้าห้องเหมือนทุกๆห้องในโรงพยาบาลแห่งนี้ แต่น่าแปลกที่มันดูจะดึงดูดผมมากกว่าชื่อไหนๆ
เธอคนนั้นเปิดประตูบานนี้ออกก่อนจะนำผมเข้าไปในห้องนั้นที่ถูกกั้นออกเป็นสองส่วนด้วยกระจกบานใหญ่
ภายหลังกระจกบานใหญ่นั้นคือห้องสีขาวขนาดใหญ่และร่างของคนไข้คนนี้ถูกตรึงไว้กับเก้าอี้ทดลองที่มีอุปกรณ์มากมายที่ยื่นออกมาเหมือนแขนขายั้วเยี้ย...
ราวกับปีศาจที่พร้อมจะปลิดชีพคนที่นั่งอยู่
ข้างหน้าผมเต็มไปด้วยคนกลุ่มที่อยู่ในชุดแพทย์จำนวนหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่หน้าแผงควบคุมที่น่าจะเป็นของเจ้าเครื่องมือไฮเทคบนเก้าอี้พวกนั้น
เครื่องมือพวกนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้แพทย์สามารถทดลองคนไข้ได้โดยแทบไม่ต้องแตะตัวด้วยซ้ำ
เพราะคนไข้พวกนี้ทรงพลังเกินไป เกินว่าลิมิตที่มนุษย์จะเข้าใกล้ได้
“...คนไข้คนนี้ชื่อคิมจินฮวานค่ะ เขาสามารถสะกดจิตและอ่านใจคนได้ในระยะ10เมตรรอบตัว และสามารถส่งกระแสจิตไปได้ไกลเป็นกิโลๆ เป็นคนไข้ระดับ A+ ของเราเลยทีเดียว”เจ้าหน้าที่หญิงคนนั้นอธิบายก่อนจะหันไปพูดบางอย่างกับแพทย์ หลังจากนั้นไม่นานร่างที่ติดอยู่กับเครื่องมือมากมายก็ถูกเคลื่อนเข้ามาใกล้กระจกมากขึ้นในระยะที่ปลอดภัยพร้อมๆกับที่เขาคนนั้นลืมตาขึ้นมา
ลืมขึ้นมาอย่างพอดิบพอดีราวกับว่าถูกโปรแกรมเอาไว้..
หรือจริงๆที่จะเป็นเพราะยาที่ถูกฉีดเข้าไปกระตุ้นก็ได้นะ
แต่ทำให้ผมแปกใจคือ....คนคนนี้มีบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกสนใจอย่างประหลาด
...ทั้งดวงตาสีเทาเข้มนั่นที่เหมือนจะมองตรงมายังเขาทั้งๆที่กระจกบานนี้ถูกออกแบบมาให้คนจากฝั่งผมมองทะลุได้แต่คนข้างในจะมองเห็นเป็นผนังขาวๆเท่านั้น
สีผมของเขาเป็นสีดำสนิทปนกับสีเงินอ่อนๆ ถึงแม้ใบหน้าของเขาจะดูโทรมเเละอิดโรยแต่ถ้าใครมาเห็นก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาหน้าตาดีทีเดียว ผิวขาวเนียน และปากสีชมพูนั่นทำให้ผมนึกถึงพวกดารานักเเสดงมากกว่านักโทษที่ถูกคุมขังแบบนี้
น่าปกป้อง...น่าทะนุถนอม
‘H..EL…P M..M..E’เสียงบางอย่างดังขึ้นในหัวของผมคล้ายๆกับเสียงกระซิบที่ขาดหายไปบางส่วน เดาได้ไม่ยากหรอกว่ามันเป็นรูปแบบนึงของการส่งกระแสจิตของคนที่อยู่เบื้องหลังกระจกบานนั้น
มันทำให้หัวใจของผมเต้นรัว...เหมือนกับตื่นเต้นที่จะได้พบคนคนนี้
ทำไมกันนะ...?
ชั่วความรู้สึกนึงผมรู้สึกเจ็บปวดที่จะต้องยอมรับความจริงที่ว่า... เขาคนนี้กำลังจะถูกทำอะไรบางอย่างที่พนันได้ว่ามันคงเจ็บเจียนตาย
ยาใสอมสีม่วงอ่อนๆที่ไหลลงมาตามสายยางที่ถูกแขวนอยู่เหนือหัวคิมจินฮวานทำให้ลำคอของผมแห้งผากจนต้องกลืนน้ำลายตัวเองช้าๆ
และในวินาทีที่ผมเห็นว่ายานั้นไหลลงไปสุดสายยางและเข้าไปในตัวของคนไข้ร่างบาง คิมจินฮวานก็กรีดร้องออกมาพร้อมๆกัน
กรีดร้องแบบที่ผมไม่ได้ยินเสียงเพราะกระจกที่กั้นไว้ก็กั้นเสียงเอาไว้ด้วย
ผมสังเกตเห็นเส้นเอ็นที่คอและข้อมือของของเขาที่ปูดขึ้นเพราะอาการเกร็งไปทั้งตัว
มือที่สั่นระริกแต่กลับกำไว้แน่นจนเล็บแทยจะฝังเข้าไปในเนื้อ
ก่อนจะตามด้วยอาการกระตุกที่เหมือนจะมาจากฤทธิ์ยามากกว่าการกระทำเพื่อระบายความเจ็บปวดเหมือนเมื่อครู่
มันทำให้ผมคิดอยากที่จะตวาดทุกคนที่อยู่ในห้องนี่และสั่งให้หยุด แต่ก็ทำได้แค่ซ่อนมันไว้ใต้หน้ากากของผู้บริหารไร้หัวใจเท่านั้น
สิ่งที่ควรทำ...กับสิ่งที่ถูกต้อง...สองสิ่งนี้กำลังสู้กันอยู่ในหัวผมจนเริ่มรู้สึกได้ถึงเหงื่อเย็นๆที่ขมับ
“...เราไปดูห้องอื่นกันต่อเถอะค่ะ”เสียงของคนที่นำทางผมมาถึงที่นี่ดังขึ้นอีกครั้ง...เหมือนจะเรียกสติผมกลับมาและขณะเดียวกันก็พึ่งรู้ตัวว่า ผมเดินเข้ามาใกล้ เส้นสีแดงที่เข้าเขตอันตรายมามากแค่ไหน
ผละสายตาจากคิมจินฮวานคนนั้นก่อนจะเดินตามเจ้าหน้าที่ไปตามเดิม
ผมไม่มั่นใจนัก...ว่ามันเป็นเพราะการสะกดจิตของคนไข้ที่ชื่อจินฮวานรึเปล่า
แต่มันแปลกตรงที่ผมไม่สามารถลืม’เขา’ได้เลย
ผมไม่สามารถลบดวงตาคู่นั้นออกไปจากห้วงความคิดได้เลย
แม้แต่ซักวินาทีเดียว
TALK
เปิดมาก็ดาร์กเลย ถถถถ
บ๊อบบี้ยังโพล่มาเเค่ชื่ออยู่เลย...
ส่วนจุนจินก็...มาเเบบเบาๆ(?) ถถถถ เเต่ก็ยังคงความดาร์กไว้ได้อย่างต่อเนื่อง...
เราลืมบอกทุกคนไปนิด คือจริงๆฟิคเรื่องนี้มันเป็นฟิคสั้นมาก่อนเเหละ...
ดังนั้น ฟิตเรื่องนี้อาจจะไม่ได้ยาวอะไรมากนะทุกคน 555 #บวกความขี้เกียจของเราเข้าไปด้วยน่าจะสิบตอนจบ ถถถ
ตอนนี้ยังไม่ค่อยมีสตอรี่มาก... ถือซะว่าเป็นตอนเกริ่นนำเเล้วกันนะทุกคน
เนื้อหาช่วงเเรกๆจะหนักนิดนึง.... เเต่อีกซักพักจะซอฟต์ขึ้นค่ะ เราสัญญา!
มีคนลุ้นให้บ๊่อบเป็นคุณหมอใจดีกันเยอะนะ.... เราจัดให้เเน่นอน บ๊อบบี้ใจดีอบอุ่นตามต้องการ #หัวเราะอย่างชั่วร้าย
ปล. ชอบอิมเมจชานอูกะพี่ยุนมากมายยย ฮือออ #ตบหน้าตัวเองเรียกสติเเปป เราเเต่งสองคู่ก็จะกระอักเเล้ว ถถถ
จะดีใจมากเมื่อมีคนเม้นเเละสกรีมฟิค #ฟิคลวงดบบ .____________.
ความคิดเห็น