ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [IKON] "HOODWINK" DoubleB&Junjin

    ลำดับตอนที่ #2 : file01 :: i am

    • อัปเดตล่าสุด 4 ก.พ. 58








    Every night I rush to my bed

    With hopes that maybe I'll get a chance to see you

    When I close my eyes I'm going out of my head

    Lost in a fairy-tale, can you hold my hands and be my guide?

     

    ทุกๆคืนฉันรีบเข้านอน เพื่อหวังว่าจะได้มีโอกาสเจอเธอ

    ยามที่ฉันหลับตาลง ฉันหลุดออกมาจากร่างตัวเอง

    หลงอยู่ในเทพนิยาย เธอจะช่วยจับมือฉัน แล้วนำทางฉันไปได้มั้ย?

     

     

     

     

     


     

     

    ประวัติคนไข้

    NAME: KIM HANBIN (คิม ฮันบิน) [CODE:22XXXXXXB]

    SEX: MALE BIRTH: 22OCTXXXX BLOODTYPE: O

    SINCE: 03/200X R-CODE: 17692A

    INFORMATION:

    มีความสามารถในการจดจำระดับอัจฉริยะ [1500 ตัวอักษร/วินาที]

    สามารถจดจำทุกอย่างได้รวดเร็วกว่าคนปกติแต่เพราะข้อมูลที่รับเข้ามาเยอะเกินไป

    ทำให้ความทรงจำ80%ถูกลบออกไปภายใน 7 วัน

    (เป็นกลไกธรรมชาติที่หากรับข้อมูลมาเยอะเกินไปจะทำให้ต้องลบทิ้งหรือปิดกั้นเอาไว้เยอะ)

     

     

    DOCTOR:

    200X-2008 XXX XXXX

    2008-2012 XXX XXXX

    2012- NOW KIM JIWON

     

     

     

    .

     

    .

     

     

     

    .

     

    ...ผมถูกขังอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆมาเป็นเวลาเป็นสิบปี...

    ถ้าผมบอกอย่างนี้คุณจะเชื่อผมไม๊?

     

               

                ผมนอนขดตัวอยู่บนพื้นเย็นๆของห้องขังใต้ดินสกปรกๆที่คุ้นเคย...

                ไอ้ห้องแคบๆนี้จริงๆมันก็เป็นเหมือนเป็นบ้านของผมล่ะมั้ง

               

     

     

     

                ผมขยับตัวอย่างยากลำบากอีกครั้งก่อนที่สุดท้ายก็ต้องทรุดลงไปนอนท่าเดิม

     

     

                ความเจ็บปวดจากการพึ่งถูกช็อตไฟฟ้ามาเมื่อวานยังไม่หายดีเท่าไหร่นักถึงแม้ผมจะได้รับยาที่เรียกได้ว่าสามารถรักษาได้อย่างรวดเร็วมากๆ แต่ดูเหมือนยาตัวนี้จะไม่ได้ทำให้ความเจ็บปวดหายไปเร็วเหมือนบาดแผลภายนอก

    ...และตอนนี้ผมก็ต้องมานอนอยู่บนพื้นที่เย็นเฉียบเพราะสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวน...

     

     

    จริงๆอากาศมันก็ไม่เท่าไหร่หรอกแค่ 3 องศาเอง ปกติจะตายไปสำหรับหน้าหนาวในเกาหลีอย่างนี้

    ไอ้เสื้อบางๆนี่ก็ไม่ได้ช่วยให้หายหนาวได้เลยซักนิด

     

     

                จริงๆแล้ว 3องศา อาจจะไม่ใช่ปัญหาสำหรับผมมากเพราะเมื่อฤดูหนาวที่แล้วอากาศหนาวถึง-5ก็เคยเผชิญมาแล้ว แต่จากสภาพร่างกายของตัวเองตอนนี้...แค่อากาศปกติก็เกินจะทนแล้ว 

                ความเย็นจากพื้นค่อยๆกัดกร่อนผิวผมช้าๆจนจากที่มันเคยมีสีชมพูอ่อนๆตอนนี้เริ่มแดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด...

     

     

    ทรมาน...แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ไปมากกว่านอนนิ่งๆรอรับความเจ็บปวดอยู่แบบนี้...

     

     

     

                อยากจะยืนขึ้นไปนอนบนเตียงเล็กๆเก่าๆนั่นจะแย่ หรือ อย่างน้อยก็อยากได้ผ้าห่มบางๆที่วางอยู่บนเตียงนั่นมาห่มซักนิดให้หนาวน้อยลงง หรือไม่ต้องเจอลมเย็นๆปะทะตรงๆแบบนี้

                แต่เรี่ยวแรงที่เคยมีก็หายไปหมดซะแล้ว

     

     

     

     

                แอด..

                เสียงผู้คุมเปิดประตูของห้องพักที่ไม่ต่างไปจากคุกเท่าไหร่นัก...ก่อนจะโยนถาดเหล็กบุบๆจากการโดนโยนนับครั้งไม่ถ้วน

    ข้างในบรรจุอาหารที่ดูเหมือนจะเป็นแค่เศษอาหารมากกว่าสิ่งที่คนกินได้

    เขาเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับขวดใสๆที่ทำให้มองเห็นยานอนหลับที่บรรจุอยู่ภายในได้ไม่ยาก เดินมาบีบหน้าผมเอาไว้ บังคับหใผมอ้าปากและกรอกยานั้นเข้ามาในปากของผม

     

     

     

                ถามว่าผมรู้ได้ยังไงว่านี่เป็นยานอนหลับ ผู้คุมพวกนั้นจับมันกรอกใส่ปากผมตั้งไม่รู้เท่าไหร่แล้ว...

     

     

     

     

    ผู้คุมที่คนภายนอกจักกันในฐานะ ‘บุรุษพยาบาล’

    ผู้ป่วยที่นี้ก็คงไม่ต่างจากนักโทษ

    การรักษาที่บางทีการทรมานในคุกยังโหดร้ายน้อยกว่า

    โรงพยาบาลที่เปรียบเสมือนนรกของผู้ป่วย

    โรงพยาบาลLAWLIET’

     

     

     

     

                นั่นข้อมูลหลักๆของโรงพยาบาลที่ผมไม่อาจะลืมได้แม้เวลาจะผ่านไปนานขนาดไหน...

     

     

                บางทีหากผมตายๆไปซะเรื่องก็อาจจะจบ.. อย่าถามว่าทำไมผมถึงไม่ฆ่าตัวตายให้รู้แล้วรู้รอดเพราะที่นี่สามารถรักษามันให้หายในพริบตา ราวกับเหมือนมีเวทย์มนต์เลยทีเดียว

     

     

    ผมรู้ดีเพราะผมเคยลองมาแล้วเกือบทุกรูปแบบ

                ไม่ว่าจะเป็นทำร้ายตัวเอง อดข้าว หรือแม้กระทั่งพยายามแขวนคอ

     

     

                สุดท้ายมันก็ลงเอยที่ผู้คุมเข้ามาช่วยและส่งผมไปยังส่วนของการรักษาพยาบาลของที่นี่และกลับมาที่นี่อีกครั้ง พร้อมกับการโดนเขม่นมากกว่าเดิม

               

     

                เขาพูดกันว่าผมเป็นคนที่จำอะไรได้ดีกว่าคนอื่น แต่แน่นอนว่าเมื่อคนเราได้พลังอะไรมาซักอย่าง...เราก็ต้องแลกมาด้วยบางอย่างเช่นกัน

                และผมแลกความสามารถโง่ๆนี้มาด้วยอาการที่เรียกว่า โรคอัลไซเมอร์

     

     

    บางที...หลายๆคนอาจจะคิดว่าความทรงจำของผมมันรีเซ็ตภายใน7วัน แต่จริงๆแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น... ความทรงจำผมจะชัดเจนทุกรายละเอียดอยู่ประมาณ7วัน หลังจากนั้นมันก็จะกลายเป็นภาพที่เลือนรางลงเรื่อยๆจนส่วนมากจะหายไป

     

                แต่เรื่องบางอย่างที่ถูกกระตุ้นความทรงจำทุกๆวันจะหายไปช้าลง หรือบางเรื่องก็สามารถจำได้เอง อย่างเช่น...ใครเป็นใคร ที่ไหนเป็นที่ไหน

    ผมหมายถึงว่าหากมันเป็นเรื่องเล็กๆเช่นเมื่อสัปดาห์ก่อนผมได้คุยกับคนคนนี้รึเปล่า หรือคุยกับคนนั้นเรื่องอะไรผมจะลืมมันไปอย่างสิ้นเชิง...

     

     

     

    แต่อะไรก็ตามที่มันเป็นแผลฝังลึกลงในใจของผมมันจะไม่มีวันหายไป...

     

     

     

     

    นั่นเป็นความสามารถของผม...

    ความสามารถที่ไม่ได้เลือกอยากจะมี ความพิเศษที่ไม่ได้คิดอยากจะเป็น..

     

     

     

    ....สิ่งโง่ๆที่ทำให้ผมเข้ามาติดอยู่ที่นี่

     

     

     

    ผมจำไม่ได้แน่ชัดว่ามันผ่านมานานเท่าไหร่นับตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาขึ้นมาในห้องขังสีเทานี่ ผมไม่เคยนับวันเวลาเท่าไหร่ แต่ถ้าให้เดามันคงกินเวลาเป็นสิบๆปีแล้ว

    นานพอให้ทุกอย่างๆเปลี่ยนไป แม้กระทั่งตัวผมเอง

    นานพอที่จะทำให้ผมลืมเรื่องทุกอย่างที่อยูข้างนอก.. ลืมแม้กระทั่งว่าตัวเองเคยเป็นใคร..

    ...จำได้แค่ความอบอุ่นของแสงแดด ท้องฟ้าที่คราม และเสียงหัวเราะจอแจของผู้คนที่พบเจอได้แต่ในความฝันเท่านั้น

     

     

     

                ผมค่อยๆหลับตาลงช้าๆเพราะเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆจากการกินยาเข้าไปเมื่อครู่

    ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราในที่สุด...

    .

     

     

     

     

    “น..ฮ.. คิม...คิม ฮันบิน...!

    เสียงที่ขาดๆหายๆทำให้ผมรู้สึกตัว ก่อนจะพยายามหรี่ตาขึ้นอย่างยากลำบาก...

    “อื้อ...”

    “คิม ฮันบิน!!

     

     

    เสียงที่ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมๆกับสัมผัสที่ชาขึ้นมาที่หน้าทำให้ผมสะดุ้งขึ้นมาอย่างหวาดกลัวและตะเกียกตะกายไปหลบอยู่ที่มุมเตียงอย่างจนมุม

     

     

    ใช้เวลาเพียงเล็กน้อยเขาก็รู้ว่าตัวเองโดนน้ำสาดเข้าฉาดใหญ่

     

     

     

    คงเพราะยานอนหลับอย่างแรงขวดนั้น...ที่ทำให้ผมมองอะไรเป็นภาพเบลอๆไปหมด

    ถึงจะมองอะไรไม่เห็นแต่ผมได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของอีกฝ่าย... มันชัดเจนว่าคนที่กำลังตะโกนใส่เขาอยู่คือซงยุนฮยอง หนึ่งในผู้คุม floor 4 ที่ถูกขังอยู่

     

     

    ชีวิตใต้ดินแบบนี้สอนให้เขาเปิดประสาทออกมาทุกส่วน เพราะทุกวินาทีนั่นหมายถึงความเจ็บปวดที่จะเพิ่มขึ้นได้ทุกขณะ ในสถานที่แบบนี้ สัญชาตญาณเป็นสิ่งสำคัญ... พอๆกับการใช้สมองเพื่อหาทางออกที่เจ็บปวดน้อยที่สุดสำหรับตัวเอง

     

     

    เจ็บปวดน้อยที่สุดน่ะนะ เพราะยังไงไม่มีทางที่จะหนีพ้นไปได้หรอก..

    ผมหดขาเข้ามาหาตัวเองเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

    พร้อมกับความเจ็บปวดจากการถูกบีบข้างแก้มอย่างแรงที่จู่โจมในเวลาต่อมา

     

     

     

    “อย่าทำให้ฉันโมโห รีบลุกขึ้น คนอื่นเขาไปกันหมดแล้ว ชักช้าอยู่ได้”ยุนฮยองพูดก่อนจะสะบัดหน้าผมไปทาง...

     

                ซง ยุนฮยองนับเป็นผู้คุมคนนึงของที่นี่ที่ยังพอจะนิสัยดีอยู่บ้าง... เขาก็แค่ตวาดคนไปเรื่อยให้ดูน่าเกรงขาม..ดูเป็นคนใจร้ายแต่ก็ไม่ได้โรคจิตชอบใช้ความรุนแรงอะไรมากมายนัก ที่เขาทำแบบนั้นก็เพื่อแสดงอำนาจในผู้คุมคนอื่นๆเกรงกลัวในฐานะผู้คุมเบอร์สองของfloor เท่านั้นเอง

     

                ที่นี่ ใครยิ่งเบอร์สูงอำนาจยิ่งมาก ใหญ่ที่สุดคือเบอร์หนึ่งที่ถือเป็นหัวหน้า และ ยิ่ง floor ที่สูงมาก ผู้คุมจะยิ่งนิสัยดีขึ้น มันจริงรึเปล่าไม่รู้แต่เขาว่าอย่างน้อย floor 4 ก็ดีกว่า floor 8 จริงๆนั่นแหละ

     

    ผมเคยอยู่ที่ floor 8 มาก่อน ที่นั่นเป็นนรกยิ่งกว่านี้ซะอีก... พวกผู้คุมซ้อมนักโทษไม่เว้นแต่ละวัน บางคนก็บาดเจ็บ บางคนก็ตาย

     

    ยิ่งถ้ามีใครเป็นผู้หญิงมา นั่นจะยิ่งน่าสงสารเข้าไปใหญ่..

     

                ...เพราะยังไงพวกเขาก็คงไม่พ้นจะต้องตกเป็นเหยื่อระบายอารมณ์ของพวกผู้คุมตัวโตพวกนี้แน่ๆ

     

                หรือแม้กระทั่งผู้ชายตัวเล็กๆก็ยังโดนกันไปบ้างเป็นบางราย.. นั่นทำให้เขารู้สึกว่าท่ามกลางความโหดร้ายที่เขาต้องเจอ เขายังโชคดีอยู่บ้าง..ถึงแม้เขาจะตัวเล็กกว่าคนอื่นๆอยู่นิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ตัวเล็กหรือสวยขนาดไปต้องตาต้องใจใคร

     

     

                ผมค่อยๆพยุงตัวเองลุกขึ้นเมื่อภาพตรงหน้ากลับมาเป็นปกติ

                ประตูลูกกรงถูกเปิดทิ้งเอาไว้...

                นั่นหมายความว่า...วันนี้จะเป็นอีกวันที่เขาได้อาบน้ำ... ในรอบสัปดาห์

     

     

                นักโทษ..หรือที่พวกนั้นเรียกพวกเราว่าผู้ป่วย ไม่ได้มีโอกาสอาบน้ำบ่อยๆหรอก คนที่นี่แออัดเกินไป ต้องแบ่งให้แต่ละ floor อาบคนละวัน... กว่าจะวนครบรอบทั้ง 10 ชั้น ก็กินเวลาเข้าไปสัปดาห์กว่าๆแล้ว

     

     

     

                ผมก้าวเท้าช้าๆออกไปตามทางเดิน ...ผ่านห้องขังมากมายที่ตอนนี้ว่างเปล่า

                ตอนนี้ทุกคนคงไปรวมกันที่โรงอาบน้ำหมดแล้ว

     

     

                ผมรีบตรงไปตามทางว่างๆที่มีผู้คุมนั่งอยู่ประปราย บ้างก็หันมามองผอย่างขับผิด แต่บางคนก็ไม่สนใจและนั่งคุยกันต่อไป

     

     

                ถึงมันจะดูมีช่องโหว่มากมายแต่ผมเลิกคิดที่จะหนีไปตั้งแต่ 2 ปีแรกที่มาอยู่แล้ว... ที่นี่...มีทางขึ้นไปข้างบนแค่ทางเดียวนั่นคือลิฟต์ที่พอขึ้นไปก็จะไปโพล่ที่ห้องพักผู้คุมนับร้อย ขึ้นไปยังไงก็ไม่รอดอยู่ดี

                ส่วนบันไดฉุกเฉินก็ถูกปิดอย่างแน่นหนา แบบที่เขาคิดว่าคงต้องสั่งเปิดประตูจากที่ไหนซักแห่ง

     

     

                ผมหยุดลงที่หน้าห้องที่เขียนไปว่าโรงอาบน้ำ...ก่อนจะเดินเข้าไป

     

                ห้องโล่งๆปูด้วยกระเบื้องสีผ้าอ่อนๆที่ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าฝักบัวสีเงินที่เรียงกันเป็นแถวๆ และนักโทษที่ยืนอาบน้ำกันอยู่...

     

                ผมค่อยๆปลดกระดุมเสื้อตัวเองช้าๆก่อนจะโยนมันลงไปในถังอันใหญ่ที่รวมเสื้อสีส้มเก่าๆของทุกคนไว้ทั้งหมด.. ก่อนจะตามด้วยกางเกงและชั้นใน

     

                ....ที่นี่ หากจะอาบน้ำ ก็ต้องกล้าที่จะเปลือยต่อหน้าทุกคน มันอาจจะฟังดูน่ารังเกียจหรือน่าอาย แต่เชื่อเถอะ ได้อาบน้ำก็ดีแค่ไหนแล้ว

     

                ถึงมันจะน่าอึดอัด.. และผมก็เกลียดการที่ทุกคนต้องมายืนเป็นบุฟเฟ่ต์อาหารสายตาให้พวกผู้คุมมายืนมองยืนเลือกว่าจะหิ้วใครไปนอนด้วยดีแบบนี้ แต่มันก็ช่วยไม่ได้ เชื่อผมเถอะว่าการทำเป็นหลับหูหลับตาอาบๆไปมันดีกว่าการทนกลิ่นเหม็นเน่าของตัวเองแถมยังต้องโดนผู้คุมซ้อมเพราะไม่ทำตามระเบียบอีก

     

     

                ผมเอื้อมมือไปหมุนก๊อกน้ำ ก่อนที่น้ำเย็นจะไหลลงมาบนตัวผม จนรู้สึกชานิดๆ แม้ที่นี่จะมีฮีตเตอร์ก็เถอะ

     

     

                พยายามจัดการร่างกายของตัวเองให้เร็วที่สุด

     

     

                “เฮ้ ฮันบินฮยอง ไม่ได้เจอกันนานนะ”เสียงจากคนข้างๆเรียกความสนจากผมได้ดี

     

     

     

    คนคนนี้....เขาชื่อ จองชานอู เด็กคนนี้อยู่ที่นี่มันตั้งแต่ 7 ขวบ...

    อยู่มาจนไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับที่นี่อีกแล้ว ถึงได้ทำตัวร่าเริงแบบนี้ ทั้งๆที่ก็เห็นรอยแผลที่พาดเป็นทางยาวที่หลัง ดูท่าทางน่าจะพึ่งเกิดไม่กี่วัน..


               และยังรอยเล็บที่ข่วนเป็นริ้วๆที่หลังคอลงมาถึงช่วงเอวนั้นอีก

               

                ผู้คุมขี้เมาซึงฮุนที่มาเฝ้าเวรหน้าห้องเขาทุกวันพฤหัสพูดอยู่ตลอดเวลาว่า จอง ชานอูเป็นเด็กของซงยุนฮยอง ดังนั้นเขาก็เดาได้ไม่ยากว่ารอยเล็บบนหลังนั่นเป็นฝีมือของใคร


                เช่นเดียวกับรอยแดงที่คอของผู้คุมยุนฮยองที่ปรากฎพ้นคอเสื้อให้เห็นบ่อยๆ

               

     

                “เฮ้”ผมตอบกลับไปคำเดียวโดยไม่ได้หันไปหาอีกคน

     

                “วันนี้ดูดีนะพี่ ไม่มีแผลหนิ”

     

                “โดนช็อตมา”ผมตอบกลับไปนิ่งๆ

     

                “โอ้ว นั่นผมเคยโดนเมื่อสี่เดือนก่อน มันไม่เบาเลยนะ ยิ่งหน้าหนาวแบบนี้ด้วย พี่โอเคไม๊”

     

                “จะโอเคมากถ้านายหุบปาก จอง ชานอู ฉันจะพูดกับนายอีกเป็นครั้งที่ 23 ว่า นายไม่จำเป็นต้องมาทำตัวสนิทกับฉันก็ได้ มันทำให้ฉันโดนผู้คุมซงเพ่งเล็งมากกว่าเดิม

     

                “พี่ยุนฮยองรู้น่าว่าผมน่ะแค่ชอบคุยกับคนอื่นๆไปเรื่อย” เขายักไหล่อย่างไม่สนใจ

     

                “และบางทีนายก็ควรจะรู้ด้วยว่าตอนนี้ผู้คุมซงมองนายจนจะกินนายเข้าไปได้ทั้งตัวแล้ว” ผมพูดก่อนจะเอื้อมมือไปปิดฝักบัวและเดินไปอีกทาง

     

                เดินไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อ คว้าเอาเสื้อนักโทษสีส้มเข้มที่ออกตุ่นๆไปซะเกือบหมดจากอายุการใช้งานที่ยาวนาน

                ผมรีบใส่กางเกงหลวมๆนั่นอย่างเร็ว แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้สวมเสื้อลงไป สัมผัสแปลกปลอมที่แนบเข้าเข้าตัวก็ทำให้ผมสะดุ้งจนเผลอร้องออกมาอย่างตกใจ...

     

                มือของผุ้คุมไม่คุ้นหน้าที่จับสะโพกผมอยู่ทำให้รู้สึกขนลุกไปทั่วร่าง

                ...ไม่...!

                “นายชื่ออะไร Jเขาถามผมด้วยน้ำเสียงที่แผงความนัยบางอย่างอย่างชัดเจน

     

                นั่นมัน...

                น่าขยะแยงที่สุด

     

     

                “ฮ..ฮันบิน” ผมตอบออกไปก่อนจะเลื่อนตัวออกจากเขาช้าๆและพยายามมองไปทางอื่น

                “ชื่อเพราะนะ ห้องขังเบอร์อะไร”  คำถามนี้ไม่ใช่คำถามทั่วไปที่ถามกันในหมู่นักโทษกับผู้คุม... ผมรู้ดี

                ทันทีที่คำถามนี้หลุดออกมาจากปากของผู้คุม นั่นหมายถึง เขากำลังถูกใจนักโทษคนนั้นอยู่ ...

     

     

                นักโทษบางคนมองว่ามันเป็นเรื่องที่ดี อย่างน้อยผู้คุมคนอื่นๆก็จะเกรงใจเพื่อนร่วมงานกันอยู่บ้าง ยิ่งถ้าเป็นคนโปรดของคนที่เป็นผู้คุมเบอร์ใหญ่ๆก็อาจจะสบายไปเลยถ้าไม่นับการทดลองที่ขึ้นอยู่กับการระบุตัวมาจากฝั่งหมอ

                เหมือนกับชานอูนั่นแหละ ถ้านับในหมู่นักโทษด้วยกันเอง หมอนั่นก็เป็นที่เกรงกลัวของใครหลายๆคนที่สุดแล้ว เพราะอำนาจของผู้คุมซงที่ใหญ่เป็นอันดับสองของFloor

     

                แต่สำหรับผม... มันตรงกันข้าม

                ผมกลัว....

               

                กลัวจนมือเริ่มสั่น และขาเริ่มหมดเรี่ยวแรง

     

     

                “ฮงซอก มึงอย่าไปยุ่งกะเด็กนี่เลย”เสียงของใครบางคนดังขึ้นเหมือนระฆังช่วยชีวิตผมไว้

     

                “ทำไมวะ” คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆผมพูดขึ้นก่อนจะผละออกจากตัวผมและหันไปมองต้นเสียง

     

                “เด็กคุณจีวอนเขา ถ้ามึงทำของเขาช้ำ เดี๋ยวจะซวยกันหมด เนี้ยเอกสารพึ่งมาเมื่อเช้าเลย”

     

                “ไอ้เหี้ย แล้วมึงไม่บอกกูก่อน” ฮงซอกพูดอย่างหัวเสียก่อนจะหันมามองที่ผมตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกรอบ “มึงก็อย่าไปฟ้องใครแล้วกัน ไม่งั้นเจ็บตัวแน่” เขาขู่ผม

     

                ...ใครคือ คุณจีวอน?

               

     

     

                ผมหันไปมองป้ายชื่อที่ติดอยู่บนเสื้อผู้คุมของคนที่ช่วยผมไว้ก่อนจะท่องให้ขึ้นใจ...

                ซง มิโน.......

              ซง มิโน...

              ซง มิโน

     

     

                ถึงแม้จะรู้ว่าอีกแค่7วัน.. ผมก็จะลืมมันก็ตาม

               

     



     

    -60%-



     

    Junhoe’s Side

     

     

     

     

    ผมกำลังคิดว่าตัวเองคิดผิดรึเปล่าที่มาที่นี้?

    บางทีถ้าผมแค่สั่งให้คนรถกลับรถออกไปจากทีนี่คงจะทำให้ผมหานใจได้ทั่วท้องมากกว่านี้

     

     

     

    บรรยากาศนอกรถนั่นทำให้ผมหายใจได้ไม่ทั่วท้อง ผู้คุมมากมายที่ยินเรียงรายกันอยู่ห่างออกไปแล้วทำท่าเคารพผมทำให้รู้สึกแย่อย่างประหลาด

    ทั้งๆที่ปกติผมชอบจะตายเวลามีใครมาแสดงความนับถือ... มันเป็นสิ่งบ่งบอกได้ว่าผมกำลังประสบควาสำเร็จ

     

     

    ภาพของโรงพยาบาลแห่งนั้นกำลังเคื่อนเข้ามาใกล้ผมทุกที...

    แต่สุดท้ายก็ได้แต่นั่งอย่างเงียบงันอยู่อย่างนี้...

     

     

    และในเวลาไม่นานรถของผมก็หยุดลงที่หน้าทางเข้าของที่แห่งนี้...

    ป้ายที่ติดอยู่หน้าประตูบานใส...โรงพยาบาลลลอว์ไลท์

     

     

    ผมชื่อกู จุนฮเว

     

    จบจากหาลัยด้านการบริหารอันดับต้นๆของโลกด้วยเกียรตินิยมอันดับ1 ทั้งปริญญาตรีและโท

    หลังจากนั่งหัวโต๊ะในฐานะประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ของเกาหลีที่ก่อตั้งโดยตัวผมเอง จู่ๆกลับโดนครอบครัวบังคับให้ขายหุ้นทิ้งครึ่งนึงและลาออกจากตำแหน่ง

    ....ลาออกมาเพื่อมาทำงานเป็นหนึ่งในคณะบริหารของไอ้โรงพยาบาลงี่เง่าแห่งนี้...

     

     

    โรงพยาบาลนี้เป็นโรงพยาบาลที่พ่อของผมเป็นหนึ่งในผู้บริหารระดับต้นๆ และได้ส่งต่อตำแหน่งนั้นให้ผมเมื่อวานสดๆร้อนๆ

     
     

    ...พ่อของผมป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะที่4 จากการสูบบุหรี่มานานเกินกว่าจะนับจำนวนปีด้วยนิ้วมือทั้งสองข้างบวกกับนิ้วเท้าทั้งหมด ต้องไปรักษาตัวยาวๆ
                 ใครๆก็บอกว่ามันเป็นเรื่องแปลกที่พ่อของผมทั้งๆที่เป็นหนึ่งในผู้บริหารระดับสูงของโรงพยาบาลที่ชื่อเสียงแท้ๆ แต่กลับปล่อยให้ตัวเองเป็นมะเร็งระยะเกือบสุดท้าย





    แต่ก็นั่นแหละคนเรามันก็ต้องมีเจ็บ มีตาย เป็นเรื่องธรรมดา

     
     

     

    พ่อผมโลภเกินกว่าที่จะปล่อยให้ตำแหน่งแทนที่ด้วยคนอื่นที่ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของตน... หรือโลภเกินกว่าจะปล่อยให้ขุมทรัพย์ตกไปเป็นของคนอื่น

    ผมเลยต้องมาที่นี่....อีกครั้ง

    ผมจัดเสื้อสูทตัวเองเล็กน้อยก่อนจะก้าวลงจากรถพร้อมกับมองไปรอบๆ

    ที่นี่ไม่ต่างจากตอนที่ผมมาครั้งแรกและล่าสุดก่อนไปเรียนต่อที่อังกฤษมากนัก ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่พ่อของผมยอมพาผมเข้ามาที่นี่ ที่ทำงานของพ่อที่ใครๆก็ต่างชื่นชมว่าเป็นโรงพยาบาลที่ทำการวิจัยยาที่สร้างประโยชน์ให้แก่วงการแพทย์มหาศาล รวมถึงนำรายได้มาให้ประเทศเกาหลีมาอย่างยาวนาน

     

     

    ไม่น่าเชื่อว่าผมเคยใฝ่ฝันอยากจะเข้ามาทำงานที่นี่มาก่อน

    มันเป็นช่วงเวลาในความฝันของเด็กคนนึงที่ยังเชื่อข่าวที่อยู่ในโทรทัศน์ว่ายาที่ผลิตมาจากที่นี่ช่วยคนจำนวนมหาศาลเอาไว้

     

     

    จนกระทั่งวันที่ผมได้รู้ว่าความจริงที่นี่มันไม่ต่างอะไรจากนรกบนดินเลยซักนิด

    ผมเคยให้สัญญากับตัวเองว่าจะไม่มาที่นี่อีกเป็นครั้งที่สอง....แต่สุดท้ายผมก็หนีมันไม่พ้นอยู่ดี ก็นะ มันเป็นโรงพยาบาลของพ่อผมนี่น่า...

    แถมสัญญาไว้แล้วด้วย จะให้หันหลังกลับไปตอนนี้ก็คงไม่ไช่เรื่องแล้วล่ะ

     

     

    ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะหันไปหาเจ้าหน้าที่สาวคนนึงที่ยืนรอรับผมอยู่

    “ฉันต้องทำอะไรก่อน?”ผมเอ่ยนิ่งๆ

    “ตามดิฉันมาเลยค่ะ” เธอคนนั้นก่อนก่อนจะเดินนำผ่านประตูอัตโนมัติเข้าๆไปภายในโรงพยาบาล

     

     

     

    จริงๆที่นี้เป็นกึ่งโรงพยาบาลกึ่งศูนย์วิจัยมากกว่า ที่นี่ไม่รับคนไข้นอก ไม่ใช่ว่าใครๆจะเข้ามาที่นี่ได้ง่ายๆ...  เขารักษาเฉพาะคนที่เขาต้องการรักษาเท่านั้น แต่ผลงานส่วนมากจะเป็นการวิจัยต่างๆมากกว่า

     

     

    FOR NATIONALITY & HUMANITY, เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและมนุษยชาติ

    ...หน้าปกของหนังสือแนะนำที่นี่บอกผมไว้อย่างนั้น

     

     

    ผมเดินผ่านส่วนต้อนรับของโรงพยาบาลไปอย่างรวดเร็วก่อนที่เจ้าหน้าที่จะพาผมลงไปในส่วนที่เป็นส่วนที่ใช้ทำการวิจัยของโรงพยาบาล...

     

     

    ถึงแม้ด้านบนจะดูเป็นศูนย์วิจัยอันยิ่งใหญ่ ลอว์ไลท์ซ่อนบทบาทแท้จริงของตัวเองไว้ใต้ดิน โดยที่มีเพียงแค่คนที่ทำงานในนี้ทั้นที่รับรู้ถึงความน่ากลัวของมัน

     

     

    เจ้าหน้าที่สาวคนนั้นหยุดลงตรงหน้าประตูที่ต้องใช้บัตรผ่านก่อนจะหันมายื่นบัตรใบนึงให้ผม

    นี่เป็นบัตร VIP ค่ะ บัตรใบนี้จะใช้ในการผ่านประตูต่างๆในโรงพยาบาลรวมถึงใช้ในการเข้าถึงข้อมูลต่างๆเท่าที่มันจะเข้าถึงได้”


    เท่าที่มันจะเข้าถึงได้? แสดงว่ายังมีส่วนที่ผมเข้าถึงไม่ได้อีกสินะ...?


    แต่เอาเถอะ ผมไม่แคร์หรอก ผมวางแผนไว้แล้วว่าเมื่อไหร่ที่พ่อผมหาย ผมจะรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

     

     

    ผมใช้บัตรนั่นทาบลงบนที่สแกนโค้ดก่อนที่ประตูจะถูกเปิดออกในเวลาต่อมา

    เจ้าหน้าที่คนนั้นเดินเข้าไปก่อนก่อนที่ผมจะเดินตามไปติดๆ

     

     

    ทางเดินที่ไม่กว้างมากไปกว่าที่จำเป็น...สองข้างทางของผมเต็มไปด้วยห้องทดลองที่เป็นกระจกกันกระสุนเผยให้เห็นสิ่งโหดร้ายที่อยู่ภายในห้องเหล่านั้น

     

     

    การทดลองที่น่าขยะแขยงของโรงพยาบาลเน่าเฟะแห่งนี้.

     

     

     

     

    ....ช็อตไฟฟ้า ผ่าตัดทั้งที่ไม่ได้วางยาสลบ ฉีดยาที่ทำให้คลั่ง โดนอบทั้งเป็น หรือ อะไรหลายๆอย่างที่ผมเห็นและไม่อยากจะประมวลผลออกมา แค่อยากจะรีบเดินผ่านๆไอ้ทางเดินยาวๆนี่ไปให้จบๆ





    แต่สุดท้ายภาพเหล่านั้นก็ยังไหลเข้าในหัวผมอยู่ดี...

     

     

     

    ผมไม่เคยคิดว่าผมเป็นคนดี เอาจริงๆผมยอมรับว่าผมเป็นคนที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก โลกของเรานั้นมีทั้งด้านที่ดำและเป็นสีเทาหรือขาว ก่อนจะมาที่นี้ผมทั้งโกงธุรกิจ หักหลัง และทรยศเพื่อนร่วมงานมานับไม่ถ้วน ผมทำได้ทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของตัวเองและธุรกิจของผม ถ้าเทียบกัน ผมคงเป็นเทาเฉดที่เข้มที่สุดเท่าที่มันจะเข้มได้ด้วยซ้ำ แต่เมื่อผมมาที่นี่ผมกลับรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก

     

     

    พูดได้เต็มปากว่านี่มันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะปฎิบัติต่อกัน...

    อย่างน้อย... จิตใต้สำนึกผมก็บอกมาแบบนั้น

     

    ผมเดินตามทางไปเงียบๆโดยพยายามไม่พูดอะไรมากรวมถึงพยายามปิดกั้นข้อมูลเกี่ยวกับการทดลองที่เจ้าหน้าที่สาวคนนั้นพยายามจะอธิบายเป็นระยะๆ

    กลิ่นเหม็นคาวของเลือดและยาปฏิวีนะตีกันไปหมดจนทำให้ผมอยากจะขย้อนข้าวเช้าออกมา

     

    เจ้าหน้าที่สาวคนนั้นแนะนำโรงพยาบาลไปเรื่อยๆก่อนที่จะมาหยุดลงตรงหน้าประตูกระจกฝ้าที่มีลายสกรีนลงบนตัวบานว่าโซนพิเศษ และตามด้วยป้ายตัวใหญ่ๆว่า...

     





    ห้ามเข้าก่อนได้รับอนุญาต

     



     

    “...โซนนี้เป็นโซนพิเศษที่ใช้สำหรับการวิจัยที่เป็นโปรเจ็คใหญ่และต้องติดตามผลอย่างใกล้ชิด ภายในนี้จะมีแค่แพทย์แนวหน้าและพยาบาลที่มีฝีมือจริงๆเท่านั้นที่จะได้ผ่านเข้าไปทำงาน อุปกรณ์เครื่องมือทุกอย่างในนี้เป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่ทุกเท่าที่มีได้ เรียกได้ว่าเป็นหัวใจหลักของโรงพยาบาลเลยก็เป็นได้” ว่าแล้วเจ้าหน้าที่คนนั้นก็หลีกทางให้ผม เป็นสัญญาณให้ผมเดินเข้าไปใกล้ประตูนั้นมากขึ้นก่อนจะนำบัตรที่ได้ทาบลงกับที่สแกนเหมือนทุกครั้งที่ผ่านประตู

     

     

     

     

    ทันทีที่ประตูเปิดออก กลิ่นยาฆ่าเชื้อที่ฉุนกว่าภายนอกก็คละคลุ้งออกมาจากโซน

     

     

     

     

     

    ภายในนั้นมีเคาน์เตอร์สีขาวตรงกลางที่มีพยาบาลนั่งทำงานอยู่จำนวนหนึ่ง รอบๆโซนนั้นเป็นห้องต่างๆที่ใช้วิจัย ทดลอง การตกแต่งดูเรียบง่ายด้วยโทนสีขาวที่ดูสะอาดตา แต่ในขณะเดียวกันก็ดูน่ากลัวอย่างประหลาด

     

     

    ผมรู้ได้ว่ามีอะไรบางอย่างที่โหดร้ายอย่างน่ากลัวซุกซ่อนอยู่ในห้องสีขาวบริสุทธิ์นี้

     

     

     

    เจ้าหน้าที่สาวคนนั้นเดินนำผมไปหยุดอยู่หน้าห้องที่หนึ่งที่มีผู้ป่วยรายหนึ่งนอนอยู่

     

     

     

     

    ผมอ่านชื่อของเขาได้ว่า คิม จินฮวาน...

    ชื่อของคนไข้รายนี้ถูกพิมพ์ติดไว้ที่หน้าห้องเหมือนทุกๆห้องในโรงพยาบาลแห่งนี้ แต่น่าแปลกที่มันดูจะดึงดูดผมมากกว่าชื่อไหนๆ

     

     

    เธอคนนั้นเปิดประตูบานนี้ออกก่อนจะนำผมเข้าไปในห้องนั้นที่ถูกกั้นออกเป็นสองส่วนด้วยกระจกบานใหญ่

    ภายหลังกระจกบานใหญ่นั้นคือห้องสีขาวขนาดใหญ่และร่างของคนไข้คนนี้ถูกตรึงไว้กับเก้าอี้ทดลองที่มีอุปกรณ์มากมายที่ยื่นออกมาเหมือนแขนขายั้วเยี้ย...

     

     

    ราวกับปีศาจที่พร้อมจะปลิดชีพคนที่นั่งอยู่

     
     

    ข้างหน้าผมเต็มไปด้วยคนกลุ่มที่อยู่ในชุดแพทย์จำนวนหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่หน้าแผงควบคุมที่น่าจะเป็นของเจ้าเครื่องมือไฮเทคบนเก้าอี้พวกนั้น

     

     

     

    เครื่องมือพวกนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้แพทย์สามารถทดลองคนไข้ได้โดยแทบไม่ต้องแตะตัวด้วยซ้ำ

    เพราะคนไข้พวกนี้ทรงพลังเกินไป เกินว่าลิมิตที่มนุษย์จะเข้าใกล้ได้

     

     

     

     

    “...คนไข้คนนี้ชื่อคิมจินฮวานค่ะ เขาสามารถสะกดจิตและอ่านใจคนได้ในระยะ10เมตรรอบตัว และสามารถส่งกระแสจิตไปได้ไกลเป็นกิโลๆ เป็นคนไข้ระดับ A+ ของเราเลยทีเดียว”เจ้าหน้าที่หญิงคนนั้นอธิบายก่อนจะหันไปพูดบางอย่างกับแพทย์ หลังจากนั้นไม่นานร่างที่ติดอยู่กับเครื่องมือมากมายก็ถูกเคลื่อนเข้ามาใกล้กระจกมากขึ้นในระยะที่ปลอดภัยพร้อมๆกับที่เขาคนนั้นลืมตาขึ้นมา

     

     

    ลืมขึ้นมาอย่างพอดิบพอดีราวกับว่าถูกโปรแกรมเอาไว้..

    หรือจริงๆที่จะเป็นเพราะยาที่ถูกฉีดเข้าไปกระตุ้นก็ได้นะ

     

     

     

    แต่ทำให้ผมแปกใจคือ....คนคนนี้มีบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกสนใจอย่างประหลาด

     

    ...ทั้งดวงตาสีเทาเข้มนั่นที่เหมือนจะมองตรงมายังเขาทั้งๆที่กระจกบานนี้ถูกออกแบบมาให้คนจากฝั่งผมมองทะลุได้แต่คนข้างในจะมองเห็นเป็นผนังขาวๆเท่านั้น

     

    สีผมของเขาเป็นสีดำสนิทปนกับสีเงินอ่อนๆ ถึงแม้ใบหน้าของเขาจะดูโทรมเเละอิดโรยแต่ถ้าใครมาเห็นก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาหน้าตาดีทีเดียว ผิวขาวเนียน และปากสีชมพูนั่นทำให้ผมนึกถึงพวกดารานักเเสดงมากกว่านักโทษที่ถูกคุมขังแบบนี้

     

     

    น่าปกป้อง...น่าทะนุถนอม

     

     
     

     

    ‘H..EL…P M..M..E’เสียงบางอย่างดังขึ้นในหัวของผมคล้ายๆกับเสียงกระซิบที่ขาดหายไปบางส่วน เดาได้ไม่ยากหรอกว่ามันเป็นรูปแบบนึงของการส่งกระแสจิตของคนที่อยู่เบื้องหลังกระจกบานนั้น

     

     

    มันทำให้หัวใจของผมเต้นรัว...เหมือนกับตื่นเต้นที่จะได้พบคนคนนี้

    ทำไมกันนะ...?

               

     

    ชั่วความรู้สึกนึงผมรู้สึกเจ็บปวดที่จะต้องยอมรับความจริงที่ว่า... เขาคนนี้กำลังจะถูกทำอะไรบางอย่างที่พนันได้ว่ามันคงเจ็บเจียนตาย

    ยาใสอมสีม่วงอ่อนๆที่ไหลลงมาตามสายยางที่ถูกแขวนอยู่เหนือหัวคิมจินฮวานทำให้ลำคอของผมแห้งผากจนต้องกลืนน้ำลายตัวเองช้าๆ

     

     

    และในวินาทีที่ผมเห็นว่ายานั้นไหลลงไปสุดสายยางและเข้าไปในตัวของคนไข้ร่างบาง คิมจินฮวานก็กรีดร้องออกมาพร้อมๆกัน

     

     

    กรีดร้องแบบที่ผมไม่ได้ยินเสียงเพราะกระจกที่กั้นไว้ก็กั้นเสียงเอาไว้ด้วย

     

     

    ผมสังเกตเห็นเส้นเอ็นที่คอและข้อมือของของเขาที่ปูดขึ้นเพราะอาการเกร็งไปทั้งตัว

     

     

    มือที่สั่นระริกแต่กลับกำไว้แน่นจนเล็บแทยจะฝังเข้าไปในเนื้อ

     

     

    ก่อนจะตามด้วยอาการกระตุกที่เหมือนจะมาจากฤทธิ์ยามากกว่าการกระทำเพื่อระบายความเจ็บปวดเหมือนเมื่อครู่

     

     

     

    มันทำให้ผมคิดอยากที่จะตวาดทุกคนที่อยู่ในห้องนี่และสั่งให้หยุด แต่ก็ทำได้แค่ซ่อนมันไว้ใต้หน้ากากของผู้บริหารไร้หัวใจเท่านั้น

    สิ่งที่ควรทำ...กับสิ่งที่ถูกต้อง...สองสิ่งนี้กำลังสู้กันอยู่ในหัวผมจนเริ่มรู้สึกได้ถึงเหงื่อเย็นๆที่ขมับ

     

     

    “...เราไปดูห้องอื่นกันต่อเถอะค่ะ”เสียงของคนที่นำทางผมมาถึงที่นี่ดังขึ้นอีกครั้ง...เหมือนจะเรียกสติผมกลับมาและขณะเดียวกันก็พึ่งรู้ตัวว่า ผมเดินเข้ามาใกล้ เส้นสีแดงที่เข้าเขตอันตรายมามากแค่ไหน

               

     

     ผละสายตาจากคิมจินฮวานคนนั้นก่อนจะเดินตามเจ้าหน้าที่ไปตามเดิม

     

     

     

     

    ผมไม่มั่นใจนัก...ว่ามันเป็นเพราะการสะกดจิตของคนไข้ที่ชื่อจินฮวานรึเปล่า

    แต่มันแปลกตรงที่ผมไม่สามารถลืม’เขา’ได้เลย

    ผมไม่สามารถลบดวงตาคู่นั้นออกไปจากห้วงความคิดได้เลย

     

     

     

              แม้แต่ซักวินาทีเดียว

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                







     

     

     TALK

    เปิดมาก็ดาร์กเลย ถถถถ
    บ๊อบบี้ยังโพล่มาเเค่ชื่ออยู่เลย...
    ส่วนจุนจินก็...มาเเบบเบาๆ(?) ถถถถ เเต่ก็ยังคงความดาร์กไว้ได้อย่างต่อเนื่อง...
    เราลืมบอกทุกคนไปนิด คือจริงๆฟิคเรื่องนี้มันเป็นฟิคสั้นมาก่อนเเหละ...
    ดังนั้น ฟิตเรื่องนี้อาจจะไม่ได้ยาวอะไรมากนะทุกคน 555 #บวกความขี้เกียจของเราเข้าไปด้วยน่าจะสิบตอนจบ ถถถ
    ตอนนี้ยังไม่ค่อยมีสตอรี่มาก... ถือซะว่าเป็นตอนเกริ่นนำเเล้วกันนะทุกคน

    เนื้อหาช่วงเเรกๆจะหนักนิดนึง.... เเต่อีกซักพักจะซอฟต์ขึ้นค่ะ เราสัญญา!


    มีคนลุ้นให้บ๊่อบเป็นคุณหมอใจดีกันเยอะนะ.... เราจัดให้เเน่นอน บ๊อบบี้ใจดีอบอุ่นตามต้องการ #หัวเราะอย่างชั่วร้าย


    ปล. ชอบอิมเมจชานอูกะพี่ยุนมากมายยย ฮือออ #ตบหน้าตัวเองเรียกสติเเปป เราเเต่งสองคู่ก็จะกระอักเเล้ว ถถถ

    จะดีใจมากเมื่อมีคนเม้นเเละสกรีมฟิค #ฟิคลวงดบบ .____________.

     






     

    @SQWEEZ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×