คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่4
ตัวละครฝ่ายแคว่นเยว่
เยี่ยหรงจี ฮ่องเต้ หรือ กษัตริย์แห่งแคว้นเยว่
พระนางจ้าวหลินฟง ฮองเฮา หรือ พระราชินีแห่งแคว้นเยว่ หรือมเหสีเอกของฮ่องเต้
หยางเซียงเอ๋อ นางเอกของเรา เป็นลูกสาวของแม่ทัพใหญ่คนหนึ่งในแคว้นซึ่งบิดานำมาฝากไว้ให้เป็นนางพระกำนัลของฮองเฮาตั้งแต่อายุ12 จึงเป็นทั้งคนโปรดของฮองเฮาและของฮ่องเต้มาตั้งแต่เด็ก
หยางซือหม่า พ่อของหยางเซียงเอ๋อ ตายไปแล้ว ไม่ได้ปรากฏตัวในเรื่อง แต่เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดศึกของทั้งสองแคว้น(แคว้นเยว่กับแคว้นถัง)
สี่หย่งกวง ผู้บัญชาการทองทหารรักษาพระองค์ องครักษ์คนสนิทของฮ่องเต้
เสนาบดีหลี่ลี่เหวิน เสนาบดีผู้เฒ่าแห่งแคว้นเยว่ มือขวาของเยี่ยหรงจีในหารบริหารราชการแผ่นดิน
ตัวละครฝ่ายแคว้นถัง
ถังต้าเหลียง ฮ่องเต้หนุ่มผู้เอาแต่พระทัยตนเอง แต่รักเซียงเอ๋ออย่างยิ่ง
เฉินฟู่เส็ง ขันทีที่เป็นมหาดเล็กคนสนิท เป็นทั้งพระพี่เลี้ยงและต้นห้องของฮ่องเต้ถังต้าเหลียง ใครต่อใครพากันเรียกว่า “เฉินกงกง”
จริงๆ ฝ่ายแคว้นถังยังมีอีกหลายคนนะจ๊ะ แต่ตอนนี้ขอแนะนำแค่สองคนนี้ก่อนละกัน พวกที่ยังไม่ออกโรงก็ยังไม่ต้องพูดถึงดีกว่าเนอะ
--------------------------------------------------------------------------------- 4.
เชลยคนอื่นๆถูกนำตัวตรงเข้าที่คุมขังทันที ทั้งม้าและวัวควายต่างถูกแยกเข้าคอกทันทีเช่นกัน มีเพียงเชลยคนสำคัญเท่านั้นที่ต้องตรงเข้าไปยังวังหลวง
ขบวนทหารรักษาการหยุดอยู่ที่ลานหินกว้างหน้าท้องพระโรง เสนาบดีทั้งหลายยืนเรียงรายเป็นแถว องค์พระประมุขประทับนั่งเด่นอยู่บนพลับพลาที่ประทับซึ่งยกระดับสูงเด่น ตระเตรียมไว้เป็นอย่างดี
นักโทษสาวยืดร่างตรง สายตามองตรงจับจ้องไปที่เสื้อคลุมสีเหลืองสดปักลายมังกรตัวใหญ่ มิสบสายตากับใครทั้งสิ้น คางเชิดขึ้นเล็กน้อยอย่างทรนง
ถังต้าเหลียงเสด็จลงจากพลับพลาที่ประทับ ทรงพระดำเนินช้าๆตรงมาทางนักโทษอุกฉกรรจ์ จนเมื่อวรองค์สูงใหญ่หยุดอยู่ห่างจากร่างบางไม่ไกลนัก สายพระเนตรเห็นหน้าของผู้ที่ถูกพันธนาการได้ถนัด
พระเนตรเบิกกว้างตะลึงงัน ลมพระหทัยสะดุด
..เป็นไปได้อย่างไรกัน..ศัตรูที่พระองค์ทรงปรารถนาจะฆ่าให้ตาย ไฉนจึงกลับกลายมาเป็นสตรีที่พระองค์พยายามเท่าใดก็มิอาจปัดออกจากพระทัยได้ สตรีซึ่งซุกซ่อนอยู่ในส่วนลึกของพระทัยเสมอมา เป็นไปได้อย่างไรกัน..
หยางเซียงเอ๋อเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงลมหายใจเข้าอย่างแรง
และแล้วนางก็ต้องอ้าปาก ตาค้าง ตะลึงงัน งุนงงและตกใจอย่างคาดไม่ถึง
..คนที่ปรารถนาจะเห็นนางตาย คือคนๆเดียวกับที่นางไว้เนื้อเชื่อใจ จัดไว้ว่าเป็นมิตรแท้ขนาดตายแทนกันได้ นางผิดเองที่ไว้ใจคนผิด หลงให้ความสำคัญผิดๆกับมิตรภาพที่ไร้ความหมายมาโดยตลอด
พระทัยราวถูกบีบรัดอย่างแรงเมื่อเห็นความเสียใจและผิดหวังฉายชัดในดวงตาคู่งาม ดวงหน้านั้นดูหมอง อิดโรย ร่างกายผ่ายผอมลงไปถนัดตา เห็นแล้วอยากจะโอบรัดไว้แนบพระอุระยิ่งนัก
หากที่ทำได้คือ ซ่อนสายพระเนตรฉับพลัน มีรับสั่งดังก้อง
“เอาตัวนางออกมา”
แม้ตั้งใจไว้แน่วแน่แล้วว่าจะมิยอมน้อมคารวะคนตรงหน้า หากด้วยความที่คุกเข่ามาตลอดระยะทางอันยาวไกล เมื่อทหารปล่อยแขนทั้งสองข้าง เข่าของนางก็อ่อน ทรุดลงแทบเบื้องบาทแทบจะในทันที
ถังต้าเหลียงหักห้ามพระทัยมิให้ตรงเข้าประคองร่างนั้นอย่างยากยิ่ง
ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่งอยู่ชั่วขณะในความเงียบรอบตัว
แล้วจู่ๆร่างบางก็ลอยขึ้นจากพื้น ซัดฝ่ามือแรงกล้าเข้าจู่โจม
หัตถ์แข็งแกร่งโต้รับการรุกราน หลบหลีกอย่างคล่องแคล่ว ส่งสัญญาณมิให้องครักษ์คนไหนๆเข้ามายุ่ง พยายามที่จะไม่โต้กลับแต่อย่างใด ทว่า..ความพลาดพลั้งก็เกิดขึ้น ฝ่าพระหัตถ์กระแทกเข้ากับร่างแบบบางนั้นจนได้ แม้จะไม่แรงนักก็ยังผลให้นางลอยกระเด็น ล้มลงบนพื้นอย่างแรง
วรองค์สูงใหญ่พุ่งปราดเตรียมเข้าประคอง แต่แล้วกลับเปลี่ยนเป็นการจัดกุม ยึดแขนช้าๆทั้งสองข้างนั้นไขว้หลัง ตรัสด้วยสุรเสียงพอได้ยินกันแค่สองคน
“เป็นยังไงบ้างเซียงเอ๋อ ดูเจ้าแทบไม่มีแรงเลย”
“จะฆ่าข้าก็รีบทำซะ ไม่งั้นข้าจะลงมืออีก” องพักตร์คมเข้มส่ายเล็กน้อย ตรัสเสียงอ่อน
“เจ้ายังทำอะไรข้าตอนนี้ไม่ได้หรอก ยืนยังแทบไม่ไหวเลยด้วยซ้ำ ไปพักเสียหน่อยนะ เพิ่งเดินทางมาเหนื่อยๆ”
ว่าแล้วก็มีรับสั่งไปทางราชองครักษ์
“เอานางไปขังรวมไว้กับพวกผู้หญิง บอกพวกนางกำนัลรุ่นใหญ่ด้วยว่าให้ดูแลนางอย่างดี ส่งตัวขึ้นมาพร้อมกับหญิงสาวชาวเยว่อีกห้าสิบคนในคืนนี้..คนนี้ของข้า!”
“ฝ่าบาท...”
เสียงท้วงของเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเอ่ยขึ้น และจำต้องหยุดอยู่แค่นั้นเมื่อฮ่องเต้ทรงยกหัตถ์ขึ้นห้าม
“ข้าเป็นใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน แค่ผู้หญิงคนเดียวจะต้องขออนุญาตพวกท่านด้วยรึ”
“แต่ว่านางอันตราย นางคิดจะปลงพระชนม์นะพระเจ้าค่ะ”
“แล้วนางทำอะไรข้าได้รึเปล่าล่ะ? ไม่ต้องมาขวางข้า หากฮ่องเต้ของพวกท่านไร้สามารถขนาดปล่อยให้ผู้หญิงฆ่าตายบนเตียงได้ก็ปล่อยให้มันตายๆไปซะเถอะ หาคนใหม่มาเป็นแทนดีกว่า”
“ฝ่าบาท...”
“ไม่ต้องพูดมาก ข้าเลือกคนนี้ นอกนั้นอีกห้าสิบคนพวกท่านก็ไปแบ่งกันเองก็แล้วกัน”
ยามค่ำมาถึงช้ากว่าทุกคืนในความรู้สึกของถังต้าเหลียง งานเลี้ยงฉลองในชัยชนะและการสงบศึกเริ่มขึ้นด้วยดี เสนาบดี ข้าราชการ ข้าราชบริพาร และทหารชั้นสูงมาชุมนุมกันพร้อมหน้า สุราอาหารชั้นดีมีมาแจกจ่ายไม่อั้น ข้างกายชายทุกคนต่างมีสาวงามจากแคว้นเยว่มาคอยปรนนิบัติ ระบำรำฟ้อนต่างๆถูกสรรหามาให้ความเพลิดเพลิน
องค์พระประมุขประทับเด่นเป็นองค์ประธาน ข้างพระวรกายว่างเปล่า
“อาเส็ง หยางเซียงเอ๋อล่ะ”
“นางไม่ยอมมาพระเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ? นางไม่ยอมมา และพวกเจ้าก็เชื่อฟังนางอย่างนั้นหรือ ข้าสั่งให้นางมา เจ้าก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้นางมา เข้าใจรึเปล่า”
มหาดเล็กคนสนิทหมอบราบ
“นางไม่ยอมกินอะไร ไม่ยอมให้ใครทำแผล ราชองครักษ์เอกประจำพระองค์ประมือกับนางครบทุกคนแล้วพระเจ้าค่ะ ข้าพระองค์เองก็ถูกบีบมาเต็มๆ ไม่มีใครกล้าทำอะไรรุนแรง กลัวจะพลั้งมือทำร้ายนางเข้า ตอนนี้ให้นางกำนัลผู้ใหญ่สองคนกำลังช่วยเจรจาอยู่พระเจ้าค่ะ จะพานางมาถวายให้ได้ก่อนงานเลี้ยงเลิกแน่นอนพระเจ้าค่ะ”
ถังต้าเหลียงโน้มพักตร์รับ รู้สึกเห็นพระทัยข้าราชบริพารเหล่านั้นอยู่ครามครัน พระองค์จึงใช้เวลาในการรอไปกับน้ำจัณฑ์และชมระบำรำฟ้อนที่แสดงอยู่หน้าพระที่นั่ง
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่บุคคลที่ทรงอยากพบจึงปรากฏตัวขึ้น นางดูสวย อ่อนหวาน และดูเป็นผู้หญิงมากกว่าทุกครั้ง เครื่องแต่งกายของสตรีแคว้นถังทำให้ดูงามแปลกตากว่าทุกที หากไม่นับใบหน้าซึ่งหมองคล้ำอิโรยกับสีหน้าที่บึ้งจนถึงขึ้นถ^_^ทึง นางจัดเป็นสิ่งที่พระเจ้าเสกสรรมาได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด
นางพระกำนัลสูงอายุสองคนกึ่งลากกึ่งประคองจนส่งต่อร่างบางนั้นได้ถึงพระหัตถ์ คนหนึ่งรีบกลับออกไป ส่วนอีกคนทำใจกล้าทูลรายงาน
“ข้อมือข้อเท้าช้ำมาก หัวเข่าระบมจนน่ากลัว ร่างกายอ่อนล้าจนแทบไม่มีแรง ทรงพระกรุณาด้วยเพคะ เป็นกำพร้าเสียด้วย หม่อมฉันสงสารเหลือเกิน”
ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินโน้มพักตร์รับ
นางมักจะเป็นเช่นนี้เสมอ แผลงฤทธิ์ร้ายกาจแต่ใครๆก็รัก
ถังต้าเหลียงทรงหันพระพักตร์ไปทางสตรีข้างๆ ส่งสำรับอาหารให้
“กินสักหน่อยสิ รับรองว่ารสชาติดีกว่าของในคุก”
“ข้าไม่หิว”
“ไม่หิวก็ต้องกินเสียหน่อย วันนี้เจ้ายังไม่ได้กินอะไรเลย แถมยังเที่ยวไปบู้กับใครต่อใครตั้งหลายคน เดี๋ยวก็เป็นลมเป็นแล้งไปหรอก”
มือเล็กๆขาวซีดปรากฏรอยช้ำสีม่วงปนแดงคล้ำเด่นชัดค่อยๆเอื้อมไปหยิบสำรับตรงหน้า ความสั่นน้อยๆทำให้ทราบได้ว่าเจ้าตัวแทบจะไม่มีแรงแม้จะตักข้าวกิน
พระหทัยราวถูกเข็มนับพันเล่มทิ่มแทง แค่ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ หากทีสำรับแค่ชุดเดียว เด็กชายและเด้กหญิงจะแย่งกันกินเป็นที่สนุกสนาน จัดการหมดเกลี้ยงภายในพริบตา
ข้าวพร่องไม่ถึงครึ่งชามเมื่อนางวางตะเกียบลง
“กินน้อยจัง” เสียงบ่นเบาๆดังมาอย่างอาทร
หยางเซียงเอ๋อส่ายหน้าช้าๆก่อนตอบ “อดมื้อกินมื้อมาหลายวัน เพลียจัดจนกินอะไรไม่ลง”
“งั้นไปพักก่อนดีมั้ย ข้าให้อาเส็งจัดเตรียมที่หลับนอนไว้ให้เจ้าแล้ว”
“เฉินกงกงไม่เห็นบอก บอกแต่ให้มากินข้าว คิดว่าคืนนี้จะนอนข้างล่างนั่นเสียอีก”
“ตำหนักของแม่ข้าสบายกว่าในคุกเป็นไหนๆ ไปเถอะ เจ้าจะได้หลับสบาย”
“หลับสบายแล้วจะตายเมื่อไหร่ ถ้าเป็นพรุ่งนี้ก็ไม่ต้องลำบาก คืนเดียวข้านอนในคุกได้”
“ไม่มีทาง”
“ไม่มีทางอะไร”
คราวนี้พระสุรเสียงลดลงจนเป็นกระซิบ ถลึงพระเนตรใส่นาง
“ก็ไม่มีทางให้เจ้าตายน่ะซี่”
คนไม่มีแรงไม่ใส่ใจกับสายตาดุๆ ตอบอย่างไม่แยแส
“ขอเตือนไว้เลย ถ้าท่านไม่ฆ่าข้า ข้า จะ ฆ่า ท่าน”
“งั้นก็รีบไปนอน พรุ่งนี้จะได้มีแรงมาฆ่าข้า”
เพียงจบประโยค ฝ่ามืออุ่นจัดจนร้อนก็พุ่งตรงเข้าโจมตี ถังต้าเหลียงทรงเบี่ยงพระวรกายหลบ ใช้พระหัตถ์และพระพาหาเพียงแค่ป้องกันตัว ปล่อยให้นางเป็นฝ่ายรุกแต่เพียงผู้เดียว
ด้วยความที่เป็นคู่ซ้อมกันมานาน รู้ทิศทางกันดี และครั้งนี้นางอ่อนแรงกว่าทุกครั้ง ใช้เวลาเพียงไม่นานพระองค์ก็สามารถแก้ปัญหาได้
พระดรรชนีและพระมัชฌิมากดลงที่จุดสำคัญด้านหลังถึงสามจุด ยังผลให้ร่างบางหยุดการเคลื่อนไหวทั้งมวล ทุกส่วนในร่างกายแน่นิ่ง ยกเว้นนัยน์ตาซึ่งวาวโรจน์
ฝ่ายชายขึงตาตอบ พูดเสียงกระซิบรอดไรฟัน
“เจ้าพยายามจะบีบให้ข้าสั่งประหาร ไม่สำเร็จหรอก รู้ไว้ซะด้วย”
สตรีตรงหน้ามิใส่ใจกับคำพูดนั้น นางกำลังหลับตา ตั้งสมาธิ แน่นอนที่สุดนางกำลังเดินลมปราณเพื่อคลายจุดด้วยตนเอง
“โธ่โว้ย!”
สองนิ้วจากพระหัตถ์รีบกดลงตรงกลางลำตัวของหญิงสาวอีกครั้งเพื่อสกัดกั้นทางเดินลมปราณ พร้อมขู่เสียงเข้ม
“อย่าได้ลองดีอีกเป็นอันขาดเชียวนะเซียงเอ๋อ ไม่อย่างนั้นข้าจะทำให้เจ้าเดินลมปราณไม่ได้ไปอีกหลายวันเลยทีเดียว”
ว่าแล้วก็ทรงหันไปเรียกมหาดเล็กคู่พระทัย ไม่ใส่ใจกับสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อที่จ้องตรงมา
“เอาตัวนางไปที่ตำหนักใหญ่ วางนอนบนเตียงเลยนะ หานางกำนัลมาคอยดูแลสักคนสองคน ห้ามใครคลายจุดให้นางเด็ดขาด งานเลี้ยงเลิกเมื่อไหร่ข้าจะตามไป”
ร่างบางนอนอยู่บนเตียงอ่อนนุ่มแน่นิ่ง ไม่ไหวติง ลองใช้ความพยายามดูทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่เป็นผล
“เฉินกงกง ข้าเมื่อย นอนตัวแข็งอย่างนี้ ถึงอยากหลับก็หลับไม่ลงหรอก”
“อดทนอีกนิดเถอะแม่นาง เดี๋ยวฝ่าบาทเสด็จมาก็ทรงคลายจุดให้”
“ท่านก็ช่วยข้าสักนิดสิ คลายสักจุดก่อนก็ยังดี ข้าปวดขามากนะ คุกเข่ามาตั้งหลายวัน”
“ข้าก็อยากจะช่วย แต่สุดปัญญาข้าจริงๆ มีรับสั่งปรามเอาไว้ ขืนข้าขัดคำสั่ง ข้าก็ซวยน่ะสิ เห็นใจข้าบ้างเถอะนะ ข้ายังไม่อยากโดนไล่ให้ไปกวาดขี้ม้าในคอก”
“ใจร้ายทั้งนายทั้งบ่าว”
เฉินฟู่เส็งถอนหายใจ ทำเป็นไม่สนใจคำค่อนขอดนั้น เอื้อมมือไปหยิบผ้าห่มมาคลุมร่างให้อย่างเบามือ
“ข้าจะออกไปเฝ้าอยู่หน้าห้อง แม่นางอยู่คนเดียวเงียบๆ อาจจะรู้สึกง่วงขึ้นมาบ้าง อ่อนเพลียขนาดนี้คงหลับไม่ยาก”
ทว่า ยิ่งได้อยู่คนเดียวเงียบๆ ความคิดของนางยิ่งโลดแล่นไปไกล
“ข้าชื่อเซียงเอ๋อ เจ้าล่ะ?”
สาววัยรุ่นสิบหกเอ่ยทักหนุ่มน้อยวัยสิบเจ็ดอย่างสดใส
“ใครๆ เรียกข้าว่าอาเหลียง”
“เจ้ามาทำอะไรแถวนี้ล่ะอาเหลียง ปกติไม่ค่อยมีใครมาแถวนี้กันหรอก มันไกลจะพ้นชายแดนอยู่แล้ว แถมเสือก็ชุมงูก็ชุก เค้าว่ามันอันตราย”
“อ้าว... มันอันตรายแล้วเจ้ามาทำไม”
“ข้าอยู่แถวนี้ พี่ชายข้าส่งข้ามาอยู่ในสำนักของท่านอาจารย์หวัง ตอนมีเวลาว่างนิดๆ หน่อยๆ ไม่กี่ชั่วโมงข้าก็มักจะออกมาเดินเล่น ถ้ามีเวลาว่างเป็นวันถึงจะเข้าไปเที่ยวในหมู่บ้าน เจ้าล่ะ?”
“ข้าอยู่ฝั่งโน้น เขตแคว้นถังน่ะ อยากรู้ว่าทางนี้เป็นยังไงก็เลยเข้ามาเดินเที่ยว แต่รู้สึกว่าข้าคงหลงป่า”
คนเป็นเจ้าถิ่นหัวเราะเสียงดัง “ไม่หลงหรอก ข้าอยู่ทั้งคน อยากเที่ยวไหนขอให้บอก ข้าเนี่ยแหละมืออาชีพ”
จากนั้นเด็กสาวก็พาเด็กหนุ่มท่องทั่วป่า วิ่งเล่นกันเป็นที่สนุกสนาน มิตรภาพอันบริสุทธิ์ก่อตัวตั้งแต่วันแรก และแน่นแฟ้นขึ้นเรื่อยๆ ตามวันเวลาที่ผ่านไป
ตลอดสี่ห้าปีที่ผ่านมาทั้งสองเป็นทั้งเพื่อนกินเพื่อนเที่ยว ก่อวีรกรรมซุกซนร่วมกันนับครั้งไม่ถ้วน เป็นคู่ฝึกวรยุทธที่มีฝีมือทัดเทียม และเป็นเพื่อนแท้ซึ่งต่างฝ่ายต่างไว้ใจกันและกันเทียบเท่ากับไว้ใจตนเองเลยทีเดียว เคยร่วมเป็นร่วมตายกันมาหลายครั้งตั้งแต่เผชิญหน้ากับเสือตัวใหญ่กลางป่าไปจนถึงต่อสู้กับอันธพาลในหมู่บ้าน
เขาเป็นคนที่นางวางใจให้ระวังหลังให้ในการต่อสู้ทุกครั้ง แต่กลับกลายเป็นคนที่ปรารถนาความตายของนาง ถึงขนาดที่บีบเอาตัวนางมารับโทษที่แคว้นถังจนได้
ผิดยิ่งนักที่ไม่เคยเฉลียวใจเลย นางไปเป็นเพื่อนกับเขาเอง แล้วจะโทษใคร
กว่าถังต้าหลียงจะเสด็จเข้ามา ในใจของนางก็ตัดญาติขาดมิตรกับพระองค์ไปเรียบร้อยแล้ว
“ยังไม่หลับอีกหรือเซียงเอ๋อ ที่นอนนุ่มๆ ไม่ชวนให้เคลิ้มบ้างเลยรึไง”
“ข้าเมื่อย ปวดขา”
“ข้าจะคลายจุดให้ แต่สัญญาก่อนว่าเจ้าจะนอนหลับ ไม่ลุกขึ้นมาสู้กับข้าอีก”
“ไม่มีทาง”
องค์พระประมุขแคว้นถังส่ายพระพักตร์ ถอนพระปัสสาสะ
“เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าเป็นห่วงเจ้าขนาดไหน ตอนรู้ข่าวว่าสำนักของท่านหวังจงสินถูกทลายราบ ข้าด่าพวกมันตั้งแต่แม่ทัพไปจนถึงนายกอง ยังโล่งใจที่หาจนทั่วทั้งหมู่บ้านแล้วไม่เจอศพเจ้า เข้าใจว่าเจ้าคงหนีไปได้อย่างปลอดภัย”
“แต่คนอื่นๆไม่ปลอดภัย ทหารของท่านฆ่าประชาชนบริสุทธิ์ทั้งหมู่บ้านไม่เหลือสักคน จำเสี่ยวเอ้อคนที่ใจดีแอบแถมขนมหวานให้เราบ่อยๆได้มั้ย คนที่พิการมีขาเพียงข้างเดียวน่ะ ขนาดพิการอย่างนั้นยังถูกแทงจนพรุน”
“เจ้ารู้ได้ยังไง”
“ข้าย้อนกลับไปดู เป็นห่วงอาจารย์ แต่ปรากฏว่าไปไม่ทัน ทั้งอาจารย์ทั้งศิษย์พี่ทั้งสำนัก กระทั่งภารโรงยังไม่มีใครรอด เดินจนทั่วหมู่บ้าน พยายามคลำชีพจรทุกๆคนก็ยังไม่พบผู้รอดชีวิต แม้แต่เด็กเพิ่งหัดเดิน...”
ก้อนแข็งๆเลื่อนมาจุกอยู่ที่ลำคอ น้ำตาเริ่มรื้น เสียงเจรจาแผ่วลง
“เด็กตัวนิดเดียวยังถูกฟันคอขาด”
หัตถ์ใหญ่เอื่อมมาแตะไหล่บางอย่างปลอบโยน
“อย่ามาแตะต้องตัวข้า ข้อคิดว่าท่านเป็นเพื่อนมาโดยตลอด ข้าจัดท่านเป็นเพื่อนแท้ แล้วดูที่ท่านทำ!”
“แม้แต่นักพรตผู้ทรงศีลก็ไม่เว้น ถ้ำของท่านอาจารย์มู่เหยาถูกวางเพลิงแล้วปิดปากถ้ำ ตอนข้าพังก้อนหินเข้าไปได้ พบแต่ซากศพดำเป็นตอตะโกเกลื่อนถ้ำจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร เข้าใจว่าคงเป็นพวกชาวบ้านที่หลบหนีจากทหารหวังเอาท่านอาจารย์เป็นที่พึ่ง”
“ข้าไม่รู้ ไม่เคยรู้เรื่องถ้ำของท่านมู่เหยาเลย”
“จะไปรู้อะไรล่ะ ก็มัวแต่นำทัพแจ้นไปพังหมู่บ้านถัดไปอีก”
“ข้านำทัพเองจริง แต่ไม่ได้คุมกองกำลังทางนั้น ข้าคุมทัพใหญ่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ”
“จะบอกว่าท่านไม่ได้เป็นคนทำ ไม่เกี่ยวกับท่านอย่างนั้นหรือ”
“ก็ข้าไม่ได้เป็นคนทำจริงๆนี่ แต่ก็ไม่ปฏิเสธหรอกว่ามันอยู่ในความรับผิดชอบของข้า และข้าก้ได้พยายามแก้ไขแล้ว ข้าพยายามยุติสงครามโดยเร็วที่สุด”
“ยุติสงคราม? ท่านต้องการตัวข้าต่างหากท่านจะเอาข้ามาตัดหัวที่นี่”
“ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละ”
คราวนี้สุรเสียงเริ่มห้วน ใกล้ๆจะตะคอก
“ท่านฆ่าทั้งพ่อทั้งแม่ข้าแล้วยังมิพอใจ แค้นอะไรนักหนาถึงจะต้องตามล้างทั้งตระกูล ท่านจะดีใจขึ้นมั้ยถ้าข้าบอกว่าท่านปู่หัวใจวายตายทันทีที่เห็นศพพ่อแม่ข้า น่าประทับใจเหลือเกินแล้ว ฆ่าเพียงสองแต่ตายสาม”
“เซียงเอ๋อ ข้าชักโมโหแล้วนะ เจ้าโยนเรื่องร้ายๆทุกอย่างใส่หน้าข้าไม่ยั้ง ข้ากุมบังเ^_^ยนศึกครั้งนี้จริง แต่ข้าไม่มีปัญญาไปเฝ้าทหารทุกคนให้ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษได้หรอก”
“พ่อข้าตายอย่างไร”
“อะไรนะ!?”
“ข้าถามว่าพ่อข้าตายอย่างไร ทำไมท่านปู่ถึงหัวใจวายเมื่อเห็นศพ ทำไมข้าถึงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้ศพ”
ดวงเนตรคมหลุบต่ำ ไม่ยอมสบตานาง มีดำรัสตอบเสียงเบา
“คอขาด แขนขาด ขาขาด ลำตัวขาดเป็นสองท่อน”
“โอ..โอ..” น้ำตาไหลลงมาราวทำนบทลาย สะอื้นไห้ตัวโยน มิน่าเยี่ยหรงจีจึงทรงห้ามเด็ดขาด ทรงพยายามทุกวิถีทางที่จะปกป้องนางจากความรู้สึกเจ็บปวดเช่นในขณะนี้
“ถังต้าเหลียง ข้าจะฆ่าท่าน ข้า จะ ฆ่า ท่าน!”
หยางเซียงเอ๋อตะโกนสุดเสียง หลับตาแน่น ก่อนจะกัดริมฝีปากจนเจ็บเพื่อกักเก็บเสียงสะอื้นซึ่งไม่เป็นผล
เสียงสะอื้นร้าวรานที่เล็ดลอดออกมาจากลำคอนั้นบีบรัดหัวใจของบุรุษข้างๆอย่างสุดประมาณได้ มือใหญ่ค่อยๆเอื้อมไปเช็ดน้ำตาให้ เรียกเสียงอ่อนโยน
“เซียงเอ๋อ...”
“ข้าเป็นคนพาท่านเที่ยวจนทั่วหมู่บ้าน พาท่านตระเวนหาทางลัดเข้าออกทุกตรอกซอกซอย สอนท่านใช้หน้าไม้แบบชาวเยว่ บอกท่านกระทั่งว่าพรมแดนของเรามีทางเข้ากี่ทาง และทางไหนตรงไปเมืองหลวงได้เร็วที่สุด เป็นข้าทั้งนั้นที่ชักศึกเข้าบ้าน โอ้ย..ข้าทุเรศตัวเองจริงๆ”
น้ำตายังคงไหลไม่หยุด แรงสะอื้นมิได้ลดลงเลย มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วยซ้ำ
“เซียงเอ๋อ...”
“แล้วจะรอช้าอยู่ทำไม หาทางเอาตัวลูกสาวของหยางซือหม่ามาถึงนี่แล้วทั้งที ก็ฆ่าซะเลยสิ จะตัดหัวก่อนหรือตัดขาก่อนก็เอาเลย”
“นั่นมันก่อนที่ข้าจะรู้ว่าลูกสาวของหยางซือหม่าคือเจ้า ข้าคิดว่านางคงมีชื่อเดียวกับเจ้าเท่านั้น อาจมีบ้างที่สตรีชาวเยว่จะมีชื่อซ้ำกัน เจ้าก็ไม่เคยบอกข้าเลยว่าเจ้าแซ่อะไร”
“ท่านก็เหมือนกันแหละ คบกันมากี่ปี ข้าเคยรู้บ้างมั้ยว่าท่านชื่อต้าเหลียง”
“ง้นเราก็หายกันนะ”
“ความรู้สึกของข้าไม่มีทางหาย เพื่อนที่ข้าไว้ใจที่สุดฆ่าพ่อข้าอย่างทารุณ รุกรานแผ่นดินเกิดของข้า ฆ่าชาวบ้านนับร้อยนับพัน”
“ข้าไม่ได้ฆ่าพ่อของเจ้า พ่อเจ้าถูกคนอื่นฆ่าตายแล้ว ข้า..ข้าแค่ให้หั่นศพเป็นชิ้นๆส่งไปขู่เยี่ยหรงจีเท่านั้น”
ให้ตายเถอะ ยิ่งคุยกันยิ่งจะแย่ลงทุกที ตอนนี้นางมองพระองค์อย่างอาฆาตทั้งๆที่น้ำตายังคงไหลไม่ขาดสาย
“ข้าขึ้นครองราชย์ตั้งแต่ห้าขวบ มีแม่ข้าเป็นผู้สำเร็จราชการร่วมกับท่านลุงและท่านราชครู แม่ดูแลเรื่องในวังทั้งหมดทั้งฝ่ายนอกฝ่ายใน ท่านลุงดูแลกองทัพ และท่านราชครูรับผิดชอบงานบริหารแผ่นดิน
ตอนแม่ข้าเริ่มป่วยหนักเมื่อปีกลาย พ่อเจ้าเริ่มเข้ามาติดต่อกับคนต่างๆในราชสำนัก พยายามพูดให้ใครๆเข้าใจว่าเยี่ยหรงจีจะฉวยโอกาสนี้เข้าโจมตีแคว้นถัง แรกๆข้าก็ไม่ค่อยอยากเชื่อ แต่ต่อมาท่านลุงถูกลวงไปฆ่า เจ้าคิดดู พี่ชายแท้ๆของแม่ เลี้ยงดูข้ามาแต่เล็กเปรียบเหมือนพ่ออีกคนเลยทีเดียวถูกทหารเยว่ฆ่าตาย ข้าโกรธจัดจนทำอะไรไม่ถูก ตั้งใจจะยกทัพบุกไปแคว้นเยว่ให้ได้
เสียท่านลุงซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ไป ยังมีลูกชายของท่านอีกตั้งห้าคนที่ล้วนแต่มีฝีมือล้ำเลิศและพร้อมที่จะร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับข้า พวกเราใช้พ่อเจ้าเป็นสายลับนำความภายในแคว้นเยว่มาแจ้งเป็นระยะ หยางซือหม่ารับไปเยอะ แต่ละข่าวข้าจ่ายให้คุ้มราคา
มารู้เมื่อยกทัพไปตีแล้ว ชาวเยว่ไม่ได้เตรียมการศึกใดๆไว้เลย ข้าถึงรู้ว่าถูกหลอก หลักฐานมาปรากฏภายหลังว่าผู้ที่ฆ่าท่านลุงก็คือพ่อของเจ้า ข้าแค้นแทบกระอัก สั่งตามล่าหยางซือหม่าทั่วแผ่นดิน แต่กลับพบแค่ศพ ข้าส่งศพพร้อมจดหมายไปถึงเยี่ยหรงจีเพื่อหยั่งดูท่าทีให้แน่ใจ และข้าก็แน่ใจจริงๆว่าเยี่ยหรงจีไม่ได้รู้เห็นอะไรเกี่ยวกับแผนการนี้เลย
ความปรารถนาต่อไปของข้าก็คือ เมื่อไม่ได้ฆ่าหยางซือหม่ากับมือ ข้าขอชำระความกับหยางเซียงเอ๋อ...”
“ดี! ลงมือเสียสิ”
“จะบ้ารึไง ตั้งแต่เห็นหน้าเจ้าข้าก็เก็บทุกอย่างลงกรุไปหมดแล้ว ข้าเสียลุงกับแม่ เจ้าเสียแม่กับพ่อ เท่ากัน”
“เท่ากัน? ข้าเสียปู่ เสียอาจารย์สองท่าน เสียเพื่อนทั้งหมู่บ้าน...”
“เซียงเอ๋อ...”
“ข้าเดินทางมาไกลหวังเพียงให้คนที่นี่อโหสิกรรมให้พ่อข้า จะชำระความกับข้าอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น จนเมื่อได้เห็นหน้าท่าน ข้ารู้สึกเหมือนถูกหลอก ถูกทรยศ ข้าไว้ใจคนผิดมาตลอด ทุเรศสิ้นดี ...ขอเตือนอีกครั้งนะ ถ้าไม่ฆ่าข้า ข้าจะฆ่าท่าน... ข้าแค้นจนจะกระอักเลือดอยู่แล้ว”
พระหัตถ์ปัดปอยผมออกจากใบหน้าของนางอย่างอ่อนโยน เช็ดน้ำตาบนแก้มให้อีกครั้ง
“เอามือของท่านออกไป ความห่วงใยของท่านทำให้ข้ารังเกียจ สัมผัสของท่านทำให้ข้าขยะแขยง”
น้ำเสียงเรียบๆ กับแววตาว่างเปล่านั้นทำให้ผู้ฟังเจ็บเสียยิ่งกว่ามีมีดมากรีดเฉือนกลางหัวใจ ตั้งแต่รู้จักกันมา มีแต่รอยยิ้มสดใส เสียงหัวเราะเริงร่า และสายตาที่เป็นมิตร ยามโมโหโกรธาก็มีแค่เสียงตวาดดังลั่น มิเคยเลยสักครั้งที่นางจะมีน้ำเสียงเย็นเยียบเช่นนี้
เจ็บ... ร้าวราน... สุดพระหทัย... จนแทบจะเกินทน
เจ็บ... เสียจนต้องดึงเอาโทสะมาเป็นเกราะกำบัง
พระนิสัยของถังต้าเหลียงแต่ครั้งทรงพระเยาว์มานั้น ผู้ใดทำให้ทรงเจ็บ... ผู้นั้น... จะต้องเจ็บกว่า...
และฤทธิ์ของน้ำจัณฑ์ที่ซึมเข้าสู่กระแสพระโลหิตตั้งแต่หัวค่ำ ทำให้ความอดทนของพระองค์ลดลงกว่าทุกที
สีพระพักตร์แห่งความอาทรหายวับในพริบตา หน้ากากแห่งโทสะเลื่อนเข้ามาแทนที่ พระเนตรเย็นชา ...ทว่าแฝงด้วยเปลวเพลิงร้อนแรง...
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
4.
เชลยคนอื่นๆถูกนำตัวตรงเข้าที่คุมขังทันที ทั้งม้าและวัวควายต่างถูกแยกเข้าคอกทันทีเช่นกัน มีเพียงเชลยคนสำคัญเท่านั้นที่ต้องตรงเข้าไปยังวังหลวง
ขบวนทหารรักษาการหยุดอยู่ที่ลานหินกว้างหน้าท้องพระโรง เสนาบดีทั้งหลายยืนเรียงรายเป็นแถว องค์พระประมุขประทับนั่งเด่นอยู่บนพลับพลาที่ประทับซึ่งยกระดับสูงเด่น ตระเตรียมไว้เป็นอย่างดี
นักโทษสาวยืดร่างตรง สายตามองตรงจับจ้องไปที่เสื้อคลุมสีเหลืองสดปักลายมังกรตัวใหญ่ มิสบสายตากับใครทั้งสิ้น คางเชิดขึ้นเล็กน้อยอย่างทรนง
ถังต้าเหลียงเสด็จลงจากพลับพลาที่ประทับ ทรงพระดำเนินช้าๆตรงมาทางนักโทษอุกฉกรรจ์ จนเมื่อวรองค์สูงใหญ่หยุดอยู่ห่างจากร่างบางไม่ไกลนัก สายพระเนตรเห็นหน้าของผู้ที่ถูกพันธนาการได้ถนัด
พระเนตรเบิกกว้างตะลึงงัน ลมพระหทัยสะดุด
..เป็นไปได้อย่างไรกัน..ศัตรูที่พระองค์ทรงปรารถนาจะฆ่าให้ตาย ไฉนจึงกลับกลายมาเป็นสตรีที่พระองค์พยายามเท่าใดก็มิอาจปัดออกจากพระทัยได้ สตรีซึ่งซุกซ่อนอยู่ในส่วนลึกของพระทัยเสมอมา เป็นไปได้อย่างไรกัน..
หยางเซียงเอ๋อเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงลมหายใจเข้าอย่างแรง
และแล้วนางก็ต้องอ้าปาก ตาค้าง ตะลึงงัน งุนงงและตกใจอย่างคาดไม่ถึง
..คนที่ปรารถนาจะเห็นนางตาย คือคนๆเดียวกับที่นางไว้เนื้อเชื่อใจ จัดไว้ว่าเป็นมิตรแท้ขนาดตายแทนกันได้ นางผิดเองที่ไว้ใจคนผิด หลงให้ความสำคัญผิดๆกับมิตรภาพที่ไร้ความหมายมาโดยตลอด
พระทัยราวถูกบีบรัดอย่างแรงเมื่อเห็นความเสียใจและผิดหวังฉายชัดในดวงตาคู่งาม ดวงหน้านั้นดูหมอง อิดโรย ร่างกายผ่ายผอมลงไปถนัดตา เห็นแล้วอยากจะโอบรัดไว้แนบพระอุระยิ่งนัก
หากที่ทำได้คือ ซ่อนสายพระเนตรฉับพลัน มีรับสั่งดังก้อง
“เอาตัวนางออกมา”
แม้ตั้งใจไว้แน่วแน่แล้วว่าจะมิยอมน้อมคารวะคนตรงหน้า หากด้วยความที่คุกเข่ามาตลอดระยะทางอันยาวไกล เมื่อทหารปล่อยแขนทั้งสองข้าง เข่าของนางก็อ่อน ทรุดลงแทบเบื้องบาทแทบจะในทันที
ถังต้าเหลียงหักห้ามพระทัยมิให้ตรงเข้าประคองร่างนั้นอย่างยากยิ่ง
ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่งอยู่ชั่วขณะในความเงียบรอบตัว
แล้วจู่ๆร่างบางก็ลอยขึ้นจากพื้น ซัดฝ่ามือแรงกล้าเข้าจู่โจม
หัตถ์แข็งแกร่งโต้รับการรุกราน หลบหลีกอย่างคล่องแคล่ว ส่งสัญญาณมิให้องครักษ์คนไหนๆเข้ามายุ่ง พยายามที่จะไม่โต้กลับแต่อย่างใด ทว่า..ความพลาดพลั้งก็เกิดขึ้น ฝ่าพระหัตถ์กระแทกเข้ากับร่างแบบบางนั้นจนได้ แม้จะไม่แรงนักก็ยังผลให้นางลอยกระเด็น ล้มลงบนพื้นอย่างแรง
วรองค์สูงใหญ่พุ่งปราดเตรียมเข้าประคอง แต่แล้วกลับเปลี่ยนเป็นการจัดกุม ยึดแขนช้าๆทั้งสองข้างนั้นไขว้หลัง ตรัสด้วยสุรเสียงพอได้ยินกันแค่สองคน
“เป็นยังไงบ้างเซียงเอ๋อ ดูเจ้าแทบไม่มีแรงเลย”
“จะฆ่าข้าก็รีบทำซะ ไม่งั้นข้าจะลงมืออีก” องพักตร์คมเข้มส่ายเล็กน้อย ตรัสเสียงอ่อน
“เจ้ายังทำอะไรข้าตอนนี้ไม่ได้หรอก ยืนยังแทบไม่ไหวเลยด้วยซ้ำ ไปพักเสียหน่อยนะ เพิ่งเดินทางมาเหนื่อยๆ”
ว่าแล้วก็มีรับสั่งไปทางราชองครักษ์
“เอานางไปขังรวมไว้กับพวกผู้หญิง บอกพวกนางกำนัลรุ่นใหญ่ด้วยว่าให้ดูแลนางอย่างดี ส่งตัวขึ้นมาพร้อมกับหญิงสาวชาวเยว่อีกห้าสิบคนในคืนนี้..คนนี้ของข้า!”
“ฝ่าบาท...”
เสียงท้วงของเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเอ่ยขึ้น และจำต้องหยุดอยู่แค่นั้นเมื่อฮ่องเต้ทรงยกหัตถ์ขึ้นห้าม
“ข้าเป็นใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน แค่ผู้หญิงคนเดียวจะต้องขออนุญาตพวกท่านด้วยรึ”
“แต่ว่านางอันตราย นางคิดจะปลงพระชนม์นะพระเจ้าค่ะ”
“แล้วนางทำอะไรข้าได้รึเปล่าล่ะ? ไม่ต้องมาขวางข้า หากฮ่องเต้ของพวกท่านไร้สามารถขนาดปล่อยให้ผู้หญิงฆ่าตายบนเตียงได้ก็ปล่อยให้มันตายๆไปซะเถอะ หาคนใหม่มาเป็นแทนดีกว่า”
“ฝ่าบาท...”
“ไม่ต้องพูดมาก ข้าเลือกคนนี้ นอกนั้นอีกห้าสิบคนพวกท่านก็ไปแบ่งกันเองก็แล้วกัน”
ยามค่ำมาถึงช้ากว่าทุกคืนในความรู้สึกของถังต้าเหลียง งานเลี้ยงฉลองในชัยชนะและการสงบศึกเริ่มขึ้นด้วยดี เสนาบดี ข้าราชการ ข้าราชบริพาร และทหารชั้นสูงมาชุมนุมกันพร้อมหน้า สุราอาหารชั้นดีมีมาแจกจ่ายไม่อั้น ข้างกายชายทุกคนต่างมีสาวงามจากแคว้นเยว่มาคอยปรนนิบัติ ระบำรำฟ้อนต่างๆถูกสรรหามาให้ความเพลิดเพลิน
องค์พระประมุขประทับเด่นเป็นองค์ประธาน ข้างพระวรกายว่างเปล่า
“อาเส็ง หยางเซียงเอ๋อล่ะ”
“นางไม่ยอมมาพระเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ? นางไม่ยอมมา และพวกเจ้าก็เชื่อฟังนางอย่างนั้นหรือ ข้าสั่งให้นางมา เจ้าก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้นางมา เข้าใจรึเปล่า”
มหาดเล็กคนสนิทหมอบราบ
“นางไม่ยอมกินอะไร ไม่ยอมให้ใครทำแผล ราชองครักษ์เอกประจำพระองค์ประมือกับนางครบทุกคนแล้วพระเจ้าค่ะ ข้าพระองค์เองก็ถูกบีบมาเต็มๆ ไม่มีใครกล้าทำอะไรรุนแรง กลัวจะพลั้งมือทำร้ายนางเข้า ตอนนี้ให้นางกำนัลผู้ใหญ่สองคนกำลังช่วยเจรจาอยู่พระเจ้าค่ะ จะพานางมาถวายให้ได้ก่อนงานเลี้ยงเลิกแน่นอนพระเจ้าค่ะ”
ถังต้าเหลียงโน้มพักตร์รับ รู้สึกเห็นพระทัยข้าราชบริพารเหล่านั้นอยู่ครามครัน พระองค์จึงใช้เวลาในการรอไปกับน้ำจัณฑ์และชมระบำรำฟ้อนที่แสดงอยู่หน้าพระที่นั่ง
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่บุคคลที่ทรงอยากพบจึงปรากฏตัวขึ้น นางดูสวย อ่อนหวาน และดูเป็นผู้หญิงมากกว่าทุกครั้ง เครื่องแต่งกายของสตรีแคว้นถังทำให้ดูงามแปลกตากว่าทุกที หากไม่นับใบหน้าซึ่งหมองคล้ำอิโรยกับสีหน้าที่บึ้งจนถึงขึ้นถ^_^ทึง นางจัดเป็นสิ่งที่พระเจ้าเสกสรรมาได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด
นางพระกำนัลสูงอายุสองคนกึ่งลากกึ่งประคองจนส่งต่อร่างบางนั้นได้ถึงพระหัตถ์ คนหนึ่งรีบกลับออกไป ส่วนอีกคนทำใจกล้าทูลรายงาน
“ข้อมือข้อเท้าช้ำมาก หัวเข่าระบมจนน่ากลัว ร่างกายอ่อนล้าจนแทบไม่มีแรง ทรงพระกรุณาด้วยเพคะ เป็นกำพร้าเสียด้วย หม่อมฉันสงสารเหลือเกิน”
ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินโน้มพักตร์รับ
นางมักจะเป็นเช่นนี้เสมอ แผลงฤทธิ์ร้ายกาจแต่ใครๆก็รัก
ถังต้าเหลียงทรงหันพระพักตร์ไปทางสตรีข้างๆ ส่งสำรับอาหารให้
“กินสักหน่อยสิ รับรองว่ารสชาติดีกว่าของในคุก”
“ข้าไม่หิว”
“ไม่หิวก็ต้องกินเสียหน่อย วันนี้เจ้ายังไม่ได้กินอะไรเลย แถมยังเที่ยวไปบู้กับใครต่อใครตั้งหลายคน เดี๋ยวก็เป็นลมเป็นแล้งไปหรอก”
มือเล็กๆขาวซีดปรากฏรอยช้ำสีม่วงปนแดงคล้ำเด่นชัดค่อยๆเอื้อมไปหยิบสำรับตรงหน้า ความสั่นน้อยๆทำให้ทราบได้ว่าเจ้าตัวแทบจะไม่มีแรงแม้จะตักข้าวกิน
พระหทัยราวถูกเข็มนับพันเล่มทิ่มแทง แค่ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ หากทีสำรับแค่ชุดเดียว เด็กชายและเด้กหญิงจะแย่งกันกินเป็นที่สนุกสนาน จัดการหมดเกลี้ยงภายในพริบตา
ข้าวพร่องไม่ถึงครึ่งชามเมื่อนางวางตะเกียบลง
“กินน้อยจัง” เสียงบ่นเบาๆดังมาอย่างอาทร
หยางเซียงเอ๋อส่ายหน้าช้าๆก่อนตอบ “อดมื้อกินมื้อมาหลายวัน เพลียจัดจนกินอะไรไม่ลง”
“งั้นไปพักก่อนดีมั้ย ข้าให้อาเส็งจัดเตรียมที่หลับนอนไว้ให้เจ้าแล้ว”
“เฉินกงกงไม่เห็นบอก บอกแต่ให้มากินข้าว คิดว่าคืนนี้จะนอนข้างล่างนั่นเสียอีก”
“ตำหนักของแม่ข้าสบายกว่าในคุกเป็นไหนๆ ไปเถอะ เจ้าจะได้หลับสบาย”
“หลับสบายแล้วจะตายเมื่อไหร่ ถ้าเป็นพรุ่งนี้ก็ไม่ต้องลำบาก คืนเดียวข้านอนในคุกได้”
“ไม่มีทาง”
“ไม่มีทางอะไร”
คราวนี้พระสุรเสียงลดลงจนเป็นกระซิบ ถลึงพระเนตรใส่นาง
“ก็ไม่มีทางให้เจ้าตายน่ะซี่”
คนไม่มีแรงไม่ใส่ใจกับสายตาดุๆ ตอบอย่างไม่แยแส
“ขอเตือนไว้เลย ถ้าท่านไม่ฆ่าข้า ข้า จะ ฆ่า ท่าน”
“งั้นก็รีบไปนอน พรุ่งนี้จะได้มีแรงมาฆ่าข้า”
เพียงจบประโยค ฝ่ามืออุ่นจัดจนร้อนก็พุ่งตรงเข้าโจมตี ถังต้าเหลียงทรงเบี่ยงพระวรกายหลบ ใช้พระหัตถ์และพระพาหาเพียงแค่ป้องกันตัว ปล่อยให้นางเป็นฝ่ายรุกแต่เพียงผู้เดียว
ด้วยความที่เป็นคู่ซ้อมกันมานาน รู้ทิศทางกันดี และครั้งนี้นางอ่อนแรงกว่าทุกครั้ง ใช้เวลาเพียงไม่นานพระองค์ก็สามารถแก้ปัญหาได้
พระดรรชนีและพระมัชฌิมากดลงที่จุดสำคัญด้านหลังถึงสามจุด ยังผลให้ร่างบางหยุดการเคลื่อนไหวทั้งมวล ทุกส่วนในร่างกายแน่นิ่ง ยกเว้นนัยน์ตาซึ่งวาวโรจน์
ฝ่ายชายขึงตาตอบ พูดเสียงกระซิบรอดไรฟัน
“เจ้าพยายามจะบีบให้ข้าสั่งประหาร ไม่สำเร็จหรอก รู้ไว้ซะด้วย”
สตรีตรงหน้ามิใส่ใจกับคำพูดนั้น นางกำลังหลับตา ตั้งสมาธิ แน่นอนที่สุดนางกำลังเดินลมปราณเพื่อคลายจุดด้วยตนเอง
“โธ่โว้ย!”
สองนิ้วจากพระหัตถ์รีบกดลงตรงกลางลำตัวของหญิงสาวอีกครั้งเพื่อสกัดกั้นทางเดินลมปราณ พร้อมขู่เสียงเข้ม
“อย่าได้ลองดีอีกเป็นอันขาดเชียวนะเซียงเอ๋อ ไม่อย่างนั้นข้าจะทำให้เจ้าเดินลมปราณไม่ได้ไปอีกหลายวันเลยทีเดียว”
ว่าแล้วก็ทรงหันไปเรียกมหาดเล็กคู่พระทัย ไม่ใส่ใจกับสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อที่จ้องตรงมา
“เอาตัวนางไปที่ตำหนักใหญ่ วางนอนบนเตียงเลยนะ หานางกำนัลมาคอยดูแลสักคนสองคน ห้ามใครคลายจุดให้นางเด็ดขาด งานเลี้ยงเลิกเมื่อไหร่ข้าจะตามไป”
ร่างบางนอนอยู่บนเตียงอ่อนนุ่มแน่นิ่ง ไม่ไหวติง ลองใช้ความพยายามดูทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่เป็นผล
“เฉินกงกง ข้าเมื่อย นอนตัวแข็งอย่างนี้ ถึงอยากหลับก็หลับไม่ลงหรอก”
“อดทนอีกนิดเถอะแม่นาง เดี๋ยวฝ่าบาทเสด็จมาก็ทรงคลายจุดให้”
“ท่านก็ช่วยข้าสักนิดสิ คลายสักจุดก่อนก็ยังดี ข้าปวดขามากนะ คุกเข่ามาตั้งหลายวัน”
“ข้าก็อยากจะช่วย แต่สุดปัญญาข้าจริงๆ มีรับสั่งปรามเอาไว้ ขืนข้าขัดคำสั่ง ข้าก็ซวยน่ะสิ เห็นใจข้าบ้างเถอะนะ ข้ายังไม่อยากโดนไล่ให้ไปกวาดขี้ม้าในคอก”
“ใจร้ายทั้งนายทั้งบ่าว”
เฉินฟู่เส็งถอนหายใจ ทำเป็นไม่สนใจคำค่อนขอดนั้น เอื้อมมือไปหยิบผ้าห่มมาคลุมร่างให้อย่างเบามือ
“ข้าจะออกไปเฝ้าอยู่หน้าห้อง แม่นางอยู่คนเดียวเงียบๆ อาจจะรู้สึกง่วงขึ้นมาบ้าง อ่อนเพลียขนาดนี้คงหลับไม่ยาก”
ทว่า ยิ่งได้อยู่คนเดียวเงียบๆ ความคิดของนางยิ่งโลดแล่นไปไกล
“ข้าชื่อเซียงเอ๋อ เจ้าล่ะ?”
สาววัยรุ่นสิบหกเอ่ยทักหนุ่มน้อยวัยสิบเจ็ดอย่างสดใส
“ใครๆ เรียกข้าว่าอาเหลียง”
“เจ้ามาทำอะไรแถวนี้ล่ะอาเหลียง ปกติไม่ค่อยมีใครมาแถวนี้กันหรอก มันไกลจะพ้นชายแดนอยู่แล้ว แถมเสือก็ชุมงูก็ชุก เค้าว่ามันอันตราย”
“อ้าว... มันอันตรายแล้วเจ้ามาทำไม”
“ข้าอยู่แถวนี้ พี่ชายข้าส่งข้ามาอยู่ในสำนักของท่านอาจารย์หวัง ตอนมีเวลาว่างนิดๆ หน่อยๆ ไม่กี่ชั่วโมงข้าก็มักจะออกมาเดินเล่น ถ้ามีเวลาว่างเป็นวันถึงจะเข้าไปเที่ยวในหมู่บ้าน เจ้าล่ะ?”
“ข้าอยู่ฝั่งโน้น เขตแคว้นถังน่ะ อยากรู้ว่าทางนี้เป็นยังไงก็เลยเข้ามาเดินเที่ยว แต่รู้สึกว่าข้าคงหลงป่า”
คนเป็นเจ้าถิ่นหัวเราะเสียงดัง
“ไม่หลงหรอก ข้าอยู่ทั้งคน อยากเที่ยวไหนขอให้บอก ข้าเนี่ยแหละมืออาชีพ”
จากนั้นเด็กสาวก็พาเด็กหนุ่มท่องทั่วป่า วิ่งเล่นกันเป็นที่สนุกสนาน มิตรภาพอันบริสุทธิ์ก่อตัวตั้งแต่วันแรก และแน่นแฟ้นขึ้นเรื่อยๆ ตามวันเวลาที่ผ่านไป
ตลอดสี่ห้าปีที่ผ่านมาทั้งสองเป็นทั้งเพื่อนกินเพื่อนเที่ยว ก่อวีรกรรมซุกซนร่วมกันนับครั้งไม่ถ้วน เป็นคู่ฝึกวรยุทธที่มีฝีมือทัดเทียม และเป็นเพื่อนแท้ซึ่งต่างฝ่ายต่างไว้ใจกันและกันเทียบเท่ากับไว้ใจตนเองเลยทีเดียว เคยร่วมเป็นร่วมตายกันมาหลายครั้งตั้งแต่เผชิญหน้ากับเสือตัวใหญ่กลางป่าไปจนถึงต่อสู้กับอันธพาลในหมู่บ้าน
เขาเป็นคนที่นางวางใจให้ระวังหลังให้ในการต่อสู้ทุกครั้ง แต่กลับกลายเป็นคนที่ปรารถนาความตายของนาง ถึงขนาดที่บีบเอาตัวนางมารับโทษที่แคว้นถังจนได้
ผิดยิ่งนักที่ไม่เคยเฉลียวใจเลย นางไปเป็นเพื่อนกับเขาเอง แล้วจะโทษใคร
กว่าถังต้าหลียงจะเสด็จเข้ามา ในใจของนางก็ตัดญาติขาดมิตรกับพระองค์ไปเรียบร้อยแล้ว
“ยังไม่หลับอีกหรือเซียงเอ๋อ ที่นอนนุ่มๆ ไม่ชวนให้เคลิ้มบ้างเลยรึไง”
“ข้าเมื่อย ปวดขา”
“ข้าจะคลายจุดให้ แต่สัญญาก่อนว่าเจ้าจะนอนหลับ ไม่ลุกขึ้นมาสู้กับข้าอีก”
“ไม่มีทาง”
องค์พระประมุขแคว้นถังส่ายพระพักตร์ ถอนพระปัสสาสะ
“เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าเป็นห่วงเจ้าขนาดไหน ตอนรู้ข่าวว่าสำนักของท่านหวังจงสินถูกทลายราบ ข้าด่าพวกมันตั้งแต่แม่ทัพไปจนถึงนายกอง ยังโล่งใจที่หาจนทั่วทั้งหมู่บ้านแล้วไม่เจอศพเจ้า เข้าใจว่าเจ้าคงหนีไปได้อย่างปลอดภัย”
“แต่คนอื่นๆไม่ปลอดภัย ทหารของท่านฆ่าประชาชนบริสุทธิ์ทั้งหมู่บ้านไม่เหลือสักคน จำเสี่ยวเอ้อคนที่ใจดีแอบแถมขนมหวานให้เราบ่อยๆได้มั้ย คนที่พิการมีขาเพียงข้างเดียวน่ะ ขนาดพิการอย่างนั้นยังถูกแทงจนพรุน”
“เจ้ารู้ได้ยังไง”
“ข้าย้อนกลับไปดู เป็นห่วงอาจารย์ แต่ปรากฏว่าไปไม่ทัน ทั้งอาจารย์ทั้งศิษย์พี่ทั้งสำนัก กระทั่งภารโรงยังไม่มีใครรอด เดินจนทั่วหมู่บ้าน พยายามคลำชีพจรทุกๆคนก็ยังไม่พบผู้รอดชีวิต แม้แต่เด็กเพิ่งหัดเดิน...”
ก้อนแข็งๆเลื่อนมาจุกอยู่ที่ลำคอ น้ำตาเริ่มรื้น เสียงเจรจาแผ่วลง
“เด็กตัวนิดเดียวยังถูกฟันคอขาด”
หัตถ์ใหญ่เอื่อมมาแตะไหล่บางอย่างปลอบโยน
“อย่ามาแตะต้องตัวข้า ข้อคิดว่าท่านเป็นเพื่อนมาโดยตลอด ข้าจัดท่านเป็นเพื่อนแท้ แล้วดูที่ท่านทำ!”
“แม้แต่นักพรตผู้ทรงศีลก็ไม่เว้น ถ้ำของท่านอาจารย์มู่เหยาถูกวางเพลิงแล้วปิดปากถ้ำ ตอนข้าพังก้อนหินเข้าไปได้ พบแต่ซากศพดำเป็นตอตะโกเกลื่อนถ้ำจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร เข้าใจว่าคงเป็นพวกชาวบ้านที่หลบหนีจากทหารหวังเอาท่านอาจารย์เป็นที่พึ่ง”
“ข้าไม่รู้ ไม่เคยรู้เรื่องถ้ำของท่านมู่เหยาเลย”
“จะไปรู้อะไรล่ะ ก็มัวแต่นำทัพแจ้นไปพังหมู่บ้านถัดไปอีก”
“ข้านำทัพเองจริง แต่ไม่ได้คุมกองกำลังทางนั้น ข้าคุมทัพใหญ่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ”
“จะบอกว่าท่านไม่ได้เป็นคนทำ ไม่เกี่ยวกับท่านอย่างนั้นหรือ”
“ก็ข้าไม่ได้เป็นคนทำจริงๆนี่ แต่ก็ไม่ปฏิเสธหรอกว่ามันอยู่ในความรับผิดชอบของข้า และข้าก้ได้พยายามแก้ไขแล้ว ข้าพยายามยุติสงครามโดยเร็วที่สุด”
“ยุติสงคราม? ท่านต้องการตัวข้าต่างหากท่านจะเอาข้ามาตัดหัวที่นี่”
“ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละ”
คราวนี้สุรเสียงเริ่มห้วน ใกล้ๆจะตะคอก
“ท่านฆ่าทั้งพ่อทั้งแม่ข้าแล้วยังมิพอใจ แค้นอะไรนักหนาถึงจะต้องตามล้างทั้งตระกูล ท่านจะดีใจขึ้นมั้ยถ้าข้าบอกว่าท่านปู่หัวใจวายตายทันทีที่เห็นศพพ่อแม่ข้า น่าประทับใจเหลือเกินแล้ว ฆ่าเพียงสองแต่ตายสาม”
“เซียงเอ๋อ ข้าชักโมโหแล้วนะ เจ้าโยนเรื่องร้ายๆทุกอย่างใส่หน้าข้าไม่ยั้ง ข้ากุมบังเ^_^ยนศึกครั้งนี้จริง แต่ข้าไม่มีปัญญาไปเฝ้าทหารทุกคนให้ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษได้หรอก”
“พ่อข้าตายอย่างไร”
“อะไรนะ!?”
“ข้าถามว่าพ่อข้าตายอย่างไร ทำไมท่านปู่ถึงหัวใจวายเมื่อเห็นศพ ทำไมข้าถึงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้ศพ”
ดวงเนตรคมหลุบต่ำ ไม่ยอมสบตานาง มีดำรัสตอบเสียงเบา
“คอขาด แขนขาด ขาขาด ลำตัวขาดเป็นสองท่อน”
“โอ..โอ..” น้ำตาไหลลงมาราวทำนบทลาย สะอื้นไห้ตัวโยน มิน่าเยี่ยหรงจีจึงทรงห้ามเด็ดขาด ทรงพยายามทุกวิถีทางที่จะปกป้องนางจากความรู้สึกเจ็บปวดเช่นในขณะนี้
“ถังต้าเหลียง ข้าจะฆ่าท่าน ข้า จะ ฆ่า ท่าน!”
หยางเซียงเอ๋อตะโกนสุดเสียง หลับตาแน่น ก่อนจะกัดริมฝีปากจนเจ็บเพื่อกักเก็บเสียงสะอื้นซึ่งไม่เป็นผล
เสียงสะอื้นร้าวรานที่เล็ดลอดออกมาจากลำคอนั้นบีบรัดหัวใจของบุรุษข้างๆอย่างสุดประมาณได้ มือใหญ่ค่อยๆเอื้อมไปเช็ดน้ำตาให้ เรียกเสียงอ่อนโยน
“เซียงเอ๋อ...”
“ข้าเป็นคนพาท่านเที่ยวจนทั่วหมู่บ้าน พาท่านตระเวนหาทางลัดเข้าออกทุกตรอกซอกซอย สอนท่านใช้หน้าไม้แบบชาวเยว่ บอกท่านกระทั่งว่าพรมแดนของเรามีทางเข้ากี่ทาง และทางไหนตรงไปเมืองหลวงได้เร็วที่สุด เป็นข้าทั้งนั้นที่ชักศึกเข้าบ้าน โอ้ย..ข้าทุเรศตัวเองจริงๆ”
น้ำตายังคงไหลไม่หยุด แรงสะอื้นมิได้ลดลงเลย มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วยซ้ำ
“เซียงเอ๋อ...”
“แล้วจะรอช้าอยู่ทำไม หาทางเอาตัวลูกสาวของหยางซือหม่ามาถึงนี่แล้วทั้งที ก็ฆ่าซะเลยสิ จะตัดหัวก่อนหรือตัดขาก่อนก็เอาเลย”
“นั่นมันก่อนที่ข้าจะรู้ว่าลูกสาวของหยางซือหม่าคือเจ้า ข้าคิดว่านางคงมีชื่อเดียวกับเจ้าเท่านั้น อาจมีบ้างที่สตรีชาวเยว่จะมีชื่อซ้ำกัน เจ้าก็ไม่เคยบอกข้าเลยว่าเจ้าแซ่อะไร”
“ท่านก็เหมือนกันแหละ คบกันมากี่ปี ข้าเคยรู้บ้างมั้ยว่าท่านชื่อต้าเหลียง”
“ง้นเราก็หายกันนะ”
“ความรู้สึกของข้าไม่มีทางหาย เพื่อนที่ข้าไว้ใจที่สุดฆ่าพ่อข้าอย่างทารุณ รุกรานแผ่นดินเกิดของข้า ฆ่าชาวบ้านนับร้อยนับพัน”
“ข้าไม่ได้ฆ่าพ่อของเจ้า พ่อเจ้าถูกคนอื่นฆ่าตายแล้ว ข้า..ข้าแค่ให้หั่นศพเป็นชิ้นๆส่งไปขู่เยี่ยหรงจีเท่านั้น”
ให้ตายเถอะ ยิ่งคุยกันยิ่งจะแย่ลงทุกที ตอนนี้นางมองพระองค์อย่างอาฆาตทั้งๆที่น้ำตายังคงไหลไม่ขาดสาย
“ข้าขึ้นครองราชย์ตั้งแต่ห้าขวบ มีแม่ข้าเป็นผู้สำเร็จราชการร่วมกับท่านลุงและท่านราชครู แม่ดูแลเรื่องในวังทั้งหมดทั้งฝ่ายนอกฝ่ายใน ท่านลุงดูแลกองทัพ และท่านราชครูรับผิดชอบงานบริหารแผ่นดิน
ตอนแม่ข้าเริ่มป่วยหนักเมื่อปีกลาย พ่อเจ้าเริ่มเข้ามาติดต่อกับคนต่างๆในราชสำนัก พยายามพูดให้ใครๆเข้าใจว่าเยี่ยหรงจีจะฉวยโอกาสนี้เข้าโจมตีแคว้นถัง แรกๆข้าก็ไม่ค่อยอยากเชื่อ แต่ต่อมาท่านลุงถูกลวงไปฆ่า เจ้าคิดดู พี่ชายแท้ๆของแม่ เลี้ยงดูข้ามาแต่เล็กเปรียบเหมือนพ่ออีกคนเลยทีเดียวถูกทหารเยว่ฆ่าตาย ข้าโกรธจัดจนทำอะไรไม่ถูก ตั้งใจจะยกทัพบุกไปแคว้นเยว่ให้ได้
เสียท่านลุงซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ไป ยังมีลูกชายของท่านอีกตั้งห้าคนที่ล้วนแต่มีฝีมือล้ำเลิศและพร้อมที่จะร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับข้า พวกเราใช้พ่อเจ้าเป็นสายลับนำความภายในแคว้นเยว่มาแจ้งเป็นระยะ หยางซือหม่ารับไปเยอะ แต่ละข่าวข้าจ่ายให้คุ้มราคา
มารู้เมื่อยกทัพไปตีแล้ว ชาวเยว่ไม่ได้เตรียมการศึกใดๆไว้เลย ข้าถึงรู้ว่าถูกหลอก หลักฐานมาปรากฏภายหลังว่าผู้ที่ฆ่าท่านลุงก็คือพ่อของเจ้า ข้าแค้นแทบกระอัก สั่งตามล่าหยางซือหม่าทั่วแผ่นดิน แต่กลับพบแค่ศพ ข้าส่งศพพร้อมจดหมายไปถึงเยี่ยหรงจีเพื่อหยั่งดูท่าทีให้แน่ใจ และข้าก็แน่ใจจริงๆว่าเยี่ยหรงจีไม่ได้รู้เห็นอะไรเกี่ยวกับแผนการนี้เลย
ความปรารถนาต่อไปของข้าก็คือ เมื่อไม่ได้ฆ่าหยางซือหม่ากับมือ ข้าขอชำระความกับหยางเซียงเอ๋อ...”
“ดี! ลงมือเสียสิ”
“จะบ้ารึไง ตั้งแต่เห็นหน้าเจ้าข้าก็เก็บทุกอย่างลงกรุไปหมดแล้ว ข้าเสียลุงกับแม่ เจ้าเสียแม่กับพ่อ เท่ากัน”
“เท่ากัน? ข้าเสียปู่ เสียอาจารย์สองท่าน เสียเพื่อนทั้งหมู่บ้าน...”
“เซียงเอ๋อ...”
“ข้าเดินทางมาไกลหวังเพียงให้คนที่นี่อโหสิกรรมให้พ่อข้า จะชำระความกับข้าอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น จนเมื่อได้เห็นหน้าท่าน ข้ารู้สึกเหมือนถูกหลอก ถูกทรยศ ข้าไว้ใจคนผิดมาตลอด ทุเรศสิ้นดี ...ขอเตือนอีกครั้งนะ ถ้าไม่ฆ่าข้า ข้าจะฆ่าท่าน... ข้าแค้นจนจะกระอักเลือดอยู่แล้ว”
พระหัตถ์ปัดปอยผมออกจากใบหน้าของนางอย่างอ่อนโยน เช็ดน้ำตาบนแก้มให้อีกครั้ง
“เอามือของท่านออกไป ความห่วงใยของท่านทำให้ข้ารังเกียจ สัมผัสของท่านทำให้ข้าขยะแขยง”
น้ำเสียงเรียบๆ กับแววตาว่างเปล่านั้นทำให้ผู้ฟังเจ็บเสียยิ่งกว่ามีมีดมากรีดเฉือนกลางหัวใจ ตั้งแต่รู้จักกันมา มีแต่รอยยิ้มสดใส เสียงหัวเราะเริงร่า และสายตาที่เป็นมิตร ยามโมโหโกรธาก็มีแค่เสียงตวาดดังลั่น มิเคยเลยสักครั้งที่นางจะมีน้ำเสียงเย็นเยียบเช่นนี้
เจ็บ... ร้าวราน... สุดพระหทัย... จนแทบจะเกินทน
เจ็บ... เสียจนต้องดึงเอาโทสะมาเป็นเกราะกำบัง
พระนิสัยของถังต้าเหลียงแต่ครั้งทรงพระเยาว์มานั้น ผู้ใดทำให้ทรงเจ็บ... ผู้นั้น... จะต้องเจ็บกว่า...
และฤทธิ์ของน้ำจัณฑ์ที่ซึมเข้าสู่กระแสพระโลหิตตั้งแต่หัวค่ำ ทำให้ความอดทนของพระองค์ลดลงกว่าทุกที
สีพระพักตร์แห่งความอาทรหายวับในพริบตา หน้ากากแห่งโทสะเลื่อนเข้ามาแทนที่ พระเนตรเย็นชา ...ทว่าแฝงด้วยเปลวเพลิงร้อนแรง...
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
ความคิดเห็น