คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่3
ตัวละครฝ่ายแคว่นเยว่
เยี่ยหรงจี ฮ่องเต้ หรือ กษัตริย์แห่งแคว้นเยว่
พระนางจ้าวหลินฟง ฮองเฮา หรือ พระราชินีแห่งแคว้นเยว่ หรือมเหสีเอกของฮ่องเต้
หยางเซียงเอ๋อ นางเอกของเรา เป็นลูกสาวของแม่ทัพใหญ่คนหนึ่งในแคว้นซึ่งบิดานำมาฝากไว้ให้เป็นนางพระกำนัลของฮองเฮาตั้งแต่อายุ12 จึงเป็นทั้งคนโปรดของฮองเฮาและของฮ่องเต้มาตั้งแต่เด็ก
หยางซือหม่า พ่อของหยางเซียงเอ๋อ ตายไปแล้ว ไม่ได้ปรากฏตัวในเรื่อง แต่เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดศึกของทั้งสองแคว้น(แคว้นเยว่กับแคว้นถัง)
สี่หย่งกวง ผู้บัญชาการทองทหารรักษาพระองค์ องครักษ์คนสนิทของฮ่องเต้
เสนาบดีหลี่ลี่เหวิน เสนาบดีผู้เฒ่าแห่งแคว้นเยว่ มือขวาของเยี่ยหรงจีในหารบริหารราชการแผ่นดิน
เจ้าจอมหวางเจียงหนิง เป็นเจ้าจอมหรือนางเล็กๆ ของฮ่องเต้ ไม่ถูกกับหยางเซียงเอ๋อ (นางเอก)โผล่มานิดเดียว เป็นตัวประกอบเท่านั้น
เสียงอึกทึกโครมครามแว่วมาแต่ไกล และดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ไม่นานบานประตูห้องขังก็เปิดออก
“เอาตัวนางลงมา เร็วๆ เข้า”
สุรเสียงที่รับสั่งนั้นดังก้อง วรองค์สูงใหญ่แทบจะปราดเข้ามารวบร่างบางไว้แนบพระอุระทันทีที่โซ่ตรวนถูกปลดออก
“เป็นยังไงบ้าง เจ็บตรงไหนบ้างรึเปล่า”
หน้าขาวนวลเพียงส่ายน้อยๆ มีรอยยิ้มอ่อนหวานถวาย
“เอาโต๊ะเก้าอี้ไปวางไว้มุมห้องโน่น เร็วๆ เข้า ชุดน้ำชาก็จัดไว้ข้างๆ นั่น กระถางธูปเลื่อนมาด้านนี้ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก เร็วสิ ต้องให้ข้าเข้าไปทำเองทุกอย่างเลยมั้ย เฮอะ?”
“ฝ่าบาท ...พวกมันรนกันไปหมดแล้วพระเจ้าค่ะ”
เสนาบดีชราหลี่ลี่เหวินท้วงช้าๆ อย่างใจเย็นเช่นเคย ก่อนจะรีบเข้ามาจัดการ
“เซียงเอ๋อ... หย่งกวง... ไปคุกเข่าหน้ากระถางธูปซะ ไป”
มือหยาบจุดธูปส่งให้สองหนุ่มสาวในอีกอึดใจถัดมา
“คารวะท่านเทพฟ้าดินเสีย ให้ท่านประทานพระพรให้”
สี่หย่งกวงทำตามวาจาของผู้อาวุโสทันทีในขณะที่หยางเซียงเอ๋อมีสีหน้างุนงงอย่างเห็นได้ชัด กระนั้นก็ยังยอมทำตามโดยดี ไหว้เสร็จแล้วทั้งสองคนก็ส่งธูปคืนท่านผู้เฒ่า
ชายชราปักธูปลงในกระถางด้วยสีหน้าและแววตาที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
“เอาล่ะ ...คำนับหนึ่ง...”
หยางเซียงเอ๋อรู้สึกเย็นวาบไล่ตั้งแต่สันหลังไปจนถึงท้ายทอย นี่มันอะไรกัน?
แผ่นหลังของนางคงเกร็งจนตั้งตรงแน่ว หัตถ์ใหญ่ของเยี่ยหรงจีจึงจับศีรษะของนางให้ก้มลง เสียงของท่านหลี่ลี่เหวินจึงดังต่อมา
“...คำนับสอง... คำนับสาม...”
จากนั้นก็พระหัตถ์ของฮ่องเต้อีกนั่นแหละที่จับร่างบางหมุนไปทางซ้าย เสนาบดีอาวุโสจึงกล่าวต่อไป
“...คำนับกันและกัน...”
“ฝ่าบาท... เชิญเสด็จประทับนั่งทางนี้พระเจ้าค่ะ”
ตราบเมื่อเยี่ยหรงจีทรงทำตามคำทูลเชิญเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสก็ทรุดกายลงนั่งที่เก้าอี้ตัวข้างๆ พลางกวักมือเรียกทหารยามหน้าห้อง
“มาๆ เข้ามาเป็นพยานกันหน่อย”
“เอ้า! เซียงเอ๋อ... หย่งกวง... มายกน้ำชาให้ฝ่าบาท ให้ข้าด้วย เร็ว”
ในขณะที่คนเคยคล่องแคล่วยังคงมึน จับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก ผู้ซึ่งเปรียบเสมือนพี่ชายก็ฉุดให้นางไปนั่งเคียงข้าง กระทำตามที่ท่านผู้เฒ่าบอกจนเสร็จสิ้น
“เรียบร้อย เสร็จพิธี”
ทุกคนในห้องนั้นพร้อมกันถอนหายใจยาวเหยียด ยกเว้นคนสำคัญเพียงคนเดียวที่ยังมึนอยู่เช่นเดิม
ครั้นจะเอ่ยปากถาม หัตถ์ใหญ่ก็โบกห้ามเสียก่อน
“อย่าเพิ่งถามอะไร ตามข้ามา”
ที่คุมขังแห่งใหม่ของนางเป็นห้องขังเดี่ยวเช่นที่เคยพำนักในคืนแรก ทว่าไม่มีที่นอน หมอนมุ้ง เตรียมไว้เช่นวันก่อน มีเพียงห้องโล่งว่าง สะอาดสะอ้านเท่านั้น
“หย่งกวง อยู่ไหวมั้ย”
“ได้พระเจ้าค่ะ”
“เซียงเอ๋อ เป็นเด็กดีนะ ข้ากลับก่อนล่ะ”
“เดี๋ยวสิเพคะ”
“อยากรู้อะไรก็ถามก็คุยกันเอาเองละกัน”
ว่าแล้วก็เสด็จพระดำเนินออกไปทันทีโดยไม่ลืมที่จะจูงมือเสนาบดีคู่พระทัยออกไปด้วย
เสียงโซ่คล้องประตูเงียบลง พร้อมเสียงฝีเท้าค่อยจางหาย คนตัวเล็กหันขวับไปทางคนตัวใหญ่ทันที ดวงตาวาววับแทบลุกเป็นไฟ
สี่หย่งกวงถอดเสื้อคลุมตัวหนาปูลงบนพื้นอย่างใจเย็น มิใส่ใจกริยานั้นแต่อย่างใด
“พี่กวง!” น้ำเสียงหวานตวาดแว้ดดังเช่นที่เป็นมาเสมอยามถูกขัดใจ
“มานอนพักก่อนมา หน้าซีดยิ่งกว่าไก่ต้มแล้ว”
มือใหญ่ตบลงบนเสื้อคลุมผืนหนาบนพื้น ก่อนจะค่อยๆ ถอดเสื้อคลุมตัวบางอีกชั้น พลางหยิบขวดน้ำใบเล็กกับซาลาเปาใบย่อมที่ซ่อนอยู่ในเสื้อออกมา
“มาซี่ กินอะไรเสียหน่อยจะได้มีแรง ดูเจ้าตอนนี้น่ะนะ แค่ลมพัดก็ปลิว”
“ไม่ต้องมาพูดมาก เล่ามาเร็วเข้า”
ราชองครักษ์เอกหัวเราะเบาๆ พลางส่ายหน้า
“ค่อยยังชั่ว ข้ากลัวเจ้าจะไม่มีแม้แต่แรงจะแผลงฤทธิ์เสียอีก มาให้ข้ากอดสักทีก่อนแล้วเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง”
ร่างเล็กๆ ตรงเข้าสู่อ้อมแขนอันอบอุ่นในชั่วพริบตา มือใหญ่ลูบไล้เรือนผมลงมาจนถึงแผ่นหลังอย่างรักใคร่อ่อนโยน
“ไม่น่าเชื่อเลย ข้าแต่งงานกับพี่แล้ว”
เสียงนั้นเหมือนลอยมาจากความฝัน สี่หย่งกวงหัวเราะหึๆ ก่อนถาม
“เจ้าเคยเป็นพระสนมมาแล้ว จำได้รึเปล่า”
“ไม่เหมือนกันนี่ ตอนนั้นข้ายังเด็ก ไม่รู้หรอกว่าได้ตำแหน่งพระสนมมาหมายความว่าอย่างไร”
“แล้วมันหมายความว่าอย่างไรล่ะ”
ผิวแก้มขาวนวลมีสีเรื่อขึ้น ทำเอาคนตัวใหญ่ยิ่งยิ้มกว้างอย่างเอ็นดู
“ทำท่าทำทางให้มันเป็นผู้หญิงก็เป็น แต่ไม่ค่อยจะรู้จักทำ มัวแต่แก่นแก้วเป็นม้าดีดกะโหลกอยู่นั่นแหละ เอ้า...มา... กินนี่ซะ”
มือขาวซีดที่มีรอยช้ำรอบข้อมือเรื่อยไปจนถึงศอกเอื้อมมาหยิบซาลาเปาไปกัดกิน พลางบ่น
“ไหนว่าจะได้ข้าวต้มวันละสองมื้อไง เอาเข้าจริงๆ แค่น้ำข้าวเหม็นๆ กินไม่ลง”
“ก็นี่แหละ กลัวเจ้าจะเป็นตะคริวตายหรือไม่ก็อดตายซะก่อน เลยต้องรีบหาทางเอาเจ้าออกมาจากห้องนั้นให้เร็วที่สุด ถ่วงเวลาไว้สักระยะ แล้วจะทำอะไรต่อไปค่อยว่ากันอีกที”
“เล่ามาทั้งหมด เร็วๆ เข้า” คนพูดสั่งพลางกินพลางอย่างเอร็ดอร่อย
“ข้าก็ไม่รู้เรื่องทั้งหมดหรอก ข้าไม่มีสิทธิ์เข้าประชุมคณะเสนาบดีด้วย ไม่รู้ว่าฝ่าบาทกับเสนาหลี่เจรจากับคนอื่นๆ อย่างไร”
“เสนาหลี่ว่าอย่างไร”
“ท่านว่าข้าเป็นผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์ ไม่ยุ่งกับการเมือง ไม่เกี่ยวกับกองทัพ มีอิสระพอที่จะแต่งงานกับใครก็ได้ เจ้าก็ถูกริบตำแหน่งและทรัพย์สมบัติทุกอย่างหมดแล้ว ไม่ใช่พระสนมอีกต่อไป เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
การที่ทหารคนหนึ่งจะแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งเป็นเรื่องที่สามารถทำได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และในเมื่อผู้หญิงคนนั้นต้องโทษคดีสาหัสจนไม่สามารถจะออกนอกบริเวณคุกหลวงได้ ทหารคนนั้นก็เลยจำต้องย้ายเข้ามาอยู่ในห้องขังกับนาง
นอกจากนี้ บังเอิญว่าข้าเป็นทหารคนสนิท รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทมานาน การสมรสของข้าจึงเป็นสมรสพระราชทาน ภรรยาของข้ามีศักดิ์เป็นฮูหยิน ดังนั้นจึงไม่เป็นที่ครหาหากจะย้ายนางมาคุมขังในเขตของนักโทษชั้นดี”
“อืม”
คนฟังนั่งมองคนพูดตาแป๋ว เคี้ยวอาหารแล้วกลืน พลางยกน้ำขึ้นดื่ม
“ไม่ได้สนชื่อเสียงข้าบ้างเลย ตอนนี้ข้าจะเป็นทั้งเมียฝ่าบาทและเมียพี่เลยนะ”
“แล้วไง? ข้าไม่มัวบ้าห่วงชื่อเสียงของเจ้ามากกว่าความปลอดภัยของเจ้าหรือชีวิตของเจ้าหรอก ตอนเจ้าถูกเจ้าจอมหวางเอาตัวไป ข้ายืนเฝ้าอยู่หน้าเขตพระราชฐานฝ่ายในตั้งแต่ฝ่าบาทเสด็จเข้าไปจนกระทั่งฮองเฮาให้คนมาบอกว่าเจ้าได้สติแล้ว บอกตรงๆ เลยว่าความกลัวในตอนนั้นเทียบไม่ได้เลยกับในตอนนี้ หากเจ้าอยู่บนกางเขนนั่นอีกสักห้าหกวัน ไม่ข้าก็ฝ่าบาทต้องมีใครกลัวจนเป็นบ้าตายบ้างละ”
“พี่กวง” เสียงเรียกนั้นอ่อนหวาน น้ำตาคลอหน่อยวาววาม มือบอบบางเอื้อมมาจับมือใหญ่บีบเบาๆ
“นอนซะ”
ราชองครักษ์เอกประคองผู้ที่เพิ่งได้ชื่อว่าเป็นภรรยาให้เอนกายลงนอนบนเสื้อคลุมตัวหนาที่ได้ปูบนพื้นเตรียมไว้ แล้วจึงเหยียดกายลงนอนตะแคงข้างๆ วางศีรษะลงบนฝ่ามือข้างที่ใช้ศอกยันพื้นไว้ จ้องมองลงไปในดวงตาใสแจ๋วอย่างมีความหมาย อีกมือเอื้อมไปปัดผมอ่อนนุ่มสีน้ำตาลเปลือกไม้ออกให้พ้นผิ้วแก้มเนียนละเอียด ก่อนจะค่อยๆ โน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ จรดปลายจมูกลงบนแก้มขาวนวล
คนเคยบู๊แหลกลาญมีผิวระเรื่อขึ้นทันใด เอียงหน้าหลบพัลวัน
สี่หย่งกวงหัวเราะ
“ใช้ได้ๆ ข้าคิดว่าไอ้โซ่นั่นมันจะทำให้เจ้าคอเคล็ดซะแล้ว”
“พี่กวง!” ไอ้ตัวแสบโวยลั่น แทบจะถลันขึ้นมาหาเรื่อง
ฝ่ามือใหญ่ๆ กดไว้ให้ร่างบางยังคงนอนอยู่กับที่
“อยู่นิ่งๆ ข้าจะนวดให้ ถูกมัดอยู่ในท่าเดียวตั้งสองสามวัน กล้ามเนื้อจะตึงต้องนวดคลายเสียหน่อย เลือดจะได้ไหลเวียนได้ดีขึ้น”
“ข้าปวดจนชา ชาจนปวด แล้วก็ปวดจนชาไปทั้งตัวเลย” คนตัวเล็กบ่นอุบ
มือใหญ่ค่อยๆ จับแขนเรียวนั้นบีบนวดเบาๆ ระมัดระวังไม่ให้โดนรอยช้ำ ก่อนจะเปลี่ยนมานวดวนเบาๆ ช่วงลำตัว และจับร่างนั้นพลิกคว่ำ นวดคลึงตั้งแต่บริเวณต้นคอ หัวไหล่ ไล่ลงมายังแผ่นหลัง โล่งใจที่ไม่กระดูกหรือเส้นเอ็นตรงไหนอยู่ในที่ผิดปกติ
เมื่อจับร่างนั้นพลิกนอนหงายอีกครั้งก็อดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นหญิงสาวหลับสนิทไปเสียแล้ว
เขาค่อยๆ กางเสื้อคลุมตัวบางที่ติดมาคลุมร่างบางแทนผ้าห่ม พลางบ่นพึมพำ “อยู่ในห้องกับผู้ชายสองต่อสองยังหลับง่ายอย่างงี้ ไม่รู้จักระวังตัวเล้ย แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ห่วงได้ยังไงกัน”
เมื่อพระอาทิตย์พ้นขอบฟ้าได้ไม่นานประตูห้องคุมขังก็เปิดออก ร่างสูงลุกขึ้นยืนอย่างรู้หน้าที่ ไม่ลืมที่จะหันมาสั่งความกับคนข้างตัวก่อนว่า
“ข้าต้องออกไปทำงาน กลับเข้ามาอีกทีตอนพลบค่ำ เสื้อคลุมสองตัวนี้จะเอาไว้ที่นี่ เผื่อเจ้าจะได้นอนเล่นตอนกลางวัน เย็นนี้จะใส่เสื้อมาอีกหลายๆ ชิ้น คืนนี้เจ้าจะได้มีที่นอนนุ่มๆ กับผ้าห่มอุ่นๆ ช่วงสายๆ จะมีคนเอาอาหารมาให้ ไม่แย่ขนาดน้ำข้าวแต่ก็ไม่ใช่ของจากห้องเครื่อง ข้าวแดงของคนคุกน่ะ ฝืนกินเสียหน่อยนะจะได้ไม่หิว ไว้ตอนเย็นข้าจะแอบเอาอาหารเข้ามาให้อีก”
ผู้อาวุโสกว่ามิวายที่จะหัวเราะในลำคอ ก่อนจะกล่าวประโยคต่อไป
“แล้วข้าจะพยายามให้เจ้าได้อาบน้ำด้วย เหม็นสาบอย่างกับลูกหมาข้างถนน”
มือบางฟาดเผียะเข้าทันทีที่ต้นแขนด้วยน้ำหนักมือไม่เบาเลย
“พี่กวง! แย่มาก! พูดกับผู้หญิงอย่างงี้ได้ยังไง มิน่าถึงหาเมียไม่ได้”
“ข้าน่ะหรือ หาเมียไม่ได้”
เสียงทุ้มถามนุ่มๆ นัยน์ตาพราวระยับ คนพูดจึงเพิ่งจะนึกได้ว่าตัวเองนั่นแหละที่อยู่ในฐานะ ”เมีย” ของคนตรงหน้านี้ หน้าขาวๆ เลยกลายเป็นสีแดงปลั่ง
มือใหญ่จึงเอื้อมมาโคลงศีรษะของนางเบาๆอย่างเอ็นดู
“นั่งเล่นนอนเล่นไปก่อนนะวันนี้ ไม่ต้องลุกขึ้นมาฝึกวรยุทธล่ะ พักเสียบ้าง หัดอยู่นิ่งๆให้เป็นเสียบ้างนะ ข้าไปละ”
ในห้องขังเล็กๆ ปรากฏร่างของชายหนุ่มและหญิงสาวนอนเคียงข้างกัน ไม่มีใครสงสัยในความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาเลยแม้แต่น้อย เพราะไม่ว่าทหารยามคนใดก็ตามที่เป็นคนเปิดประตูในตอนเช้าจะต้องเห็นร่างของคนทั้งคู่นอนอิงแอบกันเช่นนี้ทุกที มีเพียงสองหนุ่มสาวและคนใกล้ชิดเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ดีว่าความสัมพันธ์ยังคงเป็นดั่งพี่น้องร่วมสายโลหิตมิเปลี่ยนแปลง
“พี่กวง”
“หืม?”
“อยู่อย่างนี้มาหลายวันแล้ว เสนาหลี่คิดอะไรออกรึยัง”
“ยัง ตอนนี้อยู่ในช่วงถ่วงเวลา ยังไม่มีใครเร่งรัดอะไรมาเลย พวกเสนาทั้งหลายเค้าเกรงใจข้ากันน่ะ อยากให้ข้าได้ใช้เวลากับเจ้าสาวสักพักก่อน ท่านหลี่ของเราเลยยิ้มออก มีเวลานอนคิดอีกสักพัก”
“อืม..ดี แต่วานบอกท่านเสนาหลี่ทีนะว่าอย่าช้านัก ไม่งั้นเดี๋ยวข้าจะช่วยคิด”
เสียงหึๆ ในลำคอลอยมาทันที่ ก่อนจะมีเสียงพูดประโยคถัดไป
“เป็นข้าก็คงรีบจนรนเลยล่ะ เพราะกลัวเจ้าจะมาช่วยคิดนี่แหละ” และภายในเย็นวันนั้นเอง สี่หย่งกวงเดินเข้าห้องมาพร้อมรอยยิ้ม และยังยิ้มอยู่ตลอดแม้จะถอดเสื้อคลุมและนำอาหารที่ซุกซ่อนมาออกมาวางเรียงไว้บนพื้นเรียบร้อยแล้ว
คนตัวเล็กสงสัย
“ยิ้มอะไร”
“ข้าเตรียมอาหารมาเยอะแยะเลยเห็นมั้ย ต้องฉลองสักหน่อย”
“ฉลองอะไร”
“ฉลองเจ้าจะถูกประหาร”
“ข้าจะถูกประหาร? อาฮ้า!”
คนจะถูกประหารยิ้มกว้าง นัยน์ตาพราวระยับ นั่งกอดเข่าตั้งอกตั้งใจฟัง
คนตัวโตเริ่มด้วยการกระแอม
“เนื่องจากเจ้าเป็นฮูหยินของข้าราชบริพารผู้มีผลงานดีเด่นที่สุดในราชสำนัก”
เสียงไอโขลกๆ ดังลั่นขัดจังหวะตั้งแต่จบประโยคแรก
“โอ๊ย..น้ำลายติดคอข้า”
“อย่าเพิ่งขัดสิวะ เนื่องจากเจ้าเป็นฮูหยินของทหารระดับสูง ผู้คนเลยให้เกียรติเจ้าโดยยอมให้เจ้าตายอย่างสบายหน่อย ..ยาพิษ..”
“อืมม์..ยาพิษ”
“ข้าจะเอายาถอนพิษมาให้เจ้ากินก่อน พอเจ้าดื่มยาถ้วยนั้นเข้าไปมันจะเปลี่ยนฤทธิ์ยาให้กลายเป็นยาสลบอย่างแรง ชีพจรของเจ้าจะเต้นอ่อนจนคนทั่วไปคิดว่าเจ้าตายแล้ว หมอหลวงจะมาตรวจดูอีกทีไม่ให้ชีพจรเจ้าเต้นอ่อนเกินไป”
จากนั้นศพของเจ้า...หรือก็คือร่างของเจ้า...จะถูกแขวนคอไว้บนกำแพงเมืองเพื่อให้ประจักษ์แจ้งแก่ทุกผู้ทุกคนว่าทายาทกบฏถูกฆ่าแล้วแน่นอน”
“โอ้...แขวนคอเชียว”
คนอุทานยังคงยิ้มเผล่ ท่าทางตื่นเต้นราวกับกำลังฟังนิทานสนุกๆ มากกว่าเรื่องคอขาดบาดตาย
“ก็แขวนคอน่ะสิ เวลาเจ้าเห็นศพนักโทษแขวนอยู่บนกำแพงเมือง เขาแขวนอะไรกันเล่า”
“แล้วเชือกมันจะไม่รัดคอข้าตายหรือ”
“ข้าจะเอาเชือกผูกเอวเจ้าไว้ ดึงสายมาทางข้างหลังแล้วขมวดปมซ่อนไว้แถวๆต้นคอ เชือกที่แขวนเจ้ากับกำแพงจะผูกต่อจากปมนี้ เชือกเส้นที่พันรอบคอจะผูกหลอกไว้เฉยๆ”
“อ้อ แล้วไงต่อ”
“และเนื่องจากเป็นการให้เกียรติข้า ศพของภรรยาข้าได้รับอนุญาตให้เอาลงจากกำแพงได้ในพลบค่ำ ไม่แขวนประจานเจ็ดวันเจ็ดคืนให้เสียชื่อตระกูลสี่”
“อืมม์ เป็นเหตุผลที่ดี”
“เจ้าจะถูกเอาใส่โลงแล้วไปฝังที่สุสานของตระกูลสี่ ทั้งข้า ทั้งท่านหลี่และฝ่าบาทจะไม่เคลื่อนไหวอะไรให้เป็นที่ผิดสังเกต พ้นเที่ยงคืนไปแล้วหม่าเฉาจะเป็นคนไปขุดเจ้าออกมา”
“จบรึยัง?”
“ยัง ผมสวยๆ นั่นจะต้องถูกตัด เจ้าจะกลายเป็นเด็กผู้ชายจากต่างเมือง ญาติห่างๆ ของหม่าเฉาที่พี่มาฝากไว้กับข้า”
“ได้เล้ย”
“ที่ข้ากังวลน่ะนะ คือเจ้าจะฟื้นจากยาสลบตอนบ่ายแก่ๆ ตอนนั้นคงยังถูกแขวนอยู่บนกำแพง เจ้าต้องคุมลมปราณให้ดีอย่าให้ใครเห็นว่าชีพจรยังเต้นอยู่”
“ประมาณกี่ชั่วโมง”
“บ่ายแก่ๆ จนถึงพลบค่ำ คงสักสี่ชั่วโมง”
“แต่ตอนนอนอยู่ในโลงข้าก็ยังต้องคุมลมปราณอยู่ไม่งั้นเดี๋ยวจะหายใจจนอากาศหมด”
“ยิ่งตอนอยู่ในหลุมแล้วยิ่งต้องหายใจให้ช้าลง กว่าหม่าเฉาจะไปขุดเจ้าขึ้นมาได้คงอีกสักหกชั่วโมง”
“รวมเป็นสิบชั่วโมงพอดี โหดกว่าตอนอาจารย์ฝึกข้าอีก”
“ไหวมั้ย?”
“สบายม้ากมาก ไม่ต้องห่วง ขืนข้าทำไม่ได้ท่านอาจารย์อาจออกจากหลุมแล้วคว้าไม้เรียวมาฟาดข้าเอาได้”
“ไหวแน่นะ?”
“บอกแล้วว่าสบ้าย... ตั้งแต่พรุ่งนี้จะฝึกเดินลมปราณอย่างเดียวทั้งวันเลย ...มา มาฉลองกันดีกว่า ข้าชักหิวแล้ว”
ทว่า...เพียงอีกไม่กี่วันถัดมา สีหน้าสบายใจของสี่หย่งกวงก็มลายสิ้น หน้าคมคร้ามเครียดจัด นั่งนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อน
“เป็นอะไรไปพี่กวง กลุ้มอะไรหรือ ทุกอย่างก็ไปได้สวยแล้วนี่”
“ใช่ ปราบกบฏได้ราบคาบ ขวัญและกำลังใจของทหารและประชาชนดีเยี่ยม ฮ่องเต้ทรงเป็นที่ศรัทธา ราชสำนักรวมเป็นหนึ่ง เราคงไปได้สวยในสงครามครั้งนี้”
“แล้วพี่กลุ้มอะไรล่ะ”
ผู้สูงวัยกว่สูดลมหายใจเข้าช้าๆ สีหน้ายังไม่ดีขึ้น
“ราชทูตแคว้นถังมาขอเข้าเฝ้าฯ อัญเชิญพระราชสาส์นจากฮ่องเต้แคว้นถังมา”
“ความว่าอย่างไร”
“มิทรงปรารถนาการศึก ขอผูกสัมพันธไมตรี”
“ผูกสัมพันธไมตรี? ยกทัพมาตีประชิดเนี่ยนะ? ไอ้นี่นี่กวนแท้”
“ท่านว่ามิทรงปรารถนาการศึกแต่แรกอยู่แล้ว แต่เพราะถูกพ่อเจ้าเพ็ดทูลทำให้ต้องยกทัพมาบุกแคว้นเยว่ก่อนที่แคว่นเยว่จะโจมตีแคว้นถัง ตอนนี้เมื่อความกระจ่างจึงอยากยุติศึกโดยเร็วที่สุด”
“เรื่องยุ่งๆ ทั้งหมดนี่ฝีมือพ่อข้าหรอกหรือ โธ่!”
“พ่อเจ้าน่ะ นกสองหัว สายลับสองหน้า ร้าย”
“ข้าไม่รู้เลย รู้แค่พ่อเป็นกบฏจริง เปิดประตูเมืองให้ทหารถังจริง แต่ไม่คิดว่าจะเป็นคนก่อเรื่องใด้ขนาดนี้ ไม่คิดเลยจริงๆ ...ข้าอยากตายหนีอายให้รู้แล้วรู้รอด...”
ประโยคหลังแผ่ว เสียงสลด รีบเปลี่ยนเรื่องพูดก่อนที่จะมีน้ำตาคลอ
“แล้วทางโน้นว่ายังไงอีก”
“ราชทูตบอกว่า ถังต้าเหลียงขอยุติสงคราม ทรงยินดีจะคืนหัวเมืองชั้นนอกที่ตีได้ทั้งหมดให้เรา ขอยึดไว้แค่เมืองหน้าด่านที่อยู่ในความดูแลของพ่อเจ้าแต่เดิมเท่านั้น”
“น่าสนใจ”
“และขอบรรณาการจากองค์เยี่ยหรงจีแค่ทาสแรงงานหญิงชายอย่างละห้าร้อย สาวงามชาวเยว่อีกห้าสิบ ม้าและวัวควายอีกอย่างละพันตัว”
“ตกลงไปเลยสิ จะได้ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อรบพุ่งกัน”
“สุดท้าย ขอทายาทคนเดียวของหยางซือหม่าไปรับโทษที่แคว้นถัง”
“...............”
สองหนุ่มสาววสบตากันแน่นิ่ง ...หากเพียงชั่วอึดใจ...
“รีบตกลงไปเลย คุ้ม!”
“เซียงเอ๋อ เจ้าเห็นอะไรเหมือนที่ข้าเห็นรึเปล่า”
“เห็น เค้าจ้องเล่นงานข้า เค้าแค้นพ่อข้ามากพอ ...แต่ ...แค่ชีวิตเดียวสงบศึกได้ ไม่คุ้มหรือ?”
“เจ้านี่นะ มัน...”
พูดได้แค่นี้คนตัวโตก็ยกมือขึ้นกุมขมับ
“มันคุ้มจริงๆ ใช่มั้ยล่ะ ทหารเราฝีมือไม่เลวก็จริง แต่ก็ไม่ได้เตรียมการรบ รวบรวมไพร่พลอย่างฉุกละหุก ฝ่ายโน้นได้เปรียบอยู่แล้ว เจริญสัมพันธไมตรีกันไว้ดีกว่า คนฉลาดก็คิดอย่างข้ากันทั้งนั้นแหละ”
“ก็ใช่ เค้าคิดอย่างนั้นกันทั่วท้องพระโรง เสนาหลี่เองยังยอมถอดใจ เหลือแต่ฝ่าบาทพระองค์เดียวเท่านั้นแหละ”
“เสียดายเนอะที่พี่ไม่ได้เข้าประชุมด้วย ฝ่าบาทจะได้มีพวก”
“ยังจะมีหน้ามาพูดเล่นอีก ...ฝ่าบาททรงพยายามถ่วงเวลา ยื่นเงื่อนไขกลับไปว่า จะขอตัวเชลยทุกคนคืนในอีกห้าปีข้างหน้า อย่างมีชีวิตรอด ปลอดภัย ไม่พิกลพิการ”
“รอคำตอบอยู่ใช่มั้ย”
“ไม่ใช่ ราชทูตคนเดิมเพิ่งกลับมาเมื่อสองชั่วโมงก่อนนี้เอง บอกว่าถังต้าเหลียงทรงตกลง จะไม่มีการฆ่าหรือทารุณเชลย และจะส่งตัวคืนให้ แต่ไม่ใช่ในห้าปีขอเป็นสิบปี”
“ก็ยังน่าตอบตกลงอยู่ดี เห็นมั้ย? ตกลงไปเถอะพี่กวง เค้ายื่นข้อเสนอมาดีๆ ทั้งนั้น จงใจบีบจะเอาตัวข้าให้ได้”
“หัดรักตัวกลัวตายบ้างได้มั้ย เฮอะ?”
“ไม่ได้หรอก เค้าแค้นพ่อข้าขนาดนี้ ข้าต้องไปสะสาง พูดกันให้รู้เรื่อง ชำระความกันให้เสร็จสิ้น พ่อจะได้ไปผุดไปเกิดไม่มีใครตามจองล้างจองผลาญ”
คนตัวใหญ่ดึงร่างเล็กเข้าสู่อ้อมกอด ซบหน้านิ่งลงบนเรือนผมอ่อนนุ่ม
“เวรกรรมอะไรของเจ้ากันนะ เราเพิ่งหาทางออกกันได้แท้ๆ เชียว ไม่ใช่ความผิดของเจ้าเลยด้วย”
อีกเพียงสัปดาห์หนึ่งถัดมา ขบวนเครื่องราชบรรณการเตรียมพร้อม พาหนะเคลื่อนย้ายเชลยศึกคนสำคัญเป็นลูกกรงเหล็กสูงเพียงแค่คอของคนที่กำลังคุกเข่าเท่านั้น ความกว้างห่างออกไปจากฐานตรงกลางเพียงด้านละหนึ่งช่วงแขนเท่านั้น มีสายโซ่ยาวโยงมาจากลูกกรงทั้งสี่ โดยปลายสายแต่ละด้านนั้นเป็นปอกเหล็กหนาทนทาน
นักโทษอุกฉกรรจ์เดินมาถึงขบวนอย่างงามสง่า ตรงขึ้นคุกเข่าบนแผ่นไม้กลางลูกกรงเหล็กนั้นอย่างไม่ลังเล
ทหารยามคล้องปลอกเหล็กทั้งสี่เข้ากับมือและเท้า ก่อนจะปิดประตูลูกกรงคล้องด้วยแม่กุญแจตัวใหญ่
องค์พระประมุขของแคว้นเสด็จมายืนตรงหน้า พระเนตรแห้งผาก พระพักตร์นิ่งดั่งสวมด้วยหน้ากากศิลา พระหัตถ์ปัดปอยผมที่ปรกใบหน้างามออกอย่างอ่อนโยน สุรเสียงแหบโหย
“ขอเทพยดาฟ้าดินทั้งหลายคุ้มครองให้เจ้าแคล้วคลาดปลอดภัย ข้ายังคงหวังว่าอีกสิบปีจะได้ตัวเจ้าคืนมาพร้อมเชลยคนอื่นๆ”
ราชองครักษ์เอกก้าวเข้ามาเป็นคนถัดไป มือใหญ่วางลงกลางศีรษะแน่นิ่ง แววตาแห้งผากและน้ำเสียงแหบโหยไม่แพ้คนแรก
“ถ้ามันข่มเหงรังแกหรือถูกทรมานสาหัสจนทนไม่ไหว ไม่ต้องไปทนนะ ฆ่าตัวตายไปเลย ให้สิ้นลมในชั่วอึดใจไม่ต้องทรมาน”
สุดท้ายเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่หลี่ลี่เหวินหยุดยืนมองหน้านางนิ่ง นาน ดวงตาฉายแววโศกเศร้าเด่นชัด ทว่ามิสิ้นแววชื่นชม ภาคภูมิ น้ำเสียงยังคงสุขุมและเมตตาปราณีเช่นที่เคยเป็นมา
“เพื่อชาติเพื่อแผ่นดินนะแม่นางหยาง ข้าเสียใจที่สุดปัญญาจะแก้ไขได้”
ใบหน้าขาวซีดมีรอยยิ้มหวานปลอบประโลม
“ข้าเข้าใจดี หากข้าเป็นท่านข้าก็จะทำอย่างเดียวกัน”
“ข้าภูมิใจในตัวเจ้าจริงๆ นังหนูเอ๋ย”
เสียงฝีเท้าของคนกำลังวิ่งดังแว่วมาแต่ไกล เพียงชั่วอึดใจวรองค์แบบบางของฮองเฮาก็ปรากฏตรงหน้า น้ำพระเนตรไหลเป็นทางไม่ขาดสาย พระเนตรพระนาสิกแดงช้ำ พระหัตถ์ประคองใบหน้าขาวนวลไว้พร้อมประทับพระนลาฏกับพระนาสิกลงบนหน้าผากและจมูกของนางแนบแน่น เพียงเท่านี้ สตรีที่ใจเด็ดที่สุดในแผ่นดินก็มีน้ำตาไหลเป็นทาง
“ฮองเฮารักษาพระวรกายด้วยนะเพคะ”
“ไม่ ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น เจ้าจะไม่ไปไหนทั้งสิ้น ข้าไม่ยอม ...ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันขอพระกรุณา อย่าให้ใครเอานางไปนะเพคะ”
วรองค์ใหญ่กำยำตรงเข้าหาองค์พระมเหสี หัตถ์ใหญ่ดึงวรองค์แบบบางนั้นให้ห่างจากลูกกรง ไม่มีพระวาจาใดสักคำแม้เมื่อส่งสัญญาณมือ
ขบวนใหญ่เริ่มเคลื่อนตัวออกช้าๆ จากปลายหางตานางเห็นพระนางจ้าวหลินฟงประชวรพระวาโยล้มลงในอ้อมพระพาหาของพระสวามี
เจ็บร้าวไปทั้งหัวใจ แม้จะกัดริมฝีปากแน่นจนเจ็บก็มิอาจห้ามน้ำตาซึ่งรินไหลไม่ขาดสายได้
“ถังต้าเหลียง ...ทหารของท่านฆ่าเพื่อนของข้าทั้งหมูบ้าน อาจารย์กับศิษย์พี่ทั้งหลายถูกฆ่าตายทั้งสำนัก กระทั่งถ้ำของนักพรตที่อยู่ในป่าพวกท่านก็ยังจุดไฟเผาเสียราบ ข้ายังมิเคยคิดเจ็บแค้นท่าน แม้เมื่อพ่อข้าถูกฆ่าตายอย่างทารุณข้ายังทำใจอโหสิกรรม แต่ท่านกลับผูกใจเจ็บมิรู้จักพอ ดี... ในเมื่ออยากได้ชีวิตของข้านักเอาไปเลย! ...แต่ข้าจะเอาวิญญาณท่านไปด้วย!” และภายในเย็นวันนั้นเอง สี่หย่งกวงเดินเข้าห้องมาพร้อมรอยยิ้ม และยังยิ้มอยู่ตลอดแม้จะถอดเสื้อคลุมและนำอาหารที่ซุกซ่อนมาออกมาวางเรียงไว้บนพื้นเรียบร้อยแล้ว
คนตัวเล็กสงสัย
“ยิ้มอะไร”
“ข้าเตรียมอาหารมาเยอะแยะเลยเห็นมั้ย ต้องฉลองสักหน่อย”
“ฉลองอะไร”
“ฉลองเจ้าจะถูกประหาร”
“ข้าจะถูกประหาร? อาฮ้า!”
คนจะถูกประหารยิ้มกว้าง นัยน์ตาพราวระยับ นั่งกอดเข่าตั้งอกตั้งใจฟัง
คนตัวโตเริ่มด้วยการกระแอม
“เนื่องจากเจ้าเป็นฮูหยินของข้าราชบริพารผู้มีผลงานดีเด่นที่สุดในราชสำนัก”
เสียงไอโขลกๆ ดังลั่นขัดจังหวะตั้งแต่จบประโยคแรก
“โอ๊ย..น้ำลายติดคอข้า”
“อย่าเพิ่งขัดสิวะ เนื่องจากเจ้าเป็นฮูหยินของทหารระดับสูง ผู้คนเลยให้เกียรติเจ้าโดยยอมให้เจ้าตายอย่างสบายหน่อย ..ยาพิษ..”
“อืมม์..ยาพิษ”
“ข้าจะเอายาถอนพิษมาให้เจ้ากินก่อน พอเจ้าดื่มยาถ้วยนั้นเข้าไปมันจะเปลี่ยนฤทธิ์ยาให้กลายเป็นยาสลบอย่างแรง ชีพจรของเจ้าจะเต้นอ่อนจนคนทั่วไปคิดว่าเจ้าตายแล้ว หมอหลวงจะมาตรวจดูอีกทีไม่ให้ชีพจรเจ้าเต้นอ่อนเกินไป”
จากนั้นศพของเจ้า...หรือก็คือร่างของเจ้า...จะถูกแขวนคอไว้บนกำแพงเมืองเพื่อให้ประจักษ์แจ้งแก่ทุกผู้ทุกคนว่าทายาทกบฏถูกฆ่าแล้วแน่นอน”
“โอ้...แขวนคอเชียว”
คนอุทานยังคงยิ้มเผล่ ท่าทางตื่นเต้นราวกับกำลังฟังนิทานสนุกๆ มากกว่าเรื่องคอขาดบาดตาย
“ก็แขวนคอน่ะสิ เวลาเจ้าเห็นศพนักโทษแขวนอยู่บนกำแพงเมือง เขาแขวนอะไรกันเล่า”
“แล้วเชือกมันจะไม่รัดคอข้าตายหรือ”
“ข้าจะเอาเชือกผูกเอวเจ้าไว้ ดึงสายมาทางข้างหลังแล้วขมวดปมซ่อนไว้แถวๆต้นคอ เชือกที่แขวนเจ้ากับกำแพงจะผูกต่อจากปมนี้ เชือกเส้นที่พันรอบคอจะผูกหลอกไว้เฉยๆ”
“อ้อ แล้วไงต่อ”
“และเนื่องจากเป็นการให้เกียรติข้า ศพของภรรยาข้าได้รับอนุญาตให้เอาลงจากกำแพงได้ในพลบค่ำ ไม่แขวนประจานเจ็ดวันเจ็ดคืนให้เสียชื่อตระกูลสี่”
“อืมม์ เป็นเหตุผลที่ดี”
“เจ้าจะถูกเอาใส่โลงแล้วไปฝังที่สุสานของตระกูลสี่ ทั้งข้า ทั้งท่านหลี่และฝ่าบาทจะไม่เคลื่อนไหวอะไรให้เป็นที่ผิดสังเกต พ้นเที่ยงคืนไปแล้วหม่าเฉาจะเป็นคนไปขุดเจ้าออกมา”
“จบรึยัง?”
“ยัง ผมสวยๆ นั่นจะต้องถูกตัด เจ้าจะกลายเป็นเด็กผู้ชายจากต่างเมือง ญาติห่างๆ ของหม่าเฉาที่พี่มาฝากไว้กับข้า”
“ได้เล้ย”
“ที่ข้ากังวลน่ะนะ คือเจ้าจะฟื้นจากยาสลบตอนบ่ายแก่ๆ ตอนนั้นคงยังถูกแขวนอยู่บนกำแพง เจ้าต้องคุมลมปราณให้ดีอย่าให้ใครเห็นว่าชีพจรยังเต้นอยู่”
“ประมาณกี่ชั่วโมง”
“บ่ายแก่ๆ จนถึงพลบค่ำ คงสักสี่ชั่วโมง”
“แต่ตอนนอนอยู่ในโลงข้าก็ยังต้องคุมลมปราณอยู่ไม่งั้นเดี๋ยวจะหายใจจนอากาศหมด”
“ยิ่งตอนอยู่ในหลุมแล้วยิ่งต้องหายใจให้ช้าลง กว่าหม่าเฉาจะไปขุดเจ้าขึ้นมาได้คงอีกสักหกชั่วโมง”
“รวมเป็นสิบชั่วโมงพอดี โหดกว่าตอนอาจารย์ฝึกข้าอีก”
“ไหวมั้ย?”
“สบายม้ากมาก ไม่ต้องห่วง ขืนข้าทำไม่ได้ท่านอาจารย์อาจออกจากหลุมแล้วคว้าไม้เรียวมาฟาดข้าเอาได้”
“ไหวแน่นะ?”
“บอกแล้วว่าสบ้าย... ตั้งแต่พรุ่งนี้จะฝึกเดินลมปราณอย่างเดียวทั้งวันเลย ...มา มาฉลองกันดีกว่า ข้าชักหิวแล้ว”
ทว่า...เพียงอีกไม่กี่วันถัดมา สีหน้าสบายใจของสี่หย่งกวงก็มลายสิ้น หน้าคมคร้ามเครียดจัด นั่งนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อน
“เป็นอะไรไปพี่กวง กลุ้มอะไรหรือ ทุกอย่างก็ไปได้สวยแล้วนี่”
“ใช่ ปราบกบฏได้ราบคาบ ขวัญและกำลังใจของทหารและประชาชนดีเยี่ยม ฮ่องเต้ทรงเป็นที่ศรัทธา ราชสำนักรวมเป็นหนึ่ง เราคงไปได้สวยในสงครามครั้งนี้”
“แล้วพี่กลุ้มอะไรล่ะ”
ผู้สูงวัยกว่สูดลมหายใจเข้าช้าๆ สีหน้ายังไม่ดีขึ้น
“ราชทูตแคว้นถังมาขอเข้าเฝ้าฯ อัญเชิญพระราชสาส์นจากฮ่องเต้แคว้นถังมา”
“ความว่าอย่างไร”
“มิทรงปรารถนาการศึก ขอผูกสัมพันธไมตรี”
“ผูกสัมพันธไมตรี? ยกทัพมาตีประชิดเนี่ยนะ? ไอ้นี่นี่กวนแท้”
“ท่านว่ามิทรงปรารถนาการศึกแต่แรกอยู่แล้ว แต่เพราะถูกพ่อเจ้าเพ็ดทูลทำให้ต้องยกทัพมาบุกแคว้นเยว่ก่อนที่แคว่นเยว่จะโจมตีแคว้นถัง ตอนนี้เมื่อความกระจ่างจึงอยากยุติศึกโดยเร็วที่สุด”
“เรื่องยุ่งๆ ทั้งหมดนี่ฝีมือพ่อข้าหรอกหรือ โธ่!”
“พ่อเจ้าน่ะ นกสองหัว สายลับสองหน้า ร้าย”
“ข้าไม่รู้เลย รู้แค่พ่อเป็นกบฏจริง เปิดประตูเมืองให้ทหารถังจริง แต่ไม่คิดว่าจะเป็นคนก่อเรื่องใด้ขนาดนี้ ไม่คิดเลยจริงๆ ...ข้าอยากตายหนีอายให้รู้แล้วรู้รอด...”
ประโยคหลังแผ่ว เสียงสลด รีบเปลี่ยนเรื่องพูดก่อนที่จะมีน้ำตาคลอ
“แล้วทางโน้นว่ายังไงอีก”
“ราชทูตบอกว่า ถังต้าเหลียงขอยุติสงคราม ทรงยินดีจะคืนหัวเมืองชั้นนอกที่ตีได้ทั้งหมดให้เรา ขอยึดไว้แค่เมืองหน้าด่านที่อยู่ในความดูแลของพ่อเจ้าแต่เดิมเท่านั้น”
“น่าสนใจ”
“และขอบรรณาการจากองค์เยี่ยหรงจีแค่ทาสแรงงานหญิงชายอย่างละห้าร้อย สาวงามชาวเยว่อีกห้าสิบ ม้าและวัวควายอีกอย่างละพันตัว”
“ตกลงไปเลยสิ จะได้ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อรบพุ่งกัน”
“สุดท้าย ขอทายาทคนเดียวของหยางซือหม่าไปรับโทษที่แคว้นถัง”
“...............”
สองหนุ่มสาววสบตากันแน่นิ่ง ...หากเพียงชั่วอึดใจ...
“รีบตกลงไปเลย คุ้ม!”
“เซียงเอ๋อ เจ้าเห็นอะไรเหมือนที่ข้าเห็นรึเปล่า”
“เห็น เค้าจ้องเล่นงานข้า เค้าแค้นพ่อข้ามากพอ ...แต่ ...แค่ชีวิตเดียวสงบศึกได้ ไม่คุ้มหรือ?”
“เจ้านี่นะ มัน...”
พูดได้แค่นี้คนตัวโตก็ยกมือขึ้นกุมขมับ
“มันคุ้มจริงๆ ใช่มั้ยล่ะ ทหารเราฝีมือไม่เลวก็จริง แต่ก็ไม่ได้เตรียมการรบ รวบรวมไพร่พลอย่างฉุกละหุก ฝ่ายโน้นได้เปรียบอยู่แล้ว เจริญสัมพันธไมตรีกันไว้ดีกว่า คนฉลาดก็คิดอย่างข้ากันทั้งนั้นแหละ”
“ก็ใช่ เค้าคิดอย่างนั้นกันทั่วท้องพระโรง เสนาหลี่เองยังยอมถอดใจ เหลือแต่ฝ่าบาทพระองค์เดียวเท่านั้นแหละ”
“เสียดายเนอะที่พี่ไม่ได้เข้าประชุมด้วย ฝ่าบาทจะได้มีพวก”
“ยังจะมีหน้ามาพูดเล่นอีก ...ฝ่าบาททรงพยายามถ่วงเวลา ยื่นเงื่อนไขกลับไปว่า จะขอตัวเชลยทุกคนคืนในอีกห้าปีข้างหน้า อย่างมีชีวิตรอด ปลอดภัย ไม่พิกลพิการ”
“รอคำตอบอยู่ใช่มั้ย”
“ไม่ใช่ ราชทูตคนเดิมเพิ่งกลับมาเมื่อสองชั่วโมงก่อนนี้เอง บอกว่าถังต้าเหลียงทรงตกลง จะไม่มีการฆ่าหรือทารุณเชลย และจะส่งตัวคืนให้ แต่ไม่ใช่ในห้าปีขอเป็นสิบปี”
“ก็ยังน่าตอบตกลงอยู่ดี เห็นมั้ย? ตกลงไปเถอะพี่กวง เค้ายื่นข้อเสนอมาดีๆ ทั้งนั้น จงใจบีบจะเอาตัวข้าให้ได้”
“หัดรักตัวกลัวตายบ้างได้มั้ย เฮอะ?”
“ไม่ได้หรอก เค้าแค้นพ่อข้าขนาดนี้ ข้าต้องไปสะสาง พูดกันให้รู้เรื่อง ชำระความกันให้เสร็จสิ้น พ่อจะได้ไปผุดไปเกิดไม่มีใครตามจองล้างจองผลาญ”
คนตัวใหญ่ดึงร่างเล็กเข้าสู่อ้อมกอด ซบหน้านิ่งลงบนเรือนผมอ่อนนุ่ม
“เวรกรรมอะไรของเจ้ากันนะ เราเพิ่งหาทางออกกันได้แท้ๆ เชียว ไม่ใช่ความผิดของเจ้าเลยด้วย”
อีกเพียงสัปดาห์หนึ่งถัดมา ขบวนเครื่องราชบรรณการเตรียมพร้อม พาหนะเคลื่อนย้ายเชลยศึกคนสำคัญเป็นลูกกรงเหล็กสูงเพียงแค่คอของคนที่กำลังคุกเข่าเท่านั้น ความกว้างห่างออกไปจากฐานตรงกลางเพียงด้านละหนึ่งช่วงแขนเท่านั้น มีสายโซ่ยาวโยงมาจากลูกกรงทั้งสี่ โดยปลายสายแต่ละด้านนั้นเป็นปอกเหล็กหนาทนทาน
นักโทษอุกฉกรรจ์เดินมาถึงขบวนอย่างงามสง่า ตรงขึ้นคุกเข่าบนแผ่นไม้กลางลูกกรงเหล็กนั้นอย่างไม่ลังเล
ทหารยามคล้องปลอกเหล็กทั้งสี่เข้ากับมือและเท้า ก่อนจะปิดประตูลูกกรงคล้องด้วยแม่กุญแจตัวใหญ่
องค์พระประมุขของแคว้นเสด็จมายืนตรงหน้า พระเนตรแห้งผาก พระพักตร์นิ่งดั่งสวมด้วยหน้ากากศิลา พระหัตถ์ปัดปอยผมที่ปรกใบหน้างามออกอย่างอ่อนโยน สุรเสียงแหบโหย
“ขอเทพยดาฟ้าดินทั้งหลายคุ้มครองให้เจ้าแคล้วคลาดปลอดภัย ข้ายังคงหวังว่าอีกสิบปีจะได้ตัวเจ้าคืนมาพร้อมเชลยคนอื่นๆ”
ราชองครักษ์เอกก้าวเข้ามาเป็นคนถัดไป มือใหญ่วางลงกลางศีรษะแน่นิ่ง แววตาแห้งผากและน้ำเสียงแหบโหยไม่แพ้คนแรก
“ถ้ามันข่มเหงรังแกหรือถูกทรมานสาหัสจนทนไม่ไหว ไม่ต้องไปทนนะ ฆ่าตัวตายไปเลย ให้สิ้นลมในชั่วอึดใจไม่ต้องทรมาน”
สุดท้ายเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่หลี่ลี่เหวินหยุดยืนมองหน้านางนิ่ง นาน ดวงตาฉายแววโศกเศร้าเด่นชัด ทว่ามิสิ้นแววชื่นชม ภาคภูมิ น้ำเสียงยังคงสุขุมและเมตตาปราณีเช่นที่เคยเป็นมา
“เพื่อชาติเพื่อแผ่นดินนะแม่นางหยาง ข้าเสียใจที่สุดปัญญาจะแก้ไขได้”
ใบหน้าขาวซีดมีรอยยิ้มหวานปลอบประโลม
“ข้าเข้าใจดี หากข้าเป็นท่านข้าก็จะทำอย่างเดียวกัน”
“ข้าภูมิใจในตัวเจ้าจริงๆ นังหนูเอ๋ย”
เสียงฝีเท้าของคนกำลังวิ่งดังแว่วมาแต่ไกล เพียงชั่วอึดใจวรองค์แบบบางของฮองเฮาก็ปรากฏตรงหน้า น้ำพระเนตรไหลเป็นทางไม่ขาดสาย พระเนตรพระนาสิกแดงช้ำ พระหัตถ์ประคองใบหน้าขาวนวลไว้พร้อมประทับพระนลาฏกับพระนาสิกลงบนหน้าผากและจมูกของนางแนบแน่น เพียงเท่านี้ สตรีที่ใจเด็ดที่สุดในแผ่นดินก็มีน้ำตาไหลเป็นทาง
“ฮองเฮารักษาพระวรกายด้วยนะเพคะ”
“ไม่ ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น เจ้าจะไม่ไปไหนทั้งสิ้น ข้าไม่ยอม ...ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันขอพระกรุณา อย่าให้ใครเอานางไปนะเพคะ”
วรองค์ใหญ่กำยำตรงเข้าหาองค์พระมเหสี หัตถ์ใหญ่ดึงวรองค์แบบบางนั้นให้ห่างจากลูกกรง ไม่มีพระวาจาใดสักคำแม้เมื่อส่งสัญญาณมือ
ขบวนใหญ่เริ่มเคลื่อนตัวออกช้าๆ จากปลายหางตานางเห็นพระนางจ้าวหลินฟงประชวรพระวาโยล้มลงในอ้อมพระพาหาของพระสวามี
เจ็บร้าวไปทั้งหัวใจ แม้จะกัดริมฝีปากแน่นจนเจ็บก็มิอาจห้ามน้ำตาซึ่งรินไหลไม่ขาดสายได้
“ถังต้าเหลียง ...ทหารของท่านฆ่าเพื่อนของข้าทั้งหมูบ้าน อาจารย์กับศิษย์พี่ทั้งหลายถูกฆ่าตายทั้งสำนัก กระทั่งถ้ำของนักพรตที่อยู่ในป่าพวกท่านก็ยังจุดไฟเผาเสียราบ ข้ายังมิเคยคิดเจ็บแค้นท่าน แม้เมื่อพ่อข้าถูกฆ่าตายอย่างทารุณข้ายังทำใจอโหสิกรรม แต่ท่านกลับผูกใจเจ็บมิรู้จักพอ ดี... ในเมื่ออยากได้ชีวิตของข้านักเอาไปเลย! ...แต่ข้าจะเอาวิญญาณท่านไปด้วย!”
--------------------------------------------------------------------------------------
เสียงอึกทึกโครมครามแว่วมาแต่ไกล และดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ไม่นานบานประตูห้องขังก็เปิดออก
“เอาตัวนางลงมา เร็วๆ เข้า”
สุรเสียงที่รับสั่งนั้นดังก้อง วรองค์สูงใหญ่แทบจะปราดเข้ามารวบร่างบางไว้แนบพระอุระทันทีที่โซ่ตรวนถูกปลดออก
“เป็นยังไงบ้าง เจ็บตรงไหนบ้างรึเปล่า”
หน้าขาวนวลเพียงส่ายน้อยๆ มีรอยยิ้มอ่อนหวานถวาย
“เอาโต๊ะเก้าอี้ไปวางไว้มุมห้องโน่น เร็วๆ เข้า ชุดน้ำชาก็จัดไว้ข้างๆ นั่น กระถางธูปเลื่อนมาด้านนี้ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก เร็วสิ ต้องให้ข้าเข้าไปทำเองทุกอย่างเลยมั้ย เฮอะ?”
“ฝ่าบาท ...พวกมันรนกันไปหมดแล้วพระเจ้าค่ะ”
เสนาบดีชราหลี่ลี่เหวินท้วงช้าๆ อย่างใจเย็นเช่นเคย ก่อนจะรีบเข้ามาจัดการ
“เซียงเอ๋อ... หย่งกวง... ไปคุกเข่าหน้ากระถางธูปซะ ไป”
มือหยาบจุดธูปส่งให้สองหนุ่มสาวในอีกอึดใจถัดมา
“คารวะท่านเทพฟ้าดินเสีย ให้ท่านประทานพระพรให้”
สี่หย่งกวงทำตามวาจาของผู้อาวุโสทันทีในขณะที่หยางเซียงเอ๋อมีสีหน้างุนงงอย่างเห็นได้ชัด กระนั้นก็ยังยอมทำตามโดยดี ไหว้เสร็จแล้วทั้งสองคนก็ส่งธูปคืนท่านผู้เฒ่า
ชายชราปักธูปลงในกระถางด้วยสีหน้าและแววตาที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
“เอาล่ะ ...คำนับหนึ่ง...”
หยางเซียงเอ๋อรู้สึกเย็นวาบไล่ตั้งแต่สันหลังไปจนถึงท้ายทอย นี่มันอะไรกัน?
แผ่นหลังของนางคงเกร็งจนตั้งตรงแน่ว หัตถ์ใหญ่ของเยี่ยหรงจีจึงจับศีรษะของนางให้ก้มลง เสียงของท่านหลี่ลี่เหวินจึงดังต่อมา
“...คำนับสอง... คำนับสาม...”
จากนั้นก็พระหัตถ์ของฮ่องเต้อีกนั่นแหละที่จับร่างบางหมุนไปทางซ้าย เสนาบดีอาวุโสจึงกล่าวต่อไป
“...คำนับกันและกัน...”
“ฝ่าบาท... เชิญเสด็จประทับนั่งทางนี้พระเจ้าค่ะ”
ตราบเมื่อเยี่ยหรงจีทรงทำตามคำทูลเชิญเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสก็ทรุดกายลงนั่งที่เก้าอี้ตัวข้างๆ พลางกวักมือเรียกทหารยามหน้าห้อง
“มาๆ เข้ามาเป็นพยานกันหน่อย”
“เอ้า! เซียงเอ๋อ... หย่งกวง... มายกน้ำชาให้ฝ่าบาท ให้ข้าด้วย เร็ว”
ในขณะที่คนเคยคล่องแคล่วยังคงมึน จับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก ผู้ซึ่งเปรียบเสมือนพี่ชายก็ฉุดให้นางไปนั่งเคียงข้าง กระทำตามที่ท่านผู้เฒ่าบอกจนเสร็จสิ้น
“เรียบร้อย เสร็จพิธี”
ทุกคนในห้องนั้นพร้อมกันถอนหายใจยาวเหยียด ยกเว้นคนสำคัญเพียงคนเดียวที่ยังมึนอยู่เช่นเดิม
ครั้นจะเอ่ยปากถาม หัตถ์ใหญ่ก็โบกห้ามเสียก่อน
“อย่าเพิ่งถามอะไร ตามข้ามา”
ที่คุมขังแห่งใหม่ของนางเป็นห้องขังเดี่ยวเช่นที่เคยพำนักในคืนแรก ทว่าไม่มีที่นอน หมอนมุ้ง เตรียมไว้เช่นวันก่อน มีเพียงห้องโล่งว่าง สะอาดสะอ้านเท่านั้น
“หย่งกวง อยู่ไหวมั้ย”
“ได้พระเจ้าค่ะ”
“เซียงเอ๋อ เป็นเด็กดีนะ ข้ากลับก่อนล่ะ”
“เดี๋ยวสิเพคะ”
“อยากรู้อะไรก็ถามก็คุยกันเอาเองละกัน”
ว่าแล้วก็เสด็จพระดำเนินออกไปทันทีโดยไม่ลืมที่จะจูงมือเสนาบดีคู่พระทัยออกไปด้วย
เสียงโซ่คล้องประตูเงียบลง พร้อมเสียงฝีเท้าค่อยจางหาย คนตัวเล็กหันขวับไปทางคนตัวใหญ่ทันที ดวงตาวาววับแทบลุกเป็นไฟ
สี่หย่งกวงถอดเสื้อคลุมตัวหนาปูลงบนพื้นอย่างใจเย็น มิใส่ใจกริยานั้นแต่อย่างใด
“พี่กวง!” น้ำเสียงหวานตวาดแว้ดดังเช่นที่เป็นมาเสมอยามถูกขัดใจ
“มานอนพักก่อนมา หน้าซีดยิ่งกว่าไก่ต้มแล้ว”
มือใหญ่ตบลงบนเสื้อคลุมผืนหนาบนพื้น ก่อนจะค่อยๆ ถอดเสื้อคลุมตัวบางอีกชั้น พลางหยิบขวดน้ำใบเล็กกับซาลาเปาใบย่อมที่ซ่อนอยู่ในเสื้อออกมา
“มาซี่ กินอะไรเสียหน่อยจะได้มีแรง ดูเจ้าตอนนี้น่ะนะ แค่ลมพัดก็ปลิว”
“ไม่ต้องมาพูดมาก เล่ามาเร็วเข้า”
ราชองครักษ์เอกหัวเราะเบาๆ พลางส่ายหน้า
“ค่อยยังชั่ว ข้ากลัวเจ้าจะไม่มีแม้แต่แรงจะแผลงฤทธิ์เสียอีก มาให้ข้ากอดสักทีก่อนแล้วเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง”
ร่างเล็กๆ ตรงเข้าสู่อ้อมแขนอันอบอุ่นในชั่วพริบตา มือใหญ่ลูบไล้เรือนผมลงมาจนถึงแผ่นหลังอย่างรักใคร่อ่อนโยน
“ไม่น่าเชื่อเลย ข้าแต่งงานกับพี่แล้ว”
เสียงนั้นเหมือนลอยมาจากความฝัน สี่หย่งกวงหัวเราะหึๆ ก่อนถาม
“เจ้าเคยเป็นพระสนมมาแล้ว จำได้รึเปล่า”
“ไม่เหมือนกันนี่ ตอนนั้นข้ายังเด็ก ไม่รู้หรอกว่าได้ตำแหน่งพระสนมมาหมายความว่าอย่างไร”
“แล้วมันหมายความว่าอย่างไรล่ะ”
ผิวแก้มขาวนวลมีสีเรื่อขึ้น ทำเอาคนตัวใหญ่ยิ่งยิ้มกว้างอย่างเอ็นดู
“ทำท่าทำทางให้มันเป็นผู้หญิงก็เป็น แต่ไม่ค่อยจะรู้จักทำ มัวแต่แก่นแก้วเป็นม้าดีดกะโหลกอยู่นั่นแหละ เอ้า...มา... กินนี่ซะ”
มือขาวซีดที่มีรอยช้ำรอบข้อมือเรื่อยไปจนถึงศอกเอื้อมมาหยิบซาลาเปาไปกัดกิน พลางบ่น
“ไหนว่าจะได้ข้าวต้มวันละสองมื้อไง เอาเข้าจริงๆ แค่น้ำข้าวเหม็นๆ กินไม่ลง”
“ก็นี่แหละ กลัวเจ้าจะเป็นตะคริวตายหรือไม่ก็อดตายซะก่อน เลยต้องรีบหาทางเอาเจ้าออกมาจากห้องนั้นให้เร็วที่สุด ถ่วงเวลาไว้สักระยะ แล้วจะทำอะไรต่อไปค่อยว่ากันอีกที”
“เล่ามาทั้งหมด เร็วๆ เข้า” คนพูดสั่งพลางกินพลางอย่างเอร็ดอร่อย
“ข้าก็ไม่รู้เรื่องทั้งหมดหรอก ข้าไม่มีสิทธิ์เข้าประชุมคณะเสนาบดีด้วย ไม่รู้ว่าฝ่าบาทกับเสนาหลี่เจรจากับคนอื่นๆ อย่างไร”
“เสนาหลี่ว่าอย่างไร”
“ท่านว่าข้าเป็นผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์ ไม่ยุ่งกับการเมือง ไม่เกี่ยวกับกองทัพ มีอิสระพอที่จะแต่งงานกับใครก็ได้ เจ้าก็ถูกริบตำแหน่งและทรัพย์สมบัติทุกอย่างหมดแล้ว ไม่ใช่พระสนมอีกต่อไป เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
การที่ทหารคนหนึ่งจะแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งเป็นเรื่องที่สามารถทำได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และในเมื่อผู้หญิงคนนั้นต้องโทษคดีสาหัสจนไม่สามารถจะออกนอกบริเวณคุกหลวงได้ ทหารคนนั้นก็เลยจำต้องย้ายเข้ามาอยู่ในห้องขังกับนาง
นอกจากนี้ บังเอิญว่าข้าเป็นทหารคนสนิท รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทมานาน การสมรสของข้าจึงเป็นสมรสพระราชทาน ภรรยาของข้ามีศักดิ์เป็นฮูหยิน ดังนั้นจึงไม่เป็นที่ครหาหากจะย้ายนางมาคุมขังในเขตของนักโทษชั้นดี”
“อืม”
คนฟังนั่งมองคนพูดตาแป๋ว เคี้ยวอาหารแล้วกลืน พลางยกน้ำขึ้นดื่ม
“ไม่ได้สนชื่อเสียงข้าบ้างเลย ตอนนี้ข้าจะเป็นทั้งเมียฝ่าบาทและเมียพี่เลยนะ”
“แล้วไง? ข้าไม่มัวบ้าห่วงชื่อเสียงของเจ้ามากกว่าความปลอดภัยของเจ้าหรือชีวิตของเจ้าหรอก ตอนเจ้าถูกเจ้าจอมหวางเอาตัวไป ข้ายืนเฝ้าอยู่หน้าเขตพระราชฐานฝ่ายในตั้งแต่ฝ่าบาทเสด็จเข้าไปจนกระทั่งฮองเฮาให้คนมาบอกว่าเจ้าได้สติแล้ว บอกตรงๆ เลยว่าความกลัวในตอนนั้นเทียบไม่ได้เลยกับในตอนนี้ หากเจ้าอยู่บนกางเขนนั่นอีกสักห้าหกวัน ไม่ข้าก็ฝ่าบาทต้องมีใครกลัวจนเป็นบ้าตายบ้างละ”
“พี่กวง” เสียงเรียกนั้นอ่อนหวาน น้ำตาคลอหน่อยวาววาม มือบอบบางเอื้อมมาจับมือใหญ่บีบเบาๆ
“นอนซะ”
ราชองครักษ์เอกประคองผู้ที่เพิ่งได้ชื่อว่าเป็นภรรยาให้เอนกายลงนอนบนเสื้อคลุมตัวหนาที่ได้ปูบนพื้นเตรียมไว้ แล้วจึงเหยียดกายลงนอนตะแคงข้างๆ วางศีรษะลงบนฝ่ามือข้างที่ใช้ศอกยันพื้นไว้ จ้องมองลงไปในดวงตาใสแจ๋วอย่างมีความหมาย อีกมือเอื้อมไปปัดผมอ่อนนุ่มสีน้ำตาลเปลือกไม้ออกให้พ้นผิ้วแก้มเนียนละเอียด ก่อนจะค่อยๆ โน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ จรดปลายจมูกลงบนแก้มขาวนวล
คนเคยบู๊แหลกลาญมีผิวระเรื่อขึ้นทันใด เอียงหน้าหลบพัลวัน
สี่หย่งกวงหัวเราะ
“ใช้ได้ๆ ข้าคิดว่าไอ้โซ่นั่นมันจะทำให้เจ้าคอเคล็ดซะแล้ว”
“พี่กวง!” ไอ้ตัวแสบโวยลั่น แทบจะถลันขึ้นมาหาเรื่อง
ฝ่ามือใหญ่ๆ กดไว้ให้ร่างบางยังคงนอนอยู่กับที่
“อยู่นิ่งๆ ข้าจะนวดให้ ถูกมัดอยู่ในท่าเดียวตั้งสองสามวัน กล้ามเนื้อจะตึงต้องนวดคลายเสียหน่อย เลือดจะได้ไหลเวียนได้ดีขึ้น”
“ข้าปวดจนชา ชาจนปวด แล้วก็ปวดจนชาไปทั้งตัวเลย” คนตัวเล็กบ่นอุบ
มือใหญ่ค่อยๆ จับแขนเรียวนั้นบีบนวดเบาๆ ระมัดระวังไม่ให้โดนรอยช้ำ ก่อนจะเปลี่ยนมานวดวนเบาๆ ช่วงลำตัว และจับร่างนั้นพลิกคว่ำ นวดคลึงตั้งแต่บริเวณต้นคอ หัวไหล่ ไล่ลงมายังแผ่นหลัง โล่งใจที่ไม่กระดูกหรือเส้นเอ็นตรงไหนอยู่ในที่ผิดปกติ
เมื่อจับร่างนั้นพลิกนอนหงายอีกครั้งก็อดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นหญิงสาวหลับสนิทไปเสียแล้ว
เขาค่อยๆ กางเสื้อคลุมตัวบางที่ติดมาคลุมร่างบางแทนผ้าห่ม พลางบ่นพึมพำ “อยู่ในห้องกับผู้ชายสองต่อสองยังหลับง่ายอย่างงี้ ไม่รู้จักระวังตัวเล้ย แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ห่วงได้ยังไงกัน”
เมื่อพระอาทิตย์พ้นขอบฟ้าได้ไม่นานประตูห้องคุมขังก็เปิดออก ร่างสูงลุกขึ้นยืนอย่างรู้หน้าที่ ไม่ลืมที่จะหันมาสั่งความกับคนข้างตัวก่อนว่า
“ข้าต้องออกไปทำงาน กลับเข้ามาอีกทีตอนพลบค่ำ เสื้อคลุมสองตัวนี้จะเอาไว้ที่นี่ เผื่อเจ้าจะได้นอนเล่นตอนกลางวัน เย็นนี้จะใส่เสื้อมาอีกหลายๆ ชิ้น คืนนี้เจ้าจะได้มีที่นอนนุ่มๆ กับผ้าห่มอุ่นๆ ช่วงสายๆ จะมีคนเอาอาหารมาให้ ไม่แย่ขนาดน้ำข้าวแต่ก็ไม่ใช่ของจากห้องเครื่อง ข้าวแดงของคนคุกน่ะ ฝืนกินเสียหน่อยนะจะได้ไม่หิว ไว้ตอนเย็นข้าจะแอบเอาอาหารเข้ามาให้อีก”
ผู้อาวุโสกว่ามิวายที่จะหัวเราะในลำคอ ก่อนจะกล่าวประโยคต่อไป
“แล้วข้าจะพยายามให้เจ้าได้อาบน้ำด้วย เหม็นสาบอย่างกับลูกหมาข้างถนน”
มือบางฟาดเผียะเข้าทันทีที่ต้นแขนด้วยน้ำหนักมือไม่เบาเลย
“พี่กวง! แย่มาก! พูดกับผู้หญิงอย่างงี้ได้ยังไง มิน่าถึงหาเมียไม่ได้”
“ข้าน่ะหรือ หาเมียไม่ได้”
เสียงทุ้มถามนุ่มๆ นัยน์ตาพราวระยับ คนพูดจึงเพิ่งจะนึกได้ว่าตัวเองนั่นแหละที่อยู่ในฐานะ ”เมีย” ของคนตรงหน้านี้ หน้าขาวๆ เลยกลายเป็นสีแดงปลั่ง
มือใหญ่จึงเอื้อมมาโคลงศีรษะของนางเบาๆอย่างเอ็นดู
“นั่งเล่นนอนเล่นไปก่อนนะวันนี้ ไม่ต้องลุกขึ้นมาฝึกวรยุทธล่ะ พักเสียบ้าง หัดอยู่นิ่งๆให้เป็นเสียบ้างนะ ข้าไปละ”
ในห้องขังเล็กๆ ปรากฏร่างของชายหนุ่มและหญิงสาวนอนเคียงข้างกัน ไม่มีใครสงสัยในความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาเลยแม้แต่น้อย เพราะไม่ว่าทหารยามคนใดก็ตามที่เป็นคนเปิดประตูในตอนเช้าจะต้องเห็นร่างของคนทั้งคู่นอนอิงแอบกันเช่นนี้ทุกที มีเพียงสองหนุ่มสาวและคนใกล้ชิดเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ดีว่าความสัมพันธ์ยังคงเป็นดั่งพี่น้องร่วมสายโลหิตมิเปลี่ยนแปลง
“พี่กวง”
“หืม?”
“อยู่อย่างนี้มาหลายวันแล้ว เสนาหลี่คิดอะไรออกรึยัง”
“ยัง ตอนนี้อยู่ในช่วงถ่วงเวลา ยังไม่มีใครเร่งรัดอะไรมาเลย พวกเสนาทั้งหลายเค้าเกรงใจข้ากันน่ะ อยากให้ข้าได้ใช้เวลากับเจ้าสาวสักพักก่อน ท่านหลี่ของเราเลยยิ้มออก มีเวลานอนคิดอีกสักพัก”
“อืม..ดี แต่วานบอกท่านเสนาหลี่ทีนะว่าอย่าช้านัก ไม่งั้นเดี๋ยวข้าจะช่วยคิด”
เสียงหึๆ ในลำคอลอยมาทันที่ ก่อนจะมีเสียงพูดประโยคถัดไป
“เป็นข้าก็คงรีบจนรนเลยล่ะ เพราะกลัวเจ้าจะมาช่วยคิดนี่แหละ” และภายในเย็นวันนั้นเอง สี่หย่งกวงเดินเข้าห้องมาพร้อมรอยยิ้ม และยังยิ้มอยู่ตลอดแม้จะถอดเสื้อคลุมและนำอาหารที่ซุกซ่อนมาออกมาวางเรียงไว้บนพื้นเรียบร้อยแล้ว
คนตัวเล็กสงสัย
“ยิ้มอะไร”
“ข้าเตรียมอาหารมาเยอะแยะเลยเห็นมั้ย ต้องฉลองสักหน่อย”
“ฉลองอะไร”
“ฉลองเจ้าจะถูกประหาร”
“ข้าจะถูกประหาร? อาฮ้า!”
คนจะถูกประหารยิ้มกว้าง นัยน์ตาพราวระยับ นั่งกอดเข่าตั้งอกตั้งใจฟัง
คนตัวโตเริ่มด้วยการกระแอม
“เนื่องจากเจ้าเป็นฮูหยินของข้าราชบริพารผู้มีผลงานดีเด่นที่สุดในราชสำนัก”
เสียงไอโขลกๆ ดังลั่นขัดจังหวะตั้งแต่จบประโยคแรก
“โอ๊ย..น้ำลายติดคอข้า”
“อย่าเพิ่งขัดสิวะ เนื่องจากเจ้าเป็นฮูหยินของทหารระดับสูง ผู้คนเลยให้เกียรติเจ้าโดยยอมให้เจ้าตายอย่างสบายหน่อย ..ยาพิษ..”
“อืมม์..ยาพิษ”
“ข้าจะเอายาถอนพิษมาให้เจ้ากินก่อน พอเจ้าดื่มยาถ้วยนั้นเข้าไปมันจะเปลี่ยนฤทธิ์ยาให้กลายเป็นยาสลบอย่างแรง ชีพจรของเจ้าจะเต้นอ่อนจนคนทั่วไปคิดว่าเจ้าตายแล้ว หมอหลวงจะมาตรวจดูอีกทีไม่ให้ชีพจรเจ้าเต้นอ่อนเกินไป”
จากนั้นศพของเจ้า...หรือก็คือร่างของเจ้า...จะถูกแขวนคอไว้บนกำแพงเมืองเพื่อให้ประจักษ์แจ้งแก่ทุกผู้ทุกคนว่าทายาทกบฏถูกฆ่าแล้วแน่นอน”
“โอ้...แขวนคอเชียว”
คนอุทานยังคงยิ้มเผล่ ท่าทางตื่นเต้นราวกับกำลังฟังนิทานสนุกๆ มากกว่าเรื่องคอขาดบาดตาย
“ก็แขวนคอน่ะสิ เวลาเจ้าเห็นศพนักโทษแขวนอยู่บนกำแพงเมือง เขาแขวนอะไรกันเล่า”
“แล้วเชือกมันจะไม่รัดคอข้าตายหรือ”
“ข้าจะเอาเชือกผูกเอวเจ้าไว้ ดึงสายมาทางข้างหลังแล้วขมวดปมซ่อนไว้แถวๆต้นคอ เชือกที่แขวนเจ้ากับกำแพงจะผูกต่อจากปมนี้ เชือกเส้นที่พันรอบคอจะผูกหลอกไว้เฉยๆ”
“อ้อ แล้วไงต่อ”
“และเนื่องจากเป็นการให้เกียรติข้า ศพของภรรยาข้าได้รับอนุญาตให้เอาลงจากกำแพงได้ในพลบค่ำ ไม่แขวนประจานเจ็ดวันเจ็ดคืนให้เสียชื่อตระกูลสี่”
“อืมม์ เป็นเหตุผลที่ดี”
“เจ้าจะถูกเอาใส่โลงแล้วไปฝังที่สุสานของตระกูลสี่ ทั้งข้า ทั้งท่านหลี่และฝ่าบาทจะไม่เคลื่อนไหวอะไรให้เป็นที่ผิดสังเกต พ้นเที่ยงคืนไปแล้วหม่าเฉาจะเป็นคนไปขุดเจ้าออกมา”
“จบรึยัง?”
“ยัง ผมสวยๆ นั่นจะต้องถูกตัด เจ้าจะกลายเป็นเด็กผู้ชายจากต่างเมือง ญาติห่างๆ ของหม่าเฉาที่พี่มาฝากไว้กับข้า”
“ได้เล้ย”
“ที่ข้ากังวลน่ะนะ คือเจ้าจะฟื้นจากยาสลบตอนบ่ายแก่ๆ ตอนนั้นคงยังถูกแขวนอยู่บนกำแพง เจ้าต้องคุมลมปราณให้ดีอย่าให้ใครเห็นว่าชีพจรยังเต้นอยู่”
“ประมาณกี่ชั่วโมง”
“บ่ายแก่ๆ จนถึงพลบค่ำ คงสักสี่ชั่วโมง”
“แต่ตอนนอนอยู่ในโลงข้าก็ยังต้องคุมลมปราณอยู่ไม่งั้นเดี๋ยวจะหายใจจนอากาศหมด”
“ยิ่งตอนอยู่ในหลุมแล้วยิ่งต้องหายใจให้ช้าลง กว่าหม่าเฉาจะไปขุดเจ้าขึ้นมาได้คงอีกสักหกชั่วโมง”
“รวมเป็นสิบชั่วโมงพอดี โหดกว่าตอนอาจารย์ฝึกข้าอีก”
“ไหวมั้ย?”
“สบายม้ากมาก ไม่ต้องห่วง ขืนข้าทำไม่ได้ท่านอาจารย์อาจออกจากหลุมแล้วคว้าไม้เรียวมาฟาดข้าเอาได้”
“ไหวแน่นะ?”
“บอกแล้วว่าสบ้าย... ตั้งแต่พรุ่งนี้จะฝึกเดินลมปราณอย่างเดียวทั้งวันเลย ...มา มาฉลองกันดีกว่า ข้าชักหิวแล้ว”
ทว่า...เพียงอีกไม่กี่วันถัดมา สีหน้าสบายใจของสี่หย่งกวงก็มลายสิ้น หน้าคมคร้ามเครียดจัด นั่งนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อน
“เป็นอะไรไปพี่กวง กลุ้มอะไรหรือ ทุกอย่างก็ไปได้สวยแล้วนี่”
“ใช่ ปราบกบฏได้ราบคาบ ขวัญและกำลังใจของทหารและประชาชนดีเยี่ยม ฮ่องเต้ทรงเป็นที่ศรัทธา ราชสำนักรวมเป็นหนึ่ง เราคงไปได้สวยในสงครามครั้งนี้”
“แล้วพี่กลุ้มอะไรล่ะ”
ผู้สูงวัยกว่สูดลมหายใจเข้าช้าๆ สีหน้ายังไม่ดีขึ้น
“ราชทูตแคว้นถังมาขอเข้าเฝ้าฯ อัญเชิญพระราชสาส์นจากฮ่องเต้แคว้นถังมา”
“ความว่าอย่างไร”
“มิทรงปรารถนาการศึก ขอผูกสัมพันธไมตรี”
“ผูกสัมพันธไมตรี? ยกทัพมาตีประชิดเนี่ยนะ? ไอ้นี่นี่กวนแท้”
“ท่านว่ามิทรงปรารถนาการศึกแต่แรกอยู่แล้ว แต่เพราะถูกพ่อเจ้าเพ็ดทูลทำให้ต้องยกทัพมาบุกแคว้นเยว่ก่อนที่แคว่นเยว่จะโจมตีแคว้นถัง ตอนนี้เมื่อความกระจ่างจึงอยากยุติศึกโดยเร็วที่สุด”
“เรื่องยุ่งๆ ทั้งหมดนี่ฝีมือพ่อข้าหรอกหรือ โธ่!”
“พ่อเจ้าน่ะ นกสองหัว สายลับสองหน้า ร้าย”
“ข้าไม่รู้เลย รู้แค่พ่อเป็นกบฏจริง เปิดประตูเมืองให้ทหารถังจริง แต่ไม่คิดว่าจะเป็นคนก่อเรื่องใด้ขนาดนี้ ไม่คิดเลยจริงๆ ...ข้าอยากตายหนีอายให้รู้แล้วรู้รอด...”
ประโยคหลังแผ่ว เสียงสลด รีบเปลี่ยนเรื่องพูดก่อนที่จะมีน้ำตาคลอ
“แล้วทางโน้นว่ายังไงอีก”
“ราชทูตบอกว่า ถังต้าเหลียงขอยุติสงคราม ทรงยินดีจะคืนหัวเมืองชั้นนอกที่ตีได้ทั้งหมดให้เรา ขอยึดไว้แค่เมืองหน้าด่านที่อยู่ในความดูแลของพ่อเจ้าแต่เดิมเท่านั้น”
“น่าสนใจ”
“และขอบรรณาการจากองค์เยี่ยหรงจีแค่ทาสแรงงานหญิงชายอย่างละห้าร้อย สาวงามชาวเยว่อีกห้าสิบ ม้าและวัวควายอีกอย่างละพันตัว”
“ตกลงไปเลยสิ จะได้ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อรบพุ่งกัน”
“สุดท้าย ขอทายาทคนเดียวของหยางซือหม่าไปรับโทษที่แคว้นถัง”
“...............”
สองหนุ่มสาววสบตากันแน่นิ่ง ...หากเพียงชั่วอึดใจ...
“รีบตกลงไปเลย คุ้ม!”
“เซียงเอ๋อ เจ้าเห็นอะไรเหมือนที่ข้าเห็นรึเปล่า”
“เห็น เค้าจ้องเล่นงานข้า เค้าแค้นพ่อข้ามากพอ ...แต่ ...แค่ชีวิตเดียวสงบศึกได้ ไม่คุ้มหรือ?”
“เจ้านี่นะ มัน...”
พูดได้แค่นี้คนตัวโตก็ยกมือขึ้นกุมขมับ
“มันคุ้มจริงๆ ใช่มั้ยล่ะ ทหารเราฝีมือไม่เลวก็จริง แต่ก็ไม่ได้เตรียมการรบ รวบรวมไพร่พลอย่างฉุกละหุก ฝ่ายโน้นได้เปรียบอยู่แล้ว เจริญสัมพันธไมตรีกันไว้ดีกว่า คนฉลาดก็คิดอย่างข้ากันทั้งนั้นแหละ”
“ก็ใช่ เค้าคิดอย่างนั้นกันทั่วท้องพระโรง เสนาหลี่เองยังยอมถอดใจ เหลือแต่ฝ่าบาทพระองค์เดียวเท่านั้นแหละ”
“เสียดายเนอะที่พี่ไม่ได้เข้าประชุมด้วย ฝ่าบาทจะได้มีพวก”
“ยังจะมีหน้ามาพูดเล่นอีก ...ฝ่าบาททรงพยายามถ่วงเวลา ยื่นเงื่อนไขกลับไปว่า จะขอตัวเชลยทุกคนคืนในอีกห้าปีข้างหน้า อย่างมีชีวิตรอด ปลอดภัย ไม่พิกลพิการ”
“รอคำตอบอยู่ใช่มั้ย”
“ไม่ใช่ ราชทูตคนเดิมเพิ่งกลับมาเมื่อสองชั่วโมงก่อนนี้เอง บอกว่าถังต้าเหลียงทรงตกลง จะไม่มีการฆ่าหรือทารุณเชลย และจะส่งตัวคืนให้ แต่ไม่ใช่ในห้าปีขอเป็นสิบปี”
“ก็ยังน่าตอบตกลงอยู่ดี เห็นมั้ย? ตกลงไปเถอะพี่กวง เค้ายื่นข้อเสนอมาดีๆ ทั้งนั้น จงใจบีบจะเอาตัวข้าให้ได้”
“หัดรักตัวกลัวตายบ้างได้มั้ย เฮอะ?”
“ไม่ได้หรอก เค้าแค้นพ่อข้าขนาดนี้ ข้าต้องไปสะสาง พูดกันให้รู้เรื่อง ชำระความกันให้เสร็จสิ้น พ่อจะได้ไปผุดไปเกิดไม่มีใครตามจองล้างจองผลาญ”
คนตัวใหญ่ดึงร่างเล็กเข้าสู่อ้อมกอด ซบหน้านิ่งลงบนเรือนผมอ่อนนุ่ม
“เวรกรรมอะไรของเจ้ากันนะ เราเพิ่งหาทางออกกันได้แท้ๆ เชียว ไม่ใช่ความผิดของเจ้าเลยด้วย”
อีกเพียงสัปดาห์หนึ่งถัดมา ขบวนเครื่องราชบรรณการเตรียมพร้อม พาหนะเคลื่อนย้ายเชลยศึกคนสำคัญเป็นลูกกรงเหล็กสูงเพียงแค่คอของคนที่กำลังคุกเข่าเท่านั้น ความกว้างห่างออกไปจากฐานตรงกลางเพียงด้านละหนึ่งช่วงแขนเท่านั้น มีสายโซ่ยาวโยงมาจากลูกกรงทั้งสี่ โดยปลายสายแต่ละด้านนั้นเป็นปอกเหล็กหนาทนทาน
นักโทษอุกฉกรรจ์เดินมาถึงขบวนอย่างงามสง่า ตรงขึ้นคุกเข่าบนแผ่นไม้กลางลูกกรงเหล็กนั้นอย่างไม่ลังเล
ทหารยามคล้องปลอกเหล็กทั้งสี่เข้ากับมือและเท้า ก่อนจะปิดประตูลูกกรงคล้องด้วยแม่กุญแจตัวใหญ่
องค์พระประมุขของแคว้นเสด็จมายืนตรงหน้า พระเนตรแห้งผาก พระพักตร์นิ่งดั่งสวมด้วยหน้ากากศิลา พระหัตถ์ปัดปอยผมที่ปรกใบหน้างามออกอย่างอ่อนโยน สุรเสียงแหบโหย
“ขอเทพยดาฟ้าดินทั้งหลายคุ้มครองให้เจ้าแคล้วคลาดปลอดภัย ข้ายังคงหวังว่าอีกสิบปีจะได้ตัวเจ้าคืนมาพร้อมเชลยคนอื่นๆ”
ราชองครักษ์เอกก้าวเข้ามาเป็นคนถัดไป มือใหญ่วางลงกลางศีรษะแน่นิ่ง แววตาแห้งผากและน้ำเสียงแหบโหยไม่แพ้คนแรก
“ถ้ามันข่มเหงรังแกหรือถูกทรมานสาหัสจนทนไม่ไหว ไม่ต้องไปทนนะ ฆ่าตัวตายไปเลย ให้สิ้นลมในชั่วอึดใจไม่ต้องทรมาน”
สุดท้ายเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่หลี่ลี่เหวินหยุดยืนมองหน้านางนิ่ง นาน ดวงตาฉายแววโศกเศร้าเด่นชัด ทว่ามิสิ้นแววชื่นชม ภาคภูมิ น้ำเสียงยังคงสุขุมและเมตตาปราณีเช่นที่เคยเป็นมา
“เพื่อชาติเพื่อแผ่นดินนะแม่นางหยาง ข้าเสียใจที่สุดปัญญาจะแก้ไขได้”
ใบหน้าขาวซีดมีรอยยิ้มหวานปลอบประโลม
“ข้าเข้าใจดี หากข้าเป็นท่านข้าก็จะทำอย่างเดียวกัน”
“ข้าภูมิใจในตัวเจ้าจริงๆ นังหนูเอ๋ย”
เสียงฝีเท้าของคนกำลังวิ่งดังแว่วมาแต่ไกล เพียงชั่วอึดใจวรองค์แบบบางของฮองเฮาก็ปรากฏตรงหน้า น้ำพระเนตรไหลเป็นทางไม่ขาดสาย พระเนตรพระนาสิกแดงช้ำ พระหัตถ์ประคองใบหน้าขาวนวลไว้พร้อมประทับพระนลาฏกับพระนาสิกลงบนหน้าผากและจมูกของนางแนบแน่น เพียงเท่านี้ สตรีที่ใจเด็ดที่สุดในแผ่นดินก็มีน้ำตาไหลเป็นทาง
“ฮองเฮารักษาพระวรกายด้วยนะเพคะ”
“ไม่ ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น เจ้าจะไม่ไปไหนทั้งสิ้น ข้าไม่ยอม ...ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันขอพระกรุณา อย่าให้ใครเอานางไปนะเพคะ”
วรองค์ใหญ่กำยำตรงเข้าหาองค์พระมเหสี หัตถ์ใหญ่ดึงวรองค์แบบบางนั้นให้ห่างจากลูกกรง ไม่มีพระวาจาใดสักคำแม้เมื่อส่งสัญญาณมือ
ขบวนใหญ่เริ่มเคลื่อนตัวออกช้าๆ จากปลายหางตานางเห็นพระนางจ้าวหลินฟงประชวรพระวาโยล้มลงในอ้อมพระพาหาของพระสวามี
เจ็บร้าวไปทั้งหัวใจ แม้จะกัดริมฝีปากแน่นจนเจ็บก็มิอาจห้ามน้ำตาซึ่งรินไหลไม่ขาดสายได้
“ถังต้าเหลียง ...ทหารของท่านฆ่าเพื่อนของข้าทั้งหมูบ้าน อาจารย์กับศิษย์พี่ทั้งหลายถูกฆ่าตายทั้งสำนัก กระทั่งถ้ำของนักพรตที่อยู่ในป่าพวกท่านก็ยังจุดไฟเผาเสียราบ ข้ายังมิเคยคิดเจ็บแค้นท่าน แม้เมื่อพ่อข้าถูกฆ่าตายอย่างทารุณข้ายังทำใจอโหสิกรรม แต่ท่านกลับผูกใจเจ็บมิรู้จักพอ ดี... ในเมื่ออยากได้ชีวิตของข้านักเอาไปเลย! ...แต่ข้าจะเอาวิญญาณท่านไปด้วย!”
และภายในเย็นวันนั้นเอง สี่หย่งกวงเดินเข้าห้องมาพร้อมรอยยิ้ม และยังยิ้มอยู่ตลอดแม้จะถอดเสื้อคลุมและนำอาหารที่ซุกซ่อนมาออกมาวางเรียงไว้บนพื้นเรียบร้อยแล้ว
คนตัวเล็กสงสัย
“ยิ้มอะไร”
“ข้าเตรียมอาหารมาเยอะแยะเลยเห็นมั้ย ต้องฉลองสักหน่อย”
“ฉลองอะไร”
“ฉลองเจ้าจะถูกประหาร”
“ข้าจะถูกประหาร? อาฮ้า!”
คนจะถูกประหารยิ้มกว้าง นัยน์ตาพราวระยับ นั่งกอดเข่าตั้งอกตั้งใจฟัง
คนตัวโตเริ่มด้วยการกระแอม
“เนื่องจากเจ้าเป็นฮูหยินของข้าราชบริพารผู้มีผลงานดีเด่นที่สุดในราชสำนัก”
เสียงไอโขลกๆ ดังลั่นขัดจังหวะตั้งแต่จบประโยคแรก
“โอ๊ย..น้ำลายติดคอข้า”
“อย่าเพิ่งขัดสิวะ เนื่องจากเจ้าเป็นฮูหยินของทหารระดับสูง ผู้คนเลยให้เกียรติเจ้าโดยยอมให้เจ้าตายอย่างสบายหน่อย ..ยาพิษ..”
“อืมม์..ยาพิษ”
“ข้าจะเอายาถอนพิษมาให้เจ้ากินก่อน พอเจ้าดื่มยาถ้วยนั้นเข้าไปมันจะเปลี่ยนฤทธิ์ยาให้กลายเป็นยาสลบอย่างแรง ชีพจรของเจ้าจะเต้นอ่อนจนคนทั่วไปคิดว่าเจ้าตายแล้ว หมอหลวงจะมาตรวจดูอีกทีไม่ให้ชีพจรเจ้าเต้นอ่อนเกินไป”
จากนั้นศพของเจ้า...หรือก็คือร่างของเจ้า...จะถูกแขวนคอไว้บนกำแพงเมืองเพื่อให้ประจักษ์แจ้งแก่ทุกผู้ทุกคนว่าทายาทกบฏถูกฆ่าแล้วแน่นอน”
“โอ้...แขวนคอเชียว”
คนอุทานยังคงยิ้มเผล่ ท่าทางตื่นเต้นราวกับกำลังฟังนิทานสนุกๆ มากกว่าเรื่องคอขาดบาดตาย
“ก็แขวนคอน่ะสิ เวลาเจ้าเห็นศพนักโทษแขวนอยู่บนกำแพงเมือง เขาแขวนอะไรกันเล่า”
“แล้วเชือกมันจะไม่รัดคอข้าตายหรือ”
“ข้าจะเอาเชือกผูกเอวเจ้าไว้ ดึงสายมาทางข้างหลังแล้วขมวดปมซ่อนไว้แถวๆต้นคอ เชือกที่แขวนเจ้ากับกำแพงจะผูกต่อจากปมนี้ เชือกเส้นที่พันรอบคอจะผูกหลอกไว้เฉยๆ”
“อ้อ แล้วไงต่อ”
“และเนื่องจากเป็นการให้เกียรติข้า ศพของภรรยาข้าได้รับอนุญาตให้เอาลงจากกำแพงได้ในพลบค่ำ ไม่แขวนประจานเจ็ดวันเจ็ดคืนให้เสียชื่อตระกูลสี่”
“อืมม์ เป็นเหตุผลที่ดี”
“เจ้าจะถูกเอาใส่โลงแล้วไปฝังที่สุสานของตระกูลสี่ ทั้งข้า ทั้งท่านหลี่และฝ่าบาทจะไม่เคลื่อนไหวอะไรให้เป็นที่ผิดสังเกต พ้นเที่ยงคืนไปแล้วหม่าเฉาจะเป็นคนไปขุดเจ้าออกมา”
“จบรึยัง?”
“ยัง ผมสวยๆ นั่นจะต้องถูกตัด เจ้าจะกลายเป็นเด็กผู้ชายจากต่างเมือง ญาติห่างๆ ของหม่าเฉาที่พี่มาฝากไว้กับข้า”
“ได้เล้ย”
“ที่ข้ากังวลน่ะนะ คือเจ้าจะฟื้นจากยาสลบตอนบ่ายแก่ๆ ตอนนั้นคงยังถูกแขวนอยู่บนกำแพง เจ้าต้องคุมลมปราณให้ดีอย่าให้ใครเห็นว่าชีพจรยังเต้นอยู่”
“ประมาณกี่ชั่วโมง”
“บ่ายแก่ๆ จนถึงพลบค่ำ คงสักสี่ชั่วโมง”
“แต่ตอนนอนอยู่ในโลงข้าก็ยังต้องคุมลมปราณอยู่ไม่งั้นเดี๋ยวจะหายใจจนอากาศหมด”
“ยิ่งตอนอยู่ในหลุมแล้วยิ่งต้องหายใจให้ช้าลง กว่าหม่าเฉาจะไปขุดเจ้าขึ้นมาได้คงอีกสักหกชั่วโมง”
“รวมเป็นสิบชั่วโมงพอดี โหดกว่าตอนอาจารย์ฝึกข้าอีก”
“ไหวมั้ย?”
“สบายม้ากมาก ไม่ต้องห่วง ขืนข้าทำไม่ได้ท่านอาจารย์อาจออกจากหลุมแล้วคว้าไม้เรียวมาฟาดข้าเอาได้”
“ไหวแน่นะ?”
“บอกแล้วว่าสบ้าย... ตั้งแต่พรุ่งนี้จะฝึกเดินลมปราณอย่างเดียวทั้งวันเลย ...มา มาฉลองกันดีกว่า ข้าชักหิวแล้ว”
ทว่า...เพียงอีกไม่กี่วันถัดมา สีหน้าสบายใจของสี่หย่งกวงก็มลายสิ้น หน้าคมคร้ามเครียดจัด นั่งนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อน
“เป็นอะไรไปพี่กวง กลุ้มอะไรหรือ ทุกอย่างก็ไปได้สวยแล้วนี่”
“ใช่ ปราบกบฏได้ราบคาบ ขวัญและกำลังใจของทหารและประชาชนดีเยี่ยม ฮ่องเต้ทรงเป็นที่ศรัทธา ราชสำนักรวมเป็นหนึ่ง เราคงไปได้สวยในสงครามครั้งนี้”
“แล้วพี่กลุ้มอะไรล่ะ”
ผู้สูงวัยกว่สูดลมหายใจเข้าช้าๆ สีหน้ายังไม่ดีขึ้น
“ราชทูตแคว้นถังมาขอเข้าเฝ้าฯ อัญเชิญพระราชสาส์นจากฮ่องเต้แคว้นถังมา”
“ความว่าอย่างไร”
“มิทรงปรารถนาการศึก ขอผูกสัมพันธไมตรี”
“ผูกสัมพันธไมตรี? ยกทัพมาตีประชิดเนี่ยนะ? ไอ้นี่นี่กวนแท้”
“ท่านว่ามิทรงปรารถนาการศึกแต่แรกอยู่แล้ว แต่เพราะถูกพ่อเจ้าเพ็ดทูลทำให้ต้องยกทัพมาบุกแคว้นเยว่ก่อนที่แคว่นเยว่จะโจมตีแคว้นถัง ตอนนี้เมื่อความกระจ่างจึงอยากยุติศึกโดยเร็วที่สุด”
“เรื่องยุ่งๆ ทั้งหมดนี่ฝีมือพ่อข้าหรอกหรือ โธ่!”
“พ่อเจ้าน่ะ นกสองหัว สายลับสองหน้า ร้าย”
“ข้าไม่รู้เลย รู้แค่พ่อเป็นกบฏจริง เปิดประตูเมืองให้ทหารถังจริง แต่ไม่คิดว่าจะเป็นคนก่อเรื่องใด้ขนาดนี้ ไม่คิดเลยจริงๆ ...ข้าอยากตายหนีอายให้รู้แล้วรู้รอด...”
ประโยคหลังแผ่ว เสียงสลด รีบเปลี่ยนเรื่องพูดก่อนที่จะมีน้ำตาคลอ
“แล้วทางโน้นว่ายังไงอีก”
“ราชทูตบอกว่า ถังต้าเหลียงขอยุติสงคราม ทรงยินดีจะคืนหัวเมืองชั้นนอกที่ตีได้ทั้งหมดให้เรา ขอยึดไว้แค่เมืองหน้าด่านที่อยู่ในความดูแลของพ่อเจ้าแต่เดิมเท่านั้น”
“น่าสนใจ”
“และขอบรรณาการจากองค์เยี่ยหรงจีแค่ทาสแรงงานหญิงชายอย่างละห้าร้อย สาวงามชาวเยว่อีกห้าสิบ ม้าและวัวควายอีกอย่างละพันตัว”
“ตกลงไปเลยสิ จะได้ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อรบพุ่งกัน”
“สุดท้าย ขอทายาทคนเดียวของหยางซือหม่าไปรับโทษที่แคว้นถัง”
“...............”
สองหนุ่มสาววสบตากันแน่นิ่ง ...หากเพียงชั่วอึดใจ...
“รีบตกลงไปเลย คุ้ม!”
“เซียงเอ๋อ เจ้าเห็นอะไรเหมือนที่ข้าเห็นรึเปล่า”
“เห็น เค้าจ้องเล่นงานข้า เค้าแค้นพ่อข้ามากพอ ...แต่ ...แค่ชีวิตเดียวสงบศึกได้ ไม่คุ้มหรือ?”
“เจ้านี่นะ มัน...”
พูดได้แค่นี้คนตัวโตก็ยกมือขึ้นกุมขมับ
“มันคุ้มจริงๆ ใช่มั้ยล่ะ ทหารเราฝีมือไม่เลวก็จริง แต่ก็ไม่ได้เตรียมการรบ รวบรวมไพร่พลอย่างฉุกละหุก ฝ่ายโน้นได้เปรียบอยู่แล้ว เจริญสัมพันธไมตรีกันไว้ดีกว่า คนฉลาดก็คิดอย่างข้ากันทั้งนั้นแหละ”
“ก็ใช่ เค้าคิดอย่างนั้นกันทั่วท้องพระโรง เสนาหลี่เองยังยอมถอดใจ เหลือแต่ฝ่าบาทพระองค์เดียวเท่านั้นแหละ”
“เสียดายเนอะที่พี่ไม่ได้เข้าประชุมด้วย ฝ่าบาทจะได้มีพวก”
“ยังจะมีหน้ามาพูดเล่นอีก ...ฝ่าบาททรงพยายามถ่วงเวลา ยื่นเงื่อนไขกลับไปว่า จะขอตัวเชลยทุกคนคืนในอีกห้าปีข้างหน้า อย่างมีชีวิตรอด ปลอดภัย ไม่พิกลพิการ”
“รอคำตอบอยู่ใช่มั้ย”
“ไม่ใช่ ราชทูตคนเดิมเพิ่งกลับมาเมื่อสองชั่วโมงก่อนนี้เอง บอกว่าถังต้าเหลียงทรงตกลง จะไม่มีการฆ่าหรือทารุณเชลย และจะส่งตัวคืนให้ แต่ไม่ใช่ในห้าปีขอเป็นสิบปี”
“ก็ยังน่าตอบตกลงอยู่ดี เห็นมั้ย? ตกลงไปเถอะพี่กวง เค้ายื่นข้อเสนอมาดีๆ ทั้งนั้น จงใจบีบจะเอาตัวข้าให้ได้”
“หัดรักตัวกลัวตายบ้างได้มั้ย เฮอะ?”
“ไม่ได้หรอก เค้าแค้นพ่อข้าขนาดนี้ ข้าต้องไปสะสาง พูดกันให้รู้เรื่อง ชำระความกันให้เสร็จสิ้น พ่อจะได้ไปผุดไปเกิดไม่มีใครตามจองล้างจองผลาญ”
คนตัวใหญ่ดึงร่างเล็กเข้าสู่อ้อมกอด ซบหน้านิ่งลงบนเรือนผมอ่อนนุ่ม
“เวรกรรมอะไรของเจ้ากันนะ เราเพิ่งหาทางออกกันได้แท้ๆ เชียว ไม่ใช่ความผิดของเจ้าเลยด้วย”
อีกเพียงสัปดาห์หนึ่งถัดมา ขบวนเครื่องราชบรรณการเตรียมพร้อม พาหนะเคลื่อนย้ายเชลยศึกคนสำคัญเป็นลูกกรงเหล็กสูงเพียงแค่คอของคนที่กำลังคุกเข่าเท่านั้น ความกว้างห่างออกไปจากฐานตรงกลางเพียงด้านละหนึ่งช่วงแขนเท่านั้น มีสายโซ่ยาวโยงมาจากลูกกรงทั้งสี่ โดยปลายสายแต่ละด้านนั้นเป็นปอกเหล็กหนาทนทาน
นักโทษอุกฉกรรจ์เดินมาถึงขบวนอย่างงามสง่า ตรงขึ้นคุกเข่าบนแผ่นไม้กลางลูกกรงเหล็กนั้นอย่างไม่ลังเล
ทหารยามคล้องปลอกเหล็กทั้งสี่เข้ากับมือและเท้า ก่อนจะปิดประตูลูกกรงคล้องด้วยแม่กุญแจตัวใหญ่
องค์พระประมุขของแคว้นเสด็จมายืนตรงหน้า พระเนตรแห้งผาก พระพักตร์นิ่งดั่งสวมด้วยหน้ากากศิลา พระหัตถ์ปัดปอยผมที่ปรกใบหน้างามออกอย่างอ่อนโยน สุรเสียงแหบโหย
“ขอเทพยดาฟ้าดินทั้งหลายคุ้มครองให้เจ้าแคล้วคลาดปลอดภัย ข้ายังคงหวังว่าอีกสิบปีจะได้ตัวเจ้าคืนมาพร้อมเชลยคนอื่นๆ”
ราชองครักษ์เอกก้าวเข้ามาเป็นคนถัดไป มือใหญ่วางลงกลางศีรษะแน่นิ่ง แววตาแห้งผากและน้ำเสียงแหบโหยไม่แพ้คนแรก
“ถ้ามันข่มเหงรังแกหรือถูกทรมานสาหัสจนทนไม่ไหว ไม่ต้องไปทนนะ ฆ่าตัวตายไปเลย ให้สิ้นลมในชั่วอึดใจไม่ต้องทรมาน”
สุดท้ายเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่หลี่ลี่เหวินหยุดยืนมองหน้านางนิ่ง นาน ดวงตาฉายแววโศกเศร้าเด่นชัด ทว่ามิสิ้นแววชื่นชม ภาคภูมิ น้ำเสียงยังคงสุขุมและเมตตาปราณีเช่นที่เคยเป็นมา
“เพื่อชาติเพื่อแผ่นดินนะแม่นางหยาง ข้าเสียใจที่สุดปัญญาจะแก้ไขได้”
ใบหน้าขาวซีดมีรอยยิ้มหวานปลอบประโลม
“ข้าเข้าใจดี หากข้าเป็นท่านข้าก็จะทำอย่างเดียวกัน”
“ข้าภูมิใจในตัวเจ้าจริงๆ นังหนูเอ๋ย”
เสียงฝีเท้าของคนกำลังวิ่งดังแว่วมาแต่ไกล เพียงชั่วอึดใจวรองค์แบบบางของฮองเฮาก็ปรากฏตรงหน้า น้ำพระเนตรไหลเป็นทางไม่ขาดสาย พระเนตรพระนาสิกแดงช้ำ พระหัตถ์ประคองใบหน้าขาวนวลไว้พร้อมประทับพระนลาฏกับพระนาสิกลงบนหน้าผากและจมูกของนางแนบแน่น เพียงเท่านี้ สตรีที่ใจเด็ดที่สุดในแผ่นดินก็มีน้ำตาไหลเป็นทาง
“ฮองเฮารักษาพระวรกายด้วยนะเพคะ”
“ไม่ ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น เจ้าจะไม่ไปไหนทั้งสิ้น ข้าไม่ยอม ...ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันขอพระกรุณา อย่าให้ใครเอานางไปนะเพคะ”
วรองค์ใหญ่กำยำตรงเข้าหาองค์พระมเหสี หัตถ์ใหญ่ดึงวรองค์แบบบางนั้นให้ห่างจากลูกกรง ไม่มีพระวาจาใดสักคำแม้เมื่อส่งสัญญาณมือ
ขบวนใหญ่เริ่มเคลื่อนตัวออกช้าๆ จากปลายหางตานางเห็นพระนางจ้าวหลินฟงประชวรพระวาโยล้มลงในอ้อมพระพาหาของพระสวามี
เจ็บร้าวไปทั้งหัวใจ แม้จะกัดริมฝีปากแน่นจนเจ็บก็มิอาจห้ามน้ำตาซึ่งรินไหลไม่ขาดสายได้
“ถังต้าเหลียง ...ทหารของท่านฆ่าเพื่อนของข้าทั้งหมูบ้าน อาจารย์กับศิษย์พี่ทั้งหลายถูกฆ่าตายทั้งสำนัก กระทั่งถ้ำของนักพรตที่อยู่ในป่าพวกท่านก็ยังจุดไฟเผาเสียราบ ข้ายังมิเคยคิดเจ็บแค้นท่าน แม้เมื่อพ่อข้าถูกฆ่าตายอย่างทารุณข้ายังทำใจอโหสิกรรม แต่ท่านกลับผูกใจเจ็บมิรู้จักพอ ดี... ในเมื่ออยากได้ชีวิตของข้านักเอาไปเลย! ...แต่ข้าจะเอาวิญญาณท่านไปด้วย!”
ความคิดเห็น