คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 2
ตัวละครฝ่ายแคว่นเยว่
เยี่ยหรงจี ฮ่องเต้ หรือ กษัตริย์แห่งแคว้นเยว่
พระนางจ้าวหลินฟง ฮองเฮา หรือ พระราชินีแห่งแคว้นเยว่ หรือมเหสีเอกของฮ่องเต้
หยางเซียงเอ๋อ นางเอกของเรา เป็นลูกสาวของแม่ทัพใหญ่คนหนึ่งในแคว้นซึ่งบิดานำมาฝากไว้ให้เป็นนางพระกำนัลของฮองเฮาตั้งแต่อายุ12 จึงเป็นทั้งคนโปรดของฮองเฮาและของฮ่องเต้มาตั้งแต่เด็ก
หยางซือหม่า พ่อของหยางเซียงเอ๋อ ตายไปแล้ว ไม่ได้ปรากฏตัวในเรื่อง แต่เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดศึกของทั้งสองแคว้น(แคว้นเยว่กับแคว้นถัง)
สี่หย่งกวง ผู้บัญชาการทองทหารรักษาพระองค์ องครักษ์คนสนิทของฮ่องเต้
เสนาบดีหลี่ลี่เหวิน เสนาบดีผู้เฒ่าแห่งแคว้นเยว่ มือขวาของเยี่ยหรงจีในหารบริหารราชการแผ่นดิน
เจ้าจอมหวางเจียงหนิง เป็นเจ้าจอมหรือนางเล็กๆ ของฮ่องเต้ ไม่ถูกกับหยางเซียงเอ๋อ (นางเอก)โผล่มานิดเดียว เป็นตัวประกอบเท่านั้น
เยี่ยหรงจีก็ทรงมีพระดำริไม่ต่างจากผู้ซึ่งเป็นทั้งคนสนิทและพระสหายเท่าไหร่นัก วรองค์สูงใหญ่ประทับยืนอยู่ข้างพระแกลในห้องบรรทมนิ่ง ทอดพระเนตรไปยังความมืดด้านนอกอย่างไร้จุดหมาย
หรือจะเป็นพระองค์เองที่เป็นคนผิด พระองค์เองทั้งสิ้นที่หล่อหลอมนางให้เก่งและแกร่งได้ถึงเพียงนี้
ก็พระองค์มิใช่หรอกหรือที่เรียกตัวนางมาคอยรับใช้ในห้องพระอักษร ทรงโปรดที่จะให้นางเป็นผู้อ่านรายงานยาวเหยียดทั้งฉบับและเล่าถวายเฉพาะใจความสำคัญ ทรงไว้วางพระราชหฤทัยกระทั่งให้นางอ่านทวนฎีกาที่ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้วเพื่อความถูกต้องเป็นครั้งสุดท้าย บางคราวถึงกับทรงมีดำรัสถามนางด้วยซ้ำว่ามีความเห็นเช่นไรในเรื่องนี้
พระองค์เองมิใช่หรือที่นิ่งเฉยไม่ใส่พระทัยเมื่อเด็กผู้หญิงตัวน้อยจะนั่งเล่นเอกเขนกในห้องทรงพระอักษรในยามที่ทรงปรึกษาราชการแผ่นดินกับเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ผู้เปรียบเสมือนมือขวาของแผ่นดิน มิใยที่ท่านผู้เฒ่าจะทักท้วง
“ให้นางไปวิ่งเล่นข้างนอกก่อนมิดีกว่าหรือพระเจ้าค่ะ”
“ไอ้พวกข้างนอกไม่เป็นอันยืนยามกันพอดี เดี๋ยวได้วิ่งกันวุ่น เผลอๆ ได้ทำอะไรๆ ของข้าแตกอีก ให้นั่งๆ นอนๆ อยู่ในนี้แหละ ข้าอยู่ด้วยจะได้ไม่ซนมาก”
“แต่ว่า...”
“เอาน่า... ท่านหลี่... ได้หนังสือนิทานไปเล่มนึงก็เงียบแล้วเห็นมั้ย รออีกเดี๋ยวเดียว พอหย่งกวงมารับออกไปก็สบายเราแล้วละ”
ยิ่งไม่ต้องห่วงเลยหากผู้ที่กำลังปรึกษาข้อราชการกับพระองค์คือสี่หย่งกวง ทั้งพระองค์และราชองครักษ์มีความยินดียิ่งเมื่อนางอยู่ในสายตา จะอ่านหนังสือ เล่นตุ๊กตา หรือกินขนมก็ได้ทั้งนั้น ขออย่าส่งเสียงดังรบกวนเป็นพอ
พระองค์เองอีกนั่นแหละที่มีพระบรมราชานุญาติให้หยางเซียงเอ๋อออกนอกเมืองไปกับคณะผู้ตรวจราชการได้ ด้วยเหตุผลง่ายๆ ที่พระราชทานฮองเฮาว่า
“ช่วงนี้ข้ายุ่ง หย่งกวงก็ยุ่ง เจ้าเองก็เหนื่อยหน่ายกับมันเต็มที ปล่อยให้เสนาหลี่รับมือบ้างเป็นไร ...ไม่ต้องห่วงหรอกน่า... เจ้าตัวมันจะยิ่งดีใจซะอีก คราวนี้ได้ไปเที่ยวได้ไกลกว่าทุกที”
แล้วการเปลี่ยนมือไปยังเสนาบดีผู้เฒ่าเกิดผลดีเกินกว่าที่พระองค์คาดคิด เมื่อกลับมาจากการเดินทางคราวนั้นหยางเซียงเอ๋อสุขุมมากขึ้น หลักแหลมมากขึ้น “คมในฝัก” อย่างที่ไม่แปลกใจเลยที่ผู้ลับมีดเล่มนี้คือตาเฒ่าหลี่ลี่เหวิน
เช่นนี้แล้วจะโทษใครเล่าถ้ามิใช่พระองค์เองที่ทำให้นางได้รู้ ได้เห็นและได้สัมผัสกับกิจการงานแผ่นดินต่างๆ มาแต่เล็กแต่น้อยจนมีความคิดเป็นผู้ใหญ่เกินตัวเช่นนี้
เมื่อแรกที่เริ่มมีพระทัยรักและเอ็นดูนางเป็นยามที่ฮองเฮายังไม่มีประสูติกาลพระโอรสธิดาเลยสักพระองค์แม้จะเสกสมรสมาได้หลายปีแล้ว พระธิดาองค์โตอันประสูติแต่เจ้าจอมหวางก็มีพระชนมายุเพียงสามชันษา พระโอรสก็มีพระชนมายุเพียงห้าเดือนเศษ หนำซ้ำเจ้าจอมหวางก็หวงลูกอย่างกับจงอางหวงไข่ไม่ยอมปล่อยให้คลาดสายตาได้เลย การได้เด็กหญิงผู้นี้มาอยู่ใกล้ชิดเหมือนได้ทั้งลูกสาวและลูกชายในเวลาเดียวกัน “แม่ตัวยุ่ง” ทั้งซนทั้งแสบยิ่งกว่าเด็กผู้ชาย หากแต่ขี้อ้อน ขี้ประจบ ช่างพูดช่างเจรจาเหมือนเด็กผู้หญิง แม้บัดนี้ฮองเฮาจะมีองค์รัชทายาทให้พระองค์แล้ว เจ้าจอมคนอื่นๆ ก็มีทั้งโอรสและธิดาให้พระองค์อีกนับสิบ หยางเซียงเอ๋อก็ยังเปรียบเสมือนเป็นธิดาอีกองค์ของพระองค์เสมอ ความรักและเอ็นดูที่ทรงมีให้มิได้ลดน้อยลงจากครั้งวันวานเลย
เยี่ยหรงจีทรงทรุดพระวรกายลงประทับนั่งบนพระเก้าอี้อย่างอ่อนล้า มิเสียแรงที่ทรงทั้งรักทั้งห่วงใยและมีพระเมตตาให้อย่างล้นเหลือ หลายครั้งหลายครามาตั้งแต่สมัยนานเนมาแล้ว นางได้พิสูจน์ให้เห็นมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วว่าเรื่องของพระองค์ ตลอดจนฮองเฮาและพระโอรส-ธิดาอันประสูติแต่ฮองเฮามีความสำคัญมากกว่าเรื่องของนางเอง หรือบางที...มากกว่าชีวิตของนางเองด้วยซ้ำ และครั้งนี้ก็เช่นกัน นางหาทางออกที่ง่ายที่สุดแก่พระองค์ในทันที “ประหารเถอะเพคะ หม่อมฉันเต็มใจ” ช่างพูดได้ง่ายๆ โดยแทบไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ ทำเอาองค์เองปวดหนึบไปทั่วพระหทัย แล้วทีนี้จะทำอย่างไรต่อไปดี จะรักษาชีวิตนางไปพร้อมๆกับชาติบ้านเมืองและราชบัลลังก์ได้อย่างไร?
ณ ตำหนักที่ใหญ่ที่สุดในราชฐานฝ่ายใน พระนางจ้าวหลินฟงมิอาจข่มพระเนตรให้หลับลงได้ ในห้วงความคิดคนึงมีแต่ภาพใบหน้างามหวานซึ้งของสตรีผู้เปรียบเสมือนเป็นพระธิดาองค์โต แม้เมื่อเทียบความห่างของอายุแล้วนางน่าจะเป็นเหมือนพระขนิษฐาคนเล็กมากกว่า
หยางเซียงเอ๋อในวัยเด็กซนเสียจนพระองค์คิดว่าไม่มีใครในโลกที่จะซนได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว “แม่ตัวยุ่ง” ก่อเรื่องให้พระองค์ต้องวุ่นวายหัวปั่น ก่อปัญหาให้ต้องคอยตามล้างตามเช็ดไม่เว้นแต่ละวัน กระนั้นก็ทำให้ชีวิตของพระองค์มีสีสันขึ้นมากทีเดียว จากที่เป็นคนพูดน้อยยิ้มง่าย เมื่ออยู่กับจอมซนคนนี้ พระองค์เป็นต้องพูดมากยิ้มน้อยเสียทุกทีไป องค์ฮ่องเต้ก็เช่นกัน ปกติจะทรงขรึม เก็บพระอารมณ์ได้ดี ทว่าหยางเซียงเอ๋อก็มีความสามารถพอที่จะทำให้ทรงส่งสุรเสียงตวาดลั่นหรือหัวเราะร่าอยู่เสมอ กระทั่งสี่หย่งกวงที่ใครๆ พากันว่าเป็น “เสือยิ้มยาก” กลับยิ้มบ้างหัวเราะบ้างออกบ่อยไปเมื่อมีนางอยู่ใกล้ๆ
ครั้งนั้นเพิ่งผลัดแผ่นดินได้ไม่กี่ปี ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ในวัยยี่สิบต้นๆ ทรงมีภาระหนักหนา ยากที่จะหาเวลาใกล้ชิดกันเช่นสามีภรรยาคู่อื่นๆได้ แม้จะทรงแวะมาค้างคืนที่ตำหนักนี้เป็นครั้งคราวอย่างสม่ำเสมอก็ยังมิอาจช่วยให้คลายเหงาได้ การได้คอยวุ่นวายไล่จับเด็กผู้หญิงแสนซนคนหนึ่งกลับช่วยคลายเหงาได้มากทีเดียว
ยามนั้นพระราชอำนาจของพระนางในฝ่ายในยังมิยิ่งใหญ่เด็ดขาดเช่นทุกวันนี้ พระองค์มีพระชันษาย่างเข้ายี่สิบปีแล้ว ยังมิมีประสูติกาลพระเจ้าลูกเธอสักพระองค์แม้ว่าจะเสกสมรสกับองค์ชายเยี่ยหรงจีตั้งแต่มีพระชันษาเพียงสิบหกปีก็ตาม ผิดกับพระสนมหวางซึ่งได้เลื่อนเป็นเจ้าจอมหวางทันทีที่มีประสูติกาลพระธิดาองค์โต และอำนาจในฝ่ายในถ่ายเทไปทางนั้นมากขึ้นเมื่อเจ้าจอมมีประสูติกาลพระโอรสองค์แรก เมื่อรวมไปถึงอำนาจหนุนหลังของเจ้าจอมหวางซึ่งมีบิดาเป็นแม่ทัพใหญ่คุมหัวเมืองทางใต้ทั้งหมด นั่นทำให้แม้แต่พระนางซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นถึงฮองเฮายังต้องเกรงใจเจ้าจอมท่านนี้
หยางเซียงเอ๋อช่างพูด ช่างคุยและไม่เกรงกลัวใคร ที่สำคัญนางจงรักและภักดีกับพระองค์เสมอ เด็กหญิงวัยสิบสองจะวิ่งเล่นวุ่นวายส่งเสียงดังรบกวนมากกว่าทุกครั้งเมื่อเจ้าจอมหวางเสด็จมา และจะคอยรบกวนอยู่เรื่อยๆจนผู้มาเยือนขอตัวกลับเนื่องจากรำคาญเต็มที
เมื่อแรกพระองค์คอยดุ
“เสียมารยาทเซียงเอ๋อ เห็นแก่หน้าข้าบ้าง ใครเขาจะคิดกันไปทั่วว่าข้าไร้ความสามารถในการอบรมเจ้าอย่างสิ้นเชิง”
“นางมาไม่เป็นมิตรนี่เพคะ นางข่มพระองค์ หม่อมฉันไม่ชอบ”
เป็นน้ำใจยิ่งใหญ่จากคนตัวเล็กที่พระองค์ซาบซึ้งยิ่งนัก
ไม่กี่เดือนถัดมาแผนการนี้ของแม่นางหยางชักไม่เป็นผล ด้วยนางถูกปรามไว้แต่แรกเลยว่าห้ามเข้ามาในห้องรับแขกและห้ามส่งเสียงรบกวนเด็ดขาด กระนั้นก็ยังมีเหตุให้เจ้าจอมหวางเสด็จกลับในเวลาไม่นานนักอยู่เสมอ ครั้งหลังสุด ครั้งแตกหักระหว่างหวางเจียงหนิงกับหยางเซียงเอ๋อเกิดขึ้นเมื่อนางกำนัลพระพี่เลี้ยงของพระธิดาวิ่งหน้าตื่นเข้ามารายงานว่า
“พระอาญามิพ้นเกล้า เจ้าจอมเพคะ พระธิดาหายไปเพคะ”
“อะไรนะ ?!”
อารามตกใจ เจ้าจอมหวางวิ่งกลับตำหนักไปก่อนที่จะกล่าวลาพระองค์ด้วยซ้ำ หลังจากนั้นไม่นาน หยางเซียงเอ๋อก็เดินยิ้มหน้าระรื่นเข้ามา
“พระธิดาหายตัวไป เจ้ารู้เรื่องหรือเปล่า”
“ไม่ได้หายเพคะ พระธิดาแค่หัดปีนต้นไม้”
“เซียงเอ๋อ! ฝีมือเจ้า?”
“หม่อมฉันไม่ได้ทำอะไรเลย แค่ชวนไปเดินเล่น ...แหม...แค่สามขวบจะปีนต้นไม้ได้อย่างไรกัน หม่อมฉันเลยให้เกาะหลังหม่อมฉันไว้ พระธิดายังสรวลชอบใจใหญ่ตอนเห็นแม่พี่เลี้ยงนั่นวิ่งหน้าตื่นหูตาเลิ่กลั่ก”
“เจ้านี่หาเรื่องแท้ๆ เจ้าจอมหวางไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่ หากนางเอาจริงขึ้นมาข้าก็สุดปัญญาจะช่วยเจ้าแล้วนะ นางใหญ่แค่ไหนเจ้าก็รู้”
“ไม่กลัว เอาไงก็เอาสิ ชอบมาหา มาอวดศักดาบารมีกับพระองค์อยู่เรื่อย ต้องให้เจอดีซะบ้าง”
แม้จะซึ้งใจแต่พระองค์ก็หนักพระทัยไม่น้อย และยิ่งว้าวุ่นหนักขึ้นเมื่อเจ้าจอมหวางเจียงหนิงนำเพชรนิลจินดามากำนัลพร้อมทั้งเอ่ยปาก “ขอยืม” นางพระกำนัลรุ่นเล็กคนนี้ไปช่วยงานที่ตำหนักสักเจ็ดวัน
ทรงทราบแน่แก่พระทัยว่าเด็กในปกครองจะต้องโดนเล่นงาน หากก็เกินความสามารถของพระองค์จะทัดทานได้ แถมตัวก่อเรื่องก็กล้า ไม่กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนดังที่เคยกล่าวเอาไว้จริงๆ นางยินยอมไปอยู่อีกตำหนักหนึ่งโดยไม่บิดพลิ้วแม้แต่น้อย
อ้อมพระพาหากอดรัดร่างเล็กๆนั้นไว้แน่น ก่อนจะปล่อยไปเผชิญกับอันตรายข้างหน้า มิวายที่จะกำชับ “อยู่ตำหนักโน้นอย่าดื้ออย่าซนมากนักนะ ทำตัวดีๆ เจ้าจอมหวางกับคนอื่นๆ จะได้เอ็นดู”
เจ้าตัวเล็กรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ ดูท่าก็คงรู้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับศึกหนักแน่เพราะในแววตาฉายแววหวาดหวั่น ทว่า..ไม่หวาดกลัว
พระองค์เองเสียอีกที่ความกลัวทวีขึ้นทุกวัน พ้นสามวันก็ทนไม่ไหว ความร้อนถึงพระกรรณองค์ฮ่องเต้
เยี่ยหรงจีเสด็จยังตำหนักของเจ้าจอมหวางด้วยพระองค์เอง และเสด็จกลับมาพร้อมด้วยร่างสลบไสลในอ้อมพระพาหา พระพักตร์เครียดจัด
“ใครก็ได้ไปตามหมอหลวงมาเร็ว ..อาฟ่ง..จัดที่นอนให้ที”
“เพคะ”
ระหว่างรอหมอ พระหัตถ์ของฮ่องเต้กับฮองเฮากุมมือเล็กๆ นั้นไว้คนละข้าง กระแสความอาทรสื่อผ่านในสัมผัสอันอ่อนโยน สายพระเนตรสื่อถึงกันเด่นชัด...เด็กคนนี้เปรียบเหมือนธิดาที่พระองค์มีร่วมกัน...
“ว่าอย่างไรหมอ” สุรเสียงแหบห้าวถามขึ้นทันทีที่หมอหลวงเสร็จจากการตรวจ
“เหมือนโดนยาถ่ายอย่างแรงพระเจ้าค่ะ ร่างกายสูญเสียน้ำมากทำให้อ่อนกำลัง จากการดูม่านตาก็เหมือน...เอ่อ...พระอาญามิพ้นเกล้า...ถ้าจะให้เดา...เหมือนถูกบังคับไม่ให้หลับไม่ให้นอน พอใกล้จะหลับก็จะถูกปลุกให้ตื่นอยู่ตลอดเวลา ทั้งถ่ายท้อง ไม่ได้กิน ไม่ได้นอน ร่างกายก็เลยเพลียจัดจนทนไม่ไหวพระเจ้าค่ะ”
น้ำพระเนตรของฮองเฮาร่วงพรูขณะที่องค์ฮ่องเต้กำพระหัตถ์แน่น มิมีวาจาใดออกจากพระโอษฐ์แม้สักคำ จนเมื่อแพทย์หลวงกับนางพระกำนัลทั้งหลายออกไปกันจนหมดแล้ว จึงได้มีดำรัสเบาๆ
“เจียงหนิงทำเกินไปจริงๆ ข้าอยากจะฆ่านางนัก”
“นางฉลาดมาก ใช้วิธีที่ไม่มีแผลใดๆบนร่างกายเลย หากตอนเซียงเอ๋อกลับมาสามารถเดินเหินได้ตามปกติก็จะไม่มีใครรู้เลยว่านางถูกทรมานถึงเพียงนี้”
“ปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ได้แล้ว อาฟ่ง ปีนี้เซียงเอ๋ออายุเท่าไหร่”
“สิบสาม ย่างสิบสี่เพคะ”
“ครบสิบสี่เมื่อไหร่”
“อีกสี่เดือนเพคะ”
“ดี อีกสี่เดือนให้นางเข้าถวายตัวเป็นพระสนม”
“ฝ่าบาท!”
“เป็นแค่นางกำนัลจะไปสู้รบปรบมือกับใครเขาได้ มีตำแหน่งสนมของข้ารั้งท้าย จะได้ไม่มีใครกล้ารังแก”
“จะดีหรือเพคะ”
“ดีสิ เริ่มโตเป็นสาวแล้วด้วย ออกไปอยู่ฝ่ายหน้ากับข้าจนดึกจนดื่นมันไม่เหมาะ เป็นพระสนมมีตำหนักเป็นของตัวเองแล้วให้ข้ามาหาที่ฝ่ายในจะดีกว่า”
“ฝ่าบาท!” คราวนี้พระนางจ้าวหลินฟงทรงอุทานอย่างตกพระทัยยิ่ง
“เฮ้ย! อาฟ่ง! เจ้าคิดอะไร ข้าคิดกับนางเหมือนลูกเหมือนหลาน ไม่ทำอะไรผิดผีหรอกน่า เพียงแค่ข้าชอบให้มันช่วยทำงาน ช่วยอ่านรายงาน ช่วยจัดเอกสาร ไอ้นี่มันฉลาด คล่อง”
พระหัตถ์แข็งแรงเอื้อมไปจับพระอังสาของฮองเฮาทั้งสองข้าง พระเนตรสบดวงเนตรอีกคู่หนึ่งลึกซึ้ง
“ที่สำคัญกว่านั้นนะอาฟ่ง ข้าจะเลื่อนหยางซือหม่าไปเป็นแม่ทัพใหญ่คุมหัวเมืองทางเหนือทั้งหมด คานอำนาจกับแม่ทัพหวางซึ่งคุมหัวเมืองทางใต้ทั้งหมด ...เห็นอะไรมั้ย?... เซียงเอ๋อเป็นคนของเจ้า เมื่อพ่อของเซียงเอ๋อมีอำนาจเท่ากับพ่อของเจียงหนิง ทีนี้เจียงหนิงก็จะไม่กล้ามาข่มเจ้ามากนัก อาจูก็กำลังท้อง ให้เห็นอย่างนี้จะได้ไม่กล้ามาผยองกับเจ้าหลังคลอด” “ฝ่าบาท...”
หลังคำอุทานเสียงแผ่ว พระนางจ้าวหลินฟงทรงทรุดวรองค์ลงคำนับพระสวามีแสดงความรักและเทิดทูนเหนือสิ่งอื่นใดในชีวิต
หยางเซียงเอ๋อได้รับตำแหน่งพระสนมเมื่อมีอายุครบสิบสี่ปีบริบูรณ์ ดรุณีสาวแรกรุ่นยังคงสดใสร่าเริงและแก่นแก้วยิ่งนัก มีน้ำใจและความจงรักภักดีแนบแน่นต่อองค์ฮ่องเต้และฮองเฮาเสมอ
เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจะปราณีต่อพระนางจ้าวหลินฟงอยู่มาก เมื่อนางพระกำนัลตัวโปรดต้องแยกไปอยู่ตำหนักอื่นได้ไม่นาน พระนางก็ได้รับข่าวดี ...ทรงครรภ์... แน่นอนที่สุด ผู้ที่ดีใจไม่แพ้องค์ฮ่องเต้ก็คือ “แม่ตัวยุ่ง” ของพระองค์นั่นเอง
ทว่า... ยังไม่ทันครบกำหนดคลอด...
วันหนึ่งฮ่องเต้เสด็จเข้ามาในพระตำหนักด้วยพระพักตร์บึ้งตึง กระแทกองค์ลงกับพระเก้าอี้อย่างแรงพร้อมบ่นพึมพำ
“มันน่า.. มันน่า...นักเชียว”
“เสด็จประพาสต้นไม่สนุกหรือเพคะ แล้วนี่เสด็จกลับมานานหรือยัง เข้าที่ประทับส่วนพระองค์หรือยังเพคะ”
“ยัง ก้าวเข้าวังมาก็ตรงมาหาเจ้าก่อนเลย ไอ้ตัวแสบมันคงรู้ตัว หายหัวเงียบ”
พระนางจ้าวหลินฟงถอนพระปัสสาสะเบาๆ
“ก็คงกลับเข้าตำหนักของนางนั่นแหละเพคะ ไปพักผ่อน เพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ เกิดอะไรขึ้นหรือเพคะ”
“ข้าเห็นว่าคราวนี้ออกไปแค่ใกล้ๆ ไปแค่ไม่กี่วัน เอาแค่หย่งกวงกับหม่าเฉาไปเป็นเพื่อน มีมันไปอีกคนคงสนุกขึ้น ตอนนี้ก็มีตำแหน่งเป็นพระสนมแล้วกลางคืนก็เอามานอนห้องข้าได้จะได้ไม่ไปเล่นพิเรนทร์ที่ไหน แต่...เฮ้อ!...จนได้”
“อย่างไรเพคะ”
“ขากลับมีนักเลงอันธพาลเข้ามาหาเรื่อง ข้าจะลากมันหลบ แต่มันเสือกออกไปสู้กับหย่งกวงกับหม่าเฉา ข้าเลยต้องเข้าตะลุมบอนด้วยอีกคน ดีนะที่มันไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน ไม่รู้ใครอารักขาใครกันแน่ มันน่ะเป็นกังฟูแค่ขั้นพื้นฐานเท่านั้นเองนะ”
อ้อ! ที่แท้ก็เป็นห่วง แล้วมาทำเป็นกริ้ว
“เป็นสาวเป็นนางแท้ๆ ไม่รู้จักสงบเสงี่ยมเสียบ้างเลย บู๊แหลกลาญอยู่เรื่อย เห็นทีต้องให้ฝึกวรยุทธเสียแล้ว จะได้มีวิชาไว้ป้องกันตัว ไม่ถูกใครกระทืบตายเอา”
จากพระดำรินั่นแลทำให้หยางเซียงเอ๋อออกเดินทางสู่สำนักฝึกวิทยายุทธของท่านหวังจนสิน พระอาจารย์ของฮ่องเต้ ซึ่งอยู่ในเมืองซึ่งห่างไกลออกไปจนเกือบถึงชายเดือน
“กลับเข้าวังทุกๆ สามเดือนนะเซียงเอ๋อ ข้าจะให้หย่งกวงไปรอรับที่หน้าประตูเมือง ขึ้นสิบห้าค่ำนะเจ้า ขืนกลับช้ากว่ากำหนดข้าจะให้หย่งกวงไปลากคอเจ้ากลับมา แต่คราวนี้ข้าขอให้เจ้ากลับมาในเดือนหน้า ฮองเฮาใกล้คลอดเต็มทีอยากได้เจ้ามาอยู่เป็นเพื่อน”
“รับด้วยเกล้าเพคะ”
แล้วจากนั้นมาหยางเซียงเอ๋อก็เข้าๆ ออกๆ วังหลวงเป็นว่าเล่น วิทยายุทธแก่กล้าขึ้นตามวันเวลาที่ผ่านไป ผลของความทุ่มเทอย่างหนักและการถูกฝึกอย่างเข้มข้น เพียงไม่กี่ปีท่านอาจารย์หวังจนสินก็ส่งตัวคืนฮ่องเต้ด้วยความภาคภูมิใจในผลงาน
จากนั้นนางก็ถูกส่งตัวไปแถบชายแดน ฝากฝังไว้กับนักพรตมู่เหยาผู้ทรงศีลซึ่งมีวิชาแก่กล้ามากที่สุดคนหนึ่งของแผ่นดินและเป็นอาจารย์ของราชองครักษ์เอกสี่หย่งกวง
บัดนี้ ด้วยวัยยี่สิบปีเต็ม นางเติบโตเป็นสาวงามล้ำเลิศ คล่องแคล่ว เฉลียวฉลาด และจัดเป็นจอมยุทธชั้นแนวหน้าคนหนึ่งของแผ่นดินเลยทีเดียว
พระนางจ้าวหลินฟงพลิกวรองค์บนพระแท่นอีกครั้ง ถอนพระปัสสาสะเบาๆ แล้วก็มีพระดำริไม่ต่างจากพระสวามีกับราชองครักษ์เอกเท่าไรนัก
...หรือจะเป็นเพราะพระนางใส่พระทัยกับหยางเซียงเอ๋อน้อยลง เมื่อมีประสูติกาลพระโอรสองค์โตได้ไม่นาน แม่ตัวโปรดก็ต้องกลับหัวเมืองเพื่อศึกษาร่ำเรียนวิชาต่อ พระองค์เองก็หมดเวลาไปกับการดูแลพระโอรส พระโอรสองค์รองถือกำเนิดในปีถัดมาและองค์ที่สามในปีถัดมาอีก เว้นได้สองปีก็มีพระธิดาองค์เล็กเพิ่มมาอีกคน ความรักใคร่และเอาพระทัยใส่จึงต้องแจกจ่ายแบ่งปันกันไปอย่างเท่าเทียม
หากพระองค์ยึดยื้อเก็บนางไว้ใกล้ชิดพระวรกายนานกว่าสิบวันในทุกๆ สามเดือน บางทีนางอาจจะเป็นสตรีที่มีความอ่อนโยนมากกว่านี้ มิใช่ห้าวหาญเด็ดเดี่ยวเยี่ยงชายชาตรีดังที่เป็นอยู่ แล้วทีนี้จะทำอย่างไรต่อไปดีในเมื่อเจ้าตัวประกาศชัดแจ้ง “ข้าไม่หนี”
บุคคลซึ่งเป็นที่รักของใครต่อใครหลับสบายตลอดคืนอยู่ในห้องขังและตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น ขณะที่ผู้ใหญ่สามคนนอนหลับกระสับกระส่ายแทบตลอดคืน
นางใช้เวลาทั้งวันนั่งเงียบอยู่มุมห้องจมอยู่กับความคิดของตัวเองโดยไม่มีใครรบกวน เริ่มพลบค่ำจึงมีเสียงฝีเท้าของกลุ่มคนก้าวมาตามทางเดิน
“ถวายบังคมเพคะ ฝ่าบาท”
“ลุกขึ้น”
“พี่กวง... เสนาหลี่...” เสียงหวานใสเอ่ยทักผู้ติดตามทั้งสองท่าน พร้อมก้มศีรษะให้เล็กน้อย ตามด้วยรอยยิ้มกว้างขวาง
ทั้งฮ่องเต้และสี่หย่งกวงมีสีหน้าเรียบเฉย ยากที่จะเดาได้ว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ใด มีเพียงเสนาผู้เฒ่าที่ส่งสายตาอ่อนโยนผสมรอยยิ้มน้อยๆ ให้นาง
“ไง... นังหนู สบายดีหรือ”
“สบายม้าก!”
“ต้องย้ายที่คุมขังแล้วนะ”
“ข้าพร้อมแล้ว”
“กินข้าวกินปลาหรือยัง ข้าสั่งห้องเครื่องให้ทำมาให้” สุรเสียงเรียบๆ ตรัสถามเบาๆ
“เรียบร้อยแล้วเพคะ ได้กินอาหารชั้นเลิศจากห้องเครื่องทั้งสามมื้อ”
“ดีแล้ว เดี๋ยวต่อไปจะได้กินแค่ข้าวต้มเละๆ วันละสองมื้อแค่นั้นเอง”
สี่หย่งกวงเดินนำหน้าออกไปก่อนโดยไม่พูดอะไรสักคำ จนเมื่อถึงที่หมายแล้วก็ยังหยุดยืนนิ่ง ไม่พูดไม่จา
ห้องนั้นเป็นห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ โล่งเตียน มีเพียงแท่นซึ่งตอกเสาไม้เป็นกางเขนอยู่กลางห้อง ตอนบนของผนังห้องด้านหนึ่งติดลูกกรงเหล็ก เว้นช่องห่างพอที่แสงแดดร้อนจัดจากตอนกลางวันและสายลมเย็นจัดในตอนกลางคืนจะเข้ามาถึงผู้ที่ถูกล่ามอยู่ที่เสาไม้ได้ ส่วนด้านอื่นๆ ของผนังห้องโบกปูนปิดมิดชิด
หยางเซียงเอ๋อเดินตรงเข้ามายืนบนแท่นอย่างไม่ลังเล
ทหารยามสองนายตรงเข้าทำหน้าที่ คนหนึ่งใช้โซ่ล่ามเท้าทั้งสองข้างกับเสาต้นเอก อีกคนจับแขนของนางกางออก ล่ามข้อมือติดกับปลายเสาทั้งสองข้าง เยี่ยหรงจีเบือนพระพักตร์หนีเมื่อเห็นโซ่ตรวนเส้นหนาถูดพาดผ่านที่คอเป็นพันธนาการแห่งสุดท้าย
สี่หย่งกวงยืนกำหมัดแน่น
เสนาผู้เฒ่าเดินตรงเข้ามาลูบศีรษะหญิงสาวเบาๆ ดวงตาฉายแววชื่นชม
“คิดถูกแล้วแม่นางหยางที่ไม่ยอมหนี ข้าภูมิใจในตัวเจ้าจริงๆ อดทนอีกนิดนะ ข้าจะหาทางช่วยเจ้าให้เร็วที่สุด”
แล้วผู้ที่เงียบเสียงมาตลอดก็อดขัดขึ้นไม่ได้
“ข้าจะปลดโซ่ที่คอนางออก เดี๋ยวจะหายใจไม่สะดวก”
“ท่านผู้บัญชาการ ท่านปฏิบัติต่อนักโทษขั้นอุกฉกรรจ์ที่สุดอย่างไร”
เสียงเนิบๆ ของขุนนางผู้ชราถามขึ้น ราชองครักษ์เอกจึงได้แต่ยืนนิ่งตามเดิม
“พี่กวง... ข้าสบายดี” เสียงหวานๆ นั้นปลอบประโลมในที ก่อนจะหันมาอีกทาง
“ฝ่าบาทเพคะ ริบของประจำตำแหน่งพระสนมกับของพระราชทานทั้งหมดแล้ว อย่านำเข้าส่วนกลางนะเพคะ หม่อมฉันขอพระกรุณาเก็บไว้ให้พระธิดาหลิงเฟย”
ก้อนแข็งๆ เลื่อนมาติดอยู่ที่พระศอ ตรัสอะไรไม่ออกแม้สักคำ ได้แต่ดำเนินตรงเข้าไปหาแล้ว ประทับริมโอษฐ์ลงบนหน้าผากได้รูปสวย
“อดทนไว้นะเซียงเอ๋อ จำไว้ ว่าข้าจะไม่ยอมให้เจ้าตายเด็ดขาด”
ว่าแล้วก็เสด็จพระดำเนินออกจากห้องนั้นทันที
สี่หย่งกวงเดินตามออกไปเงียบๆ
เสนาบดีหลี่ลี่เหวินหัวเราะเบาๆ
“เถียงกันอยู่ในท้องพระโรงทั้งวัน ยังไงเจ้าก็ไม่พ้นโทษประหาร ฝ่าบาททั้งกลุ้มทั้งกริ้ว ทำได้มากที่สุดแค่ถ่วงเวลาไปก่อน”
“มิน่า พักตร์บึ้งสนิท เถียงแพ้ไอ้พวกนั้นมานั่นเอง”
ผู้อาวุโสกว่าหัวเราะอีกครั้ง
“เจ้านี่มันเด็ดจริงๆ ไม่กลัวบ้างรึไง”
“กลัวอะไร ตายน่ะ? โอ๊ย... จะกลัวทำไม๊ ใครๆ ก็ต้องตาย-ซี้ม่งเท่งกันทั้งน้าน”
“เออจริง ใครๆ ก็ต้องตาย แต่เจ้ายังไม่ต้องตายตอนนี้หรอก ขอเวลาให้ข้าใช้ความคิดสักหน่อย ให้บ้านเมืองรอด ราชบัลลังก์รอดและเจ้าก็รอดด้วย เชื่อฝีมือข้าเถอะนะ”
จอมซนคนเก่งยิ้มกว้าง หัวเราะเสียงดัง
“ข้าน่ะเชื่อฝีมือท่านอยู่แล้ว เราเห็นฝีมือกันมาเกือบสิบปีแล้วนี่ เนอะ” “ฝ่าบาท...”
หลังคำอุทานเสียงแผ่ว พระนางจ้าวหลินฟงทรงทรุดวรองค์ลงคำนับพระสวามีแสดงความรักและเทิดทูนเหนือสิ่งอื่นใดในชีวิต
หยางเซียงเอ๋อได้รับตำแหน่งพระสนมเมื่อมีอายุครบสิบสี่ปีบริบูรณ์ ดรุณีสาวแรกรุ่นยังคงสดใสร่าเริงและแก่นแก้วยิ่งนัก มีน้ำใจและความจงรักภักดีแนบแน่นต่อองค์ฮ่องเต้และฮองเฮาเสมอ
เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจะปราณีต่อพระนางจ้าวหลินฟงอยู่มาก เมื่อนางพระกำนัลตัวโปรดต้องแยกไปอยู่ตำหนักอื่นได้ไม่นาน พระนางก็ได้รับข่าวดี ...ทรงครรภ์... แน่นอนที่สุด ผู้ที่ดีใจไม่แพ้องค์ฮ่องเต้ก็คือ “แม่ตัวยุ่ง” ของพระองค์นั่นเอง
ทว่า... ยังไม่ทันครบกำหนดคลอด...
วันหนึ่งฮ่องเต้เสด็จเข้ามาในพระตำหนักด้วยพระพักตร์บึ้งตึง กระแทกองค์ลงกับพระเก้าอี้อย่างแรงพร้อมบ่นพึมพำ
“มันน่า.. มันน่า...นักเชียว”
“เสด็จประพาสต้นไม่สนุกหรือเพคะ แล้วนี่เสด็จกลับมานานหรือยัง เข้าที่ประทับส่วนพระองค์หรือยังเพคะ”
“ยัง ก้าวเข้าวังมาก็ตรงมาหาเจ้าก่อนเลย ไอ้ตัวแสบมันคงรู้ตัว หายหัวเงียบ”
พระนางจ้าวหลินฟงถอนพระปัสสาสะเบาๆ
“ก็คงกลับเข้าตำหนักของนางนั่นแหละเพคะ ไปพักผ่อน เพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ เกิดอะไรขึ้นหรือเพคะ”
“ข้าเห็นว่าคราวนี้ออกไปแค่ใกล้ๆ ไปแค่ไม่กี่วัน เอาแค่หย่งกวงกับหม่าเฉาไปเป็นเพื่อน มีมันไปอีกคนคงสนุกขึ้น ตอนนี้ก็มีตำแหน่งเป็นพระสนมแล้วกลางคืนก็เอามานอนห้องข้าได้จะได้ไม่ไปเล่นพิเรนทร์ที่ไหน แต่...เฮ้อ!...จนได้”
“อย่างไรเพคะ”
“ขากลับมีนักเลงอันธพาลเข้ามาหาเรื่อง ข้าจะลากมันหลบ แต่มันเสือกออกไปสู้กับหย่งกวงกับหม่าเฉา ข้าเลยต้องเข้าตะลุมบอนด้วยอีกคน ดีนะที่มันไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน ไม่รู้ใครอารักขาใครกันแน่ มันน่ะเป็นกังฟูแค่ขั้นพื้นฐานเท่านั้นเองนะ”
อ้อ! ที่แท้ก็เป็นห่วง แล้วมาทำเป็นกริ้ว
“เป็นสาวเป็นนางแท้ๆ ไม่รู้จักสงบเสงี่ยมเสียบ้างเลย บู๊แหลกลาญอยู่เรื่อย เห็นทีต้องให้ฝึกวรยุทธเสียแล้ว จะได้มีวิชาไว้ป้องกันตัว ไม่ถูกใครกระทืบตายเอา”
จากพระดำรินั่นแลทำให้หยางเซียงเอ๋อออกเดินทางสู่สำนักฝึกวิทยายุทธของท่านหวังจนสิน พระอาจารย์ของฮ่องเต้ ซึ่งอยู่ในเมืองซึ่งห่างไกลออกไปจนเกือบถึงชายเดือน
“กลับเข้าวังทุกๆ สามเดือนนะเซียงเอ๋อ ข้าจะให้หย่งกวงไปรอรับที่หน้าประตูเมือง ขึ้นสิบห้าค่ำนะเจ้า ขืนกลับช้ากว่ากำหนดข้าจะให้หย่งกวงไปลากคอเจ้ากลับมา แต่คราวนี้ข้าขอให้เจ้ากลับมาในเดือนหน้า ฮองเฮาใกล้คลอดเต็มทีอยากได้เจ้ามาอยู่เป็นเพื่อน”
“รับด้วยเกล้าเพคะ”
แล้วจากนั้นมาหยางเซียงเอ๋อก็เข้าๆ ออกๆ วังหลวงเป็นว่าเล่น วิทยายุทธแก่กล้าขึ้นตามวันเวลาที่ผ่านไป ผลของความทุ่มเทอย่างหนักและการถูกฝึกอย่างเข้มข้น เพียงไม่กี่ปีท่านอาจารย์หวังจนสินก็ส่งตัวคืนฮ่องเต้ด้วยความภาคภูมิใจในผลงาน
จากนั้นนางก็ถูกส่งตัวไปแถบชายแดน ฝากฝังไว้กับนักพรตมู่เหยาผู้ทรงศีลซึ่งมีวิชาแก่กล้ามากที่สุดคนหนึ่งของแผ่นดินและเป็นอาจารย์ของราชองครักษ์เอกสี่หย่งกวง
บัดนี้ ด้วยวัยยี่สิบปีเต็ม นางเติบโตเป็นสาวงามล้ำเลิศ คล่องแคล่ว เฉลียวฉลาด และจัดเป็นจอมยุทธชั้นแนวหน้าคนหนึ่งของแผ่นดินเลยทีเดียว
พระนางจ้าวหลินฟงพลิกวรองค์บนพระแท่นอีกครั้ง ถอนพระปัสสาสะเบาๆ แล้วก็มีพระดำริไม่ต่างจากพระสวามีกับราชองครักษ์เอกเท่าไรนัก
...หรือจะเป็นเพราะพระนางใส่พระทัยกับหยางเซียงเอ๋อน้อยลง เมื่อมีประสูติกาลพระโอรสองค์โตได้ไม่นาน แม่ตัวโปรดก็ต้องกลับหัวเมืองเพื่อศึกษาร่ำเรียนวิชาต่อ พระองค์เองก็หมดเวลาไปกับการดูแลพระโอรส พระโอรสองค์รองถือกำเนิดในปีถัดมาและองค์ที่สามในปีถัดมาอีก เว้นได้สองปีก็มีพระธิดาองค์เล็กเพิ่มมาอีกคน ความรักใคร่และเอาพระทัยใส่จึงต้องแจกจ่ายแบ่งปันกันไปอย่างเท่าเทียม
หากพระองค์ยึดยื้อเก็บนางไว้ใกล้ชิดพระวรกายนานกว่าสิบวันในทุกๆ สามเดือน บางทีนางอาจจะเป็นสตรีที่มีความอ่อนโยนมากกว่านี้ มิใช่ห้าวหาญเด็ดเดี่ยวเยี่ยงชายชาตรีดังที่เป็นอยู่ แล้วทีนี้จะทำอย่างไรต่อไปดีในเมื่อเจ้าตัวประกาศชัดแจ้ง “ข้าไม่หนี”
บุคคลซึ่งเป็นที่รักของใครต่อใครหลับสบายตลอดคืนอยู่ในห้องขังและตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น ขณะที่ผู้ใหญ่สามคนนอนหลับกระสับกระส่ายแทบตลอดคืน
นางใช้เวลาทั้งวันนั่งเงียบอยู่มุมห้องจมอยู่กับความคิดของตัวเองโดยไม่มีใครรบกวน เริ่มพลบค่ำจึงมีเสียงฝีเท้าของกลุ่มคนก้าวมาตามทางเดิน
“ถวายบังคมเพคะ ฝ่าบาท”
“ลุกขึ้น”
“พี่กวง... เสนาหลี่...” เสียงหวานใสเอ่ยทักผู้ติดตามทั้งสองท่าน พร้อมก้มศีรษะให้เล็กน้อย ตามด้วยรอยยิ้มกว้างขวาง
ทั้งฮ่องเต้และสี่หย่งกวงมีสีหน้าเรียบเฉย ยากที่จะเดาได้ว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ใด มีเพียงเสนาผู้เฒ่าที่ส่งสายตาอ่อนโยนผสมรอยยิ้มน้อยๆ ให้นาง
“ไง... นังหนู สบายดีหรือ”
“สบายม้าก!”
“ต้องย้ายที่คุมขังแล้วนะ”
“ข้าพร้อมแล้ว”
“กินข้าวกินปลาหรือยัง ข้าสั่งห้องเครื่องให้ทำมาให้” สุรเสียงเรียบๆ ตรัสถามเบาๆ
“เรียบร้อยแล้วเพคะ ได้กินอาหารชั้นเลิศจากห้องเครื่องทั้งสามมื้อ”
“ดีแล้ว เดี๋ยวต่อไปจะได้กินแค่ข้าวต้มเละๆ วันละสองมื้อแค่นั้นเอง”
สี่หย่งกวงเดินนำหน้าออกไปก่อนโดยไม่พูดอะไรสักคำ จนเมื่อถึงที่หมายแล้วก็ยังหยุดยืนนิ่ง ไม่พูดไม่จา
ห้องนั้นเป็นห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ โล่งเตียน มีเพียงแท่นซึ่งตอกเสาไม้เป็นกางเขนอยู่กลางห้อง ตอนบนของผนังห้องด้านหนึ่งติดลูกกรงเหล็ก เว้นช่องห่างพอที่แสงแดดร้อนจัดจากตอนกลางวันและสายลมเย็นจัดในตอนกลางคืนจะเข้ามาถึงผู้ที่ถูกล่ามอยู่ที่เสาไม้ได้ ส่วนด้านอื่นๆ ของผนังห้องโบกปูนปิดมิดชิด
หยางเซียงเอ๋อเดินตรงเข้ามายืนบนแท่นอย่างไม่ลังเล
ทหารยามสองนายตรงเข้าทำหน้าที่ คนหนึ่งใช้โซ่ล่ามเท้าทั้งสองข้างกับเสาต้นเอก อีกคนจับแขนของนางกางออก ล่ามข้อมือติดกับปลายเสาทั้งสองข้าง เยี่ยหรงจีเบือนพระพักตร์หนีเมื่อเห็นโซ่ตรวนเส้นหนาถูดพาดผ่านที่คอเป็นพันธนาการแห่งสุดท้าย
สี่หย่งกวงยืนกำหมัดแน่น
เสนาผู้เฒ่าเดินตรงเข้ามาลูบศีรษะหญิงสาวเบาๆ ดวงตาฉายแววชื่นชม
“คิดถูกแล้วแม่นางหยางที่ไม่ยอมหนี ข้าภูมิใจในตัวเจ้าจริงๆ อดทนอีกนิดนะ ข้าจะหาทางช่วยเจ้าให้เร็วที่สุด”
แล้วผู้ที่เงียบเสียงมาตลอดก็อดขัดขึ้นไม่ได้
“ข้าจะปลดโซ่ที่คอนางออก เดี๋ยวจะหายใจไม่สะดวก”
“ท่านผู้บัญชาการ ท่านปฏิบัติต่อนักโทษขั้นอุกฉกรรจ์ที่สุดอย่างไร”
เสียงเนิบๆ ของขุนนางผู้ชราถามขึ้น ราชองครักษ์เอกจึงได้แต่ยืนนิ่งตามเดิม
“พี่กวง... ข้าสบายดี” เสียงหวานๆ นั้นปลอบประโลมในที ก่อนจะหันมาอีกทาง
“ฝ่าบาทเพคะ ริบของประจำตำแหน่งพระสนมกับของพระราชทานทั้งหมดแล้ว อย่านำเข้าส่วนกลางนะเพคะ หม่อมฉันขอพระกรุณาเก็บไว้ให้พระธิดาหลิงเฟย”
ก้อนแข็งๆ เลื่อนมาติดอยู่ที่พระศอ ตรัสอะไรไม่ออกแม้สักคำ ได้แต่ดำเนินตรงเข้าไปหาแล้ว ประทับริมโอษฐ์ลงบนหน้าผากได้รูปสวย
“อดทนไว้นะเซียงเอ๋อ จำไว้ ว่าข้าจะไม่ยอมให้เจ้าตายเด็ดขาด”
ว่าแล้วก็เสด็จพระดำเนินออกจากห้องนั้นทันที
สี่หย่งกวงเดินตามออกไปเงียบๆ
เสนาบดีหลี่ลี่เหวินหัวเราะเบาๆ
“เถียงกันอยู่ในท้องพระโรงทั้งวัน ยังไงเจ้าก็ไม่พ้นโทษประหาร ฝ่าบาททั้งกลุ้มทั้งกริ้ว ทำได้มากที่สุดแค่ถ่วงเวลาไปก่อน”
“มิน่า พักตร์บึ้งสนิท เถียงแพ้ไอ้พวกนั้นมานั่นเอง”
ผู้อาวุโสกว่าหัวเราะอีกครั้ง
“เจ้านี่มันเด็ดจริงๆ ไม่กลัวบ้างรึไง”
“กลัวอะไร ตายน่ะ? โอ๊ย... จะกลัวทำไม๊ ใครๆ ก็ต้องตาย-ซี้ม่งเท่งกันทั้งน้าน”
“เออจริง ใครๆ ก็ต้องตาย แต่เจ้ายังไม่ต้องตายตอนนี้หรอก ขอเวลาให้ข้าใช้ความคิดสักหน่อย ให้บ้านเมืองรอด ราชบัลลังก์รอดและเจ้าก็รอดด้วย เชื่อฝีมือข้าเถอะนะ”
จอมซนคนเก่งยิ้มกว้าง หัวเราะเสียงดัง
“ข้าน่ะเชื่อฝีมือท่านอยู่แล้ว เราเห็นฝีมือกันมาเกือบสิบปีแล้วนี่ เนอะ”
--------------------------------------------------------------------------------------
เยี่ยหรงจีก็ทรงมีพระดำริไม่ต่างจากผู้ซึ่งเป็นทั้งคนสนิทและพระสหายเท่าไหร่นัก วรองค์สูงใหญ่ประทับยืนอยู่ข้างพระแกลในห้องบรรทมนิ่ง ทอดพระเนตรไปยังความมืดด้านนอกอย่างไร้จุดหมาย
หรือจะเป็นพระองค์เองที่เป็นคนผิด พระองค์เองทั้งสิ้นที่หล่อหลอมนางให้เก่งและแกร่งได้ถึงเพียงนี้
ก็พระองค์มิใช่หรอกหรือที่เรียกตัวนางมาคอยรับใช้ในห้องพระอักษร ทรงโปรดที่จะให้นางเป็นผู้อ่านรายงานยาวเหยียดทั้งฉบับและเล่าถวายเฉพาะใจความสำคัญ ทรงไว้วางพระราชหฤทัยกระทั่งให้นางอ่านทวนฎีกาที่ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้วเพื่อความถูกต้องเป็นครั้งสุดท้าย บางคราวถึงกับทรงมีดำรัสถามนางด้วยซ้ำว่ามีความเห็นเช่นไรในเรื่องนี้
พระองค์เองมิใช่หรือที่นิ่งเฉยไม่ใส่พระทัยเมื่อเด็กผู้หญิงตัวน้อยจะนั่งเล่นเอกเขนกในห้องทรงพระอักษรในยามที่ทรงปรึกษาราชการแผ่นดินกับเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ผู้เปรียบเสมือนมือขวาของแผ่นดิน มิใยที่ท่านผู้เฒ่าจะทักท้วง
“ให้นางไปวิ่งเล่นข้างนอกก่อนมิดีกว่าหรือพระเจ้าค่ะ”
“ไอ้พวกข้างนอกไม่เป็นอันยืนยามกันพอดี เดี๋ยวได้วิ่งกันวุ่น เผลอๆ ได้ทำอะไรๆ ของข้าแตกอีก ให้นั่งๆ นอนๆ อยู่ในนี้แหละ ข้าอยู่ด้วยจะได้ไม่ซนมาก”
“แต่ว่า...”
“เอาน่า... ท่านหลี่... ได้หนังสือนิทานไปเล่มนึงก็เงียบแล้วเห็นมั้ย รออีกเดี๋ยวเดียว พอหย่งกวงมารับออกไปก็สบายเราแล้วละ”
ยิ่งไม่ต้องห่วงเลยหากผู้ที่กำลังปรึกษาข้อราชการกับพระองค์คือสี่หย่งกวง ทั้งพระองค์และราชองครักษ์มีความยินดียิ่งเมื่อนางอยู่ในสายตา จะอ่านหนังสือ เล่นตุ๊กตา หรือกินขนมก็ได้ทั้งนั้น ขออย่าส่งเสียงดังรบกวนเป็นพอ
พระองค์เองอีกนั่นแหละที่มีพระบรมราชานุญาติให้หยางเซียงเอ๋อออกนอกเมืองไปกับคณะผู้ตรวจราชการได้ ด้วยเหตุผลง่ายๆ ที่พระราชทานฮองเฮาว่า
“ช่วงนี้ข้ายุ่ง หย่งกวงก็ยุ่ง เจ้าเองก็เหนื่อยหน่ายกับมันเต็มที ปล่อยให้เสนาหลี่รับมือบ้างเป็นไร ...ไม่ต้องห่วงหรอกน่า... เจ้าตัวมันจะยิ่งดีใจซะอีก คราวนี้ได้ไปเที่ยวได้ไกลกว่าทุกที”
แล้วการเปลี่ยนมือไปยังเสนาบดีผู้เฒ่าเกิดผลดีเกินกว่าที่พระองค์คาดคิด เมื่อกลับมาจากการเดินทางคราวนั้นหยางเซียงเอ๋อสุขุมมากขึ้น หลักแหลมมากขึ้น “คมในฝัก” อย่างที่ไม่แปลกใจเลยที่ผู้ลับมีดเล่มนี้คือตาเฒ่าหลี่ลี่เหวิน
เช่นนี้แล้วจะโทษใครเล่าถ้ามิใช่พระองค์เองที่ทำให้นางได้รู้ ได้เห็นและได้สัมผัสกับกิจการงานแผ่นดินต่างๆ มาแต่เล็กแต่น้อยจนมีความคิดเป็นผู้ใหญ่เกินตัวเช่นนี้
เมื่อแรกที่เริ่มมีพระทัยรักและเอ็นดูนางเป็นยามที่ฮองเฮายังไม่มีประสูติกาลพระโอรสธิดาเลยสักพระองค์แม้จะเสกสมรสมาได้หลายปีแล้ว พระธิดาองค์โตอันประสูติแต่เจ้าจอมหวางก็มีพระชนมายุเพียงสามชันษา พระโอรสก็มีพระชนมายุเพียงห้าเดือนเศษ หนำซ้ำเจ้าจอมหวางก็หวงลูกอย่างกับจงอางหวงไข่ไม่ยอมปล่อยให้คลาดสายตาได้เลย การได้เด็กหญิงผู้นี้มาอยู่ใกล้ชิดเหมือนได้ทั้งลูกสาวและลูกชายในเวลาเดียวกัน “แม่ตัวยุ่ง” ทั้งซนทั้งแสบยิ่งกว่าเด็กผู้ชาย หากแต่ขี้อ้อน ขี้ประจบ ช่างพูดช่างเจรจาเหมือนเด็กผู้หญิง แม้บัดนี้ฮองเฮาจะมีองค์รัชทายาทให้พระองค์แล้ว เจ้าจอมคนอื่นๆ ก็มีทั้งโอรสและธิดาให้พระองค์อีกนับสิบ หยางเซียงเอ๋อก็ยังเปรียบเสมือนเป็นธิดาอีกองค์ของพระองค์เสมอ ความรักและเอ็นดูที่ทรงมีให้มิได้ลดน้อยลงจากครั้งวันวานเลย
เยี่ยหรงจีทรงทรุดพระวรกายลงประทับนั่งบนพระเก้าอี้อย่างอ่อนล้า มิเสียแรงที่ทรงทั้งรักทั้งห่วงใยและมีพระเมตตาให้อย่างล้นเหลือ หลายครั้งหลายครามาตั้งแต่สมัยนานเนมาแล้ว นางได้พิสูจน์ให้เห็นมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วว่าเรื่องของพระองค์ ตลอดจนฮองเฮาและพระโอรส-ธิดาอันประสูติแต่ฮองเฮามีความสำคัญมากกว่าเรื่องของนางเอง หรือบางที...มากกว่าชีวิตของนางเองด้วยซ้ำ และครั้งนี้ก็เช่นกัน นางหาทางออกที่ง่ายที่สุดแก่พระองค์ในทันที “ประหารเถอะเพคะ หม่อมฉันเต็มใจ” ช่างพูดได้ง่ายๆ โดยแทบไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ ทำเอาองค์เองปวดหนึบไปทั่วพระหทัย แล้วทีนี้จะทำอย่างไรต่อไปดี จะรักษาชีวิตนางไปพร้อมๆกับชาติบ้านเมืองและราชบัลลังก์ได้อย่างไร?
ณ ตำหนักที่ใหญ่ที่สุดในราชฐานฝ่ายใน พระนางจ้าวหลินฟงมิอาจข่มพระเนตรให้หลับลงได้ ในห้วงความคิดคนึงมีแต่ภาพใบหน้างามหวานซึ้งของสตรีผู้เปรียบเสมือนเป็นพระธิดาองค์โต แม้เมื่อเทียบความห่างของอายุแล้วนางน่าจะเป็นเหมือนพระขนิษฐาคนเล็กมากกว่า
หยางเซียงเอ๋อในวัยเด็กซนเสียจนพระองค์คิดว่าไม่มีใครในโลกที่จะซนได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว “แม่ตัวยุ่ง” ก่อเรื่องให้พระองค์ต้องวุ่นวายหัวปั่น ก่อปัญหาให้ต้องคอยตามล้างตามเช็ดไม่เว้นแต่ละวัน กระนั้นก็ทำให้ชีวิตของพระองค์มีสีสันขึ้นมากทีเดียว จากที่เป็นคนพูดน้อยยิ้มง่าย เมื่ออยู่กับจอมซนคนนี้ พระองค์เป็นต้องพูดมากยิ้มน้อยเสียทุกทีไป องค์ฮ่องเต้ก็เช่นกัน ปกติจะทรงขรึม เก็บพระอารมณ์ได้ดี ทว่าหยางเซียงเอ๋อก็มีความสามารถพอที่จะทำให้ทรงส่งสุรเสียงตวาดลั่นหรือหัวเราะร่าอยู่เสมอ กระทั่งสี่หย่งกวงที่ใครๆ พากันว่าเป็น “เสือยิ้มยาก” กลับยิ้มบ้างหัวเราะบ้างออกบ่อยไปเมื่อมีนางอยู่ใกล้ๆ
ครั้งนั้นเพิ่งผลัดแผ่นดินได้ไม่กี่ปี ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ในวัยยี่สิบต้นๆ ทรงมีภาระหนักหนา ยากที่จะหาเวลาใกล้ชิดกันเช่นสามีภรรยาคู่อื่นๆได้ แม้จะทรงแวะมาค้างคืนที่ตำหนักนี้เป็นครั้งคราวอย่างสม่ำเสมอก็ยังมิอาจช่วยให้คลายเหงาได้ การได้คอยวุ่นวายไล่จับเด็กผู้หญิงแสนซนคนหนึ่งกลับช่วยคลายเหงาได้มากทีเดียว
ยามนั้นพระราชอำนาจของพระนางในฝ่ายในยังมิยิ่งใหญ่เด็ดขาดเช่นทุกวันนี้ พระองค์มีพระชันษาย่างเข้ายี่สิบปีแล้ว ยังมิมีประสูติกาลพระเจ้าลูกเธอสักพระองค์แม้ว่าจะเสกสมรสกับองค์ชายเยี่ยหรงจีตั้งแต่มีพระชันษาเพียงสิบหกปีก็ตาม ผิดกับพระสนมหวางซึ่งได้เลื่อนเป็นเจ้าจอมหวางทันทีที่มีประสูติกาลพระธิดาองค์โต และอำนาจในฝ่ายในถ่ายเทไปทางนั้นมากขึ้นเมื่อเจ้าจอมมีประสูติกาลพระโอรสองค์แรก เมื่อรวมไปถึงอำนาจหนุนหลังของเจ้าจอมหวางซึ่งมีบิดาเป็นแม่ทัพใหญ่คุมหัวเมืองทางใต้ทั้งหมด นั่นทำให้แม้แต่พระนางซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นถึงฮองเฮายังต้องเกรงใจเจ้าจอมท่านนี้
หยางเซียงเอ๋อช่างพูด ช่างคุยและไม่เกรงกลัวใคร ที่สำคัญนางจงรักและภักดีกับพระองค์เสมอ เด็กหญิงวัยสิบสองจะวิ่งเล่นวุ่นวายส่งเสียงดังรบกวนมากกว่าทุกครั้งเมื่อเจ้าจอมหวางเสด็จมา และจะคอยรบกวนอยู่เรื่อยๆจนผู้มาเยือนขอตัวกลับเนื่องจากรำคาญเต็มที
เมื่อแรกพระองค์คอยดุ
“เสียมารยาทเซียงเอ๋อ เห็นแก่หน้าข้าบ้าง ใครเขาจะคิดกันไปทั่วว่าข้าไร้ความสามารถในการอบรมเจ้าอย่างสิ้นเชิง”
“นางมาไม่เป็นมิตรนี่เพคะ นางข่มพระองค์ หม่อมฉันไม่ชอบ”
เป็นน้ำใจยิ่งใหญ่จากคนตัวเล็กที่พระองค์ซาบซึ้งยิ่งนัก
ไม่กี่เดือนถัดมาแผนการนี้ของแม่นางหยางชักไม่เป็นผล ด้วยนางถูกปรามไว้แต่แรกเลยว่าห้ามเข้ามาในห้องรับแขกและห้ามส่งเสียงรบกวนเด็ดขาด กระนั้นก็ยังมีเหตุให้เจ้าจอมหวางเสด็จกลับในเวลาไม่นานนักอยู่เสมอ ครั้งหลังสุด ครั้งแตกหักระหว่างหวางเจียงหนิงกับหยางเซียงเอ๋อเกิดขึ้นเมื่อนางกำนัลพระพี่เลี้ยงของพระธิดาวิ่งหน้าตื่นเข้ามารายงานว่า
“พระอาญามิพ้นเกล้า เจ้าจอมเพคะ พระธิดาหายไปเพคะ”
“อะไรนะ ?!”
อารามตกใจ เจ้าจอมหวางวิ่งกลับตำหนักไปก่อนที่จะกล่าวลาพระองค์ด้วยซ้ำ หลังจากนั้นไม่นาน หยางเซียงเอ๋อก็เดินยิ้มหน้าระรื่นเข้ามา
“พระธิดาหายตัวไป เจ้ารู้เรื่องหรือเปล่า”
“ไม่ได้หายเพคะ พระธิดาแค่หัดปีนต้นไม้”
“เซียงเอ๋อ! ฝีมือเจ้า?”
“หม่อมฉันไม่ได้ทำอะไรเลย แค่ชวนไปเดินเล่น ...แหม...แค่สามขวบจะปีนต้นไม้ได้อย่างไรกัน หม่อมฉันเลยให้เกาะหลังหม่อมฉันไว้ พระธิดายังสรวลชอบใจใหญ่ตอนเห็นแม่พี่เลี้ยงนั่นวิ่งหน้าตื่นหูตาเลิ่กลั่ก”
“เจ้านี่หาเรื่องแท้ๆ เจ้าจอมหวางไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่ หากนางเอาจริงขึ้นมาข้าก็สุดปัญญาจะช่วยเจ้าแล้วนะ นางใหญ่แค่ไหนเจ้าก็รู้”
“ไม่กลัว เอาไงก็เอาสิ ชอบมาหา มาอวดศักดาบารมีกับพระองค์อยู่เรื่อย ต้องให้เจอดีซะบ้าง”
แม้จะซึ้งใจแต่พระองค์ก็หนักพระทัยไม่น้อย และยิ่งว้าวุ่นหนักขึ้นเมื่อเจ้าจอมหวางเจียงหนิงนำเพชรนิลจินดามากำนัลพร้อมทั้งเอ่ยปาก “ขอยืม” นางพระกำนัลรุ่นเล็กคนนี้ไปช่วยงานที่ตำหนักสักเจ็ดวัน
ทรงทราบแน่แก่พระทัยว่าเด็กในปกครองจะต้องโดนเล่นงาน หากก็เกินความสามารถของพระองค์จะทัดทานได้ แถมตัวก่อเรื่องก็กล้า ไม่กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนดังที่เคยกล่าวเอาไว้จริงๆ นางยินยอมไปอยู่อีกตำหนักหนึ่งโดยไม่บิดพลิ้วแม้แต่น้อย
อ้อมพระพาหากอดรัดร่างเล็กๆนั้นไว้แน่น ก่อนจะปล่อยไปเผชิญกับอันตรายข้างหน้า มิวายที่จะกำชับ “อยู่ตำหนักโน้นอย่าดื้ออย่าซนมากนักนะ ทำตัวดีๆ เจ้าจอมหวางกับคนอื่นๆ จะได้เอ็นดู”
เจ้าตัวเล็กรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ ดูท่าก็คงรู้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับศึกหนักแน่เพราะในแววตาฉายแววหวาดหวั่น ทว่า..ไม่หวาดกลัว
พระองค์เองเสียอีกที่ความกลัวทวีขึ้นทุกวัน พ้นสามวันก็ทนไม่ไหว ความร้อนถึงพระกรรณองค์ฮ่องเต้
เยี่ยหรงจีเสด็จยังตำหนักของเจ้าจอมหวางด้วยพระองค์เอง และเสด็จกลับมาพร้อมด้วยร่างสลบไสลในอ้อมพระพาหา พระพักตร์เครียดจัด
“ใครก็ได้ไปตามหมอหลวงมาเร็ว ..อาฟ่ง..จัดที่นอนให้ที”
“เพคะ”
ระหว่างรอหมอ พระหัตถ์ของฮ่องเต้กับฮองเฮากุมมือเล็กๆ นั้นไว้คนละข้าง กระแสความอาทรสื่อผ่านในสัมผัสอันอ่อนโยน สายพระเนตรสื่อถึงกันเด่นชัด...เด็กคนนี้เปรียบเหมือนธิดาที่พระองค์มีร่วมกัน...
“ว่าอย่างไรหมอ” สุรเสียงแหบห้าวถามขึ้นทันทีที่หมอหลวงเสร็จจากการตรวจ
“เหมือนโดนยาถ่ายอย่างแรงพระเจ้าค่ะ ร่างกายสูญเสียน้ำมากทำให้อ่อนกำลัง จากการดูม่านตาก็เหมือน...เอ่อ...พระอาญามิพ้นเกล้า...ถ้าจะให้เดา...เหมือนถูกบังคับไม่ให้หลับไม่ให้นอน พอใกล้จะหลับก็จะถูกปลุกให้ตื่นอยู่ตลอดเวลา ทั้งถ่ายท้อง ไม่ได้กิน ไม่ได้นอน ร่างกายก็เลยเพลียจัดจนทนไม่ไหวพระเจ้าค่ะ”
น้ำพระเนตรของฮองเฮาร่วงพรูขณะที่องค์ฮ่องเต้กำพระหัตถ์แน่น มิมีวาจาใดออกจากพระโอษฐ์แม้สักคำ จนเมื่อแพทย์หลวงกับนางพระกำนัลทั้งหลายออกไปกันจนหมดแล้ว จึงได้มีดำรัสเบาๆ
“เจียงหนิงทำเกินไปจริงๆ ข้าอยากจะฆ่านางนัก”
“นางฉลาดมาก ใช้วิธีที่ไม่มีแผลใดๆบนร่างกายเลย หากตอนเซียงเอ๋อกลับมาสามารถเดินเหินได้ตามปกติก็จะไม่มีใครรู้เลยว่านางถูกทรมานถึงเพียงนี้”
“ปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ได้แล้ว อาฟ่ง ปีนี้เซียงเอ๋ออายุเท่าไหร่”
“สิบสาม ย่างสิบสี่เพคะ”
“ครบสิบสี่เมื่อไหร่”
“อีกสี่เดือนเพคะ”
“ดี อีกสี่เดือนให้นางเข้าถวายตัวเป็นพระสนม”
“ฝ่าบาท!”
“เป็นแค่นางกำนัลจะไปสู้รบปรบมือกับใครเขาได้ มีตำแหน่งสนมของข้ารั้งท้าย จะได้ไม่มีใครกล้ารังแก”
“จะดีหรือเพคะ”
“ดีสิ เริ่มโตเป็นสาวแล้วด้วย ออกไปอยู่ฝ่ายหน้ากับข้าจนดึกจนดื่นมันไม่เหมาะ เป็นพระสนมมีตำหนักเป็นของตัวเองแล้วให้ข้ามาหาที่ฝ่ายในจะดีกว่า”
“ฝ่าบาท!” คราวนี้พระนางจ้าวหลินฟงทรงอุทานอย่างตกพระทัยยิ่ง
“เฮ้ย! อาฟ่ง! เจ้าคิดอะไร ข้าคิดกับนางเหมือนลูกเหมือนหลาน ไม่ทำอะไรผิดผีหรอกน่า เพียงแค่ข้าชอบให้มันช่วยทำงาน ช่วยอ่านรายงาน ช่วยจัดเอกสาร ไอ้นี่มันฉลาด คล่อง”
พระหัตถ์แข็งแรงเอื้อมไปจับพระอังสาของฮองเฮาทั้งสองข้าง พระเนตรสบดวงเนตรอีกคู่หนึ่งลึกซึ้ง
“ที่สำคัญกว่านั้นนะอาฟ่ง ข้าจะเลื่อนหยางซือหม่าไปเป็นแม่ทัพใหญ่คุมหัวเมืองทางเหนือทั้งหมด คานอำนาจกับแม่ทัพหวางซึ่งคุมหัวเมืองทางใต้ทั้งหมด ...เห็นอะไรมั้ย?... เซียงเอ๋อเป็นคนของเจ้า เมื่อพ่อของเซียงเอ๋อมีอำนาจเท่ากับพ่อของเจียงหนิง ทีนี้เจียงหนิงก็จะไม่กล้ามาข่มเจ้ามากนัก อาจูก็กำลังท้อง ให้เห็นอย่างนี้จะได้ไม่กล้ามาผยองกับเจ้าหลังคลอด” “ฝ่าบาท...”
หลังคำอุทานเสียงแผ่ว พระนางจ้าวหลินฟงทรงทรุดวรองค์ลงคำนับพระสวามีแสดงความรักและเทิดทูนเหนือสิ่งอื่นใดในชีวิต
หยางเซียงเอ๋อได้รับตำแหน่งพระสนมเมื่อมีอายุครบสิบสี่ปีบริบูรณ์ ดรุณีสาวแรกรุ่นยังคงสดใสร่าเริงและแก่นแก้วยิ่งนัก มีน้ำใจและความจงรักภักดีแนบแน่นต่อองค์ฮ่องเต้และฮองเฮาเสมอ
เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจะปราณีต่อพระนางจ้าวหลินฟงอยู่มาก เมื่อนางพระกำนัลตัวโปรดต้องแยกไปอยู่ตำหนักอื่นได้ไม่นาน พระนางก็ได้รับข่าวดี ...ทรงครรภ์... แน่นอนที่สุด ผู้ที่ดีใจไม่แพ้องค์ฮ่องเต้ก็คือ “แม่ตัวยุ่ง” ของพระองค์นั่นเอง
ทว่า... ยังไม่ทันครบกำหนดคลอด...
วันหนึ่งฮ่องเต้เสด็จเข้ามาในพระตำหนักด้วยพระพักตร์บึ้งตึง กระแทกองค์ลงกับพระเก้าอี้อย่างแรงพร้อมบ่นพึมพำ
“มันน่า.. มันน่า...นักเชียว”
“เสด็จประพาสต้นไม่สนุกหรือเพคะ แล้วนี่เสด็จกลับมานานหรือยัง เข้าที่ประทับส่วนพระองค์หรือยังเพคะ”
“ยัง ก้าวเข้าวังมาก็ตรงมาหาเจ้าก่อนเลย ไอ้ตัวแสบมันคงรู้ตัว หายหัวเงียบ”
พระนางจ้าวหลินฟงถอนพระปัสสาสะเบาๆ
“ก็คงกลับเข้าตำหนักของนางนั่นแหละเพคะ ไปพักผ่อน เพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ เกิดอะไรขึ้นหรือเพคะ”
“ข้าเห็นว่าคราวนี้ออกไปแค่ใกล้ๆ ไปแค่ไม่กี่วัน เอาแค่หย่งกวงกับหม่าเฉาไปเป็นเพื่อน มีมันไปอีกคนคงสนุกขึ้น ตอนนี้ก็มีตำแหน่งเป็นพระสนมแล้วกลางคืนก็เอามานอนห้องข้าได้จะได้ไม่ไปเล่นพิเรนทร์ที่ไหน แต่...เฮ้อ!...จนได้”
“อย่างไรเพคะ”
“ขากลับมีนักเลงอันธพาลเข้ามาหาเรื่อง ข้าจะลากมันหลบ แต่มันเสือกออกไปสู้กับหย่งกวงกับหม่าเฉา ข้าเลยต้องเข้าตะลุมบอนด้วยอีกคน ดีนะที่มันไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน ไม่รู้ใครอารักขาใครกันแน่ มันน่ะเป็นกังฟูแค่ขั้นพื้นฐานเท่านั้นเองนะ”
อ้อ! ที่แท้ก็เป็นห่วง แล้วมาทำเป็นกริ้ว
“เป็นสาวเป็นนางแท้ๆ ไม่รู้จักสงบเสงี่ยมเสียบ้างเลย บู๊แหลกลาญอยู่เรื่อย เห็นทีต้องให้ฝึกวรยุทธเสียแล้ว จะได้มีวิชาไว้ป้องกันตัว ไม่ถูกใครกระทืบตายเอา”
จากพระดำรินั่นแลทำให้หยางเซียงเอ๋อออกเดินทางสู่สำนักฝึกวิทยายุทธของท่านหวังจนสิน พระอาจารย์ของฮ่องเต้ ซึ่งอยู่ในเมืองซึ่งห่างไกลออกไปจนเกือบถึงชายเดือน
“กลับเข้าวังทุกๆ สามเดือนนะเซียงเอ๋อ ข้าจะให้หย่งกวงไปรอรับที่หน้าประตูเมือง ขึ้นสิบห้าค่ำนะเจ้า ขืนกลับช้ากว่ากำหนดข้าจะให้หย่งกวงไปลากคอเจ้ากลับมา แต่คราวนี้ข้าขอให้เจ้ากลับมาในเดือนหน้า ฮองเฮาใกล้คลอดเต็มทีอยากได้เจ้ามาอยู่เป็นเพื่อน”
“รับด้วยเกล้าเพคะ”
แล้วจากนั้นมาหยางเซียงเอ๋อก็เข้าๆ ออกๆ วังหลวงเป็นว่าเล่น วิทยายุทธแก่กล้าขึ้นตามวันเวลาที่ผ่านไป ผลของความทุ่มเทอย่างหนักและการถูกฝึกอย่างเข้มข้น เพียงไม่กี่ปีท่านอาจารย์หวังจนสินก็ส่งตัวคืนฮ่องเต้ด้วยความภาคภูมิใจในผลงาน
จากนั้นนางก็ถูกส่งตัวไปแถบชายแดน ฝากฝังไว้กับนักพรตมู่เหยาผู้ทรงศีลซึ่งมีวิชาแก่กล้ามากที่สุดคนหนึ่งของแผ่นดินและเป็นอาจารย์ของราชองครักษ์เอกสี่หย่งกวง
บัดนี้ ด้วยวัยยี่สิบปีเต็ม นางเติบโตเป็นสาวงามล้ำเลิศ คล่องแคล่ว เฉลียวฉลาด และจัดเป็นจอมยุทธชั้นแนวหน้าคนหนึ่งของแผ่นดินเลยทีเดียว
พระนางจ้าวหลินฟงพลิกวรองค์บนพระแท่นอีกครั้ง ถอนพระปัสสาสะเบาๆ แล้วก็มีพระดำริไม่ต่างจากพระสวามีกับราชองครักษ์เอกเท่าไรนัก
...หรือจะเป็นเพราะพระนางใส่พระทัยกับหยางเซียงเอ๋อน้อยลง เมื่อมีประสูติกาลพระโอรสองค์โตได้ไม่นาน แม่ตัวโปรดก็ต้องกลับหัวเมืองเพื่อศึกษาร่ำเรียนวิชาต่อ พระองค์เองก็หมดเวลาไปกับการดูแลพระโอรส พระโอรสองค์รองถือกำเนิดในปีถัดมาและองค์ที่สามในปีถัดมาอีก เว้นได้สองปีก็มีพระธิดาองค์เล็กเพิ่มมาอีกคน ความรักใคร่และเอาพระทัยใส่จึงต้องแจกจ่ายแบ่งปันกันไปอย่างเท่าเทียม
หากพระองค์ยึดยื้อเก็บนางไว้ใกล้ชิดพระวรกายนานกว่าสิบวันในทุกๆ สามเดือน บางทีนางอาจจะเป็นสตรีที่มีความอ่อนโยนมากกว่านี้ มิใช่ห้าวหาญเด็ดเดี่ยวเยี่ยงชายชาตรีดังที่เป็นอยู่ แล้วทีนี้จะทำอย่างไรต่อไปดีในเมื่อเจ้าตัวประกาศชัดแจ้ง “ข้าไม่หนี”
บุคคลซึ่งเป็นที่รักของใครต่อใครหลับสบายตลอดคืนอยู่ในห้องขังและตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น ขณะที่ผู้ใหญ่สามคนนอนหลับกระสับกระส่ายแทบตลอดคืน
นางใช้เวลาทั้งวันนั่งเงียบอยู่มุมห้องจมอยู่กับความคิดของตัวเองโดยไม่มีใครรบกวน เริ่มพลบค่ำจึงมีเสียงฝีเท้าของกลุ่มคนก้าวมาตามทางเดิน
“ถวายบังคมเพคะ ฝ่าบาท”
“ลุกขึ้น”
“พี่กวง... เสนาหลี่...” เสียงหวานใสเอ่ยทักผู้ติดตามทั้งสองท่าน พร้อมก้มศีรษะให้เล็กน้อย ตามด้วยรอยยิ้มกว้างขวาง
ทั้งฮ่องเต้และสี่หย่งกวงมีสีหน้าเรียบเฉย ยากที่จะเดาได้ว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ใด มีเพียงเสนาผู้เฒ่าที่ส่งสายตาอ่อนโยนผสมรอยยิ้มน้อยๆ ให้นาง
“ไง... นังหนู สบายดีหรือ”
“สบายม้าก!”
“ต้องย้ายที่คุมขังแล้วนะ”
“ข้าพร้อมแล้ว”
“กินข้าวกินปลาหรือยัง ข้าสั่งห้องเครื่องให้ทำมาให้” สุรเสียงเรียบๆ ตรัสถามเบาๆ
“เรียบร้อยแล้วเพคะ ได้กินอาหารชั้นเลิศจากห้องเครื่องทั้งสามมื้อ”
“ดีแล้ว เดี๋ยวต่อไปจะได้กินแค่ข้าวต้มเละๆ วันละสองมื้อแค่นั้นเอง”
สี่หย่งกวงเดินนำหน้าออกไปก่อนโดยไม่พูดอะไรสักคำ จนเมื่อถึงที่หมายแล้วก็ยังหยุดยืนนิ่ง ไม่พูดไม่จา
ห้องนั้นเป็นห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ โล่งเตียน มีเพียงแท่นซึ่งตอกเสาไม้เป็นกางเขนอยู่กลางห้อง ตอนบนของผนังห้องด้านหนึ่งติดลูกกรงเหล็ก เว้นช่องห่างพอที่แสงแดดร้อนจัดจากตอนกลางวันและสายลมเย็นจัดในตอนกลางคืนจะเข้ามาถึงผู้ที่ถูกล่ามอยู่ที่เสาไม้ได้ ส่วนด้านอื่นๆ ของผนังห้องโบกปูนปิดมิดชิด
หยางเซียงเอ๋อเดินตรงเข้ามายืนบนแท่นอย่างไม่ลังเล
ทหารยามสองนายตรงเข้าทำหน้าที่ คนหนึ่งใช้โซ่ล่ามเท้าทั้งสองข้างกับเสาต้นเอก อีกคนจับแขนของนางกางออก ล่ามข้อมือติดกับปลายเสาทั้งสองข้าง เยี่ยหรงจีเบือนพระพักตร์หนีเมื่อเห็นโซ่ตรวนเส้นหนาถูดพาดผ่านที่คอเป็นพันธนาการแห่งสุดท้าย
สี่หย่งกวงยืนกำหมัดแน่น
เสนาผู้เฒ่าเดินตรงเข้ามาลูบศีรษะหญิงสาวเบาๆ ดวงตาฉายแววชื่นชม
“คิดถูกแล้วแม่นางหยางที่ไม่ยอมหนี ข้าภูมิใจในตัวเจ้าจริงๆ อดทนอีกนิดนะ ข้าจะหาทางช่วยเจ้าให้เร็วที่สุด”
แล้วผู้ที่เงียบเสียงมาตลอดก็อดขัดขึ้นไม่ได้
“ข้าจะปลดโซ่ที่คอนางออก เดี๋ยวจะหายใจไม่สะดวก”
“ท่านผู้บัญชาการ ท่านปฏิบัติต่อนักโทษขั้นอุกฉกรรจ์ที่สุดอย่างไร”
เสียงเนิบๆ ของขุนนางผู้ชราถามขึ้น ราชองครักษ์เอกจึงได้แต่ยืนนิ่งตามเดิม
“พี่กวง... ข้าสบายดี” เสียงหวานๆ นั้นปลอบประโลมในที ก่อนจะหันมาอีกทาง
“ฝ่าบาทเพคะ ริบของประจำตำแหน่งพระสนมกับของพระราชทานทั้งหมดแล้ว อย่านำเข้าส่วนกลางนะเพคะ หม่อมฉันขอพระกรุณาเก็บไว้ให้พระธิดาหลิงเฟย”
ก้อนแข็งๆ เลื่อนมาติดอยู่ที่พระศอ ตรัสอะไรไม่ออกแม้สักคำ ได้แต่ดำเนินตรงเข้าไปหาแล้ว ประทับริมโอษฐ์ลงบนหน้าผากได้รูปสวย
“อดทนไว้นะเซียงเอ๋อ จำไว้ ว่าข้าจะไม่ยอมให้เจ้าตายเด็ดขาด”
ว่าแล้วก็เสด็จพระดำเนินออกจากห้องนั้นทันที
สี่หย่งกวงเดินตามออกไปเงียบๆ
เสนาบดีหลี่ลี่เหวินหัวเราะเบาๆ
“เถียงกันอยู่ในท้องพระโรงทั้งวัน ยังไงเจ้าก็ไม่พ้นโทษประหาร ฝ่าบาททั้งกลุ้มทั้งกริ้ว ทำได้มากที่สุดแค่ถ่วงเวลาไปก่อน”
“มิน่า พักตร์บึ้งสนิท เถียงแพ้ไอ้พวกนั้นมานั่นเอง”
ผู้อาวุโสกว่าหัวเราะอีกครั้ง
“เจ้านี่มันเด็ดจริงๆ ไม่กลัวบ้างรึไง”
“กลัวอะไร ตายน่ะ? โอ๊ย... จะกลัวทำไม๊ ใครๆ ก็ต้องตาย-ซี้ม่งเท่งกันทั้งน้าน”
“เออจริง ใครๆ ก็ต้องตาย แต่เจ้ายังไม่ต้องตายตอนนี้หรอก ขอเวลาให้ข้าใช้ความคิดสักหน่อย ให้บ้านเมืองรอด ราชบัลลังก์รอดและเจ้าก็รอดด้วย เชื่อฝีมือข้าเถอะนะ”
จอมซนคนเก่งยิ้มกว้าง หัวเราะเสียงดัง
“ข้าน่ะเชื่อฝีมือท่านอยู่แล้ว เราเห็นฝีมือกันมาเกือบสิบปีแล้วนี่ เนอะ”
“ฝ่าบาท...”
หลังคำอุทานเสียงแผ่ว พระนางจ้าวหลินฟงทรงทรุดวรองค์ลงคำนับพระสวามีแสดงความรักและเทิดทูนเหนือสิ่งอื่นใดในชีวิต
หยางเซียงเอ๋อได้รับตำแหน่งพระสนมเมื่อมีอายุครบสิบสี่ปีบริบูรณ์ ดรุณีสาวแรกรุ่นยังคงสดใสร่าเริงและแก่นแก้วยิ่งนัก มีน้ำใจและความจงรักภักดีแนบแน่นต่อองค์ฮ่องเต้และฮองเฮาเสมอ
เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจะปราณีต่อพระนางจ้าวหลินฟงอยู่มาก เมื่อนางพระกำนัลตัวโปรดต้องแยกไปอยู่ตำหนักอื่นได้ไม่นาน พระนางก็ได้รับข่าวดี ...ทรงครรภ์... แน่นอนที่สุด ผู้ที่ดีใจไม่แพ้องค์ฮ่องเต้ก็คือ “แม่ตัวยุ่ง” ของพระองค์นั่นเอง
ทว่า... ยังไม่ทันครบกำหนดคลอด...
วันหนึ่งฮ่องเต้เสด็จเข้ามาในพระตำหนักด้วยพระพักตร์บึ้งตึง กระแทกองค์ลงกับพระเก้าอี้อย่างแรงพร้อมบ่นพึมพำ
“มันน่า.. มันน่า...นักเชียว”
“เสด็จประพาสต้นไม่สนุกหรือเพคะ แล้วนี่เสด็จกลับมานานหรือยัง เข้าที่ประทับส่วนพระองค์หรือยังเพคะ”
“ยัง ก้าวเข้าวังมาก็ตรงมาหาเจ้าก่อนเลย ไอ้ตัวแสบมันคงรู้ตัว หายหัวเงียบ”
พระนางจ้าวหลินฟงถอนพระปัสสาสะเบาๆ
“ก็คงกลับเข้าตำหนักของนางนั่นแหละเพคะ ไปพักผ่อน เพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ เกิดอะไรขึ้นหรือเพคะ”
“ข้าเห็นว่าคราวนี้ออกไปแค่ใกล้ๆ ไปแค่ไม่กี่วัน เอาแค่หย่งกวงกับหม่าเฉาไปเป็นเพื่อน มีมันไปอีกคนคงสนุกขึ้น ตอนนี้ก็มีตำแหน่งเป็นพระสนมแล้วกลางคืนก็เอามานอนห้องข้าได้จะได้ไม่ไปเล่นพิเรนทร์ที่ไหน แต่...เฮ้อ!...จนได้”
“อย่างไรเพคะ”
“ขากลับมีนักเลงอันธพาลเข้ามาหาเรื่อง ข้าจะลากมันหลบ แต่มันเสือกออกไปสู้กับหย่งกวงกับหม่าเฉา ข้าเลยต้องเข้าตะลุมบอนด้วยอีกคน ดีนะที่มันไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน ไม่รู้ใครอารักขาใครกันแน่ มันน่ะเป็นกังฟูแค่ขั้นพื้นฐานเท่านั้นเองนะ”
อ้อ! ที่แท้ก็เป็นห่วง แล้วมาทำเป็นกริ้ว
“เป็นสาวเป็นนางแท้ๆ ไม่รู้จักสงบเสงี่ยมเสียบ้างเลย บู๊แหลกลาญอยู่เรื่อย เห็นทีต้องให้ฝึกวรยุทธเสียแล้ว จะได้มีวิชาไว้ป้องกันตัว ไม่ถูกใครกระทืบตายเอา”
จากพระดำรินั่นแลทำให้หยางเซียงเอ๋อออกเดินทางสู่สำนักฝึกวิทยายุทธของท่านหวังจนสิน พระอาจารย์ของฮ่องเต้ ซึ่งอยู่ในเมืองซึ่งห่างไกลออกไปจนเกือบถึงชายเดือน
“กลับเข้าวังทุกๆ สามเดือนนะเซียงเอ๋อ ข้าจะให้หย่งกวงไปรอรับที่หน้าประตูเมือง ขึ้นสิบห้าค่ำนะเจ้า ขืนกลับช้ากว่ากำหนดข้าจะให้หย่งกวงไปลากคอเจ้ากลับมา แต่คราวนี้ข้าขอให้เจ้ากลับมาในเดือนหน้า ฮองเฮาใกล้คลอดเต็มทีอยากได้เจ้ามาอยู่เป็นเพื่อน”
“รับด้วยเกล้าเพคะ”
แล้วจากนั้นมาหยางเซียงเอ๋อก็เข้าๆ ออกๆ วังหลวงเป็นว่าเล่น วิทยายุทธแก่กล้าขึ้นตามวันเวลาที่ผ่านไป ผลของความทุ่มเทอย่างหนักและการถูกฝึกอย่างเข้มข้น เพียงไม่กี่ปีท่านอาจารย์หวังจนสินก็ส่งตัวคืนฮ่องเต้ด้วยความภาคภูมิใจในผลงาน
จากนั้นนางก็ถูกส่งตัวไปแถบชายแดน ฝากฝังไว้กับนักพรตมู่เหยาผู้ทรงศีลซึ่งมีวิชาแก่กล้ามากที่สุดคนหนึ่งของแผ่นดินและเป็นอาจารย์ของราชองครักษ์เอกสี่หย่งกวง
บัดนี้ ด้วยวัยยี่สิบปีเต็ม นางเติบโตเป็นสาวงามล้ำเลิศ คล่องแคล่ว เฉลียวฉลาด และจัดเป็นจอมยุทธชั้นแนวหน้าคนหนึ่งของแผ่นดินเลยทีเดียว
พระนางจ้าวหลินฟงพลิกวรองค์บนพระแท่นอีกครั้ง ถอนพระปัสสาสะเบาๆ แล้วก็มีพระดำริไม่ต่างจากพระสวามีกับราชองครักษ์เอกเท่าไรนัก
...หรือจะเป็นเพราะพระนางใส่พระทัยกับหยางเซียงเอ๋อน้อยลง เมื่อมีประสูติกาลพระโอรสองค์โตได้ไม่นาน แม่ตัวโปรดก็ต้องกลับหัวเมืองเพื่อศึกษาร่ำเรียนวิชาต่อ พระองค์เองก็หมดเวลาไปกับการดูแลพระโอรส พระโอรสองค์รองถือกำเนิดในปีถัดมาและองค์ที่สามในปีถัดมาอีก เว้นได้สองปีก็มีพระธิดาองค์เล็กเพิ่มมาอีกคน ความรักใคร่และเอาพระทัยใส่จึงต้องแจกจ่ายแบ่งปันกันไปอย่างเท่าเทียม
หากพระองค์ยึดยื้อเก็บนางไว้ใกล้ชิดพระวรกายนานกว่าสิบวันในทุกๆ สามเดือน บางทีนางอาจจะเป็นสตรีที่มีความอ่อนโยนมากกว่านี้ มิใช่ห้าวหาญเด็ดเดี่ยวเยี่ยงชายชาตรีดังที่เป็นอยู่ แล้วทีนี้จะทำอย่างไรต่อไปดีในเมื่อเจ้าตัวประกาศชัดแจ้ง “ข้าไม่หนี”
บุคคลซึ่งเป็นที่รักของใครต่อใครหลับสบายตลอดคืนอยู่ในห้องขังและตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น ขณะที่ผู้ใหญ่สามคนนอนหลับกระสับกระส่ายแทบตลอดคืน
นางใช้เวลาทั้งวันนั่งเงียบอยู่มุมห้องจมอยู่กับความคิดของตัวเองโดยไม่มีใครรบกวน เริ่มพลบค่ำจึงมีเสียงฝีเท้าของกลุ่มคนก้าวมาตามทางเดิน
“ถวายบังคมเพคะ ฝ่าบาท”
“ลุกขึ้น”
“พี่กวง... เสนาหลี่...” เสียงหวานใสเอ่ยทักผู้ติดตามทั้งสองท่าน พร้อมก้มศีรษะให้เล็กน้อย ตามด้วยรอยยิ้มกว้างขวาง
ทั้งฮ่องเต้และสี่หย่งกวงมีสีหน้าเรียบเฉย ยากที่จะเดาได้ว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ใด มีเพียงเสนาผู้เฒ่าที่ส่งสายตาอ่อนโยนผสมรอยยิ้มน้อยๆ ให้นาง
“ไง... นังหนู สบายดีหรือ”
“สบายม้าก!”
“ต้องย้ายที่คุมขังแล้วนะ”
“ข้าพร้อมแล้ว”
“กินข้าวกินปลาหรือยัง ข้าสั่งห้องเครื่องให้ทำมาให้” สุรเสียงเรียบๆ ตรัสถามเบาๆ
“เรียบร้อยแล้วเพคะ ได้กินอาหารชั้นเลิศจากห้องเครื่องทั้งสามมื้อ”
“ดีแล้ว เดี๋ยวต่อไปจะได้กินแค่ข้าวต้มเละๆ วันละสองมื้อแค่นั้นเอง”
สี่หย่งกวงเดินนำหน้าออกไปก่อนโดยไม่พูดอะไรสักคำ จนเมื่อถึงที่หมายแล้วก็ยังหยุดยืนนิ่ง ไม่พูดไม่จา
ห้องนั้นเป็นห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ โล่งเตียน มีเพียงแท่นซึ่งตอกเสาไม้เป็นกางเขนอยู่กลางห้อง ตอนบนของผนังห้องด้านหนึ่งติดลูกกรงเหล็ก เว้นช่องห่างพอที่แสงแดดร้อนจัดจากตอนกลางวันและสายลมเย็นจัดในตอนกลางคืนจะเข้ามาถึงผู้ที่ถูกล่ามอยู่ที่เสาไม้ได้ ส่วนด้านอื่นๆ ของผนังห้องโบกปูนปิดมิดชิด
หยางเซียงเอ๋อเดินตรงเข้ามายืนบนแท่นอย่างไม่ลังเล
ทหารยามสองนายตรงเข้าทำหน้าที่ คนหนึ่งใช้โซ่ล่ามเท้าทั้งสองข้างกับเสาต้นเอก อีกคนจับแขนของนางกางออก ล่ามข้อมือติดกับปลายเสาทั้งสองข้าง เยี่ยหรงจีเบือนพระพักตร์หนีเมื่อเห็นโซ่ตรวนเส้นหนาถูดพาดผ่านที่คอเป็นพันธนาการแห่งสุดท้าย
สี่หย่งกวงยืนกำหมัดแน่น
เสนาผู้เฒ่าเดินตรงเข้ามาลูบศีรษะหญิงสาวเบาๆ ดวงตาฉายแววชื่นชม
“คิดถูกแล้วแม่นางหยางที่ไม่ยอมหนี ข้าภูมิใจในตัวเจ้าจริงๆ อดทนอีกนิดนะ ข้าจะหาทางช่วยเจ้าให้เร็วที่สุด”
แล้วผู้ที่เงียบเสียงมาตลอดก็อดขัดขึ้นไม่ได้
“ข้าจะปลดโซ่ที่คอนางออก เดี๋ยวจะหายใจไม่สะดวก”
“ท่านผู้บัญชาการ ท่านปฏิบัติต่อนักโทษขั้นอุกฉกรรจ์ที่สุดอย่างไร”
เสียงเนิบๆ ของขุนนางผู้ชราถามขึ้น ราชองครักษ์เอกจึงได้แต่ยืนนิ่งตามเดิม
“พี่กวง... ข้าสบายดี” เสียงหวานๆ นั้นปลอบประโลมในที ก่อนจะหันมาอีกทาง
“ฝ่าบาทเพคะ ริบของประจำตำแหน่งพระสนมกับของพระราชทานทั้งหมดแล้ว อย่านำเข้าส่วนกลางนะเพคะ หม่อมฉันขอพระกรุณาเก็บไว้ให้พระธิดาหลิงเฟย”
ก้อนแข็งๆ เลื่อนมาติดอยู่ที่พระศอ ตรัสอะไรไม่ออกแม้สักคำ ได้แต่ดำเนินตรงเข้าไปหาแล้ว ประทับริมโอษฐ์ลงบนหน้าผากได้รูปสวย
“อดทนไว้นะเซียงเอ๋อ จำไว้ ว่าข้าจะไม่ยอมให้เจ้าตายเด็ดขาด”
ว่าแล้วก็เสด็จพระดำเนินออกจากห้องนั้นทันที
สี่หย่งกวงเดินตามออกไปเงียบๆ
เสนาบดีหลี่ลี่เหวินหัวเราะเบาๆ
“เถียงกันอยู่ในท้องพระโรงทั้งวัน ยังไงเจ้าก็ไม่พ้นโทษประหาร ฝ่าบาททั้งกลุ้มทั้งกริ้ว ทำได้มากที่สุดแค่ถ่วงเวลาไปก่อน”
“มิน่า พักตร์บึ้งสนิท เถียงแพ้ไอ้พวกนั้นมานั่นเอง”
ผู้อาวุโสกว่าหัวเราะอีกครั้ง
“เจ้านี่มันเด็ดจริงๆ ไม่กลัวบ้างรึไง”
“กลัวอะไร ตายน่ะ? โอ๊ย... จะกลัวทำไม๊ ใครๆ ก็ต้องตาย-ซี้ม่งเท่งกันทั้งน้าน”
“เออจริง ใครๆ ก็ต้องตาย แต่เจ้ายังไม่ต้องตายตอนนี้หรอก ขอเวลาให้ข้าใช้ความคิดสักหน่อย ให้บ้านเมืองรอด ราชบัลลังก์รอดและเจ้าก็รอดด้วย เชื่อฝีมือข้าเถอะนะ”
จอมซนคนเก่งยิ้มกว้าง หัวเราะเสียงดัง
“ข้าน่ะเชื่อฝีมือท่านอยู่แล้ว เราเห็นฝีมือกันมาเกือบสิบปีแล้วนี่ เนอะ”
ความคิดเห็น