คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : โดย อนัญญา
จากผู้เขียน
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่แต่งขึ้นเองทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นบุคคล สถานที่ รัชสมัย ธรรมเนียมประเพณี หรือเหตุการณ์ต่างๆ ล้วนมาจากจินตนาการของผู้เขียนเอง ขอผู้อ่านทุกท่านโปรดเพลิดเพลินกับเรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆ ของตัวละครทั้งหลายในบรรยากาศของหนังจีนกำลังภายใน โดยไม่พยายามเชื่อโยงเหตุการณ์เหล่านั้นไปกับประวัติศาสตร์และไม่ใส่ใจกับความเป็นไปได้ใดๆ ทั้งสิ้นเพราะ (ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว) ทั้งหมดนี้ คือ จินตนาการ
ปล. เราขอยืนยันว่านี่คือ love story ในอีกเวอร์ชั่นหนึ่งเท่านั้น
1
บุรุษวัยกลางคนผู้องอาจผึ่งผายสองนายนั่งหน้าเครียดเคียงข้างกัน ผู้หนึ่งนั่งเด่นเป็นสง่าอยู่บนเก้าอี้ ในขณะที่อีกคนหนึ่งนั่งอยู่บนพื้น บอกสถานะที่แตกต่างกันได้เป็นอย่างดี
“จะทำเช่นไรต่อไป พระเจ้าค่ะ” เสียงทุ้มกังวานของราชองครักษ์คู่พระทัยดังขึ้น เยี่ยหรงจีเพียงถอนปัสสาสะเบาๆ
“ข้าอยากให้นางหนีไป ไปให้ไกลจนไม่มีใครพบเห็น”
“แต่นางจะกลับมา”
“ใช่ นางจะกลับมา และเมื่อนั้นข้าจะให้เจ้าพานางหนีไป”
“เมื่อนั้นก็ไม่ทันแล้วพระเจ้าค่ะ ถ้าจะหนีรอด นางต้องออกจาเมืองเดี๋ยวนี้!”
“ข้ารู้” สุรเสียงตอบเบา แผ่วเหมือนพระทัยที่กลัดกลุ้มอยู่ในขณะนี้ ตามมาด้วยอาการถอนพระปัสสาสะยาวอีกที
“ฮองเฮาเสด็จ”
เสียงมหาดเล็กหน้าห้องทรงพระอักษรดังขึ้นขัดจังหวะการสนทนานั้น เพียงชั่วอึดใจบานพระทวารก็เปิดออก สตรีผู้งามอ่อนหวานแม้พระชันษาจะพ้นสามสิบปีไปแล้วก้าวเข้ามาด้วยกริยางดงามอ่อนช้อยเช่นเดิม
“ฝ่าบาทเพคะ พระอาญามิพ้นเกล้า”
ร่างระหงคุกเข่าถวายบังคม และยังคงอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งหัตถ์ใหญ่เข้าประคองให้ยืนขึ้นและกอดประทับแนบแน่น สุรเสียงอ่อนโยนถามเบาๆ เมื่อคลายพระพาหา “นางกลับมาหรือยัง”
วงพักตร์อ่อนหวานของฮองเฮาส่ายช้าๆ น้ำพระเนตรคลอคลอง
“จริงหรือเพคะเรื่องท่านแม่ทัพหยางกับฮูหยิน”
“จริง”
“แล้วเซียงเอ๋อ...”
“นางจะต้องโทษประหาร หากนางกลับมา”
น้ำพระเนตรเป็นสายไหลริน วรองค์บอบบางสั่นสะท้านด้วยแรงสะอื้น
“หม่อมฉันอยากจะขอพระราชทานอภัยโทษ...”
“อาฟ่ง ลำพังข้า ข้าไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายนางเด็ดขาด แต่นี่มันเกี่ยวกับบ้านเมือง มีกฎหมาย มีกฎมณเฑียรบาล”
“ท่านราชองครักษ์...”
คำหลังวงพักตร์ละมุนจึงหันมาทางองครักษ์เอกประจำองค์ฮ่องเต้ ซึ่งก็ได้รับคำตอบเป็นการถอนหายใจหนักหน่วงผสมสีหน้าหนักใจยิ่ง
“หย่งกวง หากเจ้าหานางให้พบก่อนที่นางจะกลับเข้าวัง แล้วพานางหนีไปให้ไกลก่อนที่จะมีใครรู้เข้า จะได้มั้ย?”
“ยากพระเจ้าค่ะ คงใช้เวลาหลายวัน นางมีความสามารถพอที่จะดูแลไม่ให้ตัวเองถูกพบได้โดยง่าย”
“อาฟ่ง นางออกไปกี่วันแล้ว”
“เจ็ดวันแล้วเพคะ”
“เจ็ดวัน... มีรายงานมาแล้วว่าถ้ำที่พำนักของท่านมู่เหยาถูกเผาทำลายสิ้น สำนักของท่านหวังจงสินก็ราบไม่มีเหลือ อีกไม่นานนางคงกลับมา”
“ท่านองครักษ์สี่ ท่านรู้ช่องทางลับที่นางใช้เข้าออกวังหลวงหรือไม่ ถ้าท่านรอนางตรงนั้น อาจพบและพานางหลบหนีออกไปได้ทัน”
“ทูลฮองเฮา เป็นข้าพระองค์เองที่สอนให้นางรู้จักหลบเข้าวังได้หลายวิธี ยากที่ใครจะพบนางได้พระเจ้าค่ะ”
ท้ายสุดพระนางจ้าวหลินฟงจึงหันหลับมาที่พระสวามี
“ฝ่าบาท! หม่อมฉันไม่ยอมให้นางตายเด็ดขาด! ได้ยินมั้ยเพคะ”
“ใจเย็นๆ อาฟ่ง ข้าก็ไม่ยอมให้นางตายเหมือนกัน”
“หม่อมฉันจะทำทุกทาง...”
“ข้ารู้” เยี่ยหรงจีมีดำรัสตอบพระมเหสีด้วยสุรเสียงอ่อนโยน เข้าอกเข้าใจ นั่นจึงทำให้พระอาการกระวนกระวายของฮองเฮาลดลง
เสียงเคาะพระทวารดังขึ้น มหาดเล็กหน้าห้องกล่าวรายงาน
“แม่นางหยางขอเข้าเฝ้าพระเจ้าค่ะ”
นัยน์ตาสามคู่แลสบกันในทันที และรับรู้ได้โดยพลันว่าต่างคนต่างเก็บความโล่งใจล้นพ้นเอาไว้ไม่มิด
“พานางเข้ามา” เยี่ยหรงจีมีดำรัสตอบทันควัน หันไปสบพระเนตรกับพระมเหสีคู่ชีวิตและองครักษ์คู่พระทัยด้วยความหนักใจแกมโล่งใจอย่างยิ่ง
เพียงชั่วอึดใจ ร่างบอบบางในสภาพเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนและขาดเป็นบางแห่งก็มาปรากฏอยู่เบื้องพระบาท คุกเข่า ก้มหน้านิ่ง ไม่ขยับเขยื้อน
“เซียงเอ๋อ...” สุรเสียงขององค์ฮ่องเต้ยังคงทุ้มนุ่ม อ่อนโยนเช่นที่เคยเป็นมาเสมอ “ลุกขึ้น”
ใบหน้าที่เปรอะไปด้วยเขม่าควัน คราบไคล และคราบน้ำตาเงยขึ้นสบพระพักตร์ ไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นตามพระกระแสรับสั่งแต่อย่างใด
“ฝ่าบาท หม่อมฉันอยากทราบเรื่องราวทั้งหมดเพคะ”
“ลุกขึ้นก่อน”
“เล่าประทานหม่อมฉันได้มั้ยเพคะ”
“ข้าบอกให้เจ้าลุกขึ้น!” สุรเสียงดัง ห้วน ขุ่นพอๆกับพระอารมณ์ในขณะนั้น ยังผลให้องค์ฮองเฮาต้องเสด็จเข้าไปประคองร่างบางให้ลุกขึ้นยืน และตระคองกอดให้นิ่งสงบอยู่ในอ้อมพระพาหาอ่อนโยนดั่งมารดาปฏิบัติต่อบุตรี
“ดื้อชะมัดเลย ให้ตายสิ” เยี่ยหรงจีทรงพึมเพาเบาๆ ก่อนจะทรงปัดภาระ โยนหน้าที่ที่น่าลำบากใจไปยังบุคคลข้างๆ
“หย่งกวง เล่าไป”
“หม่อมฉันอยากทราบเรื่องจากพระโอษฐ์” น้ำเสียงเรียบๆ ทว่าเด็ดขาดดังขึ้น คงมีเพียงคนเดียวในวังนี้แน่ๆ ที่กล้าพูดแบบนี้กับพระองค์
“ให้มันได้อย่างนี้สิวะ เซียงเอ๋อ เจ้าจะทำให้อะไรๆ มันง่ายขึ้นสำหรับข้าหน่อยไม่ได้หรือไง ...ก็ได้... พ่อของเจ้าเป็นคนเปิดประตูเมืองให้ทหารของแคว้นถังจริง แล้วหลังจากนั้นทั้งพ่อและแม่ของเจ้าก็ถูกพวกมันฆ่าตาย ข้าได้รับโลงศพสองโลงพร้อมจดหมายเยาะเย้ยจากพวกมันเมื่อบ่ายวันนี้เอง”
“หม่อมฉันอยากเห็นศพ”
“ไม่ได้! ข้าสั่งเด็ดขาดนะเซียงเอ๋อ ไม่ได้คือไม่ได้! อย่าได้พยายามเชียว”
“แต่...”
“ข้าสั่ง! นั่นเพียงพอมั้ยที่เจ้าจะปฏิบัติตาม”
น้ำตาไหลเป็นทางอาบสองแก้ม ไหล่บางไหวด้วยแรงสะอื้น ริมฝีปากเม้มแน่น หากแววตาวาวโรจน์ ทั้งๆ ที่ยังยืนนิ่งอยู่ในอ้อมพระพาหาของฮองเฮาแท้ๆ
เยี่ยหรงจีรับร่างนั้นจากพระมเหสีเข้าสู่อ้อมพระพาหา กดใบหน้างามแนบพระอุระ
ถ่ายทอดความรักและห่วงใยอันเต็มเปี่ยมจากพระทัยผ่านทางสัมผัส ก่อนจะค่อยๆ ส่งต่อให้
ราชองครักษ์เอก
“ข้าจะให้หย่งกวงพาเจ้าหนี รีบเดินทางเดี๋ยวนี้เลย ไปให้ไกลแล้วไม่ต้องกลับมา ไม่ต้องห่วงอะไรทางนี้ทั้งนั้น ขอแค่เจ้าปลอดภัยก็พอ”
“ไม่! ข้าไม่หนี”
เสียงห้วนเด็ดเดี่ยวดังขึ้นทันทีทันควัน พร้อมกับที่ร่างบางเบี่ยงตัวออกจากอ้อมแขนของสี่หย่งกวงทันทีเช่นกัน
“เซียงเอ๋อ” ผู้เปรียบเสมือนพี่ชายคนรอง เรียกเสียงอ่อนอย่างพยายามปลอบโยน
“ข้าไม่หนี! โทษกบฏประหารเจ็ดชั่วโคตร ข้าไม่หนีเอาตัวรอดคนเดียว แล้วปล่อยให้คนสกุลหยางตายหมดหรอก ข้าทำไม่ได้”
“ท่านผู้เฒ่า ...ปู่ของเจ้า... หัวใจวายตอนเห็นศพของพ่อแม่เจ้า อาของเจ้ากับฮูหยินและลูกๆ หายไปตั้งแต่วันข้าศึกบุกแล้ว ป่านนี้คงหนีไปได้ไกลพอสมควร เหลือเจ้าคนเดียวเท่านั้นเซียงเอ๋อ”
“ข้าจะรับโทษประหาร”
ประโยคสั้นๆ เรียบๆ นั้นทำให้องค์ฮ่องเต้ทรงกริ้วอีกรอบ
“มันน่าตีให้ตายจริงๆ พูดไม่รู้เรื่อง ...หย่งกวง ลากนางออกไปเลย ไม่ต้องฟังอะไรทั้งนั้น ถ้าไปไม่พ้นเขตแคว้นเย่วยังไม่ต้องกลับมาเด็ดขาด”
“ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น อย่านะพี่กวง! ข้าสู้จริงๆ ด้วย”
“เซียงเอ๋อ...” สี่หย่งกวงเพียงเรียกชื่อนางเบาๆ อ่อนหวานดังเช่นที่เคยเป็น แขนยาวๆ ทั้งสองข้างกางออก อะไรบางอย่างในแววตาและน้ำเสียงทำให้นางกล้าที่จะเดินเข้าไปสวมกอด และซบหน้าอยู่กับแผ่นอกนั้นนิ่งนาน
มือใหญ่ลูบศีรษะของสตรีตรงหน้าช้าๆ ถามเบาๆ อย่างใจเย็น
“ทำไมไม่หนี ข้าเป็นห่วง ฝ่าบาทก็ห่วง ฮองเฮาก็ห่วง หนีเถอะ พวกเราจะได้สบายใจ อะไรก็ไม่สำคัญเท่าให้เจ้าปลอดภัย”
“ข้าหนีไม่ได้ พ่อทำความผิดใหญ่หลวง ข้าจะรับโทษ ไถ่โทษไถ่บาปให้พ่อ กู้ชื่อให้สกุล
หยาง”
“ข้ากลัวเจ้าจะตายเปล่า ใครๆ ก็โจษจันว่าหยางซือหม่าคือกบฏ หากได้ตัวลูกสาวมา นางก็จะตายในฐานะกบฏ ไม่ใช่ผู้ไถ่โทษ”
“ข้ารู้ แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ข้าจะไม่หนีให้ศักดิ์ศรีมันป่นปี้ไปกว่านี้ แล้วคิดบ้างรึเปล่าว่าถ้าข้าหนี พวกเสนาอำมาตย์จะว่ากันอย่างไร จะมีคำครหามาถึงพี่กับฝ่าบาทได้”
“นั่นมันธุระของข้า” สุรเสียงห้วนๆ ขุ่นๆ ดังขัดขึ้น
“หม่อมฉันจะไม่ยอมเป็นตัวปัญหา ประหารเถอะเพคะ หม่อมฉันเต็มใจ”
“เจ้านี่นะ มันน่า...”
คำที่จะดุด่าหยุดอยู่แค่พระศอเมื่อทอดพระเนตรเห็นน้ำตาไหลลงมาเป็นทางจากใบหน้ามอมแมม
“ราชสำนักกำลังวุ่นวาย บ้านเมืองกำลังระส่ำระสาย การเอาตัวกบฏมาลงโทษได้ย่อมเป็นการเรียกขวัญและกำลังใจจากประชาชน เพิ่มความมั่นใจให้พวกเขาว่า สงครามกำลังจะสิ้นสุดลงในเร็วๆ นี้ ป้องกันการเกิดจลาจลและการปล้นสดมภ์ทุกหย่อมหญ้า” เมื่อเห็นทุกผู้ตั้งใจฟังอย่างดีแล้ว นางจึงกล่าวต่ออย่างใจเย็น
“หากทรงมีรับสั่งประหารหม่อมฉันให้ใครๆเห็นได้ จะไม่มีใครสงสัยในความยุติธรรมและความเด็ดขาดได้เลย พระราชอำนาจจะไม่มัวหมอง”
ได้สดับฟังแล้วก็เห็นจะโทษใครไม่ได้นอกจากพระองค์เองกับสี่หย่งกวง ดูเถอะ พร่ำสอนพร่ำอบรมจนมันคิดได้ขนาดนี้ ไม่คิดบ้างเลยว่าพระหทัยของพระองค์กับฮองเฮาจะเป็นเช่นไร
สี่หย่งกวงกอดร่างบางนั้นไว้แนบแน่น ลูบหัวลูบหลัง ปลอบโยนไม่หยุด
“เรื่องวุ่นวายในราชสำนักเป็นหน้าที่ฝ่าบาท เรื่องจลาจลของชาวบ้านเป็นหน้าที่ของข้า เรื่องความปลอดภัยของเจ้าเป็นหน้าที่ของเราทั้งสามคน”
“พี่กวง อย่าพยายามคิดแก้ปัญหา ตัดปัญหาก่อนมันจะเกิดดีกว่า”
แล้วบุรุษผู้ซึ่งแกร่งไม่แพ้เหล็กไหลก็ถอนหายใจยาว หันไปสบพระเนตรองค์ฮ่องเต้เพื่อรอกระแสรับสั่ง
หลังจากที่ต่อสู้กับพระดำริที่จะทำให้นางสลบแล้วพาหลบออกไปนอกเมืองได้สำเร็จ เยี่ยหรงจีก็ทรงมีราชกระแสรับสั่งเบาๆ
“เอานางไปขังในคุกหลวง”
“ฝ่าบาท! หม่อมฉันไม่ยอมนะเพคะ ใครจะทำอะไรเซียงเอ๋อ ข้ามศพหม่อมฉันไปก่อน!”
“อาฟ่ง ข้ายังไม่ได้ทำอะไร แค่ขังไว้เฉยๆ”
“ขังไว้ในตำหนักหม่อมฉันก็ได้”
“ได้ที่ไหนกันเล่า นางต้องโทษกบฏนะ ไม่ใช่หลบออกไปเที่ยวนอกวังเหมือนทุกที”
“ฮองเฮาเพคะ ฝ่าบาทรับสั่งถูกต้องแล้วเพคะ”
น้ำพระเนตรของพระนางจ้าวหลินฟงคลอเต็มหน่วย รวบร่างบางนั้นมากอดอีกครั้ง ก่อนมีรับสั่ง
“ข้าจะหาทางช่วยเจ้าให้ได้เซียงเอ๋อ ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรเจ้าได้เด็ดขาด” จากนั้นก็ทรงหันพระพักตร์ไปทางราชองค์รักษ์เอก
“ท่านหย่งกวง เช็ดหน้าเช็ดตาทำแผลให้นางเสียก่อนนะ หาฟูกหาผ้าห่มอุ่นๆ ให้นางด้วย ในคุกคงมีแต่พื้นปูนแข็งๆ เดี๋ยวเซียงเอ๋อจะนอนไม่สบาย แล้วอย่าลืมหาข้าวปลาอาหารให้นางด้วยนะ ดูท่าคงหิว คงอดมาหลายมื้อแล้ว”
หยางเซียงเอ๋อน้ำตาร่วงพรู ทรุดกายลงคุกเข่าลงเบื้องพระบาทฮองเฮา ก้มศีรษะจนหน้าผากจรดพื้นแสดงการคารวะสูงสุด
“ขอฮองเฮาถนอมพระวรกายด้วย หากมีโอกาสหม่อมฉันคงได้ถวายการรับใช้อีก ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า”
“เหลวไหล!” เสียงห้าวดุดังมาจากบุคคลผู้ทรงอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน
“ถ้าข้ายังมีชีวิตอยู่ใครก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้ทั้งนั้น ไป! ไปได้แล้ว แยกขังนะหย่งกวง อย่าให้ใครมายุ่มย่ามกับนาง จัดเวรยามเฝ้าให้ดีด้วย อย่าให้ใครลอบเข้ามาทำร้ายนางได้ ...รีบไปซะก่อนที่ข้าจะตีหัวเจ้าจนสลบแล้วจับไปปล่อยนอกเมือง ...เร็วเข้า!”
หลังจากนั่งมองใบหน้าขาวนวลซึ่งกำลังหลับตาพริ้มของสตรีซึ่งขดตัวซุกอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ผ่อนลมหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมออยู่ได้พักใหญ่แล้ว สี่หย่งกวงก็ลุกขึ้นช้าๆ เดินออกจากห้องขังพร้อมคล้องโซ่ที่ประตูหน้าห้องอย่างเงียบที่สุด การสั่งงานตลอดจนการจัดเวรยามล้วนกระทำด้วยความรอบคอบระมัดระวังยิ่งกว่าทุกครั้ง เสร็จธุระแล้วก็หย่อนร่างสูงใหญ่ลงนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างกำแพงคุกหลวงนั่นเอง
แปดปีก่อนเด็กผู้หญิงซุกซนคนหนึ่งส่งเสียงร้องลั่นยามเขาทำแผลให้เมื่อนางได้รับอุบัติเหตุตกจากต้นไม้ บัดนี้หญิงสาวสะสวยคนหนึ่งนั่งเงียบตั้งแต่ล้างแผลจนกระทั่งใส่ยาเสร็จ
แปดปีก่อนเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกินข้าวสามชามหมดเกลี้ยงภายในพริบตาแล้วยิ้มแหยๆ สารภาพเสียงอ่อยว่า ไม่มีทั้งอาหารและน้ำตกถึงท้องเลยทั้งวัน ด้วยนางมัวแต่วางแผนหลบออกนอกวังและห่วงเที่ยวห่วงเล่นเสียจนไม่มีเวลากินอะไร บัดนี้หญิงสาวร่างระหงนั่งมองอาหารตรงหน้าอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะค่อยๆ กินทีละคำจนหมดชาม ดื่มน้ำตามช้าๆ ปฏิเสธที่จะรับอะไรเพิ่มเติม แม้จะยอมรับว่าไม่ได้กินอะไรเลยมาสองวันเต็มๆ แล้ว
แปดปีก่อนเด็กหญิงคนเดียวกันนี้ไม่ยอมหลับยอมนอนง่ายๆ นางจะพูดจะเล่าถึงการผจญภัยนอกวังของนางอย่างไม่รู้จักหยุดหย่อน จะเงียบก็ต่อเมื่อเขาแกล้งหลับหรือไม่นางก็เหนื่อยจนหลับไปเอง บัดนี้ แม้เขาเอ่ยถาม คำตอบมีแค่เพียงการส่ายหน้า รอยยิ้มบางๆ กับคำพูดเบาๆ “ข้าเหนื่อย”
แม้เมื่อมือใหญ่ลูบผมเบาๆ อย่างอ่อนโยน รอยยิ้มทะลึ่ง ทะเล้น สดใสก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มละมุน อ่อนหวาน
หลังคำพูดเบาๆ “หลับซะ” ไม่มีวาจาวกวนยอกย้อนยาวเหยียด มีเพียงมือเล็กๆ ที่เอื้อมมาจับมือเขาไว้ก่อนจะหลับตาพริ้ม และหลับลงในเวลาไม่นาน เจ็ดวันที่ผ่านมานับแต่ข้าศึกบุกผ่านเข้าประตูเมืองหน้าด่านมาได้คงเป็นเจ็ดวันซึ่งสาหัสพอดูสำหรับนาง
สี่หย่งกวงถอนหายใจยาวหนักหน่วงอีกครั้ง หยางเซียงเอ๋อเป็นเหมือนน้องสาวแท้ๆ แม้จะไม่มีสายเลือดเดียวกันแต่สายใยผูกพันนั้นใหญ่หลวง เห็นนางมาตั้งแต่อายุได้สิบสองปี เป็นนางพระกำนัลรุ่นเล็กในตำหนักของฮองเฮาซึ่งซนที่สุด ดื้อที่สุด และก่อเรื่องแหกกฎได้อย่างไม่รู้จักหยุดหย่อน ความสดใส ร่าเริง ทะลึ่งทะเล้นและช่างพูดช่างเจรจาทำให้นางรอดพ้นโทษทัณฑ์จากการเล่นสนุกพิเรนทร์ๆ อยู่เรื่อย
ครั้งแรกที่เขาได้รู้จักนางคือเมื่อเข้าตรวจพบเด็กคนหนึ่งแอบซ่อนตัวอยู่ในเกวียนบรรทุกฟางมุ่งหน้าสู่คอกม้าของพระราชวัง หน้าตาที่มอมแมม เนื้อตัวเลอะเทอะในชุดผ้าฝ้ายสีหม่น ทำให้เขาไม่เอะใจเลยว่านี่ไม่ใช่เด็กผู้ชาย จึงได้ลากร่างเล็กๆ นั้นลงจากเกวียนถูลู่ถูกังไปจนถึงคอกม้าอย่างไม่ปรานีปราศัย
“โอ้ยๆๆ ข้าบอกว่าเจ็บ ปล่อยซะทีสิ พูดกันดีๆ ก็ได้ ปล่อย...โอ้ย! ปล่อยสิโว้ย!”
เจ้าตัวร้ายโวยวายดังลั่นตลอดทาง
“เจ้าแอบเข้ามาทำอะไรในวัง ใครใช้เจ้ามา”
“ไม่มีใครทั้งนั้นแหละ ข้าอยู่ที่นี่ แอบหลบออกไป แล้วก็แอบกลับเข้ามา”
“เจ้าอยู่ที่นี่? อยู่ตรงไหน?” คิ้วเข้มๆ เลิกขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงแสดงออกเด่นชัดว่าไม่เชื่อ
“ด้านโน้น”
“หนอยแน่ไอ้หนู! จะมั่วก็มั่วผิด ด้านโน้นเป็นเขตราชฐานชั้นใน ผู้ชายเข้าได้ที่ไหนกันเล่า”
“แล้วใครบอกว่าข้าเป็นผู้ชาย”
“แล้วเจ้าเป็นผู้หญิงเรอะ?!?”
จวบจนเมื่อล้างคราบสกปรกมอมแมมออกจนเกลี้ยงเกลาแล้วเขาจึงเชื่อสนิทใจ ไม่มีเด็กผู้ชายที่ไหนจะน่ารักจิ้มลิ้มปากนิดจมูกหน่อยได้อย่างนี้หรอก ไหนจะหน้าเล็กๆ ขาวผ่อง แก้มแดงปากแดงนั้นอีกเล่า
“ข้าอยู่ในตำหนักฮองเฮา” เจ้าตัวเล็กสารภาพเสียงอ่อยหลังจากถูกสอบสวนอยู่นาน
“ฮ้า! ตำหนักฮองเฮาเชียวเรอะ?”
“ข้าหลบออกไปเที่ยว”
“หลบอย่างไร”
“โธ่โว้ย! ถามมากจริง ท่านทำข้าเสียเวลาไปมากแล้วรู้มั้ย ป่านนี้คงตามหาตัวข้ากันให้วุ่น กลับไปถึงไม่พ้นถูกตี”
คนตัวโตหัวเราะหึๆ จูงมือเล็กๆออกเดิน เจ้านี่มันฉลาด ซักถามมันเป็นชั่วโมงได้มาแค่ “อยู่ในตำหนักฮองเฮา” พาไปส่งเสียเลยให้สิ้นเรื่องสิ้นราว จะถามมากกว่านี้ก็คงจะเสียเวลาเปล่าๆ
หลังจากแจ้งเรื่องกับทหารยามประจำเขตพระราชฐานแล้ว ไม่กี่อึดใจคนตัวใหญ่กับคนตัวเล็กก็คุกเข่าลงพร้อมกันเนื่องด้วยฮองเฮาเสด็จมาจนถึงหน้าประตูด้วยองค์เองเลยทีเดียว เสด็จอย่างเร่งรีบเสียด้วย
“เรื่องเป็นอย่างไรกัน ท่านองค์รักษ์สี่”
“ข้าพระองค์พบนางอยู่ในเกวียนขนฟางพระเจ้าค่ะ”
“มีอะไรจะแก้ตัวมั้ย แม่ตัวยุ่ง”
“ไม่มีเพคะ”
“คราวนี้ไปไหนมาอีกล่ะ”
“ไปตลาดเพคะ”
“เจ้าเพิ่งไปเมื่อสัปดาห์ก่อนเองนี่”
“สัปดาห์ก่อนมีงิ้ว สัปดาห์นี้มีกายกรรมเพคะ”
คนตอบตอบเสียงสดใสพร้อมรอยยิ้มกว้างขวาง แปลได้ว่าความสนุกยังไม่ค่อยจางหาย
“ดี” สุรเสียงอ่อนหวานดังขึ้น ปรายพระเนตรไปทางต้นห้องคนสนิท ชั่วพริบตาสิ่งของที่พึงประสงค์ก็มาอยู่ในพระหัตถ์
“ไม้เรียวเพคะ”
หยางเซียงเอ๋อถอยกรูด อาศัยคนตัวใหญ่กำบัง เกาะหลังคนตัวสูงเอาไว้แน่น ส่งผลให้เขาอยู่เฉยไม่ได้
“เอ่อ...คือ... นางจะกลับถึงตำหนักก่อนหน้านี้นานแล้วพระเจ้าค่ะ พอดีข้าพระองค์เรียกตัวไปสอบสวนเสียนาน”
วงพักตร์งามปรากฏรอยแย้มสรวลเปิดเผย ทั้งขันทั้งฉุน เห็นได้ชัดเลยว่าเวลาไม่นาน “แม่ตัวยุ่ง” ของพระองค์มัดใจคนดุๆ ตรงหน้านี่อยู่หมัด
“อย่างไรก็ต้องโดน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางหลบออกไปเที่ยว ท่านไม่รู้หรอกว่าข้าต้องวิ่งวุ่นหัวปั่นคอยตามหานางทุกๆ สัปดาห์ เกิดไปมีเรื่องมีราวหรือเกิดอุบัติเหตุข้างนอกจะทำอย่างไร”
“หม่อมฉันกลับมาอย่างปลอดภัยแล้วนี่เพคะ”
หน้าขาวๆ นั้นยังอุตส่าห์ออกจากที่กำบังมากล่าวยอกย้อน
“ไม่ต้องมาพูดหรอก เจ้าไปวิ่งเล่นทำกระถางต้นไม้ของเจ้าจอมจิ้นแตกเมื่อวันก่อน ข้าก็ยังไม่ได้ชำระความเลย รู้หรือไม่ว่าข้าต้องยอมจ่ายค่ากระถางนั้นไปเท่าไหร่กว่านางจะยอมกลับไป ไม่ส่งตัวเจ้าให้เจ้าจอมจิ้นจัดการก็ดีเท่าไหร่แล้ว ออกมาซะดีๆ ข้าจะได้ตีทีเดียวชำระความผิดสองกระทง”
เหลือเชื่อ! มือเล็กๆ นั้นอย่างกับติดกาว เกาะชายเสื้อชายหนุ่มไว้แน่น ยึดร่างสูงเป็นโล่กำบัง แกะอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย
“นางเป็นใครพระเจ้าค่ะ” เขาถามลอยๆ เหมือนชวนคุย
“ลูกสาวท่านหยางซือหม่า ชื่อหยางเซียงเอ๋อ เพิ่งมาอยู่กับข้าได้สองเดือน”
“ทีนี้ใครๆ คงได้พูดกันล่ะว่าลูกสาวของท่านหยางซือหม่าทำผิดแล้วไม่กล้ารับผิด ...ขี้ขลาด...ตาขาว...”
ได้ผลทันตา มือเล็กๆ ที่เกาะชายเสื้ออยู่ปล่อยทันที นางเดินตัวตรงออกมายืนเบื้องพระพักตร์ กอดอกนิ่ง ริมฝีปากเม้มแน่น แววตามองมาทางเข้าวาวโรจน์เอาเรื่อง
ฮองเฮายังคงแย้มสรวล ตรัสถามอย่างอ่อนโยน
“ให้ข้าตีแน่หรือเซียงเอ๋อ”
เมื่อนั้นแล “แม่ตัวยุ่ง” จึงยิ้มออกอีกครั้ง ค่อยๆ หยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋า เป็นสายสร้อยลูกปัดหลากสีดูน่ารัก
“มีของมาฝากเพคะ ...อยากให้ทอดพระเนตรก่อนตี”
สี่หย่งกวงหัวเราะเสียงดัง ขณะที่พระนางจ้าวหลินฟงมีท่าอ่อนพระทัย จากแววพระเนตรเห็นได้ชัดว่าทรงตีเด็กคนนี้ไม่ลงหรอก
แล้ววันนั้นนางก็รอดตัวจนได้ แถมเขายังถูกเรียกตัวเข้ารับพระราชเสาวนีย์จากฮองเฮาในอีกไม่กี่วันถัดมา
“มีสัญญากันไว้น่ะท่านสี่ หากข้าอนุญาตให้นางออกไปเที่ยวเดือนละครั้ง นางจะไม่หลบออกไปทุกสัปดาห์และจะตั้งใจร่ำเรียนเขียนอ่าน ไม่ให้ข้าต้องเที่ยวตามจนเหนื่อยอีก จึงอยากจะรบกวนท่านสักหน่อย ช่วยพานางออกไปข้างนอกเดือนละครั้งจะได้มั้ย หากมีท่านคอยดูแลข้าจะได้วางใจ”
“รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ”
“แต่อย่าให้ใครรู้นะ เดี๋ยวจะขอออกข้างนอกกันทั้งตำหนัก ข้าแย่กันพอดี”
“แล้วจะปิดได้หรือพระเจ้าค่ะ คนหายไปทั้งคน”
“นางจะหลบออกไปหาท่านเองที่หน้าเขตพระราชฐานชั้นใน ขอเพียงท่านนัดวันเวลาผ่านต้นห้องของข้ามา ไม่ต้องห่วงนะ นางถนัดเรื่องนี้มาก รับประกันว่าไม่มีใครจับได้ และถ้านางกลับเข้ามาภายในหกชั่วโมง ข้าคิดว่าคงไม่มีใครรู้เพราะนางมักจะหายตัวไปเป็นประจำอยู่แล้ว”
จากเดือนละครั้งที่ได้พา “แม่ตัวยุ่ง” ออกไปเที่ยวนอกวัง ความสดใสน่ารักทำให้เขาทั้งรักทั้งเอ็นดูนางจนหมดหัวใจ ความฉลาดเฉลียว ความคล่องแคล่วปราดเปรียวและความกระตือรือร้นต่อการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ทำให้เขาตัดสินใจที่จะฝึกนางให้เป็นวรยุทธ อย่างน้อยนางก็จะได้มีวิชาไว้ป้องกันตัว
แต่ประโยชน์ของการฝึกฝนมีมากกว่านั้น
“อยู่ติดตำหนักดีแท้ ไม่ออกไปซุกซนที่ไหนไกลเลย มัวแต่วุ่นจัดตารางการฝึก เดี๋ยววิ่งเดี๋ยวกระโดดอะไรก็ไม่รู้ทั้งวัน”
เขาถือว่านั่นเป็นคำชมจากพระโอษฐ์ขององค์ฮองเฮาจริงๆ
ผลจากการทุ่มเทอย่างหนักของคนตัวเล็กและการเข้มงวดกวดขันของคนตัวโต หนึ่งปีถัดมาหยางเซียงเอ๋อเป็นกังฟูขั้นพื้นฐานทุกกระบวนท่า และอีกหนึ่งปีถัดมา นางสามารถเดินลมปราณควบคุมกำลังภายในได้
หรือจะเป็นความผิดของเขาเองทั้งหมดคนเดียว หากปล่อยให้เด็กกะโปโลคนนั้นโตขึ้นมาหญิงสาวชาววังธรรมดา บางทีตอนนี้นางอาจจะรู้จักกลัวตายเหมือนคนทั่วๆ ไป ยอมให้เขาพาหนีออกไปนอกเมืองง่ายๆ ก็ได้
คิดถึงตอนนี้ ผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์ก็ผ่อนลมหายใจยาวออกมาอีกครั้ง เป็นครั้งที่ยาวที่สุดของการถอนหายใจในวันนี้เลยทีเดียว
ความคิดเห็น