คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่6 คุณชายวสุ
ตอนที่ 6 คุณชายวสุ
………………………………………………………
ห้องนอนสีขาวตัดสีน้ำเงินเรียบหรูที่ดูยังไงก็ไม่ใช่ห้องนอนของบ้านกรณ์สักส่วนเดียว เขาลืมตาปรือขึ้นมองซ้ายขวาทั่วหาว่าไอบ้านั่นมันไปอยู่ที่ไหน ผมชี้ฟูโด่เด่ชะเง้อคอหาก็ไม่พบไอคนนั้นที่เขานึกถึง แต่สิ่งที่เขาเห็นก็คือห้องที่ไม่มีมันแล้ว แถมมันก็ยังใจดีเปิดระเบียงปล่อยลมเย็นๆกับแดดร้อนๆเข้ามาให้ผมได้ชมตอนตื่นนอนอีก
“นี่!! มีใครอยู่ข้างนอกมั้ย!?” กรณ์ตะโกนออกไปข้างนอกห้องจากบนเตียงฝั่งเดิมเหมือนเมื่อคืน
ผู้ชายแต่งตัวสูทดำเรียบร้อยแว่นตาดำปกปิดดวงตาแข็งกร้าวเปิดเข้ามายืนกุมมือเป็นระเบียบไม่มีแม้แต่สีหน้าของการสื่อถึงอารมณ์ใดๆออกมาทั้งนั้น ไอกรณ์พยายามดันตัวเองขึ้นจากไอเชือกที่มัดตัวเอาไว้เพื่อคุยกับมัน แต่ก็ลำบากเกินจะลุกมานั่งได้ภายในรอบเดียวเหมือนคนทั่วๆไป
“ช่วยพากูไปห้องน้ำหน่อยดิ กูจะอาบน้ำ”
“คุณชิตพลอาบน้ำให้แล้วก่อนจะไปเมื่อ1ชั่วโมงก่อน” เขาตอบเป็นน้ำเสียงเรียบเย็น
“แล้วแปรงฟันอ่ะ?”
“คุณชิตพลแปรงฟันให้แล้วเหมือนกัน”
………………………………………………………
[ กรณ์ ]
แค่อาบน้ำให้ก็สงสัยมากพอแล้วว่าทำไมผมถึงไม่รู้สึกตัว แต่นี่แปรงฟันให้อีก นี่ผมตายหรือว่าหลับกันแน่ถึงไม่ได้ยินหรือว่ารู้สึกเลยว่ามันทำอะไรผมบ้าง ผมหันหน้าไปมองนาฬิกาข้างเตียงก่อนจะพบว่ามันปาไปตั้ง9โมงแล้ว ข้าวเช้าก็ยังไม่ได้กิน นี่ท้องผมก็ร้องจนตัวสั่นไปทั้งร่างแล้วยังไม่มีอะไรตกถึงท้องสักที ผมดีดตัวไปยืน ค่อยๆเดินมาหาคนรับใช้ไอชิตพลนั่น แต่มันก็ดันเดินถอยหลังหนีผมเหมือนผมเป็นอะไรซะได้
“พากูลงไปกินข้าวข้างล่างได้มั้ย?”
“ไม่ได้ คุณชิตพลไม่มีคำสั่งให้พาลงไปไหนทั้งนั้น หากหิวโปรดรอสักครู่ เดี๋ยวจะลงไปสั่งแม่บ้านให้” เดินออกจากห้องไปไม่สนว่าผมจะยอมให้มันทำมั้ยก็เถอะ
“นี่! ถ้าเจ้านายมึงกลับมาก็ช่วยถามมันด้วยนะ ว่าจะมัดอะไรกูนักหนา!! กูก็ตกลงสัญญาไปแล้ว กูไม่หนีไปไหนเหมือนในละครหรอก ตัวกูเจ็บเป็นรอยเชือกไปทั้งตัวแล้วเนี่ยเจ้านายมึงรู้ตัวบ้างมั้ย!!” ผมตะโกนไล่หลังมันไปไม่สนไม่แคร์ว่าใครอื่นจะได้ยินบ้าง แต่ผมแค่อยากให้มันแกะเชือกออก ผมปวดไปหมดแล้วววววว
รถคันสีดำที่มาจากเครือของนามสกุลเกื้อกูลเลิศวัฒนาขับมาจอดติดไฟแดงระหว่างสี่แยกไปไหนสักแห่งในช่วงเช้าใกล้เที่ยง รถเงียบภายในเปิดแอร์เย็นกลิ่นหอมถูกทำลายบรรยากาศด้วยแจ้งเตือนสั่นของโทรศัพท์ตนเองขึ้นมา ช่องวางของใกล้มือด้านล่างหยิบขึ้นมารับสายทันทีเมื่อพบว่าคนที่โทรมาคือลูกน้องคนเดียวที่เขาเชื่อใจให้เฝ้าห้องที่มีกรณ์นอนอยู่
“มีอะไร?” ชิตพลพูดเสียงเย็นชาทักทายปลายสาย
“นายคนนั้นให้ผมมาบอกคุณชิตพลว่า ในเมื่อเขาสัญญาแล้วทำไมถึงมัดตัวเขาด้วยครับ?”
“ตอนนี้แกอยู่ที่ไหน?” ขยับเกียร์ขับเดินหน้าไปก็ถือสายคุยกับลูกน้องไปด้วย
“หน้าห้องครับ กำลังรออาหารเช้าจากแม่บ้านเข้าไปให้กินอยู่”
“เอาโทรศัพท์เข้าไปให้ข้างใน ฉันจะคุยกับเขาส่วนตัว” หมุนพวงมาลัยเข้าถนนฝั่งซ้ายไปตามที่เขามองถนนอยูด้วยเช่นกัน
!!!
“คุณชิตพลต้องการจะคุยกับนาย”
“ดี! กูจะได้คุยเรื่องไอเชือกบ้านี่ด้วยพอดี”
เสียงจากในสายบอกชิตพลที่กำลังขับรถได้เป็นอย่างดีว่าลูกน้องเขากำลังทำอะไรอยู่ ทั้งเสียงประตูเปิดทั้งเสียงรองเท้าเดินเข้าไปในห้อง น้ำเสียงการพูดการจาที่ห้าวกว่าใครที่ชิตพลเคยได้ยินมาจากตัวของกรณ์ที่อยู่ในสายแล้ว เขาขับรถไปก็ยิ้มไปเพราะเสียงที่ถึงจะด่าแค่ไหนก็ดูมีความน่ารักสำหรับเขาอยู่ดี เสียงอู้อี้ไปพักหนึ่งเพราะเหมือนลำโพงโทรศัพท์ไปสีกับผ้าบนเตียง แต่ชิตพลเองก็ไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใดใดทั้งนั้นถ้าเป็นกรณ์
“มึงมาบอกให้ลูกน้องมึงแก้มัดเชือกให้กูเดี๋ยวนี้เลยนะเว้ย!!! กูปวดไปทั้งตัวหมดแล้วมึงได้ยินมั้ย!!!!” กรณ์ตะโกนเข้าโทรศัพท์เสียงลากยาวจนพลต้องถึงกับตากระตุกเล็กน้อยจากความแหลมสูงของปลายสาย
“มัดทั้งตัวมันอึดอัดไปงั้นหรือ?”
“เออ!! กูอึดอัด มึงจะมามัดกูทำไมในเมื่อกูสัญญากับมึงแล้วเรื่องหนี้พวกนั้นน่ะไอห่าเอ้ย!!”
“ถ้าฉันสั่งให้เอาเชือกมัดตัวนายออก งั้นคืนนี้...น-”
ชิตพลเผลอเอาลิ้นในโพลงปากไปดุลแก้มขวานิดระหว่างคุมพวงมาลัยไปตามทางยาวของถนนสีดำ
“ถ้ามึงจะให้กูทำอะไรเหี้ยๆแบบนั้นกูยอมถูกเชือกมัดแบบนี้ต่อไปก็ได้วะ!!!”
“เดี๋ยวๆ คุณกรณ์...ฉันจะบอกว่าถ้าฉันสั่งให้ลูกน้องฉันแก้มัดตัวนาย คืนนี้นายจะต้องไปนอนอีกห้องแทนห้องนี้ ตกลงหรือเปล่า?” พูดท่าทางกวนความต้องการของผมมากๆ
“ห้องไรวะ?” ผมขึ้นเสียงผสมความสงสัยตุ่นๆ
“ใบ้แค่มันเป็นห้องที่ฉันชอบอยู่มากที่สุด รับรองว่านายต้องชอบแน่นอน” พูดเสียงมีเล่ห์มีกลไปก็เผลอยิ้มไปไม่มีรู้ตัว
“งั้นกูก็จะบอกมึงเหมือนกัน ว่ากูไม่เอา มึงมัดกูต่อไปก็ได้ กูจะได้ตายๆไปเป็นผีมาหลอกมึง!”
“แล้วจะเผาชุดสวยๆไปให้ละกัน เผื่อมาหลอกแล้วจะได้ดูด้วยว่าเข้ามั้ย?”
“ไอ้ห่าเอ้ย!!!”
ชิตพลไม่ทันจะได้ยิ้มเยาะออกมาสุดกับน้ำเสียงที่ถึงจะเป็นคำด่าแต่ชิตพลก็ชอบมากกกกก พอมาจอดที่หน้าบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งริมถนนเส้นไม่ใหญ่ เขาก็ต้องรีบกดวางสายตัดคนที่อยู่ที่บ้านไปก่อน ล้อรถขับเข้ามาที่หน้าบ้านประตูรั้วสูงแปะป้ายสลักสีดำฝังชื่อตัวอักษรสีทองเป็นลายลักษณ์ถึงความหรูหราของคนในตระกูลนี้ ยามชุดสีกรมเดินออกมาจากป้อมข้างๆ บานประตูทางเข้าเล็กๆเดินออกมาให้ชิตพลลดกระจกลง
“มาหาใครครับ?” ยามยกมือตะเบ๊ะถามคนในรถ
“คุณหยกอยู่หรือเปล่า?” ชิตพลมองตรงไม่มิแต่จะหันไปมองหน้ายามคนนั้นสักครั้งเดียว
“อยู่ครับ แต่ว่าคุณหยกกำลังคุยอยู่กับคุณวสุอยู่รอสักครู่นะครับ”
“อือ ไปเปิดประตูได้แล้วไป ฉันไม่อยากให้รถหรูๆของฉันร้อน” ชิตพลถอนหายใจออกมาไม่ดังเท่าไหร่เมื่อเทียบกับเสียงที่ดังออกมามากกว่า
ยามประจำบ้านรับทราบก็รีบเข้าไปกดเปิดประตูให้รถของชิตพลที่มาจอดรอหน้าบ้านเข้าไปพักรอ ล้อคันแพงหรูหราขับเข้าไปเทียบจอดกับรถสีเขียวน้ำทะเลที่ดูยังไงก็คงไม่ใช่รถของคนในบ้านนี้ที่จอดเรียงๆกันเป็นแถบนี้แน่ รถสปอร์ตสีเขียวน้ำทะเลแบรนด์ปอร์เช่ราคาหลายหลักเทียบชิดกับรถมาเซราตินำเข้ามาในราคาที่เรียกได้ว่าแพงกว่านี้ก็คงไม่มีในรุ่นนี้อีกต่อไปแล้ว
“เดี๋ยวเชิญไปนั่งพักรอที่ศาลาข้างสวนหย่อมก่อนนะครับค-!!!”
ยามที่ตัวเล็กด้อยกว่าชิตพลเดินมากะจะพาไปที่สวนดอกไม้ข้างบ้านใหญ่เพื่อให้พักรอ แต่ดูชิตพลจะไม่รอแม้จะมีแขกคนสำคัญคนใหม่ของลูกสาวในตระกูลนี้แล้วก็ตาม เขาเดินเข้าไปไม่สนใจคำพูดของยามสักคำ มือผลักเปิดประตูบานสูงเข้าไปข้างในโถงต้อนรับแขกที่เห็นเต็มสองตาว่าแขกคนนั้นกำลังนั่งคุยอยู่กับลูกสาวตระกูลคีรีชัยวรรณอย่างเข้าขาปากกันจริง
“อ้าว! นั่นใช่คุณชิตพล ลูกชายคุณเธิดหรือเปล่าครับคุณหยก?” ???
“คุณชิตพลมีธุระอะไรกับครอบครัวหยกอีกไม่ทราบเหรอคะ?” คุณหยกคนที่ชิตพลจะมาคุยเรื่องงานในวันนี้ลุกขึ้นยืนละจากการสนทนากับชายอีกคนมาทักทายชิตพลแทน
“พอดีผมมีธุระที่ต้องคุย...แค่คุณกับผมสองคนเท่านั้น”
“หึ! คุณชิตพลครับ ผมว่าชื่อเสียงของคุณกับครอบครัวคุณก็ดังพอตัวนะ แต่ผมกลับไม่คิดเลยนะครับ ว่าคุณจะเป็นพวกเย็นชาหรือจะให้ผมเรียกว่าหยิ่งได้ขนาดนี้?”
หึ! การออกเสียงที่เหมือนกัน แต่การออกความรู้สึกนี้นั้นมันกลับแตกต่างกันสิ้นเชิง ดวงตาที่คมดั่งดาบของชิตพลเชยขึ้นมาเหลียวตาไปมองชายผมสีน้ำตาลอ่อนคนที่พูดจาแทงใจเขาแค่เท่ามดตัวเล็กกัดผ่าน มุมปากที่ยิ้มพร้อมส่ายหัวให้กับการพูดการจาทุ่มไปใส่คุณผู้ชายคนใหม่ของคุณหยกจนเสียหน้ามาดมั่นในตอนแรกที่เจอกันไปได้ขาดลอยเลย
“คุณวสุเองก็ดูจะว่างมากเลยสินะครับ ถึงได้มีเวลาว่างจากเด็กผู้หญิงอีก3-4กว่าคนในข่าวที่ต้องให้คุณแม่ต้องจัดการ ถ่อมาหาคุณหยกได้ถึงที่นี่เลย”
เชอะ! วสุสบถออกมาจากเสียงในกล่องคอ
คุณชายวสุ ว่าที่น้องชายคนสุดท้องของครอบครัวมหาเศรษฐีตระกูลชื่อดังอย่าง โรจน์รัตนบรรพต ที่ชิตพลได้เคยเปรยสบถเอาไว้เมื่อวาน และก็ยังเป็นคู่แข่งคนสำคัญของตระกูลชิตพลในเรื่องของการร่วมหุ้นอีกต่างหาก ที่สำคัญถึงเรื่องหน้าตาลูกชายตระกูลนี้ถือเป็นที่เล่าลือกันมาตั้งแต่ทั้งสามคนยังเป็นวัยรุ่นด้วยกัน ว่าทั้งสามคนนั้นเนื้อหอมมากจนสาวๆมากมายต่างก็พากันตีตัวเข้ามาสนิทชิดใกล้ และยิ่งพอโตมาอยู่ในวัยทำงานแล้ว เรื่องผู้หญิงของบ้านนี้ก็ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่ระดับที่ใครหลายคนก็ต้องรู้ เพราะทุก3เดือนมันจะต้องมีข่าวผู้หญิงจากบ้านตระกูลนี้มาเสมอๆอยู่บนหน้าทีวีและหน้าหนังสือพิมพ์ ดาราทุกฉบับในนามของ “ไฮโซพี่น้องสามใบเถา”
“ขอโทษนะครับคุณชิตพล แต่ผมว่าคุณคงต้องขอโทษผมแล้วล่ะครับเรื่องเด็กผู้หญิงอะไรนี่น่ะ เพราะว่าตอนนี้ผมเลิกหมดแล้วครับ”
“จริงเหรอครับ?” ชิตพลเลิกตาจี้ประเด็นวสุ
“จริงค่ะคุณชิตพล...คุณวสุเลิกกับทุกคนแล้วจริงๆ เพราะว่าดิฉันกับคุณวสุ เราเป็นแฟนกันแล้วค่ะ”
………………………………………………………
[ ชิตพล ]
สายตาที่ลูกชายคนสุดท้องของครอบครัวตระกูลร้านเพชรมองมาที่ผมด้วยความสะใจ มันยกยิ้มกระตุกเบาบางมาให้กับความพ่ายแพ้ที่ผมล่าช้ามากเกินไปจนก็ไม่รู้ว่าพวกเขาไปเป็นแฟนกันตอนไหน ผมเดินไปนั่งเก้าอี้ข้างโซฟาทรงหลุยส์ ขาไขว้ห้างเก็บมือเอาไว้พอเป็นมารยาทที่ครอบครัวผมสอนมา คุณหยกที่เป็นหญิงสาวย่างเข้า30แต่หน้าก็เหมือนถูกแช่แข็งเอาไว้ยังไงอย่างงั้น เธอมองผมด้วยสายตาที่ตรงไปตรงมา ผมมองหน้าเธอ ในใจของเธอกับสำเนียงท่าทางแบบนั้น...เธอคงคิดว่าที่ผมมาหาคงเป็นเพราะผมอยากสานสัมพันธ์กับเธอมั้ง
“ดิฉันต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอกคุณชิตพลล่วงหน้า เลยทำให้ต้องมาบอกกะทันหันแบบนี้”
“คุณหยกครับ ที่ผมมาที่นี่เพื่อคุยเรื่องงานครับคุณหยก ไม่ใช่เรื่องรักๆใคร่ๆของวัยเจริญพันธุ์” ผมมองเหม่อไปจ้องโต๊ะตัวเตี้ยตรงหน้าพลางพูดจาแทงเข้าอกเธอพอให้เจ็บเล็กน้อย
“...ขอโทษค่ะที่พูดออกมา” เธอกล่าวขอโทษผมเสียงเรียบธรรมดาทั้งที่ความจริงเธอไม่จำเป็นต้องทำมันเลยด้วยซ้ำ
“ผมเข้าใจนะครับว่าคุณหยกกำลังเริ่มสานสัมพันธ์รักกับคุณวสุอยู่ แต่ที่เมื่อวานคุณไม่มาประชุมและยังขอถอนตัวออกจากการเป็นผู้ร่วมหุ้นโปรเจ็กต์ล่าสุดอีก ผมว่าอันนี้มันน่าจะไม่เกี่ยวกันนะครับ?”
“ที่หยกต้องถอนหุ้นออกเพราะหยกปรึกษากับคุณวสุกันเมื่อสามวันก่อนค่ะ ว่าควรเอาเงินร่วมหุ้นนี้นำไปซื้อหนังซื้อละครเก่าที่ดังมากๆบางเรื่องมาทำใหม่ดูดีหรือเปล่า?”
“ความคิดสั้นดูไร้เหตุผลแบบนี้ดูท่าคงจะไม่ใช่ความคิดของคุณหยกหรอกใช่มั้ยครับ?”
“มันเป็นความคิดของหยกเองจริงๆค่ะ คุณวสุไม่ได้แนะนำอะไรเลยนะคะ” เธอโบกมือปัดความผิดนี้ไปให้วสุที่นั่งฟังร่วมด้วย
“คุณหยกรู้มั้ยครับ ว่าถ้าคุณหยกเป็นผู้สนับสนุนเราในเรื่องการสื่อสารผลงานชิ้นนี้ของเราแล้วล่ะก็ คุณหยกก็จะได้หน้าจากเหล่าคนดังทั้งในประเทศและต่างประเทศมากแค่ไหน? ไม่สนใจจริงๆเหรอครับ?”
“...”
“แล้วไอละครหรือว่าหนังเก่าที่จะเอากลับมาทำ คุณหยกจะแน่ใจเหรอครับว่าทุกอย่างมันจะดี ละครหรือหนังถ้านำมาทำในสมัยนี้ก็ใช่ว่าจะทำดีได้ทุกเรื่องไป”
ผมพูดตามที่ผมเข้าใจในสิ่งที่ผมเห็นจากการได้ไปดูหรือสัมผัสบริษัทผลิตการสื่อรายใหญ่มาของต่างประเทศ ความเป็นจริงตระกูลของผมมีบริษัทผลิตสื่อของต่างประเทศหลายบริษัทมาก แต่ผมกลับไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อถึงกล้าที่จะมาเชื่อใจการทำงานของบริษัทที่ไม่เคยทำงานด้วยมาก่อน สีหน้าของคุณชายวสุที่ผมเห็นตอนนี้ หึ! คงกำลังเครียดอยู่ล่ะสิ ที่คำพูดของผมมันไปกระทบกับแผนอะไรสักอย่างของเขาอยู่ คิ้วฟูสวยที่ปัดมาดีของคุณหยกเริ่มตกดัดงอตามสภาพความคิดที่หล่อนเริ่มไขว่เขว นี่คงถึงเวลาที่ผมจะต้องเริ่มพูดเกลี่ยกล่อมเธอให้กลับมาหาผมแทนแฟนสุดหล่อของเธอแล้วสิ
“คุณหยกเองก็คงน่าจะได้ยินชื่อเสียงของตระกูลผมดีนะครับว่านามสกุลของเราได้รับการยอมรับจากหลายประเทศมามากแค่ไหนถึงเรื่องผลิตภัณฑ์ ความจริงผมสามารถไปขอร้องบริษัทจากต่างประเทศให้ผลิตสื่อแทนคุณได้ แต่เพราะคุณพ่อผมท่านเชื่อใจประสิทธิภาพของบริษัทคุณที่สุดในประเทศว่าพอที่จะทำใกล้เคียงกับของต่างประเทศได้ ผมเลยยอมขับรถมาที่นี่ก็เพื่อที่จะมาเจรจากับคุณใหม่ เพราะผมไม่อยากให้ข่าวมันหลุดออกไป ว่าผู้ร่วมหุ้นรายใหญ่นามสกุลคีรีชัยวรรณถอนหุ้นจากบริษัทผลิตไวน์ยักษ์ใหญ่เพื่อไปหากับอีแค่หนังละครที่ก็ไม่รู้ว่าจะทำดีได้เท่ากับต้นฉบับหรือเปล่า?”
...
ทุกอย่างเงียบฉี่หลังจากที่ผมกล่าวประโยคยาวนั่นจบ ผมมองเห็นถึงความสับสนของเธอจากในดวงตาสีน้ำตาลประกาย นิ้วโป้งทับซ้อนกันไปมาๆดูแล้วคงจะลังเลใจไม่น้อย ผมเหลือบมองไปทางคุณชายว่าที่แฟนของเธอแล้วทำการยักคิ้วสองข้างให้กับเขาเพื่อเป็นการตอบปฏิกิริยาแช่แข็งนี้ทั้งหมด มือเยือกแข็งของผมเอื้อมไปกุมหลังมือเธอที่มันมัวแต่คิดมาก ตาของผมช้อนมองเธอที่ก้มหน้าหนีไป ผมพยายามใช้สายตาเพื่อกล่อมใจเธอให้อ่อนลง และก็ตบท้ายด้วยรอยยิ้มเบาบางที่ทำให้ใครหลายคนต่างคิดว่าผมกำลังยิ้มมอบความอบอุ่นให้กับทุกคน
ถึงแม้มันจะเป็นการยิ้มที่ฝืนความจริงของผมก็ตามที
“การประชุมครั้งใหม่จะเริ่มในอีก3วันข้างหน้า ผมหวังว่าวันนั้นผมจะเห็นคุณไปในฐานะผู้จัดการฝ่ายสื่อนะครับคุณหยก”
“ค่ะคุณชิตพล”
“เรียกผมว่าพลดีกว่าครับ”
บานประตูบ้านที่ผมเปิดเข้ามาเปิดส่งผมกลับอย่างเป็นระเบียบ คุณหยกเดินตามหลังผมมาพร้อมกับคุณชายวสุที่เดินด้วยท่าทางเสียอารมณ์ยิ่ง ชุดสูทสีน้ำเงินกรมของผมเดินลงมายังบันไดบ้านชั้นล่างสุดจากทั้งหมด3ขั้น เท้าหมุนหันกลับไปมองคุณหยกอีกครั้งก่อนจากกัน
มือที่ล้วงกระเป๋ากางเกงนิ่ง แต่ใบหน้านั้นยังคงแสร้งยิ้มอบอวลไปด้วยความอบอุ่นอยู่ และค่อยๆเดินกลับไปยังรถที่ขับมาด้วยความเงียบงัน เสียงสตาร์ทรถดังไม่มากพร้อมล้อสี่ข้างที่หมุนออกไปจากบริเวณคฤหาสน์คีรีชัยวรรณ หญิงสาวผมสวยยืนคิดเคร่งเครียดหนักอยู่ไม่มีการเดินกลับเข้าไปที่โถงด้านใน คุณชายวสุที่เดินเข้ามายืนชิดไหล่ก็ถึงกับชักสีหน้าหมดอารมณ์ โทรศัพท์เครื่องสีดำหยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกงในระหว่างที่แฟนของวสุมัวแต่ยืนก้มหน้าก้มตานึกถึงคำของชิตพลไม่ขาด
“พอดีผมมีธุระต้องกลับไปทำต่อ ผมขอตัวก่อนนะครับคุณหยก” วสุเดินนำทิ้งหยกไปต่อหน้าต่อตา
รถของคุณชิตพลขับตรงกลับบ้านคฤหาสน์หรูที่มีกรณ์รอเขาอยู่? เท้าเหยียบคันเร่งไปจนสุดในขณะที่ถนนยังว่างเปิดไฟเขียว เขาขับไปก็นึกอะไรได้ในระหว่างทาง เขาหมุนพวงมาลัยกลับไปที่ไหนสักที่ก่อน พลขับมายังตรอกซอยหนึ่งที่มีร้านตัดผมที่เปิดมานานราวๆ10ปีได้นั่งรอลูกค้าอยู่อย่างเหงาหงอยทั้งบ้าน เขาขับไปยังบ้านตามที่ตนจำได้อยู่ลางๆ ซึ่งมันก็ถูกตามที่เขาจำได้จริงๆ รถคันเก่งของเขาจอดหน้าบ้านที่ถ้าเป็นกรณ์มาก็คงจะรู้จักเป็นอย่างดี
ประตูรถเปิดออกมากับชายชุดสูทสีดำร่างกายสูงสง่า เขาปลดกระดุมเม็ดที่ติดอยู่เม็ดเดียวของชุดก่อนจะเดินไปกดกริ่งหน้าบ้านหนึ่งครั้ง โทรศัพท์ของชิตพลเลื่อนโทรหาใครบางคนที่เขารู้จัก เมื่อเลื่อนโทรรอสายไปได้สักพัก เบอร์นั่นก็รับสายอย่างเร็วไวไม่เกิน1นาที
“ครับคุณชิตพล” เสียงลูกน้องคนที่อยู่เฝ้ากรณ์รับสาย
“เอาโทรศัพท์เข้าไปให้เขาอีกรอบ ฉันมีบางอย่างต้องคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว”
“ครับ”
เป็นเวลาเดียวกันที่ประตูในตัวบ้านเปิดออกมา ผู้หญิงหน้าตาซูบโทรมหนักเหมือนเอาเวลาทั้งหมดมานั่งเครียด คุณชิตพลมองเห็นจากซอกว่างของประตูที่มันมีเพียงเล็กๆเท่านั้น เธอเดินมาอยู่หลังประตูบ้านคั่นกลางเอาไว้จากเขาและเธอ เงาของชิตพลพาดกลบตัวเธอจนมิด หูติดโทรศัพท์วางออกมา หญิงในบ้านมองสงสัยที่เธอพบเจอใครไม่ทราบมายืนหน้าบ้านไม่พูดไม่จาอะไรสักอย่าง
“คุณมาหาใครเหรอคะ?” แม่ของกรณ์เริ่มทักเขาก่อนแทน
!!!
นิ้วโป้งกดเปิดลำโพง หน้าจอที่ถูกถือหงายหน้าให้มันจ่อไปยังประตูบ้าน เสียงอู้อี้จากอะไรบางอย่างดังออกมา ดวงตาสีน้ำตาลคมของชิตพลเหลือบมองกริยาของเธอที่ก็เริ่มมองลงไปที่โทรศัพท์ด้วยแล้วเช่นกัน
“เย็นนี้อยากกินอะไรหรือเปล่า เดี๋ยวฉันซื้อไปให้?” ชิตพลพูดออกมาให้มันลอยเข้าไปในสาย
....
“มึงมีเนื้อวัววากิวให้กูมั้ยล่ะ!! ข้าวต้มวันนี้ก็จืดฉิบ ไม่มีซีอิ๊วให้กูอีก” กรณ์ตอกลับสายหลังจากทิ้งให้เงียบไปอยู่นาน
“กรณ์!!” เพียงเสียงจากโทรศัพท์ไม่เกิน100คำเธอก็จำได้ทันที
แม่ของกรณ์ยกมือมาทุบตบประตูด้วยความตื่นตระหนกที่ได้ยินเสียงของลูกชายอีกครั้ง เธอทำตัวเลิกลักไปหมด มือสากจับประตูเลื่อนเปิดออกทำให้เห็นหน้าของที่แท้จริงของชายที่พูดคุยกับลูกเธอเมื่อกี้ เขากดปิดลำโพงก่อนเมื่อพบเธอเปิดประตูแล้ว เครื่องมือสื่อสารแนบชิดใบหูเหมือนครั้งที่ผ่านมา แต่ดวงตาเขากลับมองจ้องมารดากรณ์ไม่ลดละเลยสักครั้งเดียว
“แล้วเดี๋ยวฉันจะซื้อไปให้แล้วกัน” พูดจบก็กดวางสายลงทันทีต่อหน้าเธอ
“คุณเป็นใคร? ทำไมลูกของฉันถึงไปอยู่กับคุณได้!?”
“ผมชื่อชิตพล เป็นเจ้าหนี้ของพ่อกรณ์ และลุงของกรณ์”
“...ฮาาา”
ชื่อที่เธอจำได้ขึ้นใจหลังพ่อของกรณ์เคยพูดไปแล้ว ขาเธอก้าวไปด้านหลังหนึ่งก้าวไม่อยากจะเชื่อว่าเธอจะได้เห็นใบหน้ายมทูตที่ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างของครอบครัวเธอไปตรงหน้านี้ ตาสั่นเทาแต่ก็ยังคงความเข้มแข็งเอาไว้บ้าง เธอเม้มปากสูดหายใจเข้าปอดลึกก่อนจะหันหลังเดินนำทางเขาเข้าบ้านไป คุณชายเจ้าของหนี้หลาย10ล้านเดินตามแม่กรณ์เข้าไป ประตูรั้วบ้านก็ไม่ได้ปิด เปิดค้างเอาไว้เช่นนั้น มีเพียงเสียงปิดประตูตัวบ้านจากตัวคุณชิตพลที่ปิดเองเพราะเดินเข้าคนหลัง
“ที่ผมมาที่นี่เพราะผมจะมาคุยกับคุณเป็นการส่วนตัวถึงเรื่องกรณ์ลูกชายของคุณ” ชิตพลยืนอยู่ติดประตูบ้านไม่เดินไปไหนต่อ
“...คุณมาสั่งให้คนของคุณมาจับตัวลูกชายฉันไปทำไม?”
“ผมว่าคืนนั้นผมน่าจะตอบพ่อของกรณ์ไปหมดแล้วนะครับถึงเหตุผลที่ผมนำตัวเขาไปจากพวกคุณ?” เอียงคอด้านข้างเล็กน้อย
“แต่คุณไม่เข้าใจเลยหรือำงว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่เขาจะเจ็บใจแค่ไหนกันน่ะ!! คุณรู้มั้ยว่าฉันคิดถึงลูกฉันมากแค่ไหน!!! คุณพรากลูกไปจากพ่อกับแม่คนอื่น คุณมีความสุขมากเลยงั้นเหรอ!?” เธอหันกลับหลังไปต่อว่าชิตพลไม่มีเว้นช่องหายใจ
...
“นี่เลยเป็นเหตุผลที่ผมจะมาคุยกับคุณเพิ่มเป็นการส่วนตัวถึงการนำตัวกรณ์ไปจากพวกคุณ”
“ยังต้องคุยเพิ่มอีกเหรอ?” เสียงเธอเริ่มสั่นเล็กน้อย
“คุณเองก็น่าจะได้ยินเสียงเมื่อกี้นะครับว่ากรณ์เขาไม่ได้รู้สึกเศร้าใจอะไรเลย” ดวงตาพิฆาตลดหน้าลงไปมองแม่ของกรณ์
“คุณหมายความว่าอะไร!? นี่คุณจะบอกว่าลูกฉันมีความสุขมากเลยงั้นเหรอที่ได้หายไปจากพ่อแม่แบบนี้น่ะ!!”
“ผมว่าผมเปิดลำโพงโทรศัพท์ดังมากพอสมควรเลยนะครับ ผมเองก็ยังได้ยินเต็มสองหูอยู่เลยว่ากรณ์เขายังอยากได้เนื้อวากิวเย็นนี้...แล้วผมเองก็ยินดีจะซื้อไปให้เขา”
“คุณจับกรณ์ลูกฉันไปทำอะไรกันแน่บอกมาตามตรงเลยจะดีกว่า” กดคิ้วจนเนื้อปูดระหว่างหัวคิ้ว
“ผมแค่พากรณ์ไปอยู่ที่บ้านกับผมเฉยๆเพื่อลดจำนวนตัวเลขหนี้ของพ่อเขาและลุงเขาเท่านั้น เขาจะมาอยู่กับคุณที่บ้านแค่วันเสาร์และอาทิตย์เพียง6ชั่วโมง แล้วส่วนเรื่องการเรียนของเขา ผมจะจัดการพาไปส่งเขาที่มหาลัยหลังจากผ่านวันพรุ่งนี้ไปเอง วันนี้ผมเลยอยากจะมาขอเสื้อผ้ากรณ์และหนังสือเรียนทั้งหมดกลับไปให้เขาที่บ้านผม” ชิตพลแบมือให้ยังเบื้องหน้าแม่กรณ์ไม่สนใจจิตใจหรือในแววตาใดๆของเธอเลย
“คุณทำแบบนี้ทำไม?”
อืมมม...
“เพราะว่าผมชอบลูกชายของคุณยังไงล่ะ”
- - - - - - - - - - - - -
Talk Talk
คุณชิตพลจะเป็นพวกผู้ชายที่ถึงจะเย็นชาแต่ก็ตรงไปตรงมาดี โดนใจไรท์เลย เลิ๊ฟ~ เลิฟ อย่าลืมติดตามตอนต่อไปกันนะคะทุกคน^^
*ฟิคชั่นอัปทุกวันอาทิตย์เท่านั้น*
HASHTAG : #เจ้าหนี้คนนี้เขาจีบผม
TWITTER : @Zzx3N
ความคิดเห็น