ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KOOKMIN] Creditor #เจ้าหนี้คนนี้เขาจีบผม

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 3 ตอบแทน

    • อัปเดตล่าสุด 30 ส.ค. 63



     

     

    ตอนที่ 3 ตอบแทน

    …………………………………………

    [ กรณ์ ]

     

          “...”

      “พ่อช่วยตอบเรื่องนี้ให้ผมฟังหน่อยไม่ได้อ๋อ!?”

        “กรณ์! เวลาแบบนี้ลูกจะมาถามนอกเรื่องทำไม!?”

     ผมเลือกที่จะหูหนวกไม่ฟังคำค้านของแม่เรื่องที่จะให้ผมเลิกพูด ผมจ้องหน้าพ่อทั้งน้ำตาที่อดกรุ่นอยู่ในดวงตา ผมมองเขาผู้ที่มองยังไงในสายตาผมก็ฟันธงว่าเขาเก็บเรื่องบางเรื่องเอาไว้อยู่ไม่ยอมบอกใคร พ่อทำสีหน้าถอดสีมองไปทางอื่นเรื่อยเปื่อย ไม่คิดแม้แต่จะหันมามองจ้องความจริงกับผมสักตั้ง

          “พ่อรู้ใช่มั้ยว่าที่ลุงเขียวเป็นแบบนี้เพราะหนี้นอกระบบ!?”

         “กรณ์! ลูกพูดอะไรออกมา!!” แม่ขึ้นเสียงค้านดังสนั่นแถวนั้นให้ผมหยุดโต้พ่อ

           ถึงเขาจะไม่ตอบ แต่ใบหน้าของพ่อมันก็ตอบผมชัดทุกคำ เขากำลังเก็บซ่อนมันเอาไว้จริงๆ...ว่าที่ลุงเขียวต้องมาเป็นแบบนี้ มันก็เพราะเรื่องหนี้นอกระบบนี่ที่มันกำลังเป็นเรื่องใหญ่ในข่าวทุกๆวันที่ผ่านๆมา ดวงตาที่มันสั่นไหวของพ่อหลอกใจผมไม่ได้ว่าที่ป้าพิมพ์ต้องเจอคนมาขู่ทำร้านกับลุงเขียวต้องมาเจ็บปางตายแบบนี้ก็เพราะความคิดที่จะหาเงินมาในทางผิดๆนี่เอง

     

          “มันไม่ใช่เรื่องที่แกควรจะมารับรู้เรื่องอะไรแบบนี้ในตอนนี้ แกควรเรียนให้จบเพื่อพ่อกับแม่ไป!” พ่อตอบผมในเรื่องอื่นที่มันไม่ใช่เรื่องที่ผมถามสักคำ

        “งั้นนี่แสดงว่าพ่อก็ยอมรับแล้วใช่มั้ยว่าพ่อมีหนี้นอกระบบจริงๆ” ผมพยักหน้าเอื้อยๆไปด้วย

           “ฉันไม่ได้ทำ!! แกน่ะนั่งไปแล้วก็เลิกคิดฟุ้งซ่านสักที!” เขาเริ่มตะคอกแทรกประโยคหน้าสั่นใส่ผมให้ผมหยุดพูด

        “แต่ถ้ามันไม่ใช่ แล้วทำไมไอพวกที่มันมาขู่ป้าพิมพ์...ฮึก! ถึงได้บอกป้าพิมพ์ล่ะ! ว่าถ้าไม่ส่งเงินมา จะโดนหนักกว่านี้” ผมพูดจาแข็งกร้าวออกมาถึงแม้ว่าจะเริ่มควบคุมน้ำตาที่เป็นธารยาวในดวงตาไม่ไหวแล้ว

           ...

         “...มันไม่จริงอย่างที่ลูกว่าใช่มั้ยคะคุณ” แม่ถามพ่อต่อเมื่อทุกอย่างมันถึงจุดตัน

     

    ……………………………..

    [ หยางหยาง ]

     

       ตลอด3ปีที่ผมอยู่กับมันมา วันนี้น่าจะเป็นวันแรกและไม่กี่วันที่มันร้องไห้หนักขนาดนี้ แน่นอนว่าช่วงเวลาที่ผมเห็นน้ำตามัน ก็มีแค่ตอนที่มันทำงานแล้วงานพังก่อนส่งอาจารย์ และก็ตอนที่มันเมาแล้วบ่นเรื่องอดีตคราวที่เกือบจะไม่ได้เรียนฟิล์มแล้วแค่นี้ แต่คราวนี้ มันมาหนักกว่าสองอย่างที่ผมว่าไว้ซะอีก

       “คุณคะ...” แม่เรียกย้ำ

          ...

        “อย่าให้แม่ต้องมารู้ทีหลังเมื่อเวลามันสายไปเลยพ่อ ผมกลัวแม่จะเสียใจในตัวพ่อมากกว่านี้จะแย่อยู่แล้ว”

          ...

     

     

          “ผมขอโทษกิ่ง แต่มันจำเป็นจริงๆ” ก้มหน้ารับความจริงจากการจับจ้องจากทั้งหมด

       ทั้งแม่ไอกรณ์แล้วก็ไอกรณ์ต่างช็อกกันคนละแบบ เมื่อแม่ของมันและลูกชายความหวังคนเดียวเช่นไอกรณ์ได้รู้ความจริงจากปากพ่อมันเองในเวลาที่แสนเศร้าและกดดันจากเหตุการณ์ตรงหน้านี้หนักหนา แม่ของไอกรณ์พอรู้ก็เลื่อนมือสองข้างมาปิดปากเอาไว้ไม่ให้เห็นใบหน้าครึ่งล่างว่าเธอตกใจมากแค่ไหน แม่หันหลังให้กับป้าพิมพ์ จนกระทั่งเสียงร้องไห้ของเธอมันเล็ดลอดออกมาจากในกล่องเสียง บีบเม็ดน้ำในตาของไอกรณ์ที่พยายามซ่อนใบหน้าเสียใจเอาไว้ข้างหลังให้ไหลออกมาหนักมากกว่าเดิมจนน้ำทั้งหมดใต้ดวงตามันไหลออกมากระทบกับหลังมือด้านล่างวางเหนือหัวเข่าขึ้นไปนิดเดียว

        “กี่ปีแล้วเหรอพ่อ...” มันถามเสียงหมดความศรัทธาไปอย่างไม่มีกู้กลับ

          “2ปีได้แล้ว” เบี่ยงหน้าหนีไปทางด้านอื่น

    ...

        “ตาเขียวเป็นคนเริ่มเหรอศักดิ์?” ป้าพิมพ์เริ่มพูดขึ้นหลังจากร้องไห้ไปอยู่นานสองนาน

       “เปล่า ผมต่างหากที่เป็นคนเริ่มพาเขาไปเซ็นต์สัญญาหนี้นอกระบบเอง” วางมือมาทับกลางอกยอมรับผิดตั้งแต่ต้น

       “ทำไมพ่อต้องปกปิดพวกผมกับแม่แล้วก็ป้าเอาไว้ด้วย...” มันไม่เลือกปัดน้ำตาออกสักหยด

         “ฉันไม่อยากให้แกกับกิ่งต้องมาคิดมากกับเรื่องนี้ ฉันอยากให้แกกับกิ่งอยู่สุขสบาย”

        “นี่เหรอพ่อ! นี่เหรอที่สบายของพ่อ!! เงินไม่มีไปคืนเขาจนเขาต้องมาทำร้ายป้าพิมพ์ ลุงเขียวก็ต้องมาคิดสั้นทำร้ายตัวเองอีก...แบบนี้เหรอที่พ่อบอกออกมาจากปากได้ว่าอยากให้ผมกับแม่สบายอ่ะ!”

        “ผมไม่อยากจะคิดเลยนะพ่อ ว่าถ้าไอกันมันรู้ว่าพ่อเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ลุงเขียวต้องเป็นแบบนี้ มันจะยังกล้านับพ่อเป็นญาติของมันอยู่อีกมั้ย?”

     

        ฮือออ!!~

      พอยิ่งได้รู้ลงลึกมากกว่าเดิม เสียงร้องไห้ที่ต้องเก็บเอาไว้ด้วยการปิดปากก็เริ่มลอดออกมาเป็นน้ำเสียงที่จับใจได้เป็นอย่างยิ่ง ว่าเธอเจ็บมากแค่ไหนกับการที่เป็นต้นเหตุให้ลุงเขียวต้องมาเจอจุดเปลี่ยนขนาดนี้ในชีวิต แล้วยิ่งพอไอกรณ์พูดถึงไอกันลูกป้าพิมพ์ที่มันเคยเล่าให้ผมฟัง แม่ไอกรณ์ก็ยิ่งร้องไห้หนักข้อเข้าไปทุกที ป้าพิมพ์พอได้ฟังก็ถึงกับรับไม่ได้ส่ายหน้าก้มหน้าหนีไม่สบตาพ่อไอกรณ์สักครั้งเดียว

     

       !!!

      “ไอกรณ์! มึงจะไปไหนวะ ไอกรณ์!!”

        “กูไม่อยากอยู่ทนดูหน้าคนที่เป็นต้นเหตุให้ลุงกูเป็นแบบนี้หรอก!” เดินหนีออกจากโรงพยาบาลไปทั้งยังทิ้งคำพูดเจ็บลึกใส่ไปที่พ่อตัวเองเต็มๆ

      ผมวิ่งตามมันออกไปจนไปถึงหน้าโรงพยาบาลที่มีรถมากมายขับผ่านไปไม่รู้กี่คันต่อกี่คัน แสงไฟหน้ารถสาดมาที่ตัวผมกับมันสว่างไปหมดจนแทบจะไม่เห็นว่ารถคันนั้นระยะห่างมันห่างไปมากเพียงใด

    ผมหันมองว่าไอกรณ์มันกำลังข้ามถนนไปไม่ดูรถขับมา ผมก็รีบวิ่งไปกระชากแขนมันให้กลับมาบนขอบถนนให้ไวที่สุด ตัวของมันกระแทกเข้าอกผมจนตัวผมเซไปด้านหลังอย่างแรง แต่ว่าอย่างน้อยก็โชคดีที่ไอกรณ์มันไม่ได้เป็นอะไรมาก ผมล็อกตัวมันเอาไว้ตรงนั้น มันหยุดนิ่งไปคล้ายคนที่ไม่มีจิตใจจะทำอะไรต่อไปจากนี้ เสียงหายใจหอบพร่าของผมดังผ่านหัวใจที่มันเต้นแรง แขนที่ล็อกไอกรณ์เอาไว้ใช่ว่าผมจะไม่รู้ ลมหายใจร้อนแถมหอบหนักของมันรดแขนผมบริเวณคาดหน้าอกมัน เสียงเต้นหัวใจของมันก็ใช่จะไม่หนัก ผมจับจังหวะหัวใจมันได้ทุกจังหวะ

        “มึงทำบ้าอะไรเมื่อกี้วะไอกรณ์!!” ผมพูดใส่หูมันที่ห่างกันจากส่วนสูงที่มากอยู่

          “มึงว่า...กูจะยังมองเขาว่าเป็นพ่อได้อยู่อีกมั้ยวะ!?” มันเริ่มเข้าประเด็นไม่มีอ้อมค้อม

        “ไอกรณ์! ความผิดเดียวมันไม่สามารถเป็นเครื่องตัดสินสำหรับบางคนที่พลาดไปแล้วได้หรอกนะเว้ย!!”

           “...พลาดงั้นเหรอวะ?” เสียงที่แสยะให้กับคำพูดของผม

             “...”

           “พลาดของพ่อกู แม่งคือ2ปีเลยนะเว้ย!!”

            “แต่มึงไม่เห็นเลยหรือไง ว่าหน้าพ่อมึงเขาดูมีความสุขกับการทำแบบนี้ที่ไหนวะ!!!”

                 “...”

            “ถ้าเกิดคนทุกคนมันเลือกระหว่างความรวยกับจนได้ ปานนี้คนทั้งโลกก็ไม่มีใครมานั่งติดหนี้กันเป็นแถบแบบนี้หรอกไอกรณ์!” 

           “แล้วอีกอย่าง คนติดหนี้นอกระบบบางคนมันก็มีเหตุผลของเขานะเว้ย ว่าที่เขายอมไปเป็นหนี้นอกระบบมหาศาลแบบนั้นมันเป็นเพราะอะไร!”

              “...”

            “ที่พ่อมึงยอมติดหนี้ เขาก็มีเหตุผลอยู่เหตุผลเดียวมึงไม่ได้ฟังหรือไงวะ”

              “ที่เขาทำแบบนี้ก็เพราะมึงกับแม่ของมึงนะเว้ยไอกรณ์ หัดเข้าใจก่อนได้มั้ยวะ!?” ผมเริ่มใช้น้ำเสียงดีๆกับมันมากขึ้นเรื่อยๆ

     

     

    ……………………………..

    [ กรณ์ ]

     

      ที่ไอหยางพูดมาก็คงไม่ผิด ที่พ่อผมทำมันลงไปทั้งหมดก็เพราะอยากให้ผมเรียนจนจบโดยไม่ต้องมาคิดมากในเรื่องการงานของเขาในเวลาแบบนี้ ผมยอมรับว่าตอนนี้อาจจะกลายเป็นลูกที่เลวมากไปแล้วก็ได้ในสายตาพ่อกับคนอื่นๆในโรงพยาบาล แต่เพราะความที่ผมรักลุงผมมาก ผมเลยอาจจะตาบอดไปไม่รับฟังอะไรทั้งนั้น

          “ไป! ไปนั่งพักก่อน เดี๋ยวกูไปหาซื้อรองเท้าก่อน ไอห่าไม่ใส่รองเท้าทั้งคู่เลย” มันเปลี่ยนจากการล็อกตัวเป็นการจับมือผมมาเดินไว้ใกล้ๆตัวแทนเพื่อที่จะพาเดินไปที่ป้ายรถเมล์เงียบๆนั่น

     

      ร้านสะดวกซื้อข้างๆที่ไม่ไกลจากป้ายเปิดให้ไอหยางที่ส่งผมไปนั่งพักก่อนเดินเข้าไปหาซื้อรองเท้าแตะที่มีขายอยู่ที่ชั้นขาย ร้านรถเข็นขายลูกชิ้นทอดที่มีผู้ชายสวมชุดเสื้อยืดสีดำกางเกงยีนขาสั้นขาดแบบเท่ๆมายืนเลื่อนโทรศัพท์รอลูกชิ้นทอดอยู่แค่คนเดียวจากทั้งหมดแถวนั้น ผมนั่งมองรถวิ่งผ่านไปตามทางเพิ่มด้วยไฟที่สว่างวิบวับกันทีละคันสองคนแต่พร้อมกันจนเกิดเป็นประกายโดยที่ไม่ทันสังเกตเห็นว่าเขาคนนั้นแอบเหล่หางตามามองอยู่พักหนึ่ง สมองของผมในตอนนี้ที่มองตามแสงนำทางมันบังเกิดความสับสนไปหมดไม่เหมือนกับเสียงรอบข้างที่เงียบมีเพียงเสียงรถขับผ่านไปผ่านมา 

      “เดี๋ยวเพิ่มลูกชิ้นแดงอีก2ไม้นะครับลุง”

       “ได้ๆ” เปิดตู้ด้านหน้ารถขายหยิบลูกแดงสองไม้ตามที่ลูกค้าสั่ง

     

          !!!

       ถุงลูกชิ้นทอดราดน้ำจิ้มหอมๆแถวหน้าร้านสะดวกซื้อวางลงข้างตัวผม กลิ่นที่เตะจมูกทำให้ผมหันไปมองคนนำมาวาง ตอนแรกผมก็นึกว่าจะเป็นไอหยางที่ออกมาแล้ว แต่กลับไม่ใช่ เพราะคนคนนั้นดันเป็นใครก็ไม่รู้ที่เดินมาวางถุงลูกชิ้นร้อนๆเพิ่งทอดเสร็จให้กับผม ผู้ชายคนนั้นหน้าตาดูหล่อคมเข้มผิดกับผมที่สภาพคือเหมือนผู้รอดชีวิตจากเกมล่าความตายยังไงอย่างงั้น เขาคนนั้นมองผมไม่ถึง1นาทีได้ก็เดินถือโทรศัพท์ไม่มีของกินอะไรติดมือ พร้อมกับหูฟังไร้สายที่ดูท่าก็คงเปิดเพลงไม่รับฟังสิ่งใดแล้ว 

        ผมก้มไปมองก็เห็นลูกชิ้นเยอะจนเกือบล้นก็นึกในใจว่าเขาลืมทิ้งไว้หรือเปล่า มือผมคว้าเอาถุงพลาสติกนอกครอบถุงใส่ลูกชิ้นทอดกรอบๆหอมๆวิ่งเท้าเปล่าไปหาเขาคนนั้น แต่ยังไม่ทันจะได้วิ่งไปสะกิดเรียก เขาก็หันมาชนผมจนลูกชิ้นทอดถุงใหญ่ในมือนี้มันเกือบจะไปกองกินกับพื้นถนนเย็นๆเสียแล้ว มือใหญ่ๆสากๆของเขาช่วยเกี่ยวถุงพลาสติกมาถือเหมือนตอนที่ซื้อมา ผมเห็นว่ามันยังไม่ตกจากมือเจ้าของก็รีบปล่อยมือออกห่างให้ไกลที่สุด จนคนที่หวังดีคนนั้นต้องถอดหูฟังออกเลย

         “คุณลืมลูกชิ้นทอดไว้น่ะครับ” ผมพูดเสียงอู้อี้หลังเพิ่งร้องไห้เสร็จมา

           “เอาไปกินไป”

         ???

           “เพิ่งร้องไห้มาหนิ กินอะไรแก้เหนื่อยไปก่อนจะดีกว่า ส่วนน้ำถ้าหิว”

          “...”

             “ผมไม่ใช่ขอทานน่ะคุณ!” ผมสวนตอบไปเผื่อในใจเขาคิดว่าผมมานั่งขอทานจริงๆ

            “เปล่า ก็ไม่ได้คิดแบบนั้นอยู่แล้ว เห็นอยู่หรอกว่ามากับแฟน...”

           “ไม่ช-!!”

            “ไอกรณ์! ไปทำอะไรตรงนั้นวะ ตีนเปียกหมดแล้วน่ะไม่เห็นไง!!?” ไอหยางตะโกนเรียกผมจากมุมป้ายรถเมล์อีกฝั่ง

               ผมที่หันกลับไปมองมันก็เลยไม่ทันได้เห็นว่าคนคนนั้นเขาเดินหายตัวไปแล้ว ผมชะโงกซ้ายชะโงกขวาหาเขาก็ไม่เจอ คนหรือเดอะแฟลชวะ!? แต่ตอนนี้เอาเป็นว่าอย่าเพิ่งไปสนใจอะไรเขาเลย แค่เขาใจดีให้ลูกชิ้นถุงใหญ่มาให้กับผมก็ถือว่าเป็นเรื่องประหลาดมากพอแล้ว ผมเดินกลับไปหาไอหยางที่ในมือของมันมีรองเท้าสีดำธรรมดาคู่หนึ่งอยู่ในมือ มันทิ้งลงพื้นรอให้ผมเดินเข้ามาใส่ พอผมใส่รองเท้าแตะคู่ใหม่นี้เสร็จก็หมุนตัวไปนั่งเบาะพลาสติกที่ป้ายรถเมล์มีหลายตัวให้นั่งยาวเหยียดเป็นทาง

          “เมื่อกี้ใครวะ?”

        “เปล่า กูแค่จะเดินไปทิ้งอะไรในถังขยะเฉยๆ”

    ผมตอบมันเสียงเย็นไม่ยอมจะมองหน้าของมันสักครั้งเดียว

          ...

    ไฟจากป้ายโฆษณาด้านหลังฉายให้เห็นว่าถุงลูกชิ้นนั้นมันมีจำนวนลูกชิ้นเยอะแค่ไหนแต่ผมก็ไม่รู้สึกสนใจมันในตอนนี้เมื่อต้องกลับไปนึกเห็นเรื่องราวก่อนหน้านี้ที่มันรุนแรงเกินกว่าที่เขาจะรับมันได้ไหว

         ...

       “คุยกับกูหน่อยก็ได้ กูไม่ได้โกหกอะไรมึงสักหน่อย” มันพูดเพราะว่าบรรยากาศเริ่มเงียบมากเกินไป

       “มึงว่า...พ่อกูจะติดหนี้นอกระบบกี่บาทวะไอหยาง?” ผมพูดเข้าประเด็นไม่มีเลี่ยงสักประโยค

         “กูก็ไม่รู้ว่ะ เพราะว่ากูก็ไม่เคยสังเกตพ่อมึงเหมือนกัน ว่าเขาไปทำสัญญาหนี้พวกนี้ตั้งแต่ตอนไหน”

         “ถ้าต้องให้คนมาบุกทำร้ายป้ากูแบบนั้น...ฮึ! แม่งคงไม่น้อยน่าดู” ผมแสยะยิ้มให้กับโชคชะตาที่มันเข้ามาในยามที่ผมกำลังไปได้ด้วยดี

           “มึงไม่ต้องเครียดหรอก ยังไงพ่อมึงก็ต้องมีวิธีจ่ายเงินพวกนั้นได้อยู่แล้วดิ มึงเชื่อกู!” 

      มันน่าจะเข้าใจความรู้สึกของผม ว่าตอนนี้ผมแทบจะไม่อยากก้าวเดินไปทางไหนได้อีกหากยังไม่เจอหนทางให้กับเรื่องบ้านี่ มือของมันอ้อมมาโอบไหล่ตบบ่าผมเพื่อเป็นการปลอบใจและให้กำลังใจอยู่ไม่ห่างหาย ผมหันไปมองมือข้างที่ตบบ่าผมก่อนจะคอตกมองตักตัวเองแล้วพลันปล่อยธารน้ำตาออกมาอีกละลอก

         “มึงแม่ง...โชคร้ายฉิบหายเลยที่มาเจอกู” ผมพูดให้กับไอหยางเพื่อนเพียงคนเดียวในมหาลัย

            “ถึงมึงจะบอกกูว่ากูโชคร้ายที่เจอมึง ได้มึงเป็นเพื่อน แต่สำหรับกู กูว่ากูโชคดีนะเว้ย ที่ได้เจอกับมึง เพราะคนอื่น ถึงต่อจะให้ดีแค่ไหน แต่ในใจมันก็คอยแต่จะหักหลังกูตลอดเวลาที่กูดิ่ง ไม่เหมือนกับมึง ที่ต่อให้กูจะเป็นยังไง เจอเรื่องอะไร ก็พร้อมจะทำเพื่อกูได้เสมอ”

        พอได้คำตอบจากในอกของเพื่อนตัวสูงหน้าโคตรหล่ออย่างไอหยางมา ผมก็รีบหันไปมองหน้ามันทันที ใบหน้าของเพื่อนที่ดูตอนแรกผมแทบจะตัดสินมันได้ว่ามันไม่ได้ต้องการจะเป็นเพื่อนกับผมจริงๆ แต่ตอนนี้ผมอยากจะกลับไปลบล้างความคิดพวกนั้นที่มันเลวเกินไป ไอหยางคือลูกคุณหนูที่ยอมฝ่าเรื่องราวอันน่าปวดหัวทุกอย่างไปพร้อมกับผม แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องของมัน มันก็ยินดีจะคอยอยู่ช่วยเหลือผมทุกครั้งไป และที่มากกว่านั้น คือมันไม่เคยเอาเรื่องของผมไปบอกใครคนอื่น เพราะมันก็บอกผ่านไลฟ์สดตอนนั้นไปแล้ว

    ว่าผมคือเพื่อนของมันแค่คนเดียวเท่านั้น และมันจะไม่คิดมีเพื่อนคนไหนอีกนอกจากผมคนเดียว

     

     

         วันต่อมา...

     ผมกับไอหยางเดินลงมาจากชั้นสองของบ้านด้วยกันเงียบๆไม่อยากให้พวกเขาทั้งคู่เห็นว่าผมลงมาแล้ว แต่เป็นเพราะเสียงที่บันไดทำจากไม้ มันจึงกระแทกเสียงดังทุ้มเรียกความสนใจจากแม่ที่ต้องการจะเจอหน้าผมมาก

       “กรณ์กินข้าวเช้ามั้ยล-!” แม่

       “กรณ์! แม่เรียกไม่ได้ยินเหรอกรณ์!!” พ่อ

     ผมที่กลับมาจากบ้านกับไอหยางตั้งแต่เมื่อคืนก่อนพวกเขาสองคน เราแทบไม่ได้เจอหน้าพ่อกับแม่และคุยแลกเปลี่ยนอะไรกับท่านเลย ผมเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องจนกว่าจะถึงเวลา ตื่นเช้ามาก็อาบน้ำไปเรียนกับไอหยางไวเกินที่เช้าวันถัดมานี้แม่จะได้ทักเรียกเหมือนทุกวัน พ่อผมที่ตื่นมานั่งกินกาแฟก็ยังไม่ทันได้ทักผมเหมือนแม่ แต่ก็ต้องถูกผมเดินหนีหายออกไปจากบ้านเสียก่อน

       แม่กิ่งที่เห็นท่าทางกรณ์เปลี่ยนไปก็แทบจะรู้สึกเสียใจนักเข้าไปใหญ่ที่ต้องเห็นว่าลูกเปลี่ยนไปจากคนที่สดใสกลับมัวหมองไปง่ายดายนัก เธอใช้มือลูบแผ่นหน้าครึ่งนึงเพื่อคลายเส้นบนใบหน้าที่มันตึงเกินไป เลื่อนลงมาป้องริมฝีปากเอาไว้มั่นเดินไปพักยังโซฟาที่เปิดทีวีค้างเอาไว้ ทิ้งพ่อของกรณ์ที่เป็นต้นเหตุเรื่องราวทั้งหมดนี้ให้นั่งดื่มกาแฟอยู่ที่โต๊ะกินข้าวคนเดียว

        “มึงเดินออกมาแบบนี้ไม่กลัวแม่มึงจะเสียใจไงวะไอกรณ์!?” ไอหยางเดินเร่งความเร็วเข้ามาถามเทียบข้างตัวผม

        “กูไม่ได้ตั้งใจจะหนีแม่ แต่เมื่อกี้มึงไม่เห็นไงวะว่าพ่อกูเขานั่งอยู่ กูไม่อยากเห็นหน้าเขามึงเข้าใจมั้ย” ผมเริ่มผ่อนความเร็วจากการเดินของขาลง

          “แต่มึงก็หันไปคุยกับแม่มึงคนเดียวได้นี่หว่า มึงแบบนี้เขาก็ยิ่งรู้สึกเสียใจนะเว้ย!”

          “เออ!! เดี๋ยวตอนเย็นกูกลับไปคุยกับเขาโชว์มึงเลยก็ได้ โอเคมั้ย!”

      ผมตอบมันเสียงกร้าวก่อนจะเดินเข้ามหาลัยไปกันสองคนเหมือนกับทุกวันที่ผมกับมันนอนค้างด้วยกัน แต่ทำไมวันนี้ทั้งคาบของช่วงเช้าของผมมันดูไม่มีความสบายเหมือนวันอื่นเลยก็ไม่รู้ ผมพยายามหาอะไรสนุกๆบีบให้ตัวเองมีความสุขก็ไม่ได้ผล ดูตลกสามช่า ดูรายการฮา แต่ยิ่งดูมันก็ยิ่งรู้สึกหนักมากกว่าเดิม ไอหยางคนที่ว่างอยู่ก็กำลังควงปากกาเล่นฆ่าเวลาเหงาๆก็เหลือบตามาเห็น ดันเก้าอี้ตัวที่มันนั่งให้มาชิดผมคล้ายคนจะเรียกร้องให้ผมหันไปมองให้ได้ 

          “อะไรของมึง เอาเก้าอี้มาชนกูเพื่อ?” ผมมองเก้าอี้ติดล้อตัวที่มันนั่งอยู่นี่

         “เป็นอะไร หิวข้าวไง!?” ขบหัวกดปากกาผิวเผินเหล่สายตามาถามผมแบบโคตรไม่เนียน

          “เปล่า กูแค่เครียดเรื่องลุงกูเฉยๆ”

         “มึงจะเครียดทำไมวะ อย่าเครียด! มึงมีกูอยู่ข้างๆทำไมกูจะช่วยมึงไม่ได้” ตบบ่าปลอบผมเหมือนคืนวานไม่มีผิดเลย

           “กูแค่เครียดว่าเขาจะเอาเงินมาจากไหนเพื่อไปใช้หนี้พวกนั้น? ก็ในเมื่อเขายังยืมเงินอยู่เลยไม่ใช่เหรอวะ” ผมเริ่มปรึกษากับไอหยางไม่ฟังสิ่งที่อาจารย์สอนสักนิด

         “งั้นเอางี้ มึงไปหาข้อมูลของไอพวกหนี้นอกระบบนั่นมา เดี๋ยวกูจะช่วยเรื่องเงินมึงอีกแรง ตกลงปะ”

           “แต่กูเป็นหนี้มึง?”

         “เป็นหนี้กูยังดีกว่าเป็นหนี้ไอพวกโหดๆนั่นมั้ยล่ะ!?” มันสวนผมกลับมาเอาซะผมเพิ่งจะเข้าใจในสิ่งที่มันพยายามจะช่วย

           “งั้นเดี๋ยววันนี้กูจะกลับไปหาข้อมูลมาให้ แล้วกูจะถ่ายส่งไปให้มึง โอเคมะ?” ผมยกนิ้วท่าOKเป็นสัญลักษณ์ถามไอหยาง

          “มึงก็รีบหน่อยแล้วกัน อีก1วันแล้วนิที่พวกมันจะมาอีก”

     

         จริงด้วย...

     เมื่อเข็มนาฬิกาเลื่อนมาจนถึงคาบสุดท้ายที่ผมต้องเรียนในวันนี้ ปากกาที่ถืออยู่ในมือผมเก็บใส่กระเป๋าวิ่งออกไปทั้งที่ยังไม่ได้สะพายคาดตัวเองเลย ขาของผมวิ่งออกมาจากห้องไม่รอไอหยางที่จะออกไปพร้อมกัน

    ในหัวของผมตอนนั้นมีแต่จะต้องรีบหาข้อมูลเกี่ยวกับไอพวกนั้นมาให้ไอหยางเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เย็นวันนี้แทนที่ผมจะเข้าบ้านตรงข้าม ผมกลับวิ่งเข้าไปเปิดประตูบ้านของป้าพิมพ์ที่วันนี้แกยังไม่กลับจากโรงพยาบาลเลยทั้งวัน ประตูบ้านที่มันไม่ได้ล็อกจึงเป็นการดีที่ทำให้ผมเข้าไปได้ง่ายๆ 

        บ้านสองชั้นที่ทำจากไม้และปูนครึ่งต่อครึ่ง ผมวิ่งไปหาบริเวณชั้นสองที่มันเป็นห้องทำงานของลุงเขียวเพราะสมัยก่อนผมชอบขึ้นมาเล่นห้องนอนของไอกันแล้วมันก็ดันตรงข้ามห้องทำงานของลุงเขียวพอดิบพอดี ประตูถูกหมุนเปิดเข้าไปจากตัวผมเองที่ถือวิสาสะเล็กน้อย โต๊ะทำงานหันหลังให้หน้าต่างมีแต่พวกลิ้นชักมากมายเต็มไปหมด นอกจากลิ้นชักแล้ว ในนั้นก็ยังมีกล่องเก็บเอกสารและตู้เก็บเอกสารแยกไว้หลายจุดของห้องแทบหาจุดสิ้นสุดไม่ได้

          “จะเริ่มหาจากตรงไหนก่อนดีวะเนี่ย!?” ผมเกาหัวตัวเองแรงๆเมื่อเห็นมีลิ้นชักหลายตัวเกินกว่าที่คิด

       ผมเดินเข้าไปยังโต๊ะทำงานก่อนเพื่อเปิดหาสิ่งของสำคัญสิ่งเดียวที่ผมต้องการจะนำมาเป็นทางรอดให้กับลุงและพ่อของผม มือเปิดหาแง้มเอกสารปึกหนาหาแทบจะไม่เจอว่ามันคือแผ่นไหนกันแน่ ชั้นแล้วชั้นเล่าผมก็หาไม่เจอ จนมาถึงลิ้นชักโต๊ะทำงานชั้นสุดท้าย มันก็ดูเหมือนจะเป็นความหวังสุดท้ายแต่มันก็ไม่มี ผมวางกระเป๋าสะพายออกจากตัวเพื่อทำตัวเองให้สะดวกที่สุด มือเปิดหลายชั้นพร้อมกันเพื่อจะได้หาได้รวดเร็ว แต่มันก็น่าตลกที่ผมหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอสักที

     

       บรึ้นนนน!!~

    รถกระบะสีดำคันใหญ่ขับมาจอดหน้าบ้านป้าพิมพ์อีกครั้งเหมือนกับเมื่อวานนี้ไม่ต่างกัน ชายหน้าโหดผู้รับใช้ชิตพลสองคนออกมาจากรถพร้อมกับมองขึ้นไปยังบ้านชั้นสองของป้าพิมพ์ และช่างโชคเข้าข้างพวกมันนัก ที่บานประตูไม่ได้ล็อกนั้นมันเปิดออกต้อนรับเหมือนเข้าใจที่พวกมันมากันดี 

        “ถ้าในเมื่อมันไม่ยอมจ่าย เราก็จับพวกมันไปให้นายจัดการเองเลย ไหนๆนี่ก็จะ2วันตามกำหนดของนายแล้วด้วย” มันพูดกับเพื่อนฝั่งคนขับ

          “ถ้ามันขัดขืน ก็เอายาสลบนี้โป๊ะมันซะ” มันว่าก่อนจะเทยาสลบใส่ผ้าเช็ดหน้าขนาดพอดีมือโยนส่งไปให้กับเพื่อนที่มาร่วมกัน

     

       มันสองคนเดินเข้าไปเงียบๆจนแม่กิ่งไม่ได้ยินสักก้าวเดียว ส่วนกรณ์ที่คิดว่าจะได้ยินก็คงตอบได้ว่าไม่ เพราะเสียงของลิ้นชักและเสียงของหาเปิดหาของที่มันดังเกินไป มันจึงทำให้บดบังเสียงทั้งหมดที่กรณ์สมควรจะได้ยินตอนนี้ทั้งหมดทั้งสิ้น เขาที่กำลังหาลิ้นชักมุนห้องอยู่ก็ไม่ทันเห็นด้านหลัง บ้านประตูห้องทำงานเปิดพร้อมเสียงที่ดังลงไปถึงด้านล่างบอกพวกมันได้ดีว่ามีใครอยู่ในห้องนี้ 

           “ลูกมันแน่ๆ จับไปให้นายสั่งสอนเลยมั้ย?”

        “ดี! ถ้าเป็นลูกพวกมัน ไม่ถึง2วันมันก็จะต้องคืนเงินให้นายแน่ๆ” 

          !!!

     หลังจากยืนกระซิบกระซาบกันตรงมุมทางขึ้นของบันไดระหว่างชั้น1และชั้น2 คนรับใช้ของชิตพลก็รีบวิ่งเข้ามาโผใช้ผ้าอาบยาสลบโปะหน้าผมหาอากาศอื่นเข้าแทรกไม่ได้เลย ร่างของผมที่ไม่ได้ตั้งตัวเพราะว่าเอาแต่หาเอกสารบ้านั่นอยู่จนลืมสนใจอย่างอื่นก็พยายามจะดิ้นหนีหวังจะให้หลุดรอดไปได้จากการล็อกตัวของพวกมันที่มาตอนไหนก็ไม่รู้ แต่ด้วยกำลังผมที่มันน้อยกว่ามาแต่ไหนแต่ไรแล้วก็ทำให้ผมดิ้นไม่หลุดเสียที ยิ่งเหนื่อยผมก็ยิ่งต้องการอากาศเพื่อหายใจ ผมก็เลยดันเผลอโง่สูดยาสลบเข้าปอดไปเต็มๆ ดวงตาของผมมันค่อยๆพร่ามัวไปทีละนิดๆ ร่างกายของผมมันอ่อนแรงไปเองไม่ได้สั่งการ ภาพทุกอย่างมันสั่นไหวและสุดท้ายผมก็หลับไปไม่ทันได้เอ่ยปากขอร้องสักคำ

       พอเมื่อพวกมันเห็นแล้วว่ากรณ์สลบไปได้จริงๆไม่มีหนทางขัดขืน มันก็ช่วยกันยกร่างของกรณ์ลงไปด้านล่างอย่างเบาที่สุด เพื่อนอีกคนที่ช่วยจับเท้าวางลงออกไปเปิดประตูรถก่อนที่พวกมันสองคนจะอุ้มผมเข้าไปนอนอยู่ในรถด้านหลังคนขับ แผนการของพวกมันเป็นไปได้ด้วยดี ที่คนแถวนั้นไม่มีใครได้ยินเสียงอะไรที่มันน่าผิดสังเกตเลย รถของมันทั้งคู่ขับออกไปจากซอยหลงเหลือไว้เพียงแค่ความเงียบที่ดูจะปกติ แต่มันกลับเริ่มไม่ใช่สำหรับแม่ของกรณ์อีกต่อไป

     

         อืออออ? ที่นี่ที่ไหนวะเนี่ย…

       ผมที่เผลอหลับหรือจะเรียกสลบไปไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้ว แต่เมื่อดวงตามันดีดเปิดช้าๆ ใบหูผมมันก็เริ่มจะได้ยินเสียงพูดของใครบางคนมาจากด้านข้าง ผมเปิดตาที่อาจจะยังสะลึมสะลืออยู่หันไปมองต้นเสียงก่อกวนนั่น ภาพบ้านสีสว่างจนแสบตาผิดแปลกจากบ้านของผมได้เริ่มเปรยผมออกมาแล้วว่าเมื่อก่อนหน้านี้มันเกิดอะไรขึ้น ปากของผมมันถูกเชือกเส้นหนามัดให้ฟันงับเอาไว้อยู่ แขนสองข้างก็ถูกไขว้หลังไว้กับเก้าอี้ที่นั่งเอาซะผมดิ้นสักนิดเลยก็ไม่ได้ ดวงตาที่มันมองยังไม่ค่อยชัดพยายามหรี่ตามองรอบตัวก็เห็นว่ามันคือห้องนอนของใครบางคนที่มันไม่ใช่ห้องนอนของผมหรือของไอหยางแม้แต่ส่วนเดียว

         “อี้อ้วกอันอาอูอาอี้ไอ๋อะเอี่ย (แปล: นี่พวกมันพากูมาที่ไหนวะเนี่ย)” พร่ากับตัวเองเสียงเบาจัด

        “ฉันสั่งตอนไหนงั้นเหรอว่าให้จับลูกของพวกมันมา?”???

          “แต่ถ้าเราไม่จับลูกมันมา พวกมันอาจจะไม่ยอมคืนเงินให้ก็ได้นะครับคุณชาย” ไอคนขับรถตอบแทนเพื่อนอีกคนของมัน

         “แล้วพวกมึงรู้ได้ยังไง ว่าคนที่พวกมึงจับมานี่มันลูกของพวกมัน?”

            “ก็เห็นมันอยู่ในบ้าน ผมก็เลยคิดว่าเป็นล-!!!”

      ยังไม่ทันที่ไอคนโปะยาสลบผมมันจะตอบจบ ไอคนใส่สูทยืนตัวสูงนั่นก็ตบฉาดเข้าแก้มมันสั่นไปทั้งตัวให้ ผมแกล้งทำเป็นหลับแต่ยังแอบหรี่ตามองก็เห็นว่านายของพวกมันคือชายที่แต่งตัวเป็นผู้ลากมากดีคนหนึ่งนี่เอง 

          “ออกไปตามไอพวกคนอื่นต่อได้แล้วไป ส่วนไอเจ้านี่เดี๋ยวฉันจะจัดการเอง ไป!!”

      !!!

    มันกลับตัวหันมาเดินตรงมานั่งที่ปลายเตียงที่ผมยังแอบเห็นอยู่จากดวงตาหรี่นี่นิดหน่อย ตัวของมันก้มไปเลื่อนลิ้นชักใต้เตียงออกมา ซึ่งพอมันยกออกมาผมก็ตกใจเกือบจะหลุดออกไปเข้าให้แล้วว่าตื่นมาก่อนหน้านี้ สิ่งของที่ใช้สังหารโหดสีดำมีการใส่ลูกกระสุนโชว์เสมือนมันเห็นแล้วว่าผมตื่นมาเจอตั้งนานนม เก้าอี้อีกตัวข้างๆกับประตูระเบียงลากมาประจันหน้าผมที่ก็พยายามกดหน้าลงไม่ให้มันเห็นว่าผมแกล้งหลับ

     

         “ถ้าจะแกล้งหลับแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ระวังจะไม่ได้พูดสั่งเสียพ่อกับแม่นะ” 

     

    - - - - - - - - - - - - - - - -

     Talk Talk 

     น้องกรณ์ของเราได้พบเจอกับคุณชิตพลแล้ว มาช่วยลุ้นกันเถอะว่าน้องจะรอดไปได้จากความโหดของคุณพี่เขามั้ย ติดตามอาทิตย์หน้านะทุกคน

    ปล.คู่พระเอกนายเอกแต่ละคู่มีสัตว์เป็นรูปปกไม่เหมือนกันนะคะ ขอบอกไว้ก่อนล่วงหน้า 

       1. คู่ชิตพลกรณ์ = สิงโต

       2. คู่เพทายพีท = เสือจากัวร์

       3. คู่พฤกษ์ฟรอยด์ = หงส์ขาว

     

     *อัปฟิคทุกวันอาทิตย์*

     HASHTAG  :  #เจ้าหนี้คนนี้เขาจีบผม 

     TWITTER  :  @Zzx3N 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×