คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 3 คทาปริศนาจากชายปริศนา
ตอนที่ 3 : คทาปริศนาจากชายปริศนา
ระยะเวลาตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นสองทายาทจากดินแดนเดมอสก็ได้ไปยังที่ต่างๆ เท่าที่เมืองเล็กๆ อย่างเอดินเบิร์กนี้จะมี ทุกถนนทุกตรอกที่ผู้คนควรรู้จักทั้งสองก็ไปจนหมด ร้านอาหารพื้นเมืองที่ขึ้นชื่อก็ไปลองชิมจนเกือบครบ แต่ต้องเป็นอาหารมังสวิรัติเท่านั้น เอาเป็นว่าตอนนี้ก็คุ้นเคยกับเมืองนี้พอสมควรแล้วล่ะนะ
เวลาเช้าของวันใหม่เป็นวันที่อากาศสดใส ท้องฟ้าโปร่ง สายลมอ่อนๆ ค่อยๆ พัดผ่านมาเป็นระลอกๆทำให้ธงสีม่วงอันเป็นสัญลักษณ์ของโรงเรียนพระราชาที่ถูกเสียบไว้ตลอดแนวกำแพงสูงโบกสะบัดพลิ้วไหว เป็นสัญญาณของการเปิดรับสมัครนักเรียนเข้าศึกษาในปีการศึกษาใหม่ที่จะถึงนี้ ที่หน้าประตูโรงเรียนเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่เดินทางมาจากทั่วสารทิศซึ่งมีทั้งเด็กหนุ่มและเด็กสาวรวมถึงผู้ปกครองที่พาบุตรหลานมาสมัครสอบกันอย่างเนืองแน่
"ฟรานซิส รอพี่ตรงนี้นะอย่าไปไหน" เฟลิโอน่าสั่งกำชับเจ้าน้องชายตัวแสบของเธอ
"รับทราบพะยะค่ะ" น้ำเสียงแข็งขันพร้อมกับท่าเคารพเหมือนกับทหารจากฟรานซิสทำเอาเฟลิโอน่าก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างปลงๆ แล้วก็เดินไปยังหน้าประตูเพื่อต่อแถวลงชื่อสมัครสอบ
เมื่อเธอเดินเข้าไปก็ราวกับเวลาหยุดนิ่ง เสียงคุยที่ดังระงมค่อยๆเงียบลงพร้อมกับสายตาหลายคู่มาจับจ้องที่เธอเป็นตาเดียวแต่เธอก็ไม่ได้สนใจยังคงเดินไปยังโต๊ะที่มีป้ายติดเด่นหลาไว้ว่า ‘เจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเอเดน’
แล้วถ้าเป็นเจ้าหญิงแห่งเดมอสจะได้ไหมล่ะเนี่ย...
ความคิดขำๆผุดขึ้นมาในหัวของเธอ ริมฝีปากสวยจึงระบายยิ้มออกมาน้อยๆแต่มันกลับทำให้คนมองแทบหยุดหายใจไปตามๆกัน
"แค่นี้ใช่ไหมคะ" เจ้าหญิงแห่งเดมอสถามขึ้นหลังจากที่ลงชื่อเสร็จเรียบร้อย ซึ่งคนที่ประจำอยู่ที่โต๊ะรับสมัครสำหรับเจ้าชายและเจ้าหญิงที่นานๆ จะมีมาสักคน ก็ได้แต่หยักหน้าด้วยสีหน้าลอยๆอย่างเคลิบเคลิ้มเต็มที แล้วก็มองตามแผ่นหลังบางเหยียดตรงอย่างสมเป็นราชนิกุลที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆ จนสุดสายตา
และเหมือนคนอื่นๆแถวนั้นจะเริ่มได้สติกลับคืนมา ทั้งเด็กหนุ่มหรือแม้กระทั่งเด็กสาวบางคนรวมถึงนักเรียนของโรงเรียนพระราชาที่มาทำหน้าที่รับสมัครนักเรียนใหม่ยังอดไม่ได้ที่จะเข้าไปดูรายชื่อล่าสุดบนใบรายชื่อรับสมัครของบรรดาเจ้าหญิงและเจ้าชายจากเมืองต่างๆ และเพียงได้เห็นชื่อเสียงเรียงนามที่อยู่ล่าสุดแล้วบางคนก็ถึงกับหน้าซีดจนหาสีเดิมไม่เจอ ส่วนบางคนก็ตาโตเป็นไข่ห่านยักษ์เพราะชื่อที่ถูกเขียนด้วยลายมือบรรจงนั่น
'เฟลิโอน่า เกรเดเวล เดอะ ปริ๊นซ์เซส ออฟ เดมอส'
ทางฝั่งเจ้าของชื่อและฉายาที่แสนจะน่าตกใจนั้น หลังจากลงชื่อเสร็จก็รีบเดินกลับมายังจุดที่เธอบอกให้เจ้าน้องชายตัวยุ่งของเธอรอ แต่กลายเป็นว่ามันกลับไม่มีวี่แววของเด็กหนุ่มหน้าทะเล้นอยู่แถวนี้เลย
‘เฮ้อ หายไปไหนอีกล่ะเนี่ย หายตายสิ อย่าให้หาเจอนะ’ เฟลิโอน่าคิดค่อนขอดในใจ
ร่างบางที่พยายามมองหาคนที่เธอกำลังคาดโทษอยู่ในใจก่อนจะเห็นหัวดำๆที่เหมือนจะคุ้นๆ อยู่ตรงแถวๆหน้าร้านขายของอะไรสักอย่าง
"จริงๆเลยเจ้าน้องคนนี้" เฟลิโอน่าบ่นพึมพำพลางเดินตรงรี่เข้าไปหาเป้าหมายที่เห็นอยู่ลิบๆจึงไม่ทันสังเกตร่างสูงใหญ่ที่กำลังเดินใกล้เข้ามา
ปึก!
แรงปะทะที่ถือว่าไม่ใช่เบาๆ เพราะดูเหมือนต่างฝ่ายต่างรีบพอกันทำเอาคนร่างบางเกือบจะเสียหลักล้มลงไปแต่โชคดีที่คนที่ถูกเธอชนไวพอที่จะตวัดลำแขนแกร่งของเขามารับตัวเธอไว้ได้ทันสภาพตอนนี้มันจึงดูไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไหร่ที่มีคนแปลกหน้ากำลังทำท่าเหมือนกอดเอวเธออยู่แบบนี้ แล้วมันก็พอดีกับที่ตัวต้นเหคุที่แท้จริงเดินกลับมาเห็นเข้าพอดี
"นี่เจ้าจะทำอะไรท่านพี่ของเรา"
ฟรานซิสพูดอย่างหาเรื่องพร้อมกับมองคนแปลกหน้าที่บังอาจมาแตะเนื้อต้องตัวพี่สาวของเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตรหลังจากเข้าไปเอาตัวเฟลิโอน่าออกมาแล้วมายืนคั่นตรงกลางระหว่างพี่สาวกับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่หน้าตาคมเข้มที่ยังคงยืนมองนิ่งๆ
"ฟรานซิส" เฟลิโอน่าพูดปรามด้วยน้ำเสียงดุที่ไม่ค่อยได้ใช้บ่อยนัก ทำให้ฟรานซิสไม่พอใจเล็กน้อยแต่ก็ยอมหยุดฟัง "พี่แค่เดินไปชนเขา แล้วเขาก็ช่วยพี่เอาไว้ไม่งั้นพี่คงล้มลงไปกับพื้นแล้ว"
“แล้วท่านพี่เป็นอะไรรึเปล่าครับ” ฟรานซิสถามซึ่งเฟลิโอน่าก็แค่ส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร ก่อนจะหันไปพูดคนที่ช่วยเธอไว้
"ต้องขอโทษแทนน้องชายของฉันด้วยนะคะ แล้วก็ขอบคุณมากค่ะที่ช่วยเอาไว้"
"ไม่เป็นไร" เสียงทุ้มจากชายหนุ่มแปลกหน้าที่ตอบกลับมานิ่งๆ แต่ดวงตาคมสีดำประดุจพญาเหยี่ยวยังคงพิศมองใบหน้าของเด็กสาวเบื้องหน้าอย่างไม่ละสายตา
"ไม่มีอะไรแล้วเราก็ไปกันเถอะครับ"
ฟรานซิสรู้สึกไม่ชอบคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกขึ้นมาตงิดๆ พยายามดึงแขนพี่สาวของเขาที่ยังมิวายหันไปค้อมหัวให้คนแปลกหน้านั่นเป็นเชิงขอโทษให้เดินไปด้วยกัน ถึงแม้เขาจะต้องโดนดุที่เสียมารยาทก็ยอมเพราะรู้สึกไม่ชอบสายตาของผู้ชายคนนั้นที่มองท่านพี่เลยจริงๆ
ร่างสูงใหญ่ที่ถึงแม้จะกำลังก้าวเดินต่อไปข้างหน้า แต่ภายในหัวก็ยังคงนึกถึงเจ้าของใบหน้าสวยและเสียงหวานๆ ที่เอ่ยขอโทษเขาอยู่เมื่อครู่
เธอเป็นใครกัน...
เช้าวันรุ่งขึ้นที่บริเวณหน้าโรงเรียนพระราชายังคงมีผู้คนเนืองแน่นไม่ต่างจากเมื่อวาน บรรยากาศคึกคักที่ผู้ปกครองของเหล่าผู้เข้าสมัครสอบต่างอวยชัยให้แก่บุตรหลาน หรือเสียงดังเซ็งแซ่ของเด็กหนุ่มเด็กสาวมากมายที่เพิ่งทำความรู้จักกันและอวยพรให้อีกฝ่ายโชคดีกันตรงนั้นเลย รวมถึงเสียงประกาศขานชื่อเรียกตัวนักเรียนเข้าห้องสอบที่ทำเอาใครหลายๆคนตื้นเต้นจนลุ้นกันตัวโก่งเพราะจะเรียกชื่อโดยการสุ่มไม่ได้เรียงลำดับตามใบลงชื่อสมัคร
"คาโล วาเนบลี เดอะ ปริ๊นซ์ ออฟ คาโนวาล"
เมื่อสิ้นเสียงประกาศชื่อ เจ้าของชื่อและฉายาที่สามารถเรียกให้ผู้คนหันมาสนใจได้อย่างชะงักและยังมีเสียงกรี๊ดกร๊าดจากเด็กสาวหลายคนที่มองตามร่างสูงที่กำลังก้าวเดินด้วยท่วงท่าสง่างามบ่งบอกสายเลือดสีน้ำเงินภายในตัวได้เป็นอย่างดี
เจ้าชายจากเมืองนักรบงั้นหรือ...
"ฟ...เฟลิโอน่า เกรเดเวล เดอะ ปริ๊นเซส ออฟ เดมอส" เสียงขานชื่อสั่นๆ ที่ทำให้คนอื่นๆ ต่างมองหาเจ้าของชื่อและฉายาที่ว่ากันเลิกลั่ก ถึงแม้จะมีบางคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนรับลงทะเบียนเมื่อวานก็ยังอดที่จะมองหาไม่ได้
นัยน์ตาสีฟ้าของผู้ที่ถูกเรียกก่อนหน้านี้ยังอดที่จะเบิกขึ้นเล็กน้อยไม่ได้ การเคลื่อนไหวที่แม้สะดุดไปนิดหนึ่งแต่ก็ไม่เป็นที่สังเกตเห็นของคนอื่นๆ วรองค์สูงแลดูสมส่วนยังคงก้าวต่อไปยังที่นั่งสำหรับผู้เข้าทดสอบคนต่อไป และเมื่อทรุดนั่งลงเขาจึงสามารถมองเห็นผู้ที่ถูกขานชื่อต่อจากเขา
ร่างโปร่งบางที่ทอดกายเดินด้วยท่าทางสบายๆ แต่กลับแฝงไว้ด้วยมนต์เสน่ห์บางอย่างที่ไม่อาจรู้ได้ ใบหน้าสวยหวานที่ชวนให้หญิงสาวหลายๆ คนรู้สึกชื่นชม ดวงตาคู่โตทอประกายสดใสแต่ก็แฝงไว้ด้วยความมั่นคงและเด็ดเดี่ยวอยู่ในตัว
นี่น่ะหรือ ธิดาแห่งความมืด ที่เล่าลือกัน...
ความคิดจากเจ้าชายแห่งเมืองนักรบอันดับหนึ่งของเอเดนที่ดูเหมือนจะคิดดังเกินไปนิดจนพูดเปรยสิ่งที่อยู่ในหัวออกมาจนได้
"ธิดาแห่งความมืด"
เด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าคมคายแต่ทว่ามันช่างนิ่งจนดูราวกับรูปสลัก เรือนผมสีเงินที่เมื่อต้องแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าเช่นนี้ยิ่งขับให้น่ามองอย่างประหลาด นัยน์ตาสีฟ้าที่มันจะดูดีขึ้นไปอีกถ้าหากว่ามีประกายกว่านี้สักหน่อย เรียวปากสีอ่อนเหยียดตรงที่ชวนให้คิดว่าผู้เป็นเจ้าของนั้นช่างหยิ่งยโสเสียนี่กระไร
"ท่านมีอะไรหรือ เจ้าชายแห่งคาโนวาล เหตุใดจึงเรียกเราเช่นนั้น"
เฟลิโอน่าที่ยังรักษาท่าทีนิ่งสงบเปรยถามบุคคลที่นั่งอยู่ด้านข้างที่เมื่อครู่จู่ๆ ก็เรียกเธอด้วยสมญานามที่ไม่น่าอภิรมย์เท่าไหร่นัก ทั้งๆ ที่ไม่ได้เบือนหน้าไปมองคนถูกถามแต่อย่างใด
"ถ้าหากมีอะไรก็พูดออกมาเถิด หรือท่านไม่กล้าที่จะพูดออกมา ท่านเจ้าชายแห่งเมืองนักรบผู้ห้าวหาญ" ประโยคสุดท้ายที่รู้สึกได้ถึงการเสียดสีภายใต้น้ำเสียงนิ่งสงบนั่นทำให้เจ้าชายคาโลแห่งคาโนวาลต้องเบือนหน้ามาสบกับเจ้าหญิงแห่งแดนปีศาจซึ่งเธอเองก็จ้องตอบกลับมาอย่างไม่กลัวเกรงเช่นกัน
กระแสความกดดันบางอย่างที่พวยพุ่งออกมาจากคนทั้งสองทำให้บรรยากาศแถวนั้นเกิดความเงียบขึ้นมาทันใดและนักเรียนรุ่นพี่ของโรงเรียนพระราชาที่ทำหน้าที่ควบคุมความเรียบร้อยเองก็ไม่รู้จะเข้าไปห้ามได้อย่างไรเช่นกันได้แต่ภวนาว่าอย่าได้เกิดเรื่องอะไรร้ายแรงเลยเพราะคนหนึ่งก็เจ้าชายอันดับหนึ่งแห่งเมืองนักรบที่เห็นศักดิ์ศรีสำคัญยิ่งกว่าอะไรกับเจ้าหญิงแห่งแดนปีศาจที่น่าเกรงกลัวไม่แพ้กัน และราวกับฟ้าจะเห็นใจส่งคนมาเรียกให้ผู้รอเข้าสอบคนต่อไปเข้าห้องสอบพอดี
“เจ้าชายคาโลเชิญไปที่ห้องทางด้านนั้นได้เลยครับ"
เฟลิโอน่านั่งรอต่อไปอีกสักพักก็มีคนมาตามให้ไปยังห้องสอบสัมภาษณ์
ภายในห้องที่ใช้เป็นสถานที่สอบนั้นมีของวิเศษทั้งสี่ที่ได้กักเก็บพลัง ความสามารถ และสติปัญญาครึ่งหนึ่งของจ้าวแห่งปีศาจหรือก็คือท่านพ่อของเธอเอาไว้ มงกุฎแห่งใจ คทาแห่งพลัง แหวนแห่งปราชญ์ และดาบแห่งกษัตริย์
"เชิญนั่งก่อนสิ" ชายชราผู้มีเคราสีเงินที่นั่งอยู่ด้านหลังแท่นของวิเศษณ์ทั้งสี่พูดขึ้นและยิ้มให้เธออย่างใจดี ดวงตาที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีขุ่นมัวไปตามวัยแต่ทว่ายังคงฉายแววรอบรู้ ดูเป็นบุคคลที่น่าเคารพและน่าหวั่นเกรงไปในคราเดียวกัน เฟลิโอน่าจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มตอบพร้อมกับค้อมหัวเป็นการให้เกียรติและแสดงถึงความเคารพต่อนักปราชญ์สูงสุดแห่งเอเดนซึ่งเธอเองก็รู้จักท่านมหาปราชญ์ผู้นี้อยู่ไม่น้อย
‘นี่คงจะเป็นท่านมหาปราชญ์เลโมธีสินะ’
ทันทีที่ร่างโปร่งบางทรุดกายนั่งลงเบื้องหน้าของวิเศษณ์ทั้งสี่พลางจ้องมองไปที่พวกมัน ก็พลันเกิดแสงสว่างที่เปล่งออกมาจากของทั้งสี่ชิ้นนั่นแทบจะทันที แสงสว่างที่แม้จะดูสว่างมากๆจนชวนให้รู้สึกแสบตา แต่เธอกลับรู้สึกสบายและอบอุ่นใจเพราะสัมผัสนี้คือสัมผัสของท่านพ่อของเธอเอง
เวลาผ่านไปได้สักพักใหญ่ๆ และแล้วคทาแห่งพลังก็ค่อยๆ อ่อนแสงลงและดับแสงไปในที่สุด อีกสักพักจึงตามมาด้วยแหวนแห่งปราชญ์ ทำให้ตอนนี้เหลือเพียงมงกุฎแห่งใจและดาบแห่งกษัตริย์เท่านั้นที่ยังคงเปล่งแสงแข่งกันอย่างที่ดูเหมือนจะไม่มีใครยอมใคร ทำให้เฟลิโอน่าต้องเร่งพลังเพิ่มขึ้นอีกนิดเพื่อไม่ให้การวัดผลอะไรบางอย่างต้องยืดเยื้อไปมากกว่านี้ แล้วก็เป็นมงกุฎแห่งใจที่ยอมแพ้ต่อดาบแห่งกษัตริย์ ตอนนี้จึงเหลือเพียงดาบแห่งกษัตริย์เท่านั้นที่ยังคงเปล่งแสงอยู่และดูเหมือนว่าจะสว่างเพิ่มขึ้นยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
"เอาล่ะ พอได้แล้วเฟลิโอน่า" มหาปราชญ์แห่งเอดินเบิร์กพูดขึ้นเธอจึงหยุดปล่อยพลังปราณแสงจากดาบจึงค่อยๆ ดับลง
"ต่อไปจะเป็นคำถาม ขอให้เธอจงตอบตามแต่ใจคิด...มงกุฎ คทา แหวน และดาบ หากท่านเป็นพระราชาท่านจะเลือกมอบสิ่งใดให้แก่ประชาชน"
"ถ้าให้ได้ก็อยากจะให้มงกุฎค่ะ เพราะประชาชนทุกคนย่อมอยากจะเป็นพระราชาด้วยกันทั้งนั้น" เฟลิโอน่าใช้เวลาไตร่ตรองเพียงเล็กน้อยแล้วจึงตอบออกไปพร้อมกับให้เหตุผลที่ขับให้มุมปากของผู้เป็นมหาปราชญ์อดที่จะยกขึ้นเล็กน้อยอย่างเสียมิได้
"และในสี่อย่างนี้ ถ้าต้องสละ ท่านจะเลือกสละสิ่งใดก่อนหรือหลัง"
"ถ้าจะให้สละ...สิ่งแรกที่เราจะสละก็คือมงกุฎเพราะใส่ไว้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมีแต่จะทำให้หนักซะเปล่าๆใช่ไหมล่ะคะ ต่อมาก็แหวนเพราะถ้าใส่ไว้ก็เกรงว่าจะถูกจี้ถูกปล้นจนได้รับบาดเจ็บเสียเอง อย่างที่สามก็คือคทา เพราะบางครั้งเวทย์มนต์หรือคาถาที่เราร่ายออกไปนั้นก็อาจทำให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย และดาบจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เราจะสละ เพราะถ้าหากวันใดมีผู้ไม่ประสงค์ดีบุกรุกเข้ามาในดินแดนของเรา เราก็ย่อมต้องใช้ดาบในการต่อสู้เพื่อปกป้องบ้านเมืองของเราให้รอดพ้นจากศัตรู"
คนถูกถามตอบกลับมาอย่างสบายๆ ราวกับว่านี่เป็นการพูดคุยบทสนทนาสัพเพเหระทั่วๆ ไป แต่ภายในคำตอบที่ใช้น้ำเสียงธรรมดาๆ เอ่ยออกมานั้นกลับสามารถทำให้ใครก็ตามที่ได้ฟังต้องเชื่อในคำพูดนั้นอย่างไม่มีเงื่อนไขได้อย่างน่าประหลาด ด้วยความแน่วแน่และเด็ดเดี่ยวที่ฉายชัดอยู่ภายในดวงตาคู่หวานที่มองมาอย่างตรงไปตรงมาซึ่งนั่นก็ทำให้มุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยจากคำตอบของคำถามก่อนหน้านี้ต้องยกสูงขึ้นอีกนิด
‘ช่างไม่ธรรมดา สมแล้ว สมแล้วจริงๆ’ มหาปราชญ์เลโมธีร์นึกชมในใจ
"และคำถามสุดท้าย ถ้าหากท่านเป็นกษัตริย์ท่านจะใช้สิ่งใดเป็นสัญลักษณ์ของท่าน"
"ดาบค่ะ เพราะดาบแสดงถึงความแข็งแกร่ง และการปกป้องถ้าหากเราได้เป็นกษัตริย์เราก็จะปกป้องประชาชนของเราอย่างถึงที่สุด"
"ขอขอบคุณสำหรับทุกคำตอบ...ยินดีด้วย เธอผ่านการทดสอบเข้าโรงเรียนแห่งนี้แล้ว รายละเอียดต่างๆเธอสามารถสอบถามได้ที่ห้องถัดไป และที่นี่จะเปิดภาคเรียนใหม่ในอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า ขอให้โชคดี" ปราชญ์เลโมธีพูดจบเฟลิโอน่าจึงกล่าวขอบคุณและก่อนที่เธอจะเดินออกไปก็ไม่ลืมที่จะค้อมหัวเล็กน้อยเป็นการทำความเคารพอีกครั้ง
และเมื่อเธอเดินลับออกไปทางด้านหลังของผู้เป็นมหาปราชญ์ก็ปรากฏร่างคนสำคัญของแต่ละป้อมปราการแห่งโรงเรียนพระราชา
"ทำให้ของวิเศษณ์เปล่งแสงได้นานขนาดนั้น แถมดาบยังเปล่งแสงมากกว่าไฮคิงเสียอีก นี่มันพลังอะไรกัน" เสียงของสตรีผู้เป็นหัวหน้าของปราการแห่งปราชญ์ วีซา โนเอล เดอะ ปริ๊นซ์เซส ออฟ สโนว์แลนด์ เอ่ยออกมาเป็นคนแรกอย่างประหลาดใจแต่ก็แฝงไว้ด้วยความรู้สึกชื่นชมอยู่ไม่น้อย
"ไม่ฝักใฝ่ในอำนาจ กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว รักแผ่นดินเหนือสิ่งอื่นใด" ตามมาด้วยเสียงของผู้นำแห่งแผ่นดินประชาชนนามว่า โรม โอเดซซี่ เดอะ ปริ๊นซ์ ออฟ โรมัน ที่อยู่ถัดไป และอดไม่ได้ที่จะหันไปหาผู้ที่โชคดีที่สุดของวันนี้
"ท่านนี่โชคดีจริงๆ นะ เจ้าชายโรเวน"
‘คงจะจริงดังท่านว่า เจ้าชายโรม’ ความคิดของ โรเวน ฮาเวิร์ด เดอะ ปริ๊นซ์ ออฟ เจมิไน ผู้เป็นตัวแทนของหัวหน้าป้อมอัศวินที่ตอนนี้ติดภารกิจอยู่ที่ต่างเมือง ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นเสนาธิการฝ่ายซ้ายแห่งป้อมอัศวินอีกทั้งยังเป็นตัวเต็งหัวหน้าป้อมคนต่อไป
ผู้ที่ถูกเอ่ยชมทำเพียงแย้มรอยยิ้มสุภาพตามแบบฉบับตอบกลับไปเป็นเชิงขอบคุณ แต่ใครเล่าจะสังเกตเห็นดวงตาสีไพรินพราวระยับที่ถูกเก็บซ่อนไว้โดยผู้เป็นเจ้าของอย่างมิดชิด
"ท่านจะไม่พูดอะไรหน่อยหรือ ท่านอาเธอร์" เจ้าหญิงแห่งดินแดนหิมะถามชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมและดวงตาคมประดุจเหยี่ยวสีรัตติกาล อาเธอร์ เลโอนาท บริสตั้น เดอะ ปริ๊นซ์ ออฟ ซาเรส ที่ยังคงยืนนิ่งเงียบอย่างผิดวิสัย ทั้งๆที่ปกติน่าจะเป็นคนแรกที่ต้องเอ่ยวาจาเสียดสีผู้เป็นคู่ปรับตลอดกาลก่อนใครแท้ๆ
“ข้าเองก็คิดว่าเจ้าชายโรเวนนั้นโชคดีอย่างที่ท่านโรมว่าจึงไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องพูดซ้ำ”
“น่าแปลกใจยิ่งนักที่ท่านอาเธอร์แห่งปราสาทขุนนางมีความคิดเหมือนกับข้าผู้นี้” เจ้าชายแห่งโรมันเอ่ยกระเซ้าแกมขบขัน ซึ่งก็ได้ความเงียบตอบรับไปตามระเบียบ ในที่แห่งนี้ถ้าหากไม่นับคู่ปรับตลอดกาลอย่างเจ้าชายโรเวน ก็คงจะมีแต่ผู้นำแห่งแผ่นดินประชาชนเท่านั้นที่กล้าจะต่อกรกับเจ้าชายใจสิงห์แห่งซาเรสเช่นนี้
"ฟรานซิส ตื่นได้แล้ว"
เวลาเช้าภายในห้องพักแรมเฟลิโอน่ากำลังใช้ความพยายามอย่างยิ่งในการปลุกเจ้าน้องชายขี้เซาที่ไม่ว่าเธอจะเขย่าตัวหรือเรียกยังไงก็ไม่ยอมลุกขึ้นมาเสียที หนำซ้ำยังมีการพลิกตัวหนีแล้วเอาหมอนมาปิดหน้าปิดตาจนเธอชักจะขี้เกียจที่จะพยายามต่อ ฉับพลันเตียงนุ่มที่บัดนี้มีร่างของเด็กหนุ่มกำลังนอนหลับอย่างอภิรมย์ก็พลันร้อนเป็นไฟขึ้นมา ทำเอาคนขี้เซาถึงกับกระเด้งออกจากเตียงแล้วหล่นลงพื้นดังตุ้บพร้อมกับตาที่สว่างขึ้นมาทันที
“ถ้าตื่นแล้วก็ไปอาบน้ำเลย...แล้วก็ไม่ต้องมาบ่นพี่เลยนะ ถ้าการปลุกเรามันง่ายๆ พี่คงไม่ต้องทำแบบนี้”
ฟรานซิสที่จะร้องว่าผู้เป็นพี่ของเขาทำเกินไปจำต้องเก็บคำพูดลงคอเพราะดันถูกดักทางอย่างรู้ทัน จึงทำได้เพียงเดินเข้าห้องน้ำไปทำธุระส่วนตัวอย่างจำยอม และเมื่อพร้อมกันแล้วจึงลงไปยังชั้นล่างของโรงแรมที่จะมีจัดมื้ออาหารเช้าสำหรับผู้เข้าพัก เสร็จแล้วก็พากันออกไปยังตลาดเอดินเบิร์ก
"ของที่ต้องเตรียมมีอะไรบ้างนะครับ"
ฟรานซิสถามขึ้นระหว่างที่ทั้งสองกำลังเดินเกือบจะถึงย่านใจกลางตลาดเอดินเบิร์ก เฟลิโอน่าจึงหยิบใบรายการขึ้นมาทวนรายการของที่ต้องใช้ในการเรียนที่โรงเรียนพระราชาจากกระเป๋าเสื้อ
"ก็มีเครื่องแบบ หนังสือเรียน พาหนะ กระเป๋าเงิน คทา และดาบ แต่คทากับดาบพี่มีแล้ว ส่วนพาหนะคงจะใช้เป็นสัตว์เวทย์ได้ล่ะมั้ง" เฟลิโอน่าตอบหลังจากไล่ดูรายการในใบรายการสิ่งที่ต้องเตรียม
"งั้นไปซื้อเครื่องแบบก่อนแล้วกันครับ ร้านอยู่ตรงนั้นเอง" ฟรานซิสแนะ
“อืม เอางั้นก็ได้”
ภายในร้านที่ติดป้ายขนาดใหญ่ไว้เหนือบานประตูว่า ‘ร้านขายชุดทางการและเครื่องแบบพระราชา’ นั้นถือเป็นร้านที่มีขนาดใหญ่พอสมควร ด้านในนั้นเต็มไปด้วยหุ่นโชว์ในชุดหรูหรามากมาย ตั้งแต่ชุดราตรี ชุดสูตร หลากหลายแบบตลอดจนเครื่องแบบของโรงเรียนพระราชา และเนื่องด้วยตอนนี้ยังเป็นเวลาที่ค่อนข้างเช้าภายในร้านจึงมีแค่พนักงานประจำร้านเพียงสองถึงสามคนเท่านั้น
“ยินดีต้อนรับค่ะ ไม่ทราบว่าต้องการอะไรหรือคะ” พนักงานต้อนรับสาวเดินมาต้อนรับลูกค้ากลุ่มแรกของวันด้วยรอยยิ้ม
“ฉันมาซื้อเครื่องแบบของโรงเรียนพระราชาน่ะค่ะ”
เฟลิโอน่าที่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มเช่นกันทำให้พนักงานสาวอดที่จะรู้สึกชื่นชมปนอิจฉาในความสวยของเด็กสาวผู้เป็นลูกค้าคนนี้ไม่ได้ และอดคิดไม่ได้ว่าเด็กหนุ่มใบหน้าคมคายที่มาด้วยกันนั้นจะต้องมีความสัมพันธ์เกินเพื่อนธรรมดาๆเป็นแน่ เพราะมือของทั้งสองที่กุมกันอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เข้ามาในร้าน
“ต้องการสั่งตัดใหม่หรือต้องการที่ทางร้านมีอยู่แล้วคะ”
“เอาที่มีอยู่แล้วก็ได้ค่ะ”
“แล้วคุณล่ะคะ” พนักงานสาวหันไปถามเด็กหนุ่มผมดำที่กำลังมองไปรอบๆของร้านทำให้เขาต้องเบือนหน้ามากลับมาและสบตากับพนักงานสาวที่ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อเล็กน้อย
“ของผมไม่ต้องหรอกครับ ผมยังอายุไม่ถึงยังเข้าเรียนที่นั่นไม่ได้หรอกครับ”
คำตอบของฟรานซิสสร้างความแปลกใจแก่พนักงานสาวแต่เธอก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากนัก
“งั้นคุณมาลองขนาดเสื้อก่อนแล้วกันนะคะ ส่วนทางด้านนั้นจะมีที่นั่งอยู่จะไปนั่งรอก่อนก็ได้นะคะ” พนักงานพูดพลางผายมือไปทางชุดโซฟาที่มุมหนึ่งของร้าน
“ไปนั่งรอพี่ก่อนแล้วกันเดี๋ยวพี่ไปลองเสื้อก่อน”
“ครับผม เชิญคุณผู้หญิงตามสบายเถิดครับ” ฟรานซิสที่มิวายต้องแหย่ผู้เป็นพี่ทำท่าผายมือพร้อมกับค้อมตัวจนเกินพอดีจนเฟลิโอน่าได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอาปนขำก่อนจะเดินไปยังห้องลองชุดของร้าน ใช้เวลาไม่นานนักก็ได้ชุดตามขนาดตัวที่ต้องการแล้วจึงชำระเงินก่อนจะเดินออกมาพร้อมกับถุงสองใบในมือของเด็กหนุ่มที่อาสาถือให้
สองทายาทแห่งเดมอสพากันเดินเข้าร้านนู้นออกร้านนี้จึงได้ของครบตามรายการซึ่งก็เยอะพอสมควรจึงตกลงกันว่าจะเอาของไปเก็บที่ห้องพักเสียก่อนแล้วจึงค่อยออกมาหามื้อเที่ยงรับประทานด้วยกัน
“เชิญเข้ามาดูก่อนได้ครับ คทาเล่มนี้ทางร้านของเราภูมิใจนำเสนอ คทา...”
“เร่เข้ามาครับเร่เข้ามา ดาบเพลิงพิฆาตที่แสนจะแข็งแกร่งเล่มนี้นั้น....”
“คุณลูกค้าที่กำลังมองหาสุดยอดอาวุธขอเชิญเข้ามาภายในร้านของเราก่อนได้เลยนะคะ...”
เสียงเซ็งแซ่ของบรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่พยายามโฆษณาสินค้าแข่งกันอย่างสุดฤทธิ์ภายในตรอกที่เต็มไปด้วยร้านขายศาตราวุธมากมายขับให้บรรยากาศดูคึกคักขึ้นมาถนัดตา ผู้คนมากมายกำลังเดินหาสินค้าที่ถูกตาต้องใจอยู่ในตรอกที่ถือว่ากว้างพอสมควรจึงทำให้ดูไม่แออัดมากนัก
“พี่ว่าไปเดินที่อื่นดีกว่าไหม” เฟลิโอน่าพูดขึ้น
"เดินที่นี่แหละครับ ผมอยากดูคทา....นะครับท่านพี่"
เฟลิโอน่าที่แสดงอาการไม่เห็นด้วยในตอนแรกสุดท้ายเมื่อเจอลูกอ้อนของผู้เป็นน้องชายเข้าไปก็ต้องยอมอ่อนลงให้ แต่ก็อดที่จะติงขึ้นมาไม่ได้
"แต่เราก็มีเยอะแล้วไม่ใช่รึไง"
"โธ่ ท่านพี่ ผมก็แค่อยากไปดูนิดหน่อยเองครับ" ก็หมายถึงจะไปดูจริงๆ นี่แหละ แต่ถ้าเจออันที่ถูกใจมันก็อีกเรื่องล่ะนะ...ประโยคถัดมาที่ฟรานซิสแอบพูดอยู่ในใจ
'นิสัยบ้าคทาไม่เคยเปลี่ยนจริงๆ เจ้าน้องคนนี้' ความคคิดของเฟลิโอน่าที่รู้แกวคนเป็นน้องดี แต่สุดท้ายก็เธอก็ต้องตามใจอยู่ร่ำไป
“ผมขอดูร้านนี้หน่อยนะครับ” ฟรานซิสที่เดินมองซ้ายมองขวาไปตามตรอกที่เต็มไปด้วยร้านค้าศาตรวุธหลากหลายชนิดจู่ๆ ก็หยุดลงตรงหน้าร้านค้าขนาดกลางที่แทบจะไม่มีคนเข้าไปเลยแม้แต่น้อย แต่ไม่รู้เพราะอะไรร้านนี้ถึงได้ดึงดูดให้เขาต้องเข้าไปให้ได้เสียอย่างนั้น
เฟลิโอน่าที่ไม่ทันได้สังเกตเห็นอาการที่แปลกไปของคนเป็นน้องชายได้แต่แปลกใจที่ฟรานซิสอยากเข้าไปในร้านที่ดูไม่ค่อยจะน่าสนใจแห่งนี้แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร จึงเดินตามร่างของเด็กหนุ่มที่ผลักเปิดประตูไม้สภาพกลางเก่ากลางใหม่เดินเข้าไปภายในก่อนแล้ว
“สนใจอะไรงั้นหรือพ่อหนุ่ม” เสียงแหบแห้งแต่มีความน่าเกรงขามอยู่ในตัวดังมาจากชายชราที่ใบหน้าถูกปิดไปกว่าครึ่งด้วยชุดเสื้อคลุมตัวยาวสีตุ่นๆ แต่ยังพอที่จะมองเห็นไรผมยาวสีขาวโพลนของเขาบางส่วนที่หลุดทิ้งตัวลงมานอกเสื้อคลุม
“คทาเล่มนั้น” ดวงตาสีนิลกำลังเพ่งมองไปที่คทาเล่มหนึ่งอย่างไม่ละไปไหน
...ยิ่งข้าใกล้ยิ่งรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดเข้าไปอีก
“หืม คทาเล่มนั้นไม่ขาย...”
“เท่าไหร่ผมก็จ่ายได้ตรับ”
พ่อค้าชราที่พูดยังไม่ทันจบก็ถูกขัดขึ้นมาเสียก่อน แต่เมื่อฟรานซิสเห็นว่าเขาส่ายหน้าให้เป็นคำตอบใบหน้าหล่อเหลาก็หงอลงอย่างเห็นได้ชัด
“งั้นก็ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณครับ”
“ฉันยังพูดไม่ทันจบเลยนะพ่อหนุ่ม”
คำพูดถัดมาของชายชราทำให้ฟรานซิสที่กลับหลังหันเตรียมจะยกมือขึ้นผลักบานประตูต้องชะงักและหันกลับมาพลางเลิกคิ้วขึ้นนิดอย่างสงสัย ซึ่งราวกับว่าชายชราผู้มีผ้าคลุมปิดลงมาจนเห็นเพียงสันจมูกอยู่รำไรจะมองเห็นการกระทำเชิงถามของเด็กหนุ่ม ริมฝีปากซีดแต่กลับเหยียดตรงจึงเอ่ยต่อทันที
“คทาเล่มนั้นจริงๆ แล้วฉันไม่ขาย แต่ถ้าเป็นพ่อหนุ่มฉันยกให้”
“อะไรนะครับ” ฟรานซิสที่เลิกคิ้วอยู่ก่อนแล้วยิ่งเลิกขึ้นไปอีก
‘ไม่ขายแต่ยกให้เลยเนี่ยนะ แล้วจะไปเอากำไรได้จากไหนล่ะเนี่ย” ฟรานซิสคิดพลางมองดูชายชราที่กำลังจะพูดขึ้นอีก
“เดิมทีคทานี้มันเป็นของลูกชายฉันแต่ตอนนี้เขาไม่อยู่แล้ว และพ่อหนุ่มก็ดูเหมือนเขามาก เพราะฉะนั้นก็รับคทานี้ไปเถอะ”
“ผมว่าไม่ดีกระมังครับ มันเป็นเหมือนของดูต่างหน้าของลูกชายคุณตาไม่ใช่หรือ ผมว่าคุณตาเก็บไว้จะดีกว่านะครับ” ฟรานซิสปฏิเสธแต่ชายชราก็คงท่าจะไม่ยอมง่ายๆเช่นกัน
ชายชราในชุดคลุมส่ายหัว “ให้ฉันเก็บไว้ถ้าฉันตายไปมันก็สูญเปล่าอยู่ดี เธอก็ดูจะชอบมันไม่ใช่หรือ รับมันไปเถิดถือเสียว่ามันจะทำให้ตาแก่อย่างฉันได้มีความุขในช่วงบั้นปลายชีวิต”
คำพูดของชายชราทำให้เด็กหนุ่มต้องคิดหนัก จนสุดท้ายเขาก็เบือนหน้าไปหาผู้เป็นพี่ที่อยู่ข้างๆ กัน ซึ่งคำตอบที่ได้รับกลับมาก็มีเพียงการหยักหน้าเป็นเชิงให้เขาตัดสินใจด้วยตนเอง ดวงตาสีนิลเคลื่อนไปพิศคทาด้ามสวยที่สะท้อนแสงเป็นเงาวิบวับราวกับเชิญชวนให้เขาต้องเอ่ยปากออกไป...
“ถ้าอย่างนั้น ผมจะรับคทาเล่มนั้นไว้ก็ได้ครับ”
ผู้มาเยือนทั้งสองออกไปแล้ว...
เบื้องหลังประตูที่สองพี่น้องรัชทายาทแห่งแดนปีศาจได้เดินผ่านไปแล้วนั้น ชายชราในชุดคลุมยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่อาภรณ์ที่บัดนี้ได้กลายเป็นชุดเสื้อคลุมเนื้อดี บ่งบอกถึงฐานะของผู้สวมใส่ได้ทันทีว่าจะต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ อีกทั้งใบหน้าเหี่ยวย่นเต็มไปด้วยริ้วรอยที่โผล่พ้นอาภรณ์นั้นพลันเปลี่ยนไปเป็นใบหน้าเนียนเรียบ ริมฝีปากปากที่เมื่อครู่ยังแห้งผากและมีสีซีดกลับกลายเป็นเรียวปากคมเฉียบหยักลึกที่กำลังยกยิ้มราวกับผู้เป็นเจ้าของกำลังพอใจในอะไรบางอย่างเป็นอย่างมากก่อนที่เสียงทุ้มห้าวอย่างที่ไม่เหลือเค้าเสียงแหบแห้งของชายชราเมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย
“ในที่สุดก็ได้นายคนใหม่สักทีนะ...ภูตราสูร”
-จบตอนที่ 3-
***************************
คุยกันสักนิด...
ก่อนอื่นเราก็อยากจะขอบคุณนักอ่านที่น่ารักทุกคนที่ยังคงรอและให้กำลังใจเราเสมอมา
คือยอมรับเลยว่าเรามันพวกชอบดองงาน ดองได้ดองดีนี่ก็ดองมันมาเป็นปีแล้ว (555)
ตั้งใจว่ายังไงก็จะแต่งให้จบแน่นอน แต่จะอีกนานแค่ไหนเนี่ยสิประเด็น
ยังไงก็ต้องขอโทษจริงๆ ที่กว่าจะปั้นแต่งมาได้แต่ละตอนมันต้องใช้เวลามหาศาลมากกก
แต่สัญญาว่าจะไม่ทิ้ง มีรีดที่น่ารักขนาดนี้จะทิ้งได้ยังไง เน้ออออ :)
***************************
ตอบคอมเมนท์...
@nydhpk : ใช่ๆ พอดีรู้สึกว่าที่เคยแต่งมันไม่โอเคอะ เลยรีไรท์มันทั้งเรื่อง แต่เนื้อหายังเหมือนเดิมเกือบทั้งหมด ดีใจนะเนี่ยมีคนจำได้ด้วย
ความคิดเห็น