คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2 มุ่งหน้าสู่ดินแดนที่ไม่คุ้นเคย
ตอนที่ 2 : มุ่งหน้าสู่ดินแดนที่ไม่คุ้นเคย
แอ๊ด ฝึบ
ทันทีที่ร่างอรชนก้าวเข้ามาภายในห้องที่มืดสลัวๆ เนื่องจากเวลานี้ก็เป็นช่วงหัวค่ำเข้าไปแล้ว แต่ที่ยังพอมองเห็นได้ก็เพราะมีแสงจากดวงจันทร์กลมโตเต็มดวงที่ทอแสงอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าอันมืดมิด ขาเรียวยาวในชุดกระโปรงสีฟ้าครามลายเรียบๆยาวกรอมเท้าเดินไปยังมุมห้องเพื่อจุดตะเกียงพลางพูดขึ้นลอยๆ เหมือนพูดกับตัวเองมากกว่า
“โตป่านนี้ยังติดนิสัยชอบย่องเบาเข้าห้องคนอื่นอีกรึไง” เสียงหวานว่ากลั้วหัวเราะให้อีกคนที่นั่งอยู่ในมุมมืดยอมปรากฏตัวออกมา พร้อมกันกับเอวบางที่รู้สึกถึงลำแขนซึ่งเริ่มจะมีกล้ามเนื้อหน่อยๆ ตามประสาเด็กหนุ่มกำลังโตที่โอบกอดมาจากทางข้างหลัง
“คนอื่นที่ไหน นี่พี่สาวผมทั้งคนเลยนะครับ”
เด็กชายร่างป้อมในอดีตเมื่อเวลาผ่านไปก็กลับกลายเป็นเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งที่ตอนนี้แทบจะสูงเท่าคนเป็นพี่อยู่แล้ว ใบหน้ากลมน่ารักบัดนี้ก็เปลี่ยนเป็นใบหน้าคมได้รูปที่มีดวงตาเรียวคมสีรัตติกาล จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบาง และเรือนผมสีขนนกกา ที่แทบจะถอกแบบมาจากผู้เป็นพ่อทั้งหมดเว้นเพียงแต่ผมที่ยาวแค่ระต้นคอ แต่ถ้ารอผมยาวกว่านี้แล้วจับถักเปียพันรอบคอเมื่อไหร่ผู้พบเห็นคงตอบได้เพียงแค่ว่านี่ต้องเป็นจ้าวปีศาจที่ใช้เวทย์ย้อนเวลากลับไปตอนยังเยาว์วัยแน่ๆ
“ว่าแต่ท่านพ่อกับท่านแม่เรียกท่านพี่ไปทำไมหรือครับ”
ฟรานซิสถามพลางกระชับอ้อมกอดขึ้นอีกนิดก่อนจะผละออกจากตัวของพี่สาวแล้วเดินนำไปนั่งที่ชุดโซฟาขนาดย่อมที่จัดอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง ก่อนจะทรุดนั่งลงตามด้วยผู้เป็นพี่ที่ตามมาหย่อนกายลงด้านข้าง
“พี่ไม่คิดว่านายจะไม่รู้นะ” เพียงเฟลิโอน่าเอ่ยประโยคหนึ่งออกมาก็ทำเอาเจ้าน้องชายตัวแสบของเธอหัวเราะเสียดังลั่นห้องให้เธอต้องมองอย่างตำหนิแบบไม่ได้จริงจังอะไรนัก และจนเด็กหนุ่มหัวเราะจนพอใจก็ว่าต่อ
“ครับๆ ผมยอมรับก็ได้ครับว่าผมรู้เรื่องที่พี่จะไปเรียนที่โรงเรียนพระราชาอะไรนั่นหมดแล้ว....อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับผมก็แค่อยากรู้เรื่องของพี่สาวสุดที่รักของผมก็เท่านั้นเอง”
แล้วก็เข้าอิหรอบเดิมที่เจ้าน้องชายที่โตแต่ตัวแต่นิสัยและการกระทำไม่เคยโตตามเริ่มเข้าสู่โหมดอ้อนพี่สาว ซึ่งถ้าตอนเด็กๆ เป็นอย่างนี้จะไม่ว่าอะไรเลย แต่กลายเป็นว่าเฟลิโอน่าต้องมาถูกเจ้าน้องชายที่ตัวเกือบจะโตเท่าเธอแต่นิสัยดันเหมือนกับเด็กห้าขวบตามติดแทบทั้งวัน
แต่ยังไงนี่ก็น้องชายของเธอล่ะนะ หนีไปไหนก็คงไม่รอดอยู่ดี...
“รู้แล้วยังไง อยากตามไปด้วยล่ะสิ” คนเป็นพี่ดักคออย่างรู้ทันความคิดน้องชายเป็นอย่างดี ให้เด็กหนุ่มต้องฉีกยิ้มกว้างให้กับผู้เป็นพี่ที่รู้ใจเขาที่สุด...เอ่อ แต่จริงๆ ก็พอๆ กับท่านแม่ล่ะนะ
“ใช่ครับ ให้ผมไปด้วยนะ ผมก็อยากไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาบ้าง นะครับ นะๆๆๆ”
ดวงตาสีรัตติกาลที่กำลังส่องประกายวิบวับและช้อนมองอย่างมีความหลังและขอร้องสุดชีวิตทำเอาเฟลิโอน่าต้องถอนหายใจอย่างระอาเต็มที แต่ยังไงนี่ก็น้องชายเธอทั้งคนล่ะนะ
“ก็ลองไปขออนุญาตท่านพ่อท่านแม่เองแล้วกัน” และสุดท้ายก็เป็นเธอที่ต้องใจอ่อนให้อยู่ร่ำไป
“เรื่องนั้นไม่จำเป็นหรอกครับ เพราะผมบอกท่านพ่อไว้ตั้งแต่เมื่อวันก่อนแล้วว่าถ้าท่านพี่ไปผมก็จะตามไปด้วย ใครจะกล้าปล่อยให้พี่สาวคนสวยของผมต้องไปเผชิญโลกภายนอกคนเดียวกัน”
“แต่จริงๆก็แค่อยากไปเที่ยวเอเดน จะว่าแบบนั้นก็ได้ ใช่รึเปล่าล่ะ”
เพียงเท่านั้นเด็กหนุ่มก็หัวเราะแหะๆ พร้อมกับเกาที่ท้ายทอยแก้เก้ออย่างคนที่ถูกจับไต๋ได้อย่างจัง
“เท่านี้ก็จะได้ไปเอเดนแล้ว...ผมไปแล้วดีกว่าท่านพี่จะได้พักผ่อน ราตรีสวัสดิ์นะครับ ท่านพี่” ว่าจบก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ ผู้เป็นพี่ก่อนจะใช้สันจมูกโด่งๆกดลงไปที่แก้มนิ่มแล้วสูดกลิ่นหอมๆ อย่างที่ชอบทำเป็นประจำเสร็จแล้วจึงผละออกมา
“อืม ราตรีสวัสดิ์ รีบนอนเร็วๆ เข้าล่ะอย่ามัวแต่เล่น” ถ้อยคำกึ่งกระเซ้านั่นขับให้น้องชายผู้รักพี่สาวมุ่ยหน้าไปนิดแล้วขมุบขมิบปากบ่นไปตามประสา
“ฮื่อ...ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะ ดูสิ ตัวเกือบจะเท่าท่านพี่แล้วนะครับ” ไม่ว่าเปล่าฟรานซิสยังยืดตัวตรงพร้อมกับทำมือขนานกับพื้นอยู่เหนือหัวแล้วขยับไปมาระหว่างศีรษะของผู้เป็นพี่กับของตัวเอง เป็นการวัดระดับว่ามันเกือบจะเท่ากันแล้วจริงๆ ให้เฟลิโอน่าต้องยิ้มหน่ายๆ ระคนเอ็นดูการกระทำเด็กๆ ของน้องชาย
“จ้าๆ น้องของพี่โตแล้ว แถมหล่อด้วยแหนะ” เฟลิโอน่าพูดพลางยกมือขึ้นลูบศีรษะน้องชายที่เธอทั้งรักทั้งห่วง ซึ่งท่าทางที่หลับตาพริ้มของฟรานซิสอย่างเพลินเต็มทีก็ทำให้มือนุ่มๆ เปลี่ยนจากลูบเบาๆ เป็นโยกแรงๆ สักสองสามทีอย่างมันเขี้ยว แต่คนถูกกระทำก็เพียงยิ้มแฉ่งตอบกลับมาพร้อมกับลุกขึ้นเต็มความสูงก่อนจะเอ่ยลาเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเดินออกจากห้องไป
ยามเช้าภายในห้องอาหารที่ถูกตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามแต่ทว่ามีมนต์ขลังอยู่ในตัวด้วยผนังที่มีอาวุธนานาชนิดประดับตกแต่งอยู่ ถัดมาก็เป็นโต๊ะไม้สีน้ำตาลเข้มเนื้อดีเงาวับพร้อมกับเก้าอี้ที่เข้าชุดกันจัดวางอยู่รอบโต๊ะตัวใหญ่อย่างเป็นระเบียบ ที่ตอนนี้ตรงฝั่งหนึ่งของโต๊ะนั้นถูกจับจองด้วยบุคคลสำคัญทั้งสี่ของดินแดนแห่งปีศาจที่กำลังร่วมรับประทานอาหารมื้อเช้าด้วยกันและเมื่อหมดเวลาของคาวของหวานและผลไม้ก็เริ่มถูกยกมาเสิร์ฟ ซึ่งตอนนี้จะเป็นช่วงที่จะสามารถคุยกันสบายๆ ตามประสาครอบครับบนโต๊ะอาหาร ว่าแล้วคนที่อายุน้อยที่สุดก็เริ่มเปิดบทสนทนาขึ้นเป็นคนแรก
“ท่านพ่อครับ ผมจะได้ไปเอเดนเมื่อไหร่หรือครับ” เจ้าชายแห่งเดมอสถามอย่างกระตือรือร้นอยากที่จะไปเยือนยังดินแดนที่เคยได้ยินแต่ชื่อเสียที
“พูดอย่างกับจะไปอยู่เองงั้นแหละ ไหนบอกว่าแค่จะไปส่งท่านพี่ไม่ใช่หรือไง” อลิเซียพูดขัดขึ้นให้ลูกชายคนเล็กได้แต่ส่งยิ้มแก้เก้อไปให้
“โธ่ มันก็เหมือนกันนั่นแหละครับท่านแม่...แล้วตกลงผมกับท่านพี่จะได้ไปเมื่อไหร่ครับ ท่านพ่อ” ฟรานซิสพูดกับผู้เป็นแม่ก่อนจะหันกลับไปถามอย่างคาดคั้นคำตอบจากผู้เป็นพ่ออีกครั้ง
“ดูเหมือนเจ้าจะตื่นเต้นยิ่งกว่าพี่ของเจ้าอีกนะ” ราชาเอวิเดสเอ่ยกลั้วหัวเราะแล้วว่าต่อ “เห็นว่าโรงเรียนพระราชาจะเปิดรับสมัครนักเรียนใหม่ช่วงต้นเดือนหน้า พวกเจ้าก็ไปก่อนสักสัปดาห์หนึ่งก็ได้ จะได้มีเวลาปรับตัวให้ชินกับที่นั่น”
“งั้นลูกก็จะอยู่ที่นี่ได้อีกแค่สองสัปดาห์สินะเพคะ” แม้เด็กสาวจะพูดด้วยสีหน้าเปื้อนรอยยิ้ม แต่คนที่เลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่เกิดย่อมรู้ดีว่าภายใต้รอยยิ้มนั้นมันแฝงแววเศร้าและความกังวลใจเอาไว้อยู่ไม่น้อย
“ลูกรัก ลูกไม่ได้จะไปอยู่ที่นั่นลูกแค่ไปเรียนเท่านั้นนะจ๊ะ และลูกสามารถที่จะส่งจดหมายมาหากับพ่อและแม่ได้ทุกวัน แล้วพอปิดภาคเรียนลูกก็กลับมาที่บ้านของเรา แม่เชื่อว่าลูกของแม่ต้องทำได้”
ผู้เป็นแม่ที่ย่อมรักลูกเหนือสิ่งอื่นใดเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความเชื่อมั่นในตัวของคนเป็นลูก ไม่มีแม่คนไหนที่อยากห่างจากลูกหรอก แต่มันถึงเวลาแล้วที่ลูกของเธอควรได้ออกไปเผชิญกับโลกภายนอกอย่างเด็กคนอื่นๆ บ้างเหมือนกัน
“ขอบพระทัยเพคะ ท่านแม่” ถ้อยคำปลอบปะโลมจากผู้เป็นแม่ยังคงทำให้เธออุ่นใจได้เสมอ
“พ่อก็เชื่ออย่างนั้น ลูกพ่อทำได้อยู่แล้ว หัดเอาอย่างเจ้าฟรานซิสซะบ้างสิ รายนั้นถ้าทำได้คงอยากไปแทนลูกซะเองนั่นล่ะ” เอวิเดสว่าจบก็ชวนให้คนอื่นพากันหัวเราะอย่างขำขันไม่เว้นแม้แต่คนที่ถูกพาดพิงยังตบปากรับมุกกลั้วหัวเราะกลับไป
“ถ้าได้จริงๆก็ดีสิครับ”
บรรยากาศในเวลาของมื้อเช้าของครอบครัวเกรเดเวลยังคงกำเนินต่อไปอย่างที่เต็มไปด้วยความสุข
ร้อยยิ้มและเสียงหัวเราะยังคงดังออกมาให้เหล่าข้าราชบริพารที่เดินผ่านไปมาต่างพากันยิ้มตาม
...ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งพระราชวังหลวงแห่งเดมอส...
เวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ...
นั่นเป็นคำกล่าวที่ใครหลายๆคนต้องเคยได้ยินมาก่อน แต่เพิ่งจะมีวันนี้ที่รู้สึกว่าคำกล่าวนี้มันจริงเสียยิ่งกว่าจริง ตลอดช่วงเวลาสองอาทิตย์ที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับโกหกนั้นมันเป็นเวลาที่แสนมีค่ายิ่งนัก
ข่าวการไปศึกษาต่อยังเอเดนของเจ้าหญิงแห่งเดมอสนั้นแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วทำให้เวลาสายของกำหนดวันออกเดินทางที่เมืองหลวงของเดมอสนั้นเต็มไปด้วยประชาชนจากทั่วทุกสารทิศที่แห่แหนกันมาส่งเจ้าหญิงของพวกเขากันอย่างพร้อมเพรียง
“ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ เฟลิโอน่า” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอาทรของราชาแห่งปีศาจ ถึงแม้เขาจะอยากให้เฟลิโอน่าได้มีโอกาสที่จะไปเผชิญกับโลกอีกฟากนั่น แต่เอาเข้าจริงๆเขาก็ไม่อยากห่างจากลูกสาวสุดที่รักคนนี้เลย
อาการของผู้เป็นพ่อที่มันแสดงออกอย่างชัดเจนจนพระธิดาต้องทำการปลอบเป็นการด่วน
"ไม่เอาน่าเพคะ ถ้าปิดภาคเรียนเมื่อไหร่ลูกจะรีบกลับมาเลยเพคะ ท่านพ่อ" เฟลิโอน่าเอ่ยพลางขยับตัวเข้าไปสวมกอดผู้เป็นพ่อแน่นๆ เป็นการยืนยันคำพูดของเธอ ซึ่งจ้าวเอวิเดสเองก็กอดตอบกลับมาพลางลูบไปที่เรือนผมสีน้ำตาลไหม้ยาวสลวยอย่างอ่อนโยน
"ขอให้เดินทางปลอดภัย"
ร่างบางผละจากอ้อมกอดเล็กน้อย ก่อนจะย่อกายทำความเคารพอย่างงดงาม
"ขอบพระทัยเพคะท่านพ่อ"
เฟลิโอน่าเคลื่อนตัวไปอยู่ตรงหน้าหญิงสาวที่เธอรักที่สุด ก่อนจะสวมกอดผู้เป็นแม่และซบลงที่ไหล่บางอย่างที่เธอชอบทำ
"ลูกลาเพคะท่านแม่"
"ขอให้ลูกมีความสุข และได้เจอเพื่อนที่ดีนะจ๊ะ ลูกรัก" เฟลิโอน่าคลายอ้อมกอดออกเล็กน้อยเพื่อจะได้มองสบกับดวงตาที่ฉายแววรักใคร่และมีความปรารถนาดีอย่างเต็มเปี่ยม เรียวปากสวยเคลื่อนไปจรดอยู่ที่กลางหน้าผากลาดมนของเด็กสาวอย่างอ่อนโยน
"เพคะ"
“ท่านพ่อ ท่นแม่ ไม่ต้องเป็นห่วงครับ เดี๋ยวผมจะดูแลท่านพี่ให้เอง รับรองยุงไม่ให่ไต่ไรไม่ให้ตอมเลยครับ สบายใจได้” เสียงทะเล้นที่ดังมาจากเด็กหนุ่มด้านหลังขับให้บรรยากาศรอบๆดูผ่อนคลายขึ้นมาได้บ้าง
“ขอบใจจ้ะ” อลิเซียเอ่ยพลางแย้มรอยยิ้มสวย ข้างๆ กันนั้นก็เป็นจ้าวเอวิเดสที่หยักหน้าพลางส่งสายตาเป็นเชิงฝากฝังมายังลูกชายคนเล็กซึ่งก็ค้อมหัวเล็กน้อยกลับไปให้สามารถอุ่นใจได้
"ไปครับท่านพี่" ฟรานซิสพูดขึ้น ซึ่งเฟลิโอน่าเพียงพยักหน้ารับก่อนจะเดินไปยังมังกรรูปร่างปราดเปรียวที่มีเกล็ดเป็นสีดำสนิทที่เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็จะกลายเป็นเงาสวย แต่ถ้าหากเป็นยามราตรีแล้วก็คงจะไม่มีใครสามารถสังเกตเห็นมันได้เลยเพราะเกล็ดสีนิลของมันจะกลืนหายไปกับยามรัตติกาลอันมืดมิด สมกับชื่อของมัน...มังกรราตรี
มือเรียวบางยื่นไปแตะที่ปลายจมูกของสัตว์เลี้ยงที่เปรียบเสมือนเพื่อนตัวหนึ่งของเธอก่อนจะลูบเบาๆอย่างที่เธอมักจะทำก่อนจะขึ้นขี่บนหลังของมันเป็นเชิงขออนุญาต ซึ่งเจ้ามังกรหนุ่มก็หลับตาพริ้มและเชิดจมูกดุนดันมือของเธออย่างหยอกล้อกลับคืนมา เรียวขาก้าวไปยังปีกหนาที่แผ่ลงบนพื้นให้เธอได้เหยียบลงไปและใช้เป็นบันไดให้เธอขึ้นไปนั่งอยู่บนอานตรงบริเวณหลังคอของมัน
"ไป ไนท์"
เพียงเสียงหวานเอ่ยขึ้นพร้อมกับตบเบาๆ ลงไปที่ลำตัวของมัน เจ้ามังกรที่นอนหมอบอยู่นานก็ลุกขึ้นตนเต็มความสูงพร้อมทั้งสยายปีกสีดำเงาของมันออกจนสุด และเพียงแค่ปีกนั่นสะบัดเพียงครั้งเดียวก็เกิดเป็นลมหอบใหญ่ระรอกหนึ่งพร้อมทั้งลำตัวปราดเปรียวที่ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า
และที่ตามมาติดๆคือมังกรตัวใหญ่ที่ดูทรงพลังนามว่า เรด มังกรเพลิงที่ทั้งตัวเป็นสีน้ำตาลอมแดง มีหนามแหลมเป็นแนวตลอดช่วงตัว มังกรที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่หูที่แสนจะรู้ใจของเจ้าชายแห่งเดมอสผู้เป็นเจ้าของ เพราะเห็นว่าดันบังเอิญไปเจอมันตั้งแต่ตอนเป็นลูกมังกรตัวน้อยๆซึ่งกำลังบาดเจ็บจึงเก็บมารักษาและเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ซึ่งมันก็เชื่องอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นมังกรเพลิงที่แสนดุดันเลยจริงๆ
มังกรอันเป็นสัญลักษณ์ของเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเดมอสที่กำลังบินอยู่ในท้องนภานั้นขับให้ประชาชนต่างกู่ร้องและเปล่งเสียงแสดงความจงรักภักดีจากใจจริง
เวลาร่วงเลยไปหลายชั่วโมง ดวงอาทิตย์ยิ่งเคลื่อนที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่ติดว่ากำลังสวมใส่ชุดที่รัดกุมพอผิวคงได้ไหม้และแสบร้อนไปทั้งตัว
ที่เอเดนนี่แดดแรงกว่าเดมอสอีกกระมัง...
ความคิดของเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนอานบนหลังของมังกรเพลิง ก่อนจะส่งเสียงที่ต้องเร่งให้ดังขึ้นกว่าปกติอีกนิดเพื่อสู้กับแรงลมที่ตีปะทะเข้ามาเพราะความเร็วของยานพาหนะที่กำลังโดยสารอยู่
"ท่านพี่ อีกไกลไหมครับ กว่าจะถึงเอดินเบิร์ก" ฟรานซิสถามผู้เป็นพี่สาวที่นั่งอยู่บนหลังมังกรที่บินขนานคู่ไปพร้อมกับมังกรของเขา
"นี่เราก็บินข้ามแม่น้ำเลทิสต์มาแล้ว เอดินเบิร์กก็อยู่ติดกับบารามอสคงอีกไม่เท่าไหร่หรอก" เฟลิโอน่าพูดพลางมองลงไปข้างล่างก็เห็นเป็นจุดเล็กๆ ของอาคารบ้านเรือนที่อยู่กันอย่างกระจัดกระจาย สลับกับพื้นที่การเกษตรที่ปลูกพืชผลต่างๆ เอาไว้รอเก็บเกี่ยว รวมถึงเลี้ยงสัตว์ที่เมื่อโตเต็มที่แล้วก็จะนำไปแปรรูปออกมาเป็นอาหารให้ชาวเมืองได้รับประทาน คาดว่าพื้นที่แถบนี้น่าจะเป็นชานเมืองบารามอส
"ครับ" ฟรานซิสรับคำก่อนจะทอดมองลงไปยังพื้นดินบ้าง
ก็แลดูไม่ค่อยต่างจากที่บ้านเราเท่าไร่...
ฟิ้ว ฟิ้ว
เสียงมังกรสองตัวที่โฉบลงมาจะฟากฟ้าทำเอาผู้คนที่พบเห็นต่างฮือฮากันใหญ่ นั่นไม่ใช่เพราะพวกเขาเห็นมังกรแล้วทำให้เกิดอาการตื่นเต้นขึ้นมา เพราะเมืองนี้ที่ถือได้ว่าเป็นเมืองที่มีความเจริญและมีเศรษฐกิจที่ดีอยู่พอตัวจึงไม่แปลกถ้าจะมีผู้คนสัญจรไปมาอยู่บ่อยครั้งและแน่นอนมังกรก็สามารถพบเห็นได้อยู่บ่อยๆ เช่นกัน แต่ทว่ามังกรสีคำรูปร่างปราดเปรียวกับมังกรสีน้ำตาลอมแดงตัวใหญ่นั่นมันออกจะแปลกตาไปหน่อย
และยามเมื่อฝ่าเท้าของเจ้ามังกรทั้งสองได้สัมผัสกับพื้นดินมันก็ย่อตัวลงอย่างเชื่องช้าเพื่อให้ไม่กระเทือนไปถึงนายที่อยู่บนหลังของพวกมันเป็นอากัปกิริยาที่ต่างจากมังกรทั่วไปโดยสิ้นเชิง ขับให้ผู้พบเห็นต่างรู้สึกชื่นชมเจ้านายของพวกมันยิ่งนักที่สามารถฝึกให้มังกรที่แสนดุร้ายและเย่อหยิ่งกลายเป็นสัตว์เลี้ยงที่เชื่องขนาดนี้
"เฮ้อ ถึงสักที เมื่อยเป็นบ้าเลย"
เสียงหนึ่งดังขึ้นก่อนที่เจ้าของเสียงจะกระโดดลงมาจากหลังมังกรสีน้ำตาลอมแดงก็สามารถเรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากสาวน้อยสาวใหญ่ในละแวกนั้นได้ในทันทีแต่เจ้าตัวก็หาได้สนใจไม่ เพราะกำลังเดินไปหยุดอยู่ที่ข้างลำตัวของมังกรราตรีสีดำสนิทก่อนจะส่งมือให้ผู้ร่วมเดินทางอีกคนที่ยังอยู่บนหลังมังกรได้จับเป็นหลักแล้วค่อยๆ ประคองลงมายังพื้นดินซึ่งก็เรียกสายตาของชายหนุ่มแถวนั้นให้หันมาพิศมองกันเป็นตาเดียว
“ขอบใจจ้ะ”
การกระทำที่แสดงออกชัดเจนถึงความรักใคร่ระหว่างพี่น้องร่วมสายเลือดนั้นมักจะทำให้คนอื่นๆ ต่างเข้าใจผิดกันไปอย่างใหญ่หลวง จนคู่พี่น้องที่เป็นต้นเหตุก็ยังป่วยการจะชี้แจงจนได้แต่ปล่อยให้ผู้คนที่ไม่รู้จักพวกเขาเข้าใจผิดกันต่อไป
"ผมว่าเราไปหาอะไรกินแล้วค่อยไปหาที่พักดีไหมครับ เพราะนี่ก็จะเที่ยงแล้ว" ฟรานซิสเสนอความคิดเห็นเพราะตอนนี้กระเพาะของเขามันเริ่มจะเรียกร้องขออาหารให้มันได้ทำการย่อยเป็นการด่วนมิฉะนั้นจะเป็นกระเพราะของเขาเองนี่แหละที่จะถูกย่อย
ท่าทางที่เด็กหนุ่มยังคงไม่ละมือออกจากเอวบางของคนข้างๆ และบทสนทนาที่แลดูคุยกันอย่างสนิทสนมและมักเจือด้วยรอยยิ้มของทั้งสองฝ่ายนั้นมันชวนให้เข้าใจผิดและน่าอิจฉาไปพร้อมๆ กันเสียนี่กระไร
"อืม เอาอย่างนั้นก็ได้"
สิ้นเสียงมือเรียวบางก็ยกขึ้นก่อนจะดีดนิ้วโป้งเข้ากับนิ้วชี้จนเกิดเสียงขึ้นเล็กน้อย ร่างใหญ่ของมังกรที่อยู่เบื้องหลังก็ต่างอันตรธานหายไปในพริบตา ทำเอาผู้คนแถวนั้นต่างเบิกตากว้างที่เด็กสาวท่าทางบอบบางน่าถนุถนอมนั้นสามารถใช้เวทย์มนต์ได้โดยไม่ต้องท่องคาถาหรือใช้คทาเลยแม้แต่น้อย แล้วสองพี่น้องตระกูลเกรเดเวลก็พาเดินจากไป
จากย่านแถบใกล้ๆ ตัวเมืองเอดินเบิร์กที่เฟลิโอน่าและฟรานซิสตัดสินใจให้มังกรคู่ใจบินลงแถวนั้นเพราะถ้าหากเข้าใกล้ตัวเมืองบ้านเรือนก็จะยิ่งหนาตาขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นย่านชานเมืองจึงเป็นทางเลือกที่ดีและประหยัดแรงที่สุด ใช้เวลาเดินเท้าสักพักก็เข้าใกล้ตัวเมืองเข้าไปทุกที ผู้คนมากมายที่ล้วนแต่เป็นมนุษย์นั้นทำให้รู้สึกไม่คุ้นชินสักเท่าไหร่แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นปัญหาที่ใหญ่นัก และถ้าหากเพ่งมองไปสุดสายตาก็แลเห็นยอดคล้ายยอดปราสาทหินที่ตั้งโผล่พ้นกำแพงสูงดูโดดเด่นเป็นสง่าก็รู้ได้ในทันทีว่านั่นคือโรงเรียนพระราชาแห่งเอดินเบิร์ก
เมื่อเจอร้านอาหารที่เข้าตาทั้งสองจึงเดินเข้าไปแล้วก็กลายเป็นจุดสนใจของคนทั้งร้านแทบจะทันที ร้านอาหารขนาดย่อมที่ตกแต่งเรียบๆ เน้นพื้นที่ใช้สอยเป็นหลัก หน้าต่างรอบด้านที่เปิดออกทำให้อากาศภายในร้านถ่ายเทสะดวก โต๊ะด้านหน้าที่สามารถมองทะลุกระจกใสเห็นเป็นผู้คนมากมายที่เดินผ่านไปมาบ้างประปราย และอีกด้านที่จะสามารถมองเห็นทุ่งหญ้าเนินเล็กๆ ที่อยู่ติดกับหลังร้าน ซึ่งเฟลิโอน่าก็เลือกที่จะเดินนำไปนั่งที่โต๊ะตรงมุมหนึ่งที่ค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวเพราะถูกกระถางต้นไม้ใหญ่ที่ทางร้านวางไว้เพื่อตกแต่งบังจนเกือบมิด หลังจากพนักงานบริการสาวประจำร้านมารับคำสั่งเมนูอาหารได้ไม่นานก็นำอาหารร้อนๆ หอมกรุ่นมาเสิร์ฟให้ถึงที่
“ฟรานซิส กินช้าๆ หน่อยไม่มีใครมาแย่งหรอกน่า” ผู้เป็นพี่ปรามน้องชายที่พอท่านแม่ไม่อยู่ก็เผยธาตุแท้ออกมาอย่างไม่เกรงใจใครเลยสักนิด
“โธ่ ท่านพี่ ก็ผมหิวนี่ครับ”
แม้จะดูเหมือนไม่ค่อยอยากทำตามเท่าไหร่แต่สุดก็ยอมลดความเร็วในการรับประทานมื้อเที่ยงลงมานิดหนึ่งให้ผู้เป็นพี่ส่ายหน้าอย่างระอาเจ้าน้องชายที่พอผ่านไปสักพักก็กลับมากินเร็วเหมือนเดิม
เมื่อรับประทานอาหารมื้อเที่ยงกันเสร็จเรียบร้อยจึงเรียกพนักงานบริการให้มาคิดค่าอาหารทั้งหมดก็ไม่ลืมที่จะถามถึงโรงแรมที่พักแถวๆ นั้นก็ได้รับคำแนะนำมาว่าเพียงเดินถัดจากร้านไปเพียงประมาณสามตรอกก็จะเป็นย่านที่มีที่พักสำหรับค้างแรมอยู่เยอะพอสมควร ก่อนจะคุยสัพเพเหระกันต่ออีกสักพักพนักงานสาวจึงได้รู้ว่าเด็กหนุ่มและเด็กสาวสองคนนี้แท้จริงแล้วเป็นพี่น้องกันให้เธออดแปลกใจเล็กน้อยไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมเพราะนั่นจะเป็นการเสียมารยาทกับลูกค้าจนเกินไป จึงยิ้มให้ลูกค้าทั้งสองแล้วกล่าวขอบคุณและไม่ลืมเชิญชวนให้มาอุดหนุนใหม่
พี่น้องเกรเดเวลเดินไปตามทางที่พนักงานของร้านอาหารเมื่อครู่ได้บอกเอาไว้แล้วก็พบโรงแรมมากมายตามที่บอกซึ่งมีตั้งแต่โรงแรมเกรดเอที่ค่าที่พักต่อคืนสูงลิ่วไปจนถึงห้องพักแคบๆ สภาพซอมซ่ออย่างที่กะว่าคงอาศัยให้นอนให้อย่างเดียว ซึ่งทั้งสองก็เลือกที่จะพักโรงแรมสภาพดีแห่งหนึ่งที่บริเวณด้านล่างมีห้องอาหารที่สามารถลงมาสั่งอาหารกินได้ถ้าหากขี้เกียจออกไปข้างนอก และเพียงเสียงกระดิ่งที่ติดไว้เหนือประตูดังขึ้นก็เรียกความสนใจจากคนที่นั่งอยู่ด้านในได้อย่างไม่ต้องสงสัยเพราะเป็นธรรมดาที่จะต้องหันไปมองตามเสียงที่ได้ยินแต่ถ้าเป็นอย่างปกติก็คงจะละสายตากลับมาเหมือนเดิม แต่คราวนี้ไม่ใช่เพราะทุกคนไม่อาจละสายตาจากผู้มาใหม่ทั้งสองได้เลย
ท่าทางการเยื้องย่างที่ดูเป็นธรรมชาติเหมือนคนทั่วไปแต่มันมีอะไรบางอย่างที่ทำให้คนมองรู้สึกชื่นชมและน่ายำเกรงไปพร้อมๆ กัน เพราะมันแลดูมีอำนาจและมนต์ขลังอย่างประหลาดราวกับจะสะกดทุกสายตาให้นิ่งค้างไป
"พี่ชาย ที่นี่มีห้องเหลือรึเปล่าครับ" เสียงทะเล้นที่เอ่ยขึ้นทำให้ผู้คนต่างหลุดจากสิ่งที่ราวกับมนต์สะกด แล้วหันไปทางที่ละสายตาจากมาก่อนหน้านี้
"ครับ มีเหลืออยู่สองห้องพอดี" ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของโรงแรมที่ประจำอยู่ตรงที่สำหรับติดต่อขอเข้าพักพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มสบายเป็นมิตรกับลูกค้าทุกคน
"ไม่เป็นไรครับ ห้องเดียวก็พอ"
“มันจะดีเหรอน้องชาย” คิ้วสีเทาเข้มของชายหนุ่มเลิกขึ้นเล็กน้อย
เด็กสมัยนี้มันแก่แดดแก่ลมกันจริงๆ เลยสิ...
“ดีสิครับ...พวกเรานอนด้วยกันออกบ่อย เนอะ”
“ต้องขอโทษด้วยนะคะ นี่น้องชายของฉันเองอย่าไปถือสาเลยคะ” เฟลิโอน่าที่เห็นว่าน้องชายตัวแสบของเธอยังเล่นลิ้นไม่เลิกจึงต้องพูดแทนให้ผู้ดูแลเข้าใจและส่งกุญแจให้เพราะเธออยากขึ้นไปพักเต็มทีแล้ว
“ขอบคุณครับ...นี่ครับกุญแจห้อง อยู่ชั้นสาม เดินไปทางนั้นตรงซ้ายมือจะมีลิฟต์อยู่”
ทันทีที่จ่ายเงินค่ามัดจำและลงชื่อผู้เข้าพัก ที่ดูเหมือนผู้ดูแลของโรงแรมจะไม่ได้ใส่ใจกับชื่อหรือแม้กระทั่งนามสกุลของผู้มาใหม่ทั้งสองนี่เลย ก็เปิดลิ้นชักแล้วส่งกุญแจห้องให้เด็กสาวเบื้องหน้า เฟลิโอน่าพึมพำขอบคุณเล็กน้อยก่อนจะเดินนำฟรานซิสไปตามทางที่ผู้ดูแลบอกเมื่อครู่เพื่อใช้บริการลิฟต์ที่รออยู่ที่ชั้นหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว เมื่อไปถึงห้องพักที่ถือว่าขนาดกว้างพอสำหรับอยู่กันสองคนได้อย่างพอดีๆ พร้อมทั้งมีห้องน้ำในตัวและมุมน้ำชาที่สามารถชงชาสำหรับจิบดับกระหายได้ทุกเมื่อ
ฟรานซิสเรียกสัมภาระที่ใช้เวทมนต์สำหรับเก็บสิ่งของอย่างเดียวกับที่เฟลิโอน่าใช้กับมังกรของพวกเขา ขนาดและน้ำหนักของสิ่งของนั้นจะเป็นตัวแปรที่ทำให้ต้องใช้พลังเวทย์มนต์มากตามไปด้วย แต่มันก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับพวกเขาสักเท่าไหร่ ดูอย่างท่านพี่ที่ต้องเก็บมังกรสองใหญ่ๆ ไว้กับตัวยังดูสบายๆ ไม่ลำบากอะไรเลย แล้วจะนับประสาอะไรกับสัมภาระที่มันดูเยอะกว่าของคนปกติอยู่ค่อนข้างมากนี่กัน
“พี่ขออาบน้ำสักหน่อยนะ” เฟลิโอน่าพูดพลางหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่และข้าวของที่จำเป็นสำหรับการอาบน้ำ ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป ผ่านไปสักพักเมื่อเสร็จกิจจึงเดินออกมาพร้อมเสื้อผ้าชุดใหม่แล้วผู้เป็นน้องชายที่นั่งจิบชาอุ่นๆ รออยู่จึงเดินเข้าไปอาบน้ำบ้าง
เพราะการเดินทางไกลครั้งแรกที่ทำเอาเหนื่อยล้าพอสมควร เมื่ออาบน้ำจนสบายตัวมันก็เป็นเรื่องง่ายที่พอเอนหลังลงบนฟูกเตียงนุ่มๆเช่นนี้แล้วมันจะทำให้เคลิ้มหลับไปอย่างง่ายดาย
ตกเย็นเมื่อถึงเวลาอาหารกระเพราะที่ราวกับนาฬิกาบอกเวลาของใครบางคนก็ส่งเสียงโอดครวญให้ต้องรีบหาอะไรไปยัดลงท้องเป็นการด่วน สองพี่น้องทายาทจากแดนปีศาจจึงต้องลงมาสั่งอาหารที่ชั้นล่างของที่พักและนั่งรับประทานมื้อเย็นด้วยกันอยู่ภายในห้องอาหาร
“เป็นไง อิ่มรึยัง” เฟลิโอน่าถามทีเล่นทีจริง เป็นเชิงหยอกน้องชายที่พอได้เวลาอาหารเย็นท้องก็ร้องโครกครากออกมาทันที
“ก็อิ่มนะครับ แต่ผมเปรี้ยวปากอยากลองชิมแอปเปิลของเอเดนซะเหลือเกิน” ว่าจบก็ส่งยิ้มกว้างๆ พร้อมกับดวงตาสีนิลที่ทอประกายขอร้องอย่างอออดอ้อนพร้อมสำทับเพิ่มลงไปอีกว่าออกไปเดินข้างนอกจะได้เป็นการย่อยอาหารไปในตัว และที่โรงแรมก็ไม่มีอะไรให้ทำพอกลับขึ้นไปบนห้องก็ได้แต่นั่งเฉยๆ อยู่ดี จนสุดท้ายเฟลิโอน่าก็ต้องยอมตามใจแต่จริงๆ เธอเองก็กำลังอยากกินแอปเปิลผลไม้ของโปรดของเธอเช่นกัน
ยามเย็นภายในตลาดเอดินเบิร์กที่สามารถมาถูกได้จากการบอกทางจากผู้ดูแลของโรงแรม ผู้คนที่ออกจะหนาตาเล็กน้อยซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการที่โรงเรียนพระราชากำลังจะเปิดรับสมัครนักเรียนในปีการศึกษาใหม่ก็เป็นได้ สองขาก้าวเดินไปเรื่อยๆผ่านร้านค้าต่างๆที่พยายามส่งเสียงเรียกลูกค้าอย่างเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศสบายๆ และไม่นานก็พบแผงขายผลไม้ขนาดค่อนข้างใหญ่ตั้งอยู่ข้างๆ กับร้านขายน้ำหวานหลากรสที่คนขายกำลังก้มๆ เงยๆ นำผลไม้ต่างๆมาจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ
"ท่านพี่ครับ แวะดูร้านนี้กันนะครับ" เด็กหนุ่มว่าจบก็เดินนำพี่สาวตรงไปยังร้านที่ว่าทันทีอย่างไม่ต้องรอคำตอบ
"พี่สาว แอปเปิลนี่ขายยังไงหรอครับ" ฟรานซิสถามแม่ค้าสาวที่กำลังง่วนอยู่กับการจัดวางส้มลงบนแผงสำหรับวางผลไม้ที่วางอยู่ข้างๆ กัน
"ลูกละสิบคลาวน์จ้า" แม่ค้าตอบก่อนจะละจากการจัดผลไม้แล้วหันมาสนใจลูกค้าที่เป็นเด็กหนุ่มเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่มีดวงตาและเรือนผมเป็นสีดำสนิทที่ตอนนี้คิ้วสีดำกำลังขมวดเล็กน้อยพลางพิจารณาแอปเปิลที่อยู่ตรงหน้า จนแม่ค้าสาวอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม
“ให้พี่ช่วยเลือกให้ไหมจ๊ะ จะเอากี่ลูกล่ะ”
"เอาสามลูกครับ ขอบคุณมากครับ" เด็กหนุ่มพูดพลางยิ้มกว้างทำเอาแม่ค้าสาวอดที่จะรู้สึกเอ็นดูไม่ได้
“นี่มาซื้อคนเดี๋ยวหรือจ๊ะ”
“อ้อ เปล่าครับผมมากับ....อ้าว หายไปไหนแล้วเนี่ย” ฟรานซิสหันไปข้างหลังที่คิดว่าพี่สาวของเขาน่าจะยืนอยู่แต่กลายเป็นว่าหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้
“ใช่เด็กผู้หญิงสวยๆผมน้ำตาลรึเปล่า” แม่ค้าสาวนึกขึ้นได้ว่าเธอเหมือนจะเห็นเด็กผู้หญิงคนที่ว่าเดินมาหยุดอยู่ข้างหลังเด็กหนุ่มตรงหน้าเธอพักหนึ่งก่อนจะเดินไปทางร้านน้ำหวานที่อยู่ถัดไป
“ใช่ครับ คนนั้นแหละ พี่สาวพอจะเห็นรึเปล่าครับ”
“เห็นเดินไปทางร้านน้ำข้างๆนี่นะ”
ฟรานซิสถอยหลังออกไปเล็กน้อยพลางมองไปยังร้านขายน้ำข้างๆ ตามที่แม่ค้าสาวบอกก็พบคนที่กำลังมองหาเดินถือแก้วน้ำใสที่มีน้ำสีแดงๆ และน้ำแข็งอยู่ภายในที่กำลังดูดน้ำขึ้นมาจากหลอดสีขาวทึบ
“ดื่มไหม” เฟลิโอน่าที่พอซื้อน้ำหวานเสร็จก็กะจะเดินกลับไปช่วยน้องชายเลือกแอปเปิลต่อแต่พอเห็นเจ้าน้องชายกำลังจ้องมาจึงนึกว่ากระหายน้ำเหมือนเธอเลยยื่นแก้วน้ำแดงที่ถูกดื่มไปเกือบครึ่งไปให้ ซึ่งฟรานซิสก็บ่นเล็กน้อยประมาณว่าจะไปไหนก็บอกกันก่อนให้เฟลิโอน่าพยักหน้ารับ ก่อนที่เด็กหนุ่มจะยื่นหน้าไปดูดน้ำหวานฉ่ำจากหลอดที่ถูกหมุนมาจ่อที่ปากเขาเสร็จสรรพอย่างที่เจ้าตัวเองก็กระหายน้ำไม่แพ้กัน
"เป็นคู่รักที่น่ารักดีนะจ๊ะ" แม่ค้าพูดยิ้มๆ ให้ทั้งสองมองหน้ากันเล็กน้อยแล้วหัวเราะออกมาพร้อมกัน
"นี่พี่สาวผมครับ ไม่ใช่คู่รัก" ฟรานซิสพูดกลั้วหัวเราะ
"อ้าว จริงหรอจ๊ะ"
"จริงๆค่ะ"
“จ้ะๆ อะ...พี่เลือกให้แล้ว ทั้งหมดสามสิบคลาวน์ รับรองต้องติดใจ” แม่ค้าเจ้าของแผงผลไม้ยื่นถุงใส่ผลไม้ให้กับเด็กหนุ่มที่รับไปแล้วส่งเงินค่าผลไม้กลับไปให้
"ขอบคุณมากครับผม เดี๋ยววันหลังจะมาอุดหนุนใหม่นะครับ"
เมื่อได้ของที่ต้องการและเดินเที่ยวตลาดอยู่นานพอสมควรก็ถึงเวลาต้องกลับไปยังที่พักเสียที
"เดี๋ยวก็จะเปิดเทอมแล้วนะ ลอลี่"
ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีดำสนิทและดวงตาคู่คมสีเดียวกันที่อยู่หลังกรอบแว่นทองพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี ทำเอาร่างที่สูงพอๆ กันที่เดินอยู่ข้างๆ ต้องตวัดนัยน์ตาคมดุสีอเมทิสต์ที่มักฉายแววหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลาไปมองอย่างไม่สบอารมณ์เต็มทีพร้อมกับถามเสียงเย็นเยียบที่อาจทำให้คนอื่นอาจถึงขั้นเข่าอ่อนแต่มันกลับใช้ไม่เคยได้ผลกับผู้ที่ได้ชื่อว่าซาตานอารมณ์ดีผู้นี้เลยจริงๆ
"แกอยากตายมากใช่ไหม ลูคัส"
ลูคัส ซาโดเรีย เดอะซอร์เซอร์เรอร์ ออฟ ทริสทอร์หรือก็คือซาตานอารมณ์ดีผู้มีดวงตาหลังกรอบแว่นที่เหมือนจะยิ้มได้ตลอดเวลา แต่ถ้าถอดแว่นออกเมื่อไหร่นั่นคืออีกเรื่อง และที่มักพ่วงติดกันอยู่เสมอนั่นคือ ลอเรนซ์ ดอร์น เดอะพรีสต์ ออฟแอเรียส ที่ถึงแม้จะมีฉายาเป็นนักบวชต่อท้ายก็หาได้มีความใจบุญให้สมกับฉายานั่นแต่อย่างใด
"ไม่นะ ฉันยังไม่อยากตายหรอก ลอลี่"
และเพียงแค่ได้ยินน้ำเสียงกวนประสาทที่ยังไม่หยุดเรียกชื่อปัญญาอ่อนนั่น เส้นอารมณ์ที่กำลังสั่นคลอนอย่างรุนแรงจึงขาดสะบั้นลง พร้อมกับมีดบินสังหารที่เป็นอาวุธคู่กายของนักบวชผู้มีเรือนผมสีทองก็ถูกปล่อยออกไปแทบจะทันที แต่ทว่าคนที่ชอบตั้งชื่อใหม่ให้คนอื่นไปทั่วก็มักจะหลบได้อยู่ร่ำไป มีดสีเงินเงาวับนั่นจึงยังคงพุ่งตรงต่อไป
"ระวังครับ!" เสียงร้องของเด็กหนุ่มที่อยู่เยื้องไปทางด้านหลังของซาตานอารมณ์ดีนั้นร้องขึ้นอย่างตกใจ ทำให้สองคู่หูที่ดูจะไม่ค่อยลงรอยกันนักต้องหันไปทางต้นเสียงอย่างพร้อมเพรียง
หมับ
มีดสั้นสีเงินวาวที่จู่ๆก็พุ่งมาจากทางด้านหลังอย่างที่ไม่กะให้ตั้งตัวนั้นถูกหยุดไว้ได้ด้วยมือเรียวของเด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลไหม้ยาวสลวยจรดกลางแผ่นหลังบางผู้หนึ่งก่อนที่เธอจะหันหลังไปทางทิศที่มีดในมือเธอพุ่งมา คนต้นเหตุทั้งสองก็ต่างคิดอยู่ในใจว่าใบหน้าของเด็กสาวที่หันมานั้นจะต้องกำลังโกรธเคืองไม่ก็ต้องกำลังไม่พอใจสุดๆ ที่พวกเขาทำให้เธอเกือบจะได้รับบาดเจ็บ...แต่มันกลับผิดคาด
เฟลิโอน่าเดินตรงมายังชายหนุ่มสองคนที่ดูเหมือนจะอายุมากกว่าเธอไม่กี่ปี ก่อนจะยื่นมีดสั้นในมือโดยหันทางด้ามจับไปยังคนที่น่าจะเป็นเจ้าของ ซึ่งสามารถคาดเดาได้ไม่ยากจากทิศทางที่มีดพุ่งมาก็น่าจะเป็นของคนหน้านิ่ง
"วันหลังก็ระวังหน่อยนะคะ ถ้าเป็นคนอื่นอาจได้รับบาดเจ็บไปแล้ว" เสียงหวานที่เอ่ยอย่างนอบน้อมคนที่ดูมีอายุมากกว่าเธอ ซึ่งก็ได้รับเสียงนิ่งๆ เย็นๆ ตามแบบฉบับตอบกลับมา
"อืม วันหลังฉันจะระวังไม่ให้โดนคนอื่น" นักบวชหนุ่มพูดพร้อมกับรับมีดสั้นของเขาคืน
"แต่จะให้โดนชั้นใช่ไหมล่ะ ลอลี่" คนที่เงียบมานานพูดขึ้นอย่างกวนอารมณ์ซึ่งมันก็ไม่แปลกสำหรับคนที่เส้นอารมณ์ตื้นจะเกิดโมโหขึ้นมาอีกรอบ
"ฉันบอกแกกี่ทีแล้ว ว่าฉันชื่อลอเรนซ์!" ชายหนุ่มเจ้าของนามลอเลนซ์หันไปตะคอกใส่คนกวนประสาทที่ยังคงยืนลอยหน้าลอยตาอยู่ข้างๆ
"คิกๆๆ" เสียงใสที่กำลังหัวเราะน้อยๆ นั้นเรียกสายตาจากคู่หูที่ใกล้จะมีเรื่องกันอีกรอบให้หันมามอง ก่อนที่เด็กสาวจะรู้สึกว่าเธอเผลอเสียมารยาทไป “ขอโทษค่ะ ฉันคิดว่าพวกพี่สองคนดูสนิทกันดี ใช่รึเปล่าคะ พี่ลอเรนซ์”
“ฮ่ะๆๆ ใช่ๆ พวกเราสนิทกันมาก เนอะลอ...เรนซ์”
มือหนาที่กำลังจะเอามีดสั้นในมือไปเสียบหัวเพื่อนที่มีคนบอกว่าดูสนิทกันดีเป็นอันต้องลดมือลงไปอย่างเดิมเพราะเสียงกวนประสาทที่จงใจลากเสียงชื่อพยางค์แรกของเขายาวๆ แต่สุดท้ายก็เรียกชื่อจริงๆ ของเขาออกมาชวนให้น่าหงุดหงิดยิ่งนัก
"ท่านพี่ครับ รีบกลับที่พักกันก่อนดีไหม นี่ก็มืดแล้ว" ฟรานซิสที่ยืนมองอยู่ได้สักพักสะกิดเรียกพี่สาวของตน
"จ้ะๆ...งั้นพวกเราไปก่อนนะคะ หวังว่าคงมีโอกาสได้พบกันอีก" เฟลิโอน่าตอบน้องชาย ก่อนจะหันมาเอ่ยลาคนที่เพิ่งรู้จักกันหมาดๆ
ร่างบางที่หมุนตัวกลับไปประจวบเหมาะกับที่มีลมวูบหนึ่งพัดผ่านมาพอดีจึงทำให้เรือนผมสีน้ำตาลที่ดูน่าสัมผัสนั้นถูกพัดขึ้นมาเฉียดกับปลายจมูกโด่งเข้าจึงได้กลิ่นหอมละมุนจากเรือนผมนุ่มเข้าพอดี
...กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ทำเอาหัวใจแกร่งที่ยากจะสั่นไหวถึงกับกระตุกไปจังหวะหนึ่ง
-จบตอนที่ 2-
ความคิดเห็น