คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #29 : ความหวังและความเข้าใจ: Hope and Understanding
***Chapter 29 ความหวังและความเข้าใจ: Hope and Understanding***
“ฉันรักเธอ” เดรโกสารภาพความจริงออกมากับเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังกลั้นใจรอฟังคำพูดนี้ของเขาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาหากแต่เด็กสาวกลับได้ยินมันอย่างชัดเจนเหลือเกิน แต่ถึงกระนั้นเธอก็ไม่อาจตอบอะไรเขาอออกไปได้แม้ว่าเธอจะต้องการตอบเด็กหนุ่มตรงหน้าออกไปแค่ไหนก็ตาม เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ดีว่าเธอไม่มีคำตอบที่มัลฟอยต้องการจะให้เขา พอ ๆ กับที่เธอรู้ดีว่าการได้รู้ความจริงที่ว่าเดรโก มัลฟอยหลงรักเธอมาตลอดตั้งแต่ก่อนที่เขาจะทำสัญญาทาสชั่วนิรันดร์เพื่อกักขังเธอไว้กับเขาตลอดไปนั้นไม่อาจจะทำให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้วเปลี่ยนแปลงไปได้แต่อย่างใด เพราะถึงแม้ว่าเดรโกจะรักเธอมากแค่ไหนก็ตามมันก็ไม่อาจลบล้างความจริงที่เขาเคยใช้กำลังขืนใจเธอ รวมทั้งไม่อาจจะลบล้างสัญญาทาสชั่วนิรันดร์ที่เขาทำกับเธอไว้ได้เลย
และเมื่อเป็นเช่นนั้นเด็กสาวจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกไป แม้ในขณะที่เธอสบดวงตาสีเงินของเดรโกที่มองมาทางเธออย่างเว้าวอนจนเธอแทบจะรู้สึกเจ็บปวดแทนเขาก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ดีกว่าเธอไม่อาจจะตอบอะไรมัลฟอยออกไปได้ เพราะนอกจากเธอจะไม่สามารถให้คำตอบที่เขาต้องการได้แล้ว เธอยังไม่สามารถที่จะโกหกว่าเธอก็รักเขาเช่นกันออกไปได้อีกด้วย!
แน่นอนว่าเธอทำเช่นนั้นไม่ได้ แม้จะรู้ดีกว่าการทำให้เดรโกที่เพิ่งสารภาพว่ารักเธออออกมาเชื่อว่าเธอก็รักเขาเช่นกันอย่างที่เธอเคยได้โกหกเขามาแล้วครั้งหนึ่งจะเป็นผลดีกับตัวเด็กสาวเองไม่น้อย เพราะการที่เขามาบอกรักเธอแบบนี้นั้นเท่ากับเธอได้อำนาจการต่อรองระหว่างเธอกับเขามาอยู่ในมือเสียแล้ว และถ้าหากเขาเฮอร์ไมโอนี่ยอมเล่นละครโดยการแกล้งบอกรักเขาเช่นเดียวกับที่เธอทำเมื่อครั้งที่แล้ว แน่นอนว่าเดรโกจะต้องยอมทำทุกอย่างที่เธอต้องการเป็นแน่ แต่เด็กสาวก็ไม่อาจทำเช่นนั้นได้ เธอไม่อาจหลอกหลวงเขาว่าเธอรักเขาเป็นครั้งที่สองได้อีกแล้ว โดยเฉพาะเมื่อเธอได้เรียนรู้แล้วว่าผลจากการล้อเล่นกับความรู้สึกของผู้อื่นนั้นร้ายแรงเพียงใดหลังจากที่เธอได้เผชิญมันมากับตัวแล้ว!
เมื่อเป็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงไม่ตัดสินใจที่จะพูดอะไรออกไป ตรงกันข้ามเธอกลับพยักหน้าเบา ๆ ด้วยท่าทีรับรู้พลางมองเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสารระคนลำบากใจ ราวกับเธอต้องการบอกเขาผ่านทางสายตาถึงเหตุผลที่เธอไม่อาจตอบอะไรเขาออกไปได้อยู่
และเมื่อได้เห็นสายตาของเด็กสาวที่มองมา เดรโกก็เข้าใจดีว่าเธอคิดอย่างไรกับคำพูดเขา ยิ่งเมื่อเห็นแววตาของเฮอร์ไมโอนี่ที่มองมาทางเขาแล้ว เด็กหนุ่มก็รู้ทันทีว่าความรู้สึกที่เด็กสาวมีให้เขานั้นเป็นเพียงแค่ความสงสารเท่านั้น แต่มันไม่มีความรักแฝงอยู่เลย! แต่ถึงกระนั้นเดรโกก็ไม่ได้พูดหรือโต้แย้งอะไรออกไป ตรงกันข้ามเขากลับก้มหน้าเพื่อหลบสายตาเธอ และพยายามเตือนตัวเองว่าเขาจะไปคาดหวังให้เฮอร์ไมโอนี่รักเขาตอบได้อย่างไรกันเล่า ในเมื่อเขาเคยทำร้ายเธอไว้อย่างหนักนาสาหัสรวมทั้งเคยทำสัญญาทาสชั่วนิรันดร์เพื่อกักขังเธอไว้กับเขาตลอดไปแบบนี้อีกด้วย และในเมื่อเขาเคยทำเรื่องเลวร้ายไว้กับเธอขนาดนั้นแล้วเขายังจะหวังที่จะได้รับความรักจากเธอได้อย่างไรกันล่ะ
และเมื่อคิดได้เช่นนั้นมัลฟอยจึงละออกจากวงแขนของร่างบางพลางยืนขึ้นและหันหลังให้เธอ ท่ามกลางสายตาที่มองมาด้วยความสงสัยของเด็กสาวเขาก็เดินไปที่หน้าต่างพลางเหม่อมองอออกไปยังทิวทัศน์ของเมืองดัลวิก แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงที่เดรโกเดินไปที่หน้าต่างนั้นไม่ใช่เพื่อชมวิวทิวทัศน์ แต่เป็นเพราะต้องการจะซ่อนดวงตาที่มีน้ำตาคลอเออของเขาจากสายตาของเฮอร์ไมโอนี่ต่างหาก ขณะที่เด็กสาวที่อยู่ในฐานะทาสของเขาเรียกชื่อของเขาเบา ๆ มาจากข้างหลัง
“มัลฟอย” แม้ว่าเสียงอ่อนโยนที่เอ่ยอออกมานั้นจะเรียกร้องให้มัลฟอยหันกลับไปหาร่างบางเบื้องหลังมากเท่าไหร่ก็ตาม แต่เด็กหนุ่มก็ตัดสินใจที่จะไม่หันกลับไปหาเธอในตอนนี้ เพราะเขาไม่ต้องการแสดงความอ่อนแอของเขาให้เฮอร์ไมโอนี่เห็นไปมากกว่านี้อีกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งความอ่อนแอที่มาจากสาเหตุที่เขาผิดหวังจากการที่เขารักเธออย่างหมดหัวใจแบบนี้
และเมื่อเห็นว่าร่างสูงใหญ่ตรงหน้าไม่มีทีท่าว่าจะตอบมาแต่อย่างใดนั้น เด็กสาวจึงลุกขึ้นจากเตียงและเดินเข้าไปหาเจ้านายของเธอที่ริมหน้าต่าง แม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะมีท่าทีลังเลในตอนแรกแต่หลังจากที่ใช้เวลาตัดสินใจอยู่เพียงชั่วครู่เท่านั้นเธอก็เอื้อมมือไปแตะแผ่นหลังของเดรโกเบา ๆ
แม้ว่าจะรับรู้ถึงสัมผัสของเด็กสาวที่แผ่นหลังก็ตามแต่เดรโกก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหันไปแต่อย่างใดจนกระทั่งเฮอร์ไมโอนี่เลื่อนมือของเธอมาแตะอยู่ที่แขนของเด็กหนุ่มก่อนจะกุมมันเข้ากับมือของเขาอย่างแผ่วเบา ขณะที่มัลฟอยได้ยินเสียงราวกับทาสสาวของเขาต้องการจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่เธอยังไม่สามารถเอ่ยปากพูดถ้อยคำนั้นออกมาได้ ราวกับเธอกำลังตัดสินใจอยู่ว่าเธอควรจะพูดมันออกไปดีหรือไม่ ประกอบกับที่เดรโกแน่ใจว่าตัวเขาเริ่มคลายจากอารมณ์ที่รุมเร้าเมื่อครู่แล้ว เด็กหนุ่มจึงสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะหันมามองเฮอร์ไมโอนี่อย่างช้า ๆ
ดวงตาสีน้ำตาลที่ฉายแววห่วงใยเป็นสิ่งแรกที่เดรโกสังเกตุเห็นบนใบหน้าของเด็กสาว ขณะที่เขาพยายามจะรักษาสีหน้าให้เรียบเฉยยามจ้องมองเข้าไปในดวงตาที่เขาแสนรักคู่นั้น
“คือ....ฉันไม่อยากให้เธอคิดมากเรื่องนี้นะ ไม่ว่ายังไงฉัน.....” เฮอร์ไมโอนี่พูดขึ้นอย่างระมัดระวัง แต่เธอไม่ทันที่จะพูดจบประโยคเด็กหนุ่มก็ขัดขึ้นก่อน
“เธอจะพูดว่าไม่ว่ายังไงฉันก็จะไม่ต้องอยู่คนเดียวอย่างนั้นรึ” เขาพูดประโยคดังกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย แต่มันกลับไม่มีแววโกรธเคืองปนอยู่เลยแม้แต่น้อยขณะที่เขาเป็นฝ่ายคว้ามือเล็กมาของเธอมากุมไว้
“ฉัน.....”
“อันที่จริงเธอไม่จำเป็นต้องมาใจดีกับฉันขนาดนี้หรอกนะ เฮอร์ไมโอนี่” เขาพูดชื่อต้นของเด็กสาวต่อหน้าเธอขึ้นมาเป็นครั้งแรก ๆ นับตั้งแต่ที่เธอหนีไปจากเขา
“เพราะที่เธอต้องมาอยู่ข้างกายฉันแบบนี้เป็นเพราะเธอไม่มีทางเลือกต่างหาก เป็นเพราะว่าฉันเป็นคนกักขังเธอไว้กับฉันด้วยสัญญาทาสนี่” เด็กหนุ่มพูดพลางไล้นิ้วโป้งของเขาไปบนตราทาสของเฮอร์ไมโอนี่เบา ๆ เธอสะดุ้งเพราะสัมผัสนั้น แม้จะแน่ใจว่าเดรโกคงจะไม่ลงโทษให้เธอต้องเจ็บปวดทรมานด้วยการกดตราทาสของเธอก็ตาม แต่เด็กสาวก็อดที่จะหวาดกลัวไม่ได้
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันจะไม่ลงโทษเธอด้วยวิธีนี้อีกแล้ว” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เศร้าหมองพลางยกมือข้างที่มีตราทาสนั้นขึ้นมาจูบเบา ๆ ราวกับเขาต้องการเยียวยาความเจ็บปวดที่เขาเคยได้ก่อไว้กับเธอด้วยจูบของเขา ขณะที่หัวใจของเฮอร์ไมโอนี่เต้นแรงเพราะการกระทำของเดรโก แม้จะรู้ดีว่าสัมผัสของเด็กหนุ่มไม่อาจจะลบล้างตราทาสของที่เขาได้ทำเพื่อผูกมัดเธอไว้กับเขาชั่วนิรันดร์ได้ก็ตาม แต่สัมผัสของร่างใหญ่ตรงหน้าก็กลับทำให้เธอรู้สึกดีอย่างน่าประหลาด
หลังจากที่จูบฝ่ามือของเด็กสาวเสร็จ เดรโกก็ลดมือของเธอลงแต่ยังคงไม่ยอมปล่อยมันออกจากมือใหญ่ของเขาพลางมองร่างเล็กจนหน้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรัก หากแต่แววตานั้นของเขากลับแฝงไว้ด้วยความปวดร้าวจนเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังสบตาของเขาอยู่นั้นรู้สึกใจหาย ราวกับเขาเด็กหนุ่มตรงหน้ากำลังเสียใจอย่างที่สุดในสิ่งเลวร้ายที่เขาได้ทำลงไปกับเธอ พอ ๆ กับที่เขาเสียใจที่ว่าไม่ว่าเขาจะพยายามมากเพียงใดก็ตามเขาก็ไม่อาจจะลบล้างเรื่องราวอันแสนจะโหดร้ายที่เขาได้ทำไว้กับเธอได้เลย แม้ว่ามัลฟอยจะไม่ได้พูดออกมาว่าเขารู้สึกเช่นนั้นก็ตาม แต่เด็กสาวก็สามารถสัมผัสได้ถึงสายตาอันรวดร้าวจากความรู้สึกผิดและความรักที่ทิ่มแทงร่างกายเธอจนเจ็บปวดแบบนี้!
และเมื่อเห็นเช่นนั้น เฮอร์ไมโอนี่จึงตัดสินพูดอะไรบางอย่างที่ต้องการร้องขอจากเจ้านายของเธอออกไป แม้ว่ามันจะเป็นการเสี่ยงมากก็ตามในความคิดของเธอ แต่เด็กสาวก็คิดว่าเธอควรจะลองพูดเรื่องนี้กับเดรโกดู โดยเฉพาะในเวลานี้ซึ่งเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่เธอจะขออะไรจากเขา
“เดรโก……ฉันอยากจะขออะไรบางอย่างจากเธอได้ไหม” เธอเริ่มประโยคด้วยการเรียกชื่อต้นของเด็กหนุ่มซึ่งเขาเคยห้ามเธอไว้ก่อนหน้านี้ พลางบีบมือใหญ่ของเขาแน่นขึ้น และเมื่อเห็นว่าร่างตรงหน้าไม่ทักท้วงอะไรกับการที่เธอเรียกชื่อต้นของเขาออกมาอย่างที่เขาเคยห้ามเธอไม่ให้เรียกเอาไว้ เฮอร์ไมโอนี่จึงตัดสินใจว่าเธอควรจะพูดต่อไป แม้ว่าจะเห็นว่าเดรโกมองเริ่มมองเธอด้วยแววตาไม่แน่ใจแล้วก็ตาม
“เธอจะขออะไรฉัน เกรนเจอร์” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ตึงเครียดขึ้น แต่ก็ไม่ถึงกับเกรี้ยวกราด ขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลของเด็กสาวมีแววกังวลเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดออกมา
“ฉันอยากจะขอไม่ให้เธอบังคับอะไรฉันอีกจะได้ไหม” เธอตัดสินใจพูดออกมาในที่สุด ด้วยหัวใจที่เต้นแรงขณะที่รอฟังคำตอบของเขาและขณะที่รู้สึกว่าดวงตาสีเงินของมัลฟอยกำลังมองเธออย่างพิจารณา และเฮอร์ไมโอนี่ก็รู้สึกว่าหัวใจของเธอแกว่งวูบด้วยความหวาดกลัวเมื่อร่างตรงหน้าเลื่อนมือขึ้นลูบแก้มของเธอเบา ๆ
“เธอหมายความว่าเธอจะให้ฉันตามใจเธอทุกเรื่องเลยอย่างนั้นหรือ รวมทั้งเรื่องที่ฉันจะต้องปล่อยเธอไปด้วยใช่ไหม” เขาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบหากแต่ไม่อ่อนโยนเฉกเช่นดังเดิม ใบหน้าของเดรโกนั้นดูยากจะอ่าน ขณะที่เด็กสาวตอบออกมา
“ไม่ใช่อย่างนั้น......ฉันรู้ดีว่าถึงยังไงฉันก็หนีไปจากเธอไม่ได้” เธอพูดออกมาตามตรง และเมื่อเด็กหนุ่มมองเข้าไปในดวงตาของเฮอร์ไมโอนี่เขาก็อ่านออกว่าเธอไม่ได้โกหกแต่อย่างใด หรือบางทีเธออาจจะโกหกเขาก็ได้ แต่ในตอนนี้เด็กหนุ่มกลับไม่สนใจแล้วว่าทาสสาวของเขาจะโกหกเขาเพื่อให้ได้สิ่งที่เธอต้องการมาหรือไม่ พอ ๆ กับเขาที่รู้ดีว่าเขาเองก็ต้องการจะให้ทุกอย่างที่เธอปรารถนายกเว้นเพียงแค่อิสระภาพของเธอเท่านั้น
“แล้วเธอไม่ต้องการให้ฉันบังคับเธอเรื่องไหนกัน” เขาถามตามตรง หลังจากนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็เริ่มพูดต่อโดยมีเจ้านายของเธอกำลังจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเธออยู่
“ฉันไม่อยากให้เธอบังคับฉันเรื่อง.......” เธอละคำพูดไว้แค่เพียงเท่านั้นพลางก้มหน้าเพื่อหลบสายตาของเขา ซึ่งในตอนแรกเดรโกก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่ทาสสาวของเขาต้องการสื่อแต่อย่างใด แต่เมื่อได้เห็นใบหน้าแดงก่ำของเด็กสาวแล้วรวมทั้งท่าทีเขินอายของเธอแล้ว เขาก็เข้าใจทันทีว่าเฮอร์ไมโอนี่ต้องการพูดถึงเรื่องอะไร
“เธอหมายถึง.......เธอไม่อยากให้ฉันบังคับเธอในเรื่องนั้นน่ะหรือ” เขาถาม ขณะที่เด็กสาวตรงหน้าหลบตาเขาพลางมองไปทางอื่นและพยักหน้าเบา ๆ แน่นนอนว่ามันคงน่าอายมากที่เธอมาพูดกับเขาในเรื่องความสัมพันธ์ลึกซึ้งของพวกเขาแบบนี้ แต่เมื่อลองคิดดี ๆ แล้วการที่เธอมาขอร้องเขาแบบก็แสดงว่าเธอไม่ต้องการให้เขากอดเธอในยามค่ำคืนอีกต่อไปใช่ไหม เธอไม่ต้องการที่จะเป็นของเขาอีกต่อไปอย่างนั้นหรือ
‘นายจะให้เธอต้องการนายได้ยังไงล่ะ ในเมื่อนายเป็นคนบังคับเอาร่างกายของเธอมาเป็นของนาย นายช่วงชิงทุกอย่างไปจากเธอ แถมนายยังปฏิบัติกับเธอแบบโหดร้ายแบบนั้น นายยังจะหวังให้เธอต้องการนายแบบที่ผู้หญิงต้องการคนรักของตัวเองอย่างนั้นรึ’
เสียงเล็ก ๆ ในหัวดังขึ้นก่อนที่เดรโกจะได้ยินเสียงตัวเองตอบกลับไปแบบโกรธ ๆ ว่า
‘ฉันรู้เรื่องนั้นดี แต่ฉันแค่อยากจะรู้เฉย ๆ ว่าเธอต้องการอ้อมกอดของฉันบ้างหรือเปล่า ในระยะหลังมานี่!’ เด็กหนุ่มคิดเช่นนั้น
เพราะถึงแม้ว่าเขาจะยอมรับว่าเขาได้ทำเรื่องโหดร้ายที่ไม่น่าจะอภัยลงไปกับเฮอร์ไมโอนี่ก็ตาม แต่ลึก ๆ แล้วเดรโกก็หวังว่าเขาจะสามารถครอบครองเด็กสาวในทางร่างกายได้หลังจากที่เขาค้นพบความจริงที่น่าโหดร้ายว่าหัวใจของเธอนั้นเป็นไม่เคยมีให้เขามาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว และเขาก็ไม่อาจจะเข้าข้างตัวเองได้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะมาหลงรักเขาเข้าซักวันหนึ่งตราบที่เขายังคงปฏิบัติกับเธอเยี่ยงทาสแบบนี้อยู่ ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงคิดว่าเขาอาจจะสามารถครอบครองร่างกายของเธอและทำให้เธอต้องการเขาได้ แม้มันจะเป็นเพียงแค่ความสัมพันธ์ทางกายก็ตาม แต่เดรโกก็แน่ใจว่าเขาไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองไปแต่อย่างใดที่เขารู้สึกว่าเฮอร์ไมโอนี่ไม่ได้มีท่าทีขัดขืนเขาเมากท่าไหร่ในระยะหลัง ๆ นี้ ตรงกันข้ามเธอกลับมีท่าทีราวกับเธอพอใจที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของเขาด้วยซ้ำ แต่ก่อนที่มัลฟอยจะได้คิดอะไรที่เข้าข้างตัวเองไปมากกว่านั้น เสียงเล็ก ๆ ในหัวก็ดังขึ้นเพื่อดึงเด็กหนุ่มกลับมาสู่ความจริงอีกครั้ง
‘นั่นเป็นเพราะเธอขัดขืนนายไม่ได้ต่างหากล่ะ ที่เธอต้องยอมเป็นของนายครั้งแล้วครั้งเล่าก็เพราะเธอขัดขืนนายไม่ได้’
แม้ว่ามันจะเป็นคำพูดสั้น ๆ แต่ถ้อยคำนั้นราวกับมีดที่เฉือนหัวใจของเด็กหนุ่ม จนทำให้เขาต้องตกตะลึงกับความจริงที่เพิ่งค้นพบอยู่ครู่หนึ่ง ความจริงซึ่งสามารถอธิบายคำขอร้องของเฮอร์ไมโอนี่ที่มีต่อเขาในตอนนี้ได้เป็นอย่างดีว่า เธอไม่ได้เต็มใจที่จะตกเป็นของเขามาโดยตลอดจนกระทั่งถึงตอนนี้ เธอถึงได้ขอร้องให้เขาไม่บังคับฝืนใจเธอในเรื่องนั้นออกมา และที่ผ่านมาแม้ว่าเธอจะไม่ได้ท่าทีขัดขืนอย่างรุนแรงเมื่อเขาแตะต้องตัวเธอก็ตาม แต่เด็กสาวก็ไม่ได้เต็มใจที่จะตกเป็นของเขาแต่อย่างใด แต่ที่เธอไม่ได้ปฏิเสธเขาออกไปก็เพราะเธอไม่อาจทำเช่นนั้นได้ เป็นเพราะเธอไม่อาจขัดขืนหรือปฏิเสธเขาได้ต่างหาก หรืออันที่จริงเป็นเพราะเธอพยายามจะขัดขืนเขาแล้วแต่เขากลับใช้กำลังและอำนาจที่เหนือกว่าของเขามาบังคับให้เธอยอมจำนนต่อเขาได้ไม่ยากต่างหาก เพราะแท้ที่จริงแล้วเฮอร์ไมโอนี่นั้นไม่ได้ต้องการสัมผัสจากเขามาตั้งแต่แรกเลยแม้แต่น้อย!
และดูเหมือนเดรโกจะตกใจกับความจริงที่เขาเพิ่งค้นพบไม่น้อย เด็กหนุ่มนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจนเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าเขาเอ่ยปากถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจ
“เดรโก....” ยังไม่ทันที่เฮอร์ไมโอนี่จะพูดอะไรได้มากกว่านั้น เจ้านายของเธอก็ขัดชึ้น
“เธอไม่ต้องการให้ฉันแตะต้องเธอถึงขนาดนั้นเลยเหรอ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราวกับต้องการตอกย้ำถ้อยคำนั้นกับตัวเองมากกว่าจะต้องการจะคาดคั้นเอาคำตอบจากเธอ
“ฉัน......” เด็กสาวอึกอัก แน่นอนว่าสิ่งที่เขาพูดออกมานั้นไม่ผิดแต่ประการใด แต่ถึงกระนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่อาจจจะตอบคำถามเขาออกมาได้อยู่ดี เพราะถึงแม้เดรโกจะสารภาพกับเธอออกมาว่าเขารักเธอแล้วก็ตามแต่เด็กสาวก็ยังไม่อาจจะวางใจเด็กหนุ่มได้อย่างเต็มที่ เพราะว่าเขาเองก็เคยบอกรักเธอมาครั้งหนึ่งแล้ว และสุดท้ายเหตุการณ์ทั้งหมดก็จบลงด้วยการที่เขาใช้กำลังขืนใจเธอและบังคับให้เธอทำสัญญาทาสชั่วนิรันดร์กับเขา และเพราะบทเรียนที่กว่ามานี้เองมันจึงทำให้เธอไม่อาจจะไว้ใจเขาได้อย่างเต็มที่อีกต่อไป แม้ในยามที่เห็นว่าสายตาของมัลฟอยกำลังมาทางเธออย่างเจ็บปวดก็ตาม
แน่นอนว่าเด็กหนุ่มเจ็บปวดกับความจริงที่เขาเพิ่งได้รับรู้ว่า เขาไม่อาจจะได้เป็นเจ้าของแม้กระทั่งแค่ร่างกายของเฮอร์ไมโอนี่ และแม้ว่าเขาจะทำสัญญาทาสชั่วนิรันดร์เพื่อกักขังเธอไว้กับเขาตลอดไปแล้วก็ตาม แต่เขาก็ไม่สามารถครอบครองเธออย่างแท้จริงได้เลย!
แต่ในขณะเดียวกันนั้นเองเดรโกกลับไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าเหตุผลที่แท้จริงที่เฮอร์ไมโอนี่ไม่ต้องการให้เขาเลิกบังคับเธอในเรื่องความสัมพันธ์ทางกายของพวกเขานั้น ไม่ได้มาจากเหตุผลที่ว่าเธอไม่ต้องการถูกบังคับให้อยู่ในอ้อมกอดของเขาครั้งแล้วครั้งเล่าโดยที่เธอไม่เต็มใจแต่เพียงเท่านั้น แต่เหตุผลที่แท้จริงนั้นเป็นเพราะเฮอร์ไมโอนี่ไม่อาจไว้ใจตัวเองในยามที่เธออยู่ตามลำพังกับเดรโกได้เลย! ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนที่เคยทำร้ายเธออย่างหนักหนาสาหัสมาก่อนก็ตาม แต่เด็กสาวกลับห้ามตัวเองไม่ให้รู้สึกดีไปกับสัมผัสของเขาได้เลย และเมื่อเป็นเช่นนั้นเธอจึงต้องการจะหยุดความสัมพันธ์ทางกายของเขากับเธอไว้เพียงเท่านี้ก่อนที่ทุกอย่างจะดำเนินไปไกลจนเกินกว่าที่มันจะแก้ไขได้!
แต่ในขณะเดียวกันเองอีกใจหนึ่งของเฮอร์ไมโอนี่ก็กลับคิดว่ามันจะมีอะไรให้แก้ไขได้อีกเล่า ในเมื่อเรื่องราวของเธอและเดรโกซึ่งตอนนี้อยู่ในฐานะเจ้านายของเธอนั้นได้ดำเนินมาจนสุดทางเสียแล้ว หลังจากที่เด็กสาวได้ตกเป็นทาสของเขารวมทั้งสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งอิสระภาพของเธอให้กับเขาไปแล้วมันยังจะมีอะไรหลงเหลือให้เธอสูญเสียได้อีกเล่า
‘ก็หัวใจของเธอไงล่ะ’
เสียงเล็ก ๆ ในหัวตอบขึ้นมาอย่างเย็นชา และเพราะถ้อยคำนั้นเองที่ทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกชาวาบไปตั้งแต่หัวจรดเท้า เด็กสาวรู้สึกราวกับเข่าของเธออ่อนแรงขึ้นมากระทันหันกับความจริงที่เธอเพิ่งค้นพบนี้ แม้จะแน่ใจว่าเธอจะยังไม่ได้สูญเสียหัวใจรวมทั้งความจงรักภักดีของเธอให้กับเดรโก มัลฟอยก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเธอจะมีโอกาสรักษาสิ่งที่มีค่าชิ้นสุดท้ายนี้ไว้กับเธอได้นานแค่ไหน แม้จะรู้ดีว่าเธอไม่อาจจะตอบแทนความรู้สึกของมัลฟอยที่มีต่อเธอได้ด้วยการรักเขาตอบในแบบเดียวกันก็ตาม แต่ลึก ๆ แล้วเด็กสาวก็กลัวว่าวันหนึ่งเธอจะสูญเสียตัวตนของเธอเองไปหลังจากได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเด็กหนุ่มคนนี้นานพอ เพราะสิ่งที่เฮอร์ไมโอนี่กลัวที่จะต้องสูญเสียให้กับเดรโกมากที่สุดนอกจากร่างกายของเธอที่ได้ตกเป็นของเขาแล้วก็คือหัวใจของเธอเองนี่เอง
และขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ต้องนิ่งเงียบไปเพราะกำลังจมอยู่ในความคิดของตัวเองอยู่นั้น เดรโกที่เพิ่งผ่านการใช้ความคิดของเขาเพื่อพิจารณาคำขอร้องจกาทาสสาวของเขาเสร็จก็หันไปมองร่างตรงหน้าของเขาด้วยสายตาพิจารณา ก่อนจะตัดสินใจพูดขึ้นมา
“ก็ได้ ฉันจะไม่บังคับเธอในเรื่องแบบนั้นอีก” เขาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย และไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะพูดจบเด็กสาวก็เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างแปลกใจ แม้ว่าเธอจะต้องการให้เดรโกยอมตอบตกลงในคำขอของเธอมากเพียงใดก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะยอมตกลงในเรื่องนี้ให้เธอได้อย่างง่ายดายแบบนี้
ขณะที่กำลังจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลที่มีแววสับสนระคนดีใจของทาสสาวของเขาอยู่นั้นเอง มัลฟอยก็เสริมขึ้นว่า
“ฉันจะไม่ล่วงเกินเธอโดยที่เธอไม่เต็มใจอีก และเพื่อเป็นการตอบแทน ฉันอยากจะให้เธอสัญญากับฉันอีกครั้งว่าเธอจะอยู่เคียงข้างฉันไปอย่างนี้ตลอดไป โดยไม่คิดจะจากฉันไปไหนอีก” เขาพูด ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มองร่างตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ แน่นนอนว่าเธอไม่เข้าใจในสิ่งที่เจ้านายของเธอพูดอยู่ในตอนนี้ ที่เขาขอให้เธอสัญญากับเขาว่าเธอจะอยู่เคียงข้างเขาตลอดไปแบบนี้ เพราะในตอนนี้เธอก็ได้ตกเป็นทาสของเขาแล้ว ทั้งร่างกายและชีวิตของเธอเป็นของเขาโดยที่เธอไม่มีทางที่จะขัดขืนอะไรได้ รวมทั้งเธอจะไม่มีทางหนีไปจากเขาได้อีกด้วย แล้วเขาจะต้องการให้เธอสัญญาว่าจะเธออยู่เคียงข้างเขาตลอดไปอีกทำไมกัน
แต่เมื่อได้สบดวงตาสีเงินของเดรโกแล้ว เฮอร์ไมโอนี่ก็เข้าใจทุกอย่างทันที เธอเข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องการให้เธอสัญญากับเขาแบบนี้ เพราะเมื่อเธอได้เห็นสีหน้ารวมทั้งแววตาของเด็กหนุ่มตรงหน้าซึ่งเหมือนกับสีหน้าของวันที่เขาขอร้องให้เธอสัญากับเขาว่าจะอยู่เคียงข้างตลอดไปแลกกับการที่เขาจะไม่ล่วงเกินเธอโดยเธอไม่เต็มใจอีกต่อไปเด็กสาวก็เข้าใจทุกอย่างทันที อีกทั้งคำสัญญาที่มัลฟอยพูดขึ้นในตอนนี้นั้นก็เหมือนกับสัญญาที่พวกเขาได้แลกเปลี่ยนกันในวันนั้นอีกเสียด้วย!
และเมื่อเห็นว่าเด็กสาวตรงหน้าเริ่มเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะบอกเธอแล้ว เดรโกจึงคว้ามือเล็กของเฮอรไมโอนี่ขึ้นมากุมอีกครั้ง เด็กหนุ่มมองลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลที่เขาแสนรักคู่นั้นก่อนจะพูดขึ้นอย่างหนักแน่นว่า
“ฉัน…..ฉันเสียใจในสิ่งที่ฉันทำลงไปกับเธอ เฮอร์ไมโอนี่ และถ้าหากเป็นไปได้ฉันก็อยากจะย้อนเวลากลับไปในวันที่เธอได้ให้สัญญาของเธอไว้กับฉันอีกครั้ง และในคราวนี้ฉันก็อยากจะให้เธอรักษาสัญญาของเธอ รวมทั้งฉันเองก็อยากจะรักษาสัญญาที่ฉันได้ให้ไว้กับเธอด้วยเช่นกัน” เขากล่าว ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่มองภาพของเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยดวงตาที่มีน้ำตาคลอเอ่อ หัวใจของเธอรู้สึกถึงความตื้นตันและเจ็บปวดที่อัดแน่นอยู่ในอกจนเธอแทบจะหายใจไม่ออก และนี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าเธอต้องยอมรับกับตัวเองแล้วว่าเธอก็อยากจะย้อนเวลากลับไปตรงนั้นเช่นกัน เพราะถ้าหากเธอเลือกได้เธอก็อยากจะเลือกรักษาสัญญาของเธอที่มีต่อเดรโกไว้อย่างแน่นหนาเหมือนกัน แม้ว่ามันจะหมายความว่าเธอจะต้องอยู่เคียงข้างเขาตลอดไปก็ตาม แต่เด็กสาวกลับคิดว่าเธอไม่รู้สึกเดือดร้อนเลยจะต้องทำเช่นนั้นถ้าหากเธอรู้ว่าเดรโกหลงรักเธอมาตลอดรวมทั้งยังคงรักเธออยู่เหมือนเดิมอย่างเช่นในวันนี้
น้ำตาใสหยดหนึ่งไหลเปรอะแก้มเนียนของเฮอร์ไมโอนี่แต่เด็กสาวไม่สนใจที่จะยกมือขึ้นเช็ดมันแต่อย่างใดพอ ๆ กับที่ร่างใหญ่ตรงหน้าไม่ได้มีท่าทีว่าจะปลอบใจทาสสาวของเขาเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเขากับยกมือของเธอขึ้นจูบที่ตราทาสที่มีลักษณะเป็นตัวอักษรชื่อย่อของเดรโก มัลฟอยเบา ๆ
“ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากจะลบตราทาสนี้เสีย ถ้าฉันทำได้ฉันอยากจะลบล้างเรื่องราวเลวร้ายที่ฉันเคยทำไว้กับเธอ และอยากให้เรากลับไปเริ่มต้นใหม่กันอีกครั้ง แต่มันก็คงเป็นไปไม่ได้……” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เศร้าหมองราวกับว่าสิ่งที่เขาวาดหวังไว้นั้นเป็นสิ่งที่ไกลเกินกว่าที่เขาจะสามารถไขว่คว้ารวมทั้งทำให้มันเป็นจริงไปได้ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังจ้องมองเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้านายของเธออยู่รวมทั้งสามารถเข้าใจความรู้สึกของเขาได้เป็นอย่างดี ว่าเขาไม่ต้องการจะเป็นเจ้านายของเธอต่อไปแต่อย่างใด และถ้าหากเป็นไปได้เดรโกก็คงต้องการที่จะลบล้างสัญญาทาสที่เขาทำไว้กับเธอเสีย แต่ทั้งสองก็รู้ดีมันไม่สามารถจะเป็นไปได้ พอ ๆ กับที่มัลฟอยคิดว่าเฮอร์ไมโอนี่จะไม่มีทางอภัยในเรื่องที่เขาทำลงไปกับเธอได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าเขาจะพยายามมากเพียงใดรวมทั้งเขาจะรักเธอมากแค่ไหนก็ตาม เพราะสิ่งที่เขาทำลงไปกับเธอนั้นเป็นเรื่องที่เลวร้ายเกินกว่าที่จะให้อภัยได้นั่นเอง
แต่เดรโกกลับไม่รู้เลยว่าเฮอร์ไมโอนี่กลับไม่ได้คิดเช่นเดียวกับเขาเลยแม้แต่น้อยขณะที่เธอดึงมือของเธอออกจากมือใหญ่ของเด็กหนุ่มที่กำลังกุมมันอยู่ก่อนจะเลื่อนมือไปแตะที่บาดแผลที่ไหล่ซ้ายของเขาซึ่งซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อคลุมด้วยสัมผัสที่แผ่วเบาพลางแนบฝ่ามือข้างซ้ายของเธอเข้าไปกับบริเวณบาดแผลของมัลฟอย ขณะที่กำลังครุ่นคิดว่าถ้าหากเธอและเขาไม่เกิดเรื่องเข้าใจผิดกันในวันนั้นเธอก็คงจะไม่ต้องมีตราทาสที่ฝ่ามือข้างนี้ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องจองจำอิสระภาพของเธอ รวมทั้งเขาเองก็ไม่ต้องมีบาดแผลที่เปรียบเสมือนคำสาปร้ายนี้เป็นแน่ แต่ถึงจะคิดเสียใจในเรื่องที่เกิดขึ้นมากเท่าใดพวกเขาก็ไม่อาจจะกลับไปแก้ไขอดีตได้ รวมทั้งไม่ว่าทั้งสองจะโกรธแค้นอีกฝ่ายซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นกับตนมากเพียงใดก็ตามการกระทำนั้นก็ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของพวกเขาได้เลยแม้แต่น้อย และเมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเขาจะผลักไสอีกฝ่ายไปเพื่ออะไรกันเล่า
และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงใหญ่ตรงหน้า ดวงตาสีเงินที่มีแววเศร้าหมองนั้นเป็นสิ่งแรกที่เธอเห็น และเพราะการได้สบดวงตาคู่นั้นของเดรโกนั่นเองที่ทำให้เด็กสาวตัดสินใจพูดสิ่งที่อยู่ในใจเธอออกมา
“ถ้าอย่างนั้นเราลองกลับไปเริ่มต้นในวันนั้นกันใหม่ดูไหม เริ่มจากการที่เธอกับฉันรักษาสัญญาที่เราให้ไว้แก่กันก่อน” เธอพูดอย่างราบเรียบหากแต่อ่อนโยนยิ่งนัก ขณะที่เด็กหนุ่มมองร่างเล็กตรงหน้าด้วยท่าทีแปลกใจ แต่เมื่อเขาได้เห็นดวงตาอันแสนจะอ่อนโยนของเฮอร์ไมโอนี่ที่มองกลับมาแล้ว เดรโกก็เข้าใจถึงสิ่งที่เธอต้องการจะบอกเขาในทันที เธอกำลังจะให้โอกาสเขาแก้ตัวอีกครั้งอย่างนั้นหรือ ทั้ง ๆ ที่ผ่านมาเขาทำเรื่องเลวร้ายมากับเธอมากมายขนาดนี้แล้วเธอยังคงจะให้โอกาสกับเขาอีกอย่างนั้นหรือ แม้ว่าจะแปลกใจในสิ่งที่เพิ่งได้รับรู้แต่เดรโกก็มาอาจจะปล่อยโอกาสที่มีค่านี้ให้หลุดลอยไปได้
มัลฟอยมองลึกขึ้นเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลที่เขาแสนรักก่อนจะพูดออกมา
“ฉันสัญญาว่าจะไม่ล่วงเกินเธอหากเธอไม่เต็มใจอีก ถ้าเธอสัญญาว่าจะอยู่เคียงข้างฉันตลอดไปและจะไม่จากฉันไปไหนอีก” เขาพูดพลางยกมือหนึ่งขึ้นปัดปอยผมของร่างบางอย่างเอ็นดู หัวใจของเด็กหนุ่มรู้สึกถึงความสุขที่เอ่อล้นอยู่ในอกของเขาอีกครั้งหลังจากที่หัวใจของเขาต้องจมอยู่กับความทุกข์อย่างใหญ่หลวงมาเนิ่นนานเหลือเกิน
“สัญญากับฉันนะ เฮอร์ไมโอนี่” เขาพูดขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเด็กสาวไม่ได้ตอบเธอออกมาในทันที ขณะที่ร่างเล็กที่อยู่ตรงหน้าเขาเงยหน้าขึ้นสบดวงตาสีเงินของร่างใหญ่ก่อนจะพูดขึ้นอย่างราบเรียบหากแต่ชัดเจน
“ฉันสัญญา เดรโก” เธอกล่าวออกไป ท่ามกลางความรู้สึกโล่งอย่างประหลาด แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่มีโอกาสค้นหาสาเหตุที่ทำให้เธอรู้สึกเช่นนั้นได้หลังจากที่เธอเพิ่งมอบคำสัญญาที่จะเป็นการผูกมัดชีวิตของเธอไว้กับเดรโกตลอดไปออกไปแบบนี้ ซึ่งอันที่จริงแล้วคำสัญญานี้ก็ไม่สามารถส่งผลต่อตัวเธอมากเท่าไหร่นัก เพราะถึงเธอจะได้ให้คำสัญญานี้ออกไปกับเดรโกรหรือไม่ก็ตาม เธอก็ยังคงต้องเป็นทาสของเขาต่อไปอย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอยู่ดี แต่ถึงพวกเขาจะไม่อาจเปลี่ยนแปลงเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปแล้วได้ก็ตาม การกระทำครั้งนี้ของเด็กทั้งสองกลับเป็นการเปลี่ยนแปลงความรู้สึกของพวกเขาออกไปอย่างมากทีเดียว เพราะ ณ จุดนี้สถานะความเป็นเจ้านายกับทาสดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญสำหรับทั้งเดรโกและเฮอร์ไมโอนี่อีกต่อไปแล้ว แต่สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องการก็คือการได้ย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งที่ได้ทำผิดพลาดลงไปในอดีตอีกครั้ง แม้ว่าการแก้ไขในครั้งนี้จะไม่สามารถทำให้สิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปได้นอกจากความรู้สึกของพวกเขาก็ตาม และเมื่อถึงตอนนี้ก็ราวกับพวกเขาได้ย้อนกลับไปยังวันที่ทั้งสองได้มอบสัญญาให้แก่กันในครั้งแรกหลังจากที่มัลฟอยสารภาพต่อเฮอร์ไมโอนี่ว่าเขารักเธอหมดใจมาตลอด
หลังจากได้รับคำมั่นสัญญาจากหญิงสาวที่เขารักแล้ว เดรโกก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านอยู่ในหัวใจของเขาซึ่งเขาไม่เคยได้สัมผัสมันอีกเลยหลังจากที่เฮอร์ไมโอนี่หนีจากเขาไปในวันเดียวกับที่เธอสัญญาว่าเธอจะอยู่เคียงข้างเขาตลอดไปนั้นเอง และดูราวกับความอบอุ่นที่ได้รับจากร่างบางตรงหน้านั้นจะสามารถเยียวยารักษาจิตใจที่เศร้าหมองของเขาได้อีกครั้ง เมื่อเด็กหนุ่มรู้สึกถึงความหวังขึ้นมาอีกครั้งที่เขาได้มีเฮอร์ไมโอนี่มาอยู่เคียงข้างด้วยความเต็มใจของเธอเอง แม้ว่ามันจะต้องแลกมากับการยุติความสัมพันธ์ทางกายของพวกเขาก็ตาม แต่ถ้าจะให้เลือกระหว่างร่างกายกับหัวใจของเด็กสาวแล้วล่ะก็ แน่นอนว่าเดรโกจะต้องเลือกหัวใจของเธอมากกว่าร่างกายเป็นแน่ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ได้ต้องการครอบครองร่างกายของเธอ เพียงแต่เขาเองก็เหมือนผู้ชายทั่ว ๆ ไปที่ต้องการจะให้ผู้หญิงที่เขารักยอมเป็นของเขาด้วยความเต็มใจของเธอเอง โดยที่เขาไม่จำเป็นจะต้องใช้กำลังบังคับเธอแต่อย่างใด อีกอย่างหนึ่งคือสัญญาที่เขาได้ให้ไปกับเฮอร์ไมโอนี่นั้นคือการที่เขาจะไม่ล่วงเกินเธอโดยที่เธอไม่เต็มใจอีก ซึ่งถ้าดูจากรูปการณ์ในตอนนี้โดยไม่เป็นการเข้าข้างตัวเองมากเกินไปแต่อย่างใด เด็กหนุ่มก็คิดว่าเด็กสาวนั้นเห็นอกเห็นใจเขาอยู่ไม่น้อย และถ้าหากต่อไปเขาทำดีกับเธอมากพอ เธออาจจะยอมเป็นของเขาด้วยความเต็มใจของเธอเองก็เป็นได้
แน่นอนว่าเดรโกรู้ดีว่าความรักของเฮอร์ไมโอนี่นั้นเป็นสิ่งที่เกินกว่าที่เขาควรจะคาดหวังว่าเค้าจะได้รับมัน แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เด็กหนุ่มก็ยังแอบหวังลึก ๆ ว่าวันหนึ่งเธอจะหันมารักเขาบ้าง แม้แค่เพียงเล็กน้อยก็ยังดี แม้ว่าความนั้นจะดูเลือนลางเหลือเกินหลังจากที่เขาได้รู้ว่าเธอหลอกลวงเขาและใช้ความรักของเขาเป็นเครื่องมือทำให้เขาไว้วางใจเธอเพื่อโอกาสหนีก็ตาม รวมทั้งสิ่งที่เดรโกคาดหวังจากเด็กสาวตรงหน้าหลังจากที่เขาจับเธอกลับมาได้นั้นได้แปรเปลี่ยนไปเป็นการครอบครองร่างกายและชีวิตของเธอแทน แต่ถึงกระนั้นความหวังลึก ๆ ที่ต้องการจะให้เฮอร์ไมโอนี่รักเขาตอบนั้นก็ยังคงมีอยู่ เพียงแต่มัลฟอยได้ผลักมันไว้ในส่วนลึกที่สุดของหัวใจของเขาเท่านั้น
แต่พอมาถึงวันนี้ วันที่เฮอร์ไมโอนี่เป็นคนเสนอเองว่าให้พวกเขากลัยไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง นั่นหมายความว่าเธอให้โอกาสเขาอีกครั้งใช่ไหม เดรโกคิดอย่างไม่แน่ใจ แต่เมื่อลองพิจารณาจากสีหน้าและแววตาของเด็กสาวที่มองมาแล้ว แม้ว่าดวงตาสีน้ำตาลของเธอจะไม่ได้เต็มไปด้วยความรักเช่นเดียวกับที่ใช้มองเธอก็ตาม แต่เด็กหนุ่มก็สามารถอ่านจากสีหน้าของเธอได้ว่าเธอยังคงมีความรู้สึกที่ดีหลงเหลือให้เขาอยู่ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่ความสงสารที่เขาจะต้องมาเผชิญชะตากรรมอันโหดร้ายนี้ก็ตาม แต่มัลฟอยไม่สนใจในเรื่องนั้น เพราะในตอนนี้มีเรื่องเดียวที่มีความหมายสำหรับเขาก็คือ การที่เฮอร์ไมโอนี่ให้โอกาสเขาแก้ตัวใหม่อีกครั้งซึ่งมันเป็นสิ่งที่เกินความคาดหวังของเขาอยู่มากทีเดียว และแน่นนอนว่าเดรโกรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่ได้รับโอกาสนี้ ซึ่งจะเป็นโอกาสที่ทำให้เขามีสิทธิ์ที่จะทำให้เธอหลงรักเขาได้อีกครั้ง แม้ว่าเขาจะไม่แน่ใจว่าเธอจะสามารถมอบความรักของเธอให้เขาได้หรือไม่หลังจากที่เขาได้ทำเรื่องที่เลวร้ายและได้ทำร้ายเธออย่างแสนสาหัสลงไปก่อนหน้านี้ แต่ถึงกระนั้นก็ตามเด็กหนุ่มก็ต้องการที่จะลองพยายามดูซักครั้ง
ใช่ เดรโกตัดสินใจแล้วว่าเขาจะทำให้เฮอร์ไมโอนี่หลงรักเขาให้ได้ แม้ว่ามันจะต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหน แม้ว่ามันจะต้องใช้เวลามากเพียงใดในการพิชิตใจเธอก็ตามเด็กหนุ่มก็ไม่สน ในเมื่อเขาและเธอมีเวลาอยู่ด้วยกันชั่วชีวิตแล้วนี่นา เพราะในตอนนี้เธอต้องอยู่ในฐานะทาสของเขาไปจนกว่าความตายจะมาพรากทั้งสองออกจากกัน ไม่มีอะไรที่จะลบล้างสัญญาทาสชั่วนิรันดร์ที่เขาทำไว้กับเธอได้ และถึงแม้ว่าแท้จริงแล้วเดรโกจะไม่ต้องการให้เด็กสาวอยู่ในฐานะทาสของเขาหากแต่เขาต้องการให้เธอมาเป็นคนรักของเขามากกว่าอะไรทั้งหมด แต่เขาก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่าการที่เธอตกมาเป็นทาสของเขาแบบนี้มันทำให้พวกเขาได้อยู่ด้วยกันตลอดไป แม้ว่าภายนอกแล้วพวกเขาจะต้องปฏิบัติตัวให้เหมือนเจ้านายกับทาส โดยเฉพาะต่อหน้าพ่อของเขาและผู้เสพความตายคนอื่น ๆ ก็ตาม แต่จะไม่มีใครสามารถล่วงรู้ได้เลยว่าแท้จริงแล้วขณะที่เดรโก มัลฟอยได้อยู่ในฐานะเจ้านายของเด็กสาวที่ชื่อเฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์คนนี้ เขาตกเป็นทาสรักของเธอด้วยเช่นเดียวกัน
มือใหญ่ของเดรโกเลื่อนไปประคองใบหน้างามของร่างตรงหน้าไว้อย่างเบามือหลังจากที่เธอได้ให้คำสัญญากับเขาแล้วขณะที่เด็กสาวมองเขาด้วยดวงตาสีน้ำตาลคู่โตที่ดูบริสุทธิ์ไร้เดียงสาซึ่งมันทำให้เขารู้สึกหวั่นไหวมากกว่าอะไรทั้งหมด และเมื่อเป็นเช่นนั้นมัลฟอยจึงเลื่อนใบหน้าของเขาเข้าไปใกล้ใบหน้าของเฮอร์ไมโอนี่มากขึ้นเพื่อหวังจะจูบเธอ แต่ร่างเล็กในอ้อมแขนของเขากลับเบี่ยงตัวหลบพลางพูดขึ้น
“มัลฟอย!” เธอท้วงขึ้นด้วยการเรียกนามสกุลของเขาซึ่งเป็นการเตือนเขาอย่างเป็นนัยว่าเขาเพิ่งได้สัญญาว่าจะไม่ล่วงเกินเธอโดยที่เธอไม่เต็มใจลงไป แต่ไม่ทันสิ้นคำสัญญาเขาก็ผิดคำพูดเสียแล้ว ขณะที่เดรโกใช้มือใหญ่ของเขาเชยคางของเด็กสาวให้หันกลับมาสบตาเขาอีกครั้ง
“ฉันสัญญาว่าจะไม่ล่วงเกินเธอ เฮอร์ไมโอนี่ แต่ฉันไม่คิดว่าการจูบเป็นล่วงเกินหรอกนะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เจ้าเล่ห์ตามแบบมัลฟอยของแท้ จนเฮอร์ไมโอนี่ต้องมองเขาด้วยสายตาราวกับเธอไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาเพิ่งพูดมาจนเธอเกือบจะพูดออกมาว่า ‘นาย!!!’ แต่เด็กหนุ่มที่รู้ทันเอามือมาจุ๊ปากเธอไว้ก่อน
“อีกอย่างเวลาที่เราอยู่ด้วยกันสองต่อสอง ฉันอยากให้เธอเรียกฉันว่าเดรโกมากกว่า ไว้เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นเธอค่อยเรียกฉันว่า ‘มัลฟอย’ แทน” เขาเสนอโดยไม่สนใจท่าทีประท้วงของเด็กสาว
“นั่นมันไม่ใช่ประเด็นนะ มัลฟอย“ เฮอร์ไมโอนี่พยายามจะทักท้วง แต่ร่างใหญ่ตรงหน้าก็ไม่ให้โอกาสเธอพูดนานนัก
“ฉันรักเธอ เฮอร์ไมโอนี่ ได้โปรดอยู่ข้าง ๆ ฉันตลอดไปนะ” เดรโกพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนพลางมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก และโดยที่ไม่เปิดโอกาสให้เธอขัดขืนหรือประท้วงอะไรออกมา เขาก็ก้มลงไปจูบที่ริมฝีปากสีกุหลาบของเฮอร์ไมโอนี่อย่างแผ่วเบา
*************************************************
ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่และเดรโกเดินทางมาถึงไอซ์แลนด์ แฮร์รี่และรอนที่ลอบออกมาจากศูนย์บัญชาการภาคีนกฟินิกซ์ได้สำเร็จก็เดินทางมาถึงที่บ้านของครอบครัวเกรนเจอร์ซึ่งเป็นที่ที่เด็กสาวหายตัวไปในเช้าวันเดียวกันนั้นเอง
หลังจากที่แฮร์รี่กับรอนตัดสินใจจะหนีออกไปตามหาเฮอร์ไมโอนี่กันเองตามลำพังแล้ว ทั้งสองก็ใช้เวลาตลอดบ่ายอยู่ในห้องนอนเพื่อเก็บข้าวของสำหรับใช้เดินทาง โดยพวกเขาต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะเก็บมันให้พ้นจากสายตาของนางวีสลีย์เมื่อเธอเข้ามาทำความสะอาดห้อง และเมื่อตกดึกโชคก็เข้าข้างทั้งอย่างยิ่งเมื่อทีมสืบข่าวชุดสุดท้ายที่ถูกส่งออกไปนั้นกลับมาในตอนดึกพร้อมกับนำข่าวที่น่าผิดหวังกลับมาด้วย ดังนั้นหลังจากที่แฮร์รี่กับรอนได้ใช้หูยืดยาวดังฟังเรื่องที่สมาชิกภาคีประชุมกันอยู่จนได้ใจความว่าทีมสืบข่าวที่เพิ่งกลับมานั้นได้ทำงานล้มเหลวอีกครั้ง และพวกเขาได้ข้อมูลเกี่ยวกับเฮอร์ไมโอนี่ที่ทีมสืบข่าวเอามารายงานมากพอแล้ว (อันที่จริงมันแทบจะไม่มีข้อมูลอะไรที่พอจะเป็นประโยชน์ได้เลย) เด็กหนุ่มทั้งสองก็ใช้โอกาสที่พวกผู้ใหญ่ปิดห้องประชุมกับทีมสืบข่าวอยู่นั้นหนีออกมาจากศูนย์บัญชาการอย่างง่ายดาย
เนื่องจากในตอนที่แฮร์รี่กับรอนออกมาจากศูนย์บัญชาการภาคีนกฟินิกซ์นั้นเป็นเวลาใกล้เช้าแล้ว ทั้งสองจึงเลือกที่จะหายตัวมาที่ลอนดอนของพวกมักเกิ้ล และนั่งอยู่ในคาเฟ่ที่เปิดบริการยี่สิบยี่ชั่วโมงเพื่อรอจนถึงเวลาใกล้เช้าก่อนจะเดินทางไปยังบ้านของเฮอร์ไมโอนี่
แม้ว่าทั้งแฮร์รี่และรอนไม่เคยไปที่บ้านของเพื่อนรักมาก่อน แต่บ้านของครอบครัวเกรนเจอร์ก็หาเจอไม่ยาก จากที่อยู่ที่ทั้งสองใช้เขียนจดหมายติดต่อกับเพื่อนรักมาเป็นเวลาเกือบเจ็ดปีนั้นบอกว่าบ้านของเด็กสาวนั้นอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งแถบเซอร์รีย์
บ้านของครอบครัวเกรนเจอร์นั้นดูเหมือนบ้านปกติแถบละแวกบ้านเดียวกันของพวกเขา ต่างกันแค่ที่มันติดป้ายขายไว้ที่หน้าบ้านพร้อมกับเบอร์โทรศัพท์สำหรับผู้สนใจซื้อเท่านั้น แต่แฮร์รี่ก็รู้ดีว่านายและนางเกรนเจอร์ไม่ได้ขายบ้านหลังนี้แต่อย่างใด แต่ป้ายที่ว่านี้เป็นฝืมือของพวกภาคีเอามาติดไว้ต่างหาก และเบอร์โทรศัพท์บนป้ายนั้นก็เป็นเบอร์ปลอมที่เมื่อโทรแล้วจะตัดเข้าหมายเลขที่ยังไม่เปิดให้บริการ และเหตุผลที่เจ้าหน้าที่ภาคทำเช่นนี้เพราะมันเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้เพื่อนบ้านเข้าใจว่าครอบครัวเกรนเจอร์ได้ย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว ทั้งที่จริง ๆ แล้วพวกภาคีเองนี่ที่เป็นคนหาที่ซ่อนที่ปลอดภัยให้นายและนางเกรนเจอร์หลังจากที่ลูกสาวของพวกเขาถูกจับตัวไป
แฮร์รี่และรอนเดินเข้าไปในบ้านเกรนเจอร์อย่างระมัดระวัง แต่แฮร์รี่ก็ไม่ได้เตือนให้ระวังตัวมากเกินปกติโดยการยกไว้กายสิทธ์ขึ้นมาในท่าเตรียมพร้อมแต่อย่างใด เพราะเด็กหนุ่มคิดว่าผู้เสพความตายไม่น่าจะสนใจบ้านของครอบครัวนี้หลังจากที่มันได้ตัวเพื่อนรักของแฮร์รี่ไปแล้ว และเขาเองก็ไม่อยากเสี่ยงให้เพื่อนบ้านที่เป็นมักเกิ้ลเห็นชายแปลกหน้าสองคนถือไม้หน้าตาประหลาดเดินเข้ามาในบ้านที่ควรจะถูกทิ้งร้างแบบนี้
ในตัวบ้านนั้นไม่มีอะไรน่าสนใจมากนัก รวมทั้งไม่น่าจะมีเบาะแสอะไรเหลือไว้ให้แฮร์รี่ค้นหาอีกด้วย เนื่องจากทางภาคีเก็บกวาดความเสียหายที่เกิดจากการที่มีผู้เสพความตายมาเยือนบ้านออกไปแล้ว แต่ถึงกระนั้นเด็กหนุ่มผมดำก็ยังอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปสำรวจห้องรับแขกของบ้านซึ่งเป็นสถานที่ที่มือมีคนพบนายและนางเกรนเจอร์ถูกสะกดนิ่งอยู่ และเมื่อทั้งสองเข้าไปในบ้านพวกเขาก็ไม่พบเบาะแสอะไรมากไปกว่าสภาพของห้องรับแขกที่ถูกทิ้งร้างไว้เหมือนส่วนอื่น ๆ ของบ้าน แต่ที่เด็กหนุ่มผมดำเพิ่งสังเกตุเห็นก็คือพวกภาคีได้เก็บกวาดข้าวของของพวกเกรนเจอร์ลงไปในตู้จนเกือบหมด ไม่ว่าจะเป็นรูปถ่ายของครอบครัวหรือปฏิทินตั้งโต๊ะจนทำให้ห้องรับแขกแห่งนี้ดูโล่งเกินกว่าปกติแต่ก็ดูเหมาะสมสำหรับบ้านที่พวกภาคีต้องการให้เพื่อนบ้านคิดว่าเจ้าของได้ย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วแบบนี้
ขณะที่แฮร์รี่กำลังจ้องมองพื้นห้องรับแขกซึ่งเป็นสถานที่ที่มือปราบมารมาพบร่างของนายและนางเกรนเจอร์ถูกสะกดนิ่งอยู่บนพื้นอยู่นั้น รอนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาก็พูดขึ้น
“ฉันว่ามันไม่น่าจะมีเบาะแสอะไรเหลือให้เราแล้วนะ” เด็กหนุ่มผมแดงพูดอย่างมีเหตุผลต่างจากคำพูดปกติของเขา แต่แฮร์รี่กลับยังคงไม่ยอมละสายตาไปจากพื้นห้องที่ว่างเปล่านั้นแต่อย่างใด
“นายว่ามันแปลกไหม” แฮร์รี่พูดเหมือนรำพึงขึ้นมาพลางขมวดคิ้ว
“นายหมายถึงการเก็บกวาดของพวกภาคีอย่างนั้นเหรอ” รอนถามขึ้นอย่างเขลาๆ ขณะที่แฮร์รี่หันไปมองเพื่อนรัก
“ไม่ใช่ ฉันหมายถึง นายว่ามันแปลกไปหน่อยสำหรับผู้เสพความตาย ที่เขาไม่ได้ฆ่าพ่อแม่ของเฮอร์ไมโอนี่ แต่แค่สะกดนิ่งพวกเขาเฉยๆ” แฮร์รี่พูด ขณะที่เด็กหนุ่มผมแดงมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
“ฉันไม่เข้าใจหรอกว่าไอ้พวกสารเลวนั่นจะคิดยังไง” รอนตอบอย่างเย็นชา ราวกับความคิดที่ว่าผู้เสพความตายบางคนได้ใช้กำลังบังคับเอาตัวเฮอร์ไมโอนี่ไปนั้นไปกระตุ้นต่อมโกรธในตัวเขา
“ฉันหมายความว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ฆ่าพ่อแม่ของเฮอร์ไมโอนี่ทิ้งเสีย ในเมื่อมันเป็นเรื่องปกติของพวกนั้นแล้วที่จะต้องระเบิดใครก็ตามที่ขวางทางไปให้พ้น แต่ทำไมพวกนั้นถึงแค่สะกดนิ่งคุณกับคุณนายเกรนเจอร์ แล้วจับตัวเฮอร์ไมโอนี่ไป” เด็กหนุ่มผมดำอธิบาย ขณะที่เพื่อนรักของเขาพยายามที่จะเข้าใจในสิ่งที่เขากำลังพูด
“อาจจะเป็นเพราะพวกมันต้องการให้เฮอร์ไมโอนี่ยอมไปกับพวกมันดี ๆ หรือเปล่า” รอนตอบขึ้นมา แม้ว่าคำตอบนั้นจะห่างไกลกับความเป็นจริงมากก็ตาม แต่มันก็มีเหตุผลไม่น้อยทีเดียว “พวกมันอาจจะขู่ว่าจะฆ่าพ่อแม่ของเธอถ้าหากเฮอร์ไมโอนี่ไม่ยอมไปกับมันแต่โดยดี อีกอย่างพวกนั้นคงไม่อยากเสี่ยงให้พวกมักเกิ้ลแถบนี้ได้ยินเสียงหรือเห็นการต่อสู้หรอก ถ้าหากเฮอร์ไมโอนี่เกิดขัดขืนขึ้นมา”
แม้แต่แฮร์รี่เองก็ต้องทึ่งกับความมีเหตุผลของรอนซึ่งเขาไม่ได้แสดงออกมาบ่อยนักจนเด็กหนุ่มผมดำต้องหยักหน้าออกมาเบา ๆ ก่อนจะพูดขึ้น
“มันก็น่าจะเป็นไปได้” แฮร์รี่กล่าว “ฉันอยากจะขึ้นไปดูข้างบนหน่อย นายจะไปด้วยกันไหม”
และเมื่อเห็นว่ารอนพยักหน้าเบา ๆ แฮร์รี่ก็เดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของบ้านโดยที่เขาไม่ลืมที่จะหยิบไม้กายสิทธิ์มาถือไว้หลังจากที่เดินขึ้นบันไดบ้านมาแล้ว เพราะถึงแม้ว่าเขาจะคิดว่าพวกผู้เสพความตายจะไม่สนใจบ้านร้างของครอบครัวเกรนเจอร์แล้วก็ตาม แต่เขาก็ไม่อาจประมาทได้ในสถานการณ์แบบนี้ โดยเฉพาะการขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านที่จะทำให้เขาถูกซึ่มโจมตีได้ง่ายกว่าในกรณีที่มีคนอื่นแอบอยู่บนนั้น อีกทั้งเด็กหนุ่มก็ไม่ลืมที่จะเตือนให้เพื่อนรักของเขาหยิบไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาด้วย
แต่ปรากฏว่าชั้นสองของบ้านเกรนเจอร์นั้นไม่ได้มีอะไรน่าสนใจมากเช่นเดียวกับชั้นหนึ่งของบ้านเมื่อเด็กหนุ่มทั้งสองเข้าไปสำรวจภายในห้องนอนต่าง ๆ ของบ้านก็พบว่าข้าวของของพวกเกรนเจอร์ถูกเก็บไปหมดเหลืออยู่แค่เฟอร์นิเจอร์บางชิ้นเท่านั้นราวกับพวกเขาได้ย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วจริง ๆ หลังจากที่สำรวจห้องนอนของนายและนางเกรนเจอร์ซึ่งไม่มีอะไรพิเศษแล้ว ทั้งสองก็เข้าไปยังห้องนอนของเฮอร์ไมโอนี่
แน่นอนว่าทั้งแฮร์รี่และรอนไม่เคยเข้ามาในห้องนอนของเฮอร์ไมโอนี่มาก่อน แต่ห้องนอนของเด็กสาวก็ไม่ต่างจากที่เด็กทั้งสองจินตนาการไว้นัก เพราะมันถูกตกแต่งไปด้วยโทนสีอ่อนตามแบบฉบับของเด็กผู้หญิง ข้าวของในห้องนั้นถูกจัดเก็บอย่างเรียบร้อย แม้ว่าส่วนหนึ่งจะมาจากฝีมือของสมาชิกภาคีที่เข้ามาจัดการบ้านหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ตาม แต่แฮร์รี่ก็แน่ใจว่าห้องของเฮอร์ไมโอนี่เดิมคงต้องเรียบร้อยดีอยู่แล้วเนื่องจากเขารู้นิสัยของเพื่อนรักดี
แม้ว่าเจ้าของห้องจะไม่ได้เข้ามาใช้ห้อง ๆ นี้มาระยะหนึ่งแล้วก็ตาม แต่ห้องนอนนี้ก็ยังมีกลิ่นไอที่บอกถึงความเป็นเฮอร์ไมโอนี่อยู่ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นสะอาดและความเป็นระเบียบของห้อง จนมันอดทำให้เด็กหนุ่มผมดำคิดถึงเพื่อนรักของเขาที่หายตัวไปไม่ได้
และเป็นเพราะการคิดถึงเพื่อนรักของแฮร์รี่เองที่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึงถึงความรู้สึกผิดที่เอ่อล้นอยู่ในอกพร้อม ๆ กับความรู้สึกห่วงหาเพื่อนรักอีกคนหนึ่งของเขา ป่านนี้เฮอร์ไมโอนี่จะเป็นอย่างไรบ้างนะ เธอจะยังมีชีวิตอยู่ไหม และหากเธอยังมีชีวิตอยู่เขาจะสามารถหาเธอพบไหม และเขาจะสามารถหาเธอได้พบในสภาพไหน กัน คำถามเหล่านี้วนเวียนอยู่ในห้องของแฮร์รี่มาตลอด ตั้งแต่วินาทีแรกที่เรารู้ข่าวการหายตัวไปของเพื่อนรักเขาก็ไม่เคยหยุดเป็นห่วงเธอได้เลย และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือการที่แฮร์รี่รู้อยู่เต็มอกว่าการหายตัวไปของเฮอร์ไมโอนี่นั้นมีต้นเหตุมาจากเขา เพราะเธอเป็นเพื่อนรักของเขาเธอจึงถูกจับตัวไปแบบนี้ มันจึงทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับเด็กสาวล่ะก็ มันก็มาจากเขาเป็นต้นเหตุ และทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเธอก็เป็นความผิดของเขาเอง
และเมื่อความรู้สึกเจ็บปวดเริ่มเอ่อล้นในอกของเด็กหนุ่มผมดำเขาจึงแสร้งออกเดินสำรวจห้องนอนของเฮอร์ไมโอนี่แทนเพื่อกลบเกลื่อนท่าทีที่อ่อนแอของเขาไม่ให้รอนเพื่อนรักเห็น เนื่องจากรู้ดีว่าเขาควรจะทำตัวให้ดูเข้มแข็งมากก่าอะไรทั้งหมดและไม่ควรอย่างยิ่งที่จะแสดงความอ่อนแอออกมาต่อหน้ารอนแบบนี้ ดังนั้นแฮร์รี่จึงเริ่มเปิดตู้ต่าง ๆ ในห้องของเฮอร์ไมโอนี่และเมื่อเขาไปเปิดตู้ข้างเตียงของเด็กสาวเด็กหนุ่มก็เจอเข้ากับกระเป๋าถือลูกปัดใบหนึ่งที่วางสงบนิ่งอยู่ภายในตู้ลิ้นชักนั้นแค่เพียงอันเดียว และเพราะเหตุใดอะไรแฮร์รี่ก็ไม่อาจทราบได้เขาก็หยิบกระเป๋าลูกปัดที่มีขนาดเท่ากับกระเป๋าถือของผู้หญิงธรรมดาๆ ขึ้นมา
“นั่นอะไรน่ะ” รอนถามขึ้นมาจากอีกมุมหนึ่งของห้อง
“กระเป๋าถือน่ะ นายจำได้ไหมว่าเฮอร์ไมโอนี่มีกระเป๋าแบบนี้หรือเปล่า” แฮร์รี่พูดส่งกระเป๋าใบนั้นไปให้รอน แต่เนื่องจากรอนที่มีสีหน้างงงวยอยู่นั้นยื่นมือมารับไม่ทันจึงทำให้กระเป๋าดังกล่าวหลุดจากมือของเด็กหนุ่มและตกไปยังพื้นห้อง
เสียงที่ดังตามมานั้นคือเสียงราวกับของจำนวนมากตกกระทบพื้น ซึ่งเด็กทั้งสองแยกไม่ออกว่ามันเป็นเสียงของสิ่งของอะไรบ้าง แต่เท่าที่แฮร์รี่กับรอนรู้ก็คือในกระเป๋าใบเล็ก ๆ นี้น่าบรรจุของจำนวนมากเอาไว้เกินกว่าขนาดของมัน แต่ก็เป็นโชคดีของทั้งสองที่หน้าต่างห้องนอนของเฮอร์ไมโอนี่นั้นปิดสนิท จึงทำให้โอกาสที่เพื่อนบ้านจะได้ยินเสียงของจำนวนมากนี้ตกพื้นมีไม่มากนัก หลังจากที่แฮร์รี่กับรอนจ้องมองไปที่กระเป๋าลูกปัดใบเล็กนั้นและเงยหน้าขึ้นแลกเปลี่ยนสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยต่อกัน เด็กหนุ่มผมดำก็หยิบกระเป๋าในนั้นขึ้นมาและเปิดมันออกด้วยสีหน้าสงสัยด้วยความรู้สึกแปลกใจว่าทำไมกระเป๋าใบเล็กที่เบาราวกับไม่ได้ใส่อะไรไว้จะทำให้เกิดเสียงราวกับมีของจำนวนมากบรรจุอยู่แบบนี้ได้ แต่เมื่อแฮร์รี่เปิดมันออกเขาก็พบคำตอบที่เขากำลังสงสัยอยู่ เพราะหลังจากใช้เวลาสำรวจอยู่ไม่นานแฮร์รี่ก็พบว่ากระเป๋าที่เขากำลังถืออยู่นั้นน่าจะถูกเสกคาถาขยายพื้นที่ไว้แบบที่นายวีสลีย์เคยเสกใส่รถยนตร์ฟอร์ดแองเกียของเขาที่แฮร์รี่เคยนั่งตอนก่อนจะขึ้นปีที่ 2 ทำให้มันมีพื้นที่กว้างขวางขึ้นพอที่จะเก็บของจำนวนมากไว้ และเมื่อแฮร์รี่และรอนช่วยกันสำรวจของที่อยู่ในนั้นแล้วพวกเขาก็พบว่ามันเป็นของใช้ที่จำเป็นต่อการเดินทางไปตามหาฮอครักซ์ของสามสหายทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเต็นท์นอน เงิดสดของมักเกิ้ลจำนวนไม่น้อย เสื้อผ้า รวมไปถึงหนังสือจำนวนมากด้วย ซึ่งบอกพวกเขาว่าเฮอร์ไมโอนี่เป็นคนที่เสกคาถาขยายพื้นที่ไว้กับกระเป๋าใบนี้ และเธอก็เตรียมจัดของสำหรับเดินทางไปกับพวกเขาไว้ก่อนที่จะถูกจับตัวไป
และความจริงที่เพิ่งค้นพบนั้นมันทำให้มือของเด็กหนุ่มผมดำที่กำลังถือกระเป๋าอยู่เริ่มสั่นเทา เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ปวดร้าวโดยที่มีรอนยืนมองอยู่ข้าง ๆ อย่างเป็นห่วง
“เฮอร์ไมโอนี่เสกคาถาใส่กระเป๋านี่เพื่อเอาไว้ใช้ใส่ของเพื่อเดินทางไปกับพวกเรา....เพื่อเดินทางไปตามหาฮอครักซ์กับฉัน” เขาแก้คำพูดในประโยคสุดท้ายให้ถูกก่อนที่จะเริ่มรู้สึกว่าเขาไม่สามารถพูดอะไรต่อไปอีกได้แล้วขณะที่รอนที่เฝ้าสังเกตุอาการของเพื่อนรักอยู่วางมือลงบนบ่าของแฮร์รี่เบา ๆ พลางมองเขาด้วยสายตาที่เห็นใจ
“งั้นฉันว่านายน่าจะเก็บมันไว้ดีไหม เราจะได้เอาไปคืนให้เฮอร์ไมโอนี่ตอนที่เราเจอเธอ อีกอย่างมันคงจะมีประโยชน์กับเราอยู่ไม่น้อย เพราะมันน่าจะเอาไว้ใส่สัมภาระของพวกเราได้ด้วย” รอนพูดออกมาอย่างมีเหตุผล แม้ว่าปกติเขาจะแทบไม่เคยพูดจาที่มีเหตุผลแบบนี้ออกมาก็ตามแต่แฮร์รี่ก็ต้องรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่เขาพบว่าคำพูดของรอนช่วยเตือนสติของเขาได้ ดังนั้นเด็กหนุ่มผมดำจึงหันไปหาเพื่อนรักของเขาก่อนจะสารภาพออกมา
“แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันจะหาเธอเจอหรือเปล่านะ รอน อีกอย่างฉันไม่รู้ว่าจะเจอเธอในสภาพไหนด้วย นี่มันก็ตั้งเป็นเดือนแล้วตั้งแต่เธอหายตัวไป” แฮร์รี่พูดขึ้นมาอย่างสิ้นหวัง ขณะที่รอนจ้องมองเพื่อนของเขาอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะบีบไหล่เพื่อนรักเบา ๆ
“นายต้องหาเธอเจออย่างแน่นอน ฉันกับนายจะช่วยกันหาเธอจนเจอ และเราจะเอากระเป๋านี้ไปคืนให้เธอเมื่อถึงตอนนั้น แฮร์รี่” รอนพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงและแววตาที่มุ่งมั่น และถึงแม้ว่าคำพูดของรอนนั้นดูจะห่างไกลจากความเป็นไปได้เหลือเกิน แต่เด็กหนุ่มผมดำก็อดที่จะเชื่อคำพูดของเพื่อนรักไม่ได้ ขณะที่เขาแฮร์รี่พยักหน้าให้กับเด็กหนุ่มผมแดงอย่างรับรู้ ก่อนจะจัดแจงเก็บกระเป๋าลูกปัดของเฮอร์ไมโอนี่ลงในเป้ของเขาอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นไม่นานนักหลังจากที่เด็กหนุ่มทั้งสองได้สำรวจส่วนอื่น ๆ ในห้องของเฮอร์ไมโอนี่และไม่ได้พบเบาะแสอะไรไปมากกว่ากระเป๋าลูกปัดซึ่งขณะนี้นอนสงบนิ่งอยู่ในเป้ของแฮร์รี่นั้น ทั้งแฮร์รี่และรอนก็ออกจากบ้านของครอบครัวเกรนเจอร์เพื่อเริ่มเดินทางตามหาเพื่อนรักที่หายตัวไปของพวกเขา แม้ว่าพวกเขาทั้งสองจะไม่รู้ว่าจะเริ่มค้นหาเธอจากตรงไหน รวมทั้งไม่รู้ว่าในที่พวกเขาเพิ่งออกเดินทางนี้เธอยังจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตาม แต่สิ่งเดียวที่เป็นความหวังซึ่งทำให้แฮร์รี่มีกำลังใจที่จะเดินทางตามหาเฮอร์ไมโอนี่ในครั้งนี้ก็คือ การที่เด็กสาวเป็นเพื่อนที่สำคัญสำหรับเขามากที่สุดคนหนึ่ง และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แฮร์รี่ก็จะต้องตามหาเฮอร์ไมโอนี่ให้เจอจนได้!
*************************************************
คุยกันหลังอ่าน
ไม่มีอะไรจะบอกมากไปกว่าขอโทษนะคะที่ลงช้ามาเป็นเดือน ขอโทษที่ให้นักอ่านรอ เพราะช่วงก่อนหน้านี้เราไม่มีเวลาเลยจริง ๆ เพราะว่าเรียนหนักมาก ตอนนี้ถึงแม้ว่าจะไม่ยาวเท่าไหร่แต่ก็คงหวังว่าจะชอบกันนะคะ เพราะเป็นตอนที่พระนางของเราเริ่มเข้าใจกันแล้วค่ะ อ้อ นอกจากนี้เราของแจ้งข่าวหน่อยนะคะ เนื่องจากว่าตอนนี้เราเรียนหนักมากเพราะเป็นปีสุดท้ายแล้ว แล้วช่วงนี้ก็ใกล้สอบแล้ว เราคงจะมาอัพฟิคได้ไม่บ่อยเหมือนเดิมนะคะ อาจจะอัพได้ 2 อาทิตย์ครั้ง สำหรับตอนหน้านั้นเราคงอัพได้หลังจากนี้ 2 อาทิตย์นะคะ คงต้องรอให้เรากลับจากงาน Harry Potter Exhibition ก่อนค่ะ แต่เรื่องนี้เราคาดว่าน่าจะปั่นให้จบได้ภายในก่อนเปิดเทอม 2 ค่ะ ส่วนฟิคเรื่องอื่น ๆ รบกวนรอหลังจากนั้นนะคะ เพราะเราไม่มีเวลาจริง ๆ ค่ะ TT^TT
ความคิดเห็น