คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #24 : ความลับของศาสตร์มืดที่สุด: Secrests of the Darkest Art +++มีการแก้ไขเนื้อหา+++
***Chapter 24 ความลับของศาสตร์มืดที่สุด: Secrests of the Darkest Art***
คุยกันก่อนอ่านนะคะ
พิกได้แก้ไขเนื้อหาในตอนที่ 24 นี้ให้เข้ากับเนื้อเรื่องในหนังสือและตอนจบที่วางไว้แล้วนะคะ โดยเนื้อหาที่มีการแก้ไขจะเป็นตัวหนังสือสีเขียวเข้มนะคะ ใครที่อ่านตอนที่ 24 นี้ไปแล้ว ลองเข้าอ่านเฉพาะตอนที่มีการแก้ไขใหม่นะคะ จะได้เข้าใจค่ะ ขอบคุณค่ะ
เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกได้ถึงสายลมที่พัดผ่านร่างพร้อมกับกลิ่นของอิสระภาพที่ลอยอยู่ในอากาศขณะที่เธอโน้มตัวออกไปนอกหน้าต่าง แต่ก่อนที่ร่างงามของเธอจะร่วงหล่นลงสู่พื้นดินเย็นเฉียบด้านล่างซึ่งมีมัจจุราชรอรับร่างของเธออยู่นั้น เสียงป็อปก็ดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของดีน่า และทันทีที่มันเห็นว่าเด็กสาวกำลังทำอะไร แม้ว่ามันจะไม่แน่ใจก็ตามว่าสิ่งที่มันเห็นนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ แต่เอลฟ์ก็รวดเร็วพอที่จะทิ้งหนังสือในอ้อมแขนและใช้เวทย์มนตร์โดยการดีดนิ้วหนึ่งครั้ง
ราวกับมีเส้นเชือกที่มองไม่เห็นมารั้งร่างของเฮอร์ไมโอนี่เอาไว้ก่อนที่จะร่วงหล่นไปเบื้องล่างและดึงเธอกลับขึ้นมาในห้องตามเดิมก่อนที่เอลฟ์จะร่ายคาถาปิดหน้าต่างห้อง และสิ่งที่เฮอร์ไมโอนี่ได้เห็นต่อมานอกจากอิสระภาพที่เธอถวิลหามานานที่เพิ่งหายวับไปกับตาก็คือดวงตาสีฟ้าของดีน่าที่จ้องมองมาทางเธออย่างเป็นห่วงระคนตกใจ
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ!” มันพูดพลางเดินเข้ามาสำรวจร่างของเฮอร์ไมโอนี่ว่ามีตรงไหนบุบสลายหรือไม่ และเมื่อเห็นว่าเธอปรกติดี มันก็เงยหน้าถามเด็กสาว
“คุณทำแบบนี้ทำไมคะ!” ดีน่ากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดุดันมากกว่าทุกครั้งที่มันเคยให้กับเฮอร์ไมโอนี่ เธอหลบตาเอลฟ์ทันทีที่มันถามคำถามนั้น ดวงหน้างามของเธอส่อแววทุกข์ระทม
ไม่มีคำพูดใด ๆ เล็ดรอดออกมาจากริมฝีปากของเฮอร์ไมโอนี่
“ดีน่าไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เธอเห็นนั้นถูกต้องอย่างที่เธอคิดหรือเปล่า แต่ดีน่าแน่ใจว่าเธอเห็นคุณกำลังจะฆ่าตัวตาย อะไรทำให้คุณคิดแบบนั้นคะ” มันถามซ้ำ แต่เฮอร์ไมโอนี่ยังคงไม่ยอมตอบมัน
“ฉัน....” เด็กสาวพูดออกมาเพียงเท่านั้นก่อนจะเงียบไป ดีน่ามองเธออย่างจนใจ แต่เมื่อมันเห็นว่าเฮอร์ไมโอนี่ไม่ยอมตอบมัน เอลฟ์จึงพูดขึ้น
“ถ้าคุณจะไม่ตอบก็ไม่เป็นไรค่ะ แต่ดีน่าคงต้องรายงานนายน้อย” ราวกับคำว่า ‘นายน้อย’ ไปกระตุ้นความหวาดกลัวของเฮอร์ไมโอนี่ขึ้นมา ดวงตาสีน้ำตาลของเด็กสาวเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ มือของเธอเอื้อมมาคว้าแขนเล็ก ๆ ของดีน่าไว้ทันที
“ไม่นะดีน่า! ได้โปรดอย่าบอกเขา!” เธออ้อนวอน แววตาของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัวราวกับเธอรู้ดีว่าถ้ามัลฟอยรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเขาจะโกรธเพียงใด และสิ่งใดเป็นผลที่ตามมาจากโทสะของเขา
เอลฟ์มองดีน่าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเห็นใจ
“งั้นคุณตอบคำถามดีน่าได้ไหมคะ คุณบอกดีน่าได้ไหมว่าคุณตั้งใจฆ่าตัวตายจริงหรือเปล่า” เอลฟ์ถามน้ำเสียงเฉียบขาดแต่แฝงไปด้วยความสงสาร
“ได้โปรด สัญญากับฉันว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับเขา” เธออ้อนวอน
“ดีน่าจะไม่บอกนายน้อยค่ะ ถ้าคุณตอบคำถามของเธอ” เอลฟ์พูดด้วยน้ำเสียงแน่แน่ว เฮอร์ไมโอนี่กัดริมฝีปากก่อนจะพูดออกมาอย่างยากลำบาก
“จริง.......ฉันพยายามจะฆ่าตัวตายจริง” เด็กสาวสารภาพ เธอก้มหน้าต่ำเพื่อหลบสายตาเอลฟ์ แต่น้ำตาหยดเล็ก ๆ ที่ไหลอาบแก้มของเธอก็ไม่สามารถรอดสายตาของดีน่าไปได้ เมื่อเห็นเช่นนั้นเอลฟ์จึงกลืนคำพูดที่เธอกำลังจะพูดต่อว่าเฮอร์ไมโอนี่ลงคอไป และเปลี่ยนไปเป็นปลอบใจเธอแทน
“คุณทำแบบนี้ทำไมกันคะ” เอลฟ์พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง แต่เด็กสาวไม่ตอบ อันที่จริงเธอไม่สามารถตอบออกมาได้มากกว่า เพราะหลังจากดีน่าถามคำถามนั้นออกไปก็ไม่มีเสียงใดเล็ดรอดออกจากริมฝีปากของเฮอร์ไมโอนี่นอกจากเสียงสะอื้นของเธอ
“คุณคะ......” เอลฟ์มองเธออย่างสงสารก่อนจะเอื้อมมือผอม ๆ ของมันไปแตะไหล่ที่สั่นเทาของเธอ
“ฉัน.......ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้วดีน่า” เสียงที่เอ่ยออกมานั้นช่างแผ่วเบา หากแต่เต็มไปด้วยความปวดร้าว “ฉันไม่อยากอยู่เป็นทาสของเขาอีกต่อไปแล้ว ฉันไม่อยากให้เขาทำร้ายฉันอีกต่อไปแล้ว” สิ้นเสียงที่สั่นเทาเฮอร์ไมโอนี่ก็ปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น เด็กสาวยกมือปิดหน้าก่อนจะร้องไห้จนตัวโยน ขณะที่เอลฟ์มองเด็กสาวตรงหน้าด้วยความรู้สึกสงสารจับใจ
“แต่นายน้อยไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายคุณนะคะ” มันพูดขึ้น และเฮอร์ไมโอนี่ก็เงยหน้าขึ้นมองมันอย่างไม่เข้าใจ แต่เธอก็ไม่เถียงอะไรออกมา ตรงกันข้ามรอยยิ้มบาง ๆ กลับผุดขึ้นบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา แน่นอนว่ารอยยิ้มนั้นไม่ได้เป็นรอยยิ้มที่เกิดมาจากความสุขแต่มันเป็นรอยยิ้มราวกับจะเย้ยหยันในโชคชะตาของตัวเอง
“เธอไม่ต้องมาปลอบใจฉันหรอกดีน่า” เฮอร์ไมโอนี่พูดเสียงเย็น “ฉันรู้ดีว่านายน้อยของเธอต้องการเก็บฉันไว้เพื่ออะไร”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะเจ้าคะ....นายน้อยไม่ได้จะตั้งใจทำร้ายคุณจริง ๆ นะคะ นายน้อย........” ดีน่าพยายามจะอธิบายแต่เด็กสาวกลับขัดขึ้นก่อนที่มันจะพูดจบ
“ฉันไม่อยากได้ยินชื่อเขา” เธอพูดอย่างเย็นชา ท่าทีอ่อนแอของเธอหายไปในทันที
“แต่.....” ดีน่าพยายามจะพูดต่อ
“เธอเอาหนังสือมาให้ฉันหรือเปล่าดีน่า” เธอถามขึ้นในทันทีขณะที่กำลังเช็ดน้ำตาของตัวเองอยู่
“ค่ะ ดีน่าเอาหนังสือมาได้ครบตามที่คุณสั่งค่ะ” เอลฟ์บอกอย่างกระตือรือล้น แม้ออกจะแปลกใจกับอารมณ์ของเฮอร์ไมโอนี่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วก็ตาม
“’งั้นมันอยู่ไหนล่ะ ช่วยเอามาให้ฉันหน่อยสิ” เธอพูดเรียบ ๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้นดีน่าจึงเดินเตาะแตะไปหยิบหนังสือที่มันทำตกในทีแรกมาให้เฮอร์ไมโอนี่ เด็กสาวรับมันมาดูอย่างเร็ว ๆ แล้วหัวใจของเธอก็เต้นแรงเมื่อเธอเห็นหนังสือที่มีหน้าปกสีดำประดับด้วยลวดลายสีม่วงและมีตัวอักษรเขียนไว้ว่า ‘ความลับของศาสตร์มืดที่สุด’ หนังสือเล่มนั้นดูเก่าแก่หากแต่มีสภาพดีกว่าเล่มที่เธอเอามาจากห้องสมุดส่วนตัวของดัมเบิลดอร์มากนัก
มือของเฮอร์ไมโอนี่ลูบปกของมันด้วยความตื่นเต้น ท่าทีโศกเศร้าหายวับไปในพริบตาแต่ถึงอย่างไรเธอก็ไม่อาจแสดงอาการดีใจออกไปได้อย่างชัดเจน เพราะมันจะทำให้ดีน่าผิดสังเกตได้
เด็กสาวละสายตาจากหนังสือก่อนจะหันมาทางเอลฟ์ที่กำลังจ้องมองเธออยู่
“ขอบใจมากนะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิม ขณะที่ดีน่าก้มศีรษะลงต่ำอย่างที่มันทำเป็นประจำ
“การรับใช้คุณผู้หญิงเป็นงานของดีน่าค่ะ” เมื่อมันพูดจบเฮอร์ไมโอนี่ก็วางหนังสือลงข้างกายก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือเล็ก ๆ ของเอลฟ์ไว้ มันมองเธออย่างแปลกใจ
“ฉันมีเรื่องจะขอร้องเธอหน่อยดีน่า ได้โปรดอย่าบอกมัลฟอยเรื่องที่เกิดขึ้น” เด็กสาวขอร้อง ขณะที่ดีน่ามีท่าทีลำบากใจ
“ได้โปรดเถอะดีน่า เธอก็รู้ว่ามัล..... นายน้อยของเธอคงต้องโกรธมากแน่ ๆ ถ้าเขารู้เรื่องที่ฉันพยายามจะทำ แล้วเธอก็รู้นี่นาว่าถ้าเขาโกรธแล้วฉันรวมทั้งเธอเองจะเดือดร้อนแค่ไหน” เฮอร์ไมโอนี่อ้อนวอน แม้ว่าการฆ่าตัวตายจะดูเป็นเรื่องเล็กไปเลยถ้าเทียบกับการที่จะทำให้ใครบางคนโกรธ แต่สำหรับเด็กสาวแล้ว เธอแน่ใจว่าเธอยอมเลือกความตายมากกว่าต้องมาเผชิญหน้ามัลฟอยเวลาที่เขากำลังโกรธ เพราะแน่นอนว่าผลที่จะตามมาสำหรับเธอนั้นมันเลวร้ายกว่าความตายมากนัก
เอลฟ์สาวมีท่าทีลังเลกับคำพูดของเฮอร์ไมโอนี่ แต่เมื่อเห็นสายตาอ้อนวอนของเด็กสาวมันก็ใจอ่อนได้ไม่ยาก
“ตกลงค่ะ ดีน่าจะไม่บอกนายน้อยในเรื่องที่เกิดขึ้น ถ้าคุณสัญญากับเธอว่าคุณจะไม่คิดสั้นอีก” มันบอก เฮอร์ไมโอนี่อึ้งไปเล็กน้อยกับคำพูดนั้นเพราะเธอรู้ดีว่าสิ่งที่ดีน่าขอเป็นสัญญาที่เธอไม่แน่ใจว่าจะสามารถรักษาได้หรือไม่ แต่หากเธอไม่ยอมสัญญากับดีน่าในตอนนี้มันก็อาจจะไปบอกมัลฟอยเรื่องที่เธอพยายามจะฆ่าตัวตายซึ่งแน่นอนว่ามันจะนำความเดือดร้อนมาสู่ตัวเธอเป็นแน่
“ฉัน....ฉันสัญญาว่าฉันจะไม่คิดโง่ ๆ แบบนั้นอีก” เธอเอ่ยขึ้นในที่สุด “ส่วนเธอก็สัญญากับฉันด้วยนะดีน่าว่าเธอจะไม่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นายน้อยของเธอฟัง”
“เจ้าค่ะ คุณผู้หญิง ดีน่าจะไม่ปริปากพูดเรื่องของคุณผู้หญิงให้นายน้อยฟังเด็ดขาดเจ้าค่ะ” มันรับคำด้วยน้ำเสียงกระตือรือล้น เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มบาง ๆ ให้มันและกล่าวคำขอบคุณก่อนจะบอกมันว่าเธออยากพักผ่อน เมื่อได้ยินเช่นนั้นเอลฟ์ก็ออกจากห้องไปในทันที
เมื่อแน่ใจว่าดีน่าออกจากห้องไปแล้ว เฮอร์ไมโอนี่ก็รีบหยิบหนังสือที่เป็นความหวังเดียวของเธอขึ้นมา แน่นอนว่ามันเป็นหนังสือชื่อ ‘ความลับของศาสตร์มืดที่สุด’ แบบเดียวกับที่เธอเคยเอามาจากห้องสมุดส่วนตัวของดัมเบิลดอร์หลังจากที่เขาเสียชีวิต แต่เล่มที่คฤหาสน์มัลฟอยนั้นดูใหม่และสะอาดกว่าและไม่มีร่องรอยการใช้งานมากเท่าเล่มก่อนหน้าที่เธออ่าน แต่มันก็ยังคงให้ความรู้สึกว่ามันซ่อนคาถาที่เป็นอันตรายเอาไว้
แต่ครั้งนี้หนังสือที่ดูเหมือนจะเป็นอันตรายกับเธอนั้นกลับเป็นทางรอดเดียวของเฮอร์ไมโอนี่ในการที่จะหนีไปจากที่นี่ได้!
เด็กสาวเปิดหนังสือในมือเร็ว ๆ อย่างไม่กลัวว่ามันจะยับเหมือนปรกติ เธอเปิดไปที่สารบัญเพื่อหาว่าเรื่องที่เธอต้องการอ่านอยู่ที่หน้าไหน
เฮอร์ไมโอนี่ใช้เวลาไม่นานนักบทความเรื่อง ‘ สัญญาทาสชั่วนิรันดร์ ’ ก็ปรากฏสู่สายตาของเธอ มันถูกอธิบายด้วยหนังสือสไตล์โกธิค ข้าง ๆ บทความมีรูปพ่อมดคนหนึ่งคุกเข่าอยู่หน้าพ่อมดอีกคนอย่างสิ้นหวัง สองแขนของเขายื่นออกไปข้างหน้าในเชิงยอมแพ้ราวกับมีโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นล่ามเขาไว้ ถัดจากรูปดังกล่าวมีข้อความดังต่อไปนี้
สัญญาทาสทั่วนิรันดร์
เท่าที่รู้กันดีในหมู่พ่อมดแม่มด สัญญาทาสชั่วนิรันดร์เป็นเวทย์มนตร์ขั้นสูงที่พ่อมดหรือแม่มดคนหนึ่งใช้ผูกมัดพ่อมด แม่มด หรือมักเกิ้ลอีกคนหนึ่งหรือหลายคนเข้ากับตนในฐานะทาสของพวกเขาชั่วนิรันดร์ โดยผู้ที่ทำสัญญาหรือฝ่ายเจ้านายนั้นจะมีสิทธิ์เหนือผู้ถูกทำสัญญาหรือทาสทุกอย่าง เจ้านายสามารถสั่งให้ทาสของพวกเขาทำทุกอย่างได้ตามแต่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเช่นการใช้ให้ไปเก็บกวาดทำความสะอาดที่พักไปจนถึงเรื่องใหญ่หลวงแม้แต่การสั่งให้ทาสลงมือปลิดชีวิตของตัวเองเลยทีเดียว และแน่นอนว่าทาสเหล่านั้นไม่มีทางขัดขืนคำสั่งของเจ้านายได้เลยแม้แต่น้อย
เฮอร์ไมโอนี่กวาดสายตาผ่านประวัติความเป็นมาของสัญญาทาสรวมถึงขั้นตอนวิธีการทำมันไป พลางมองหาวิธีลบล้างมันแทน และเมื่อเด็กสาวเปิดหนังสือไปได้ 2-3 หน้าเธอก็ต้องเจอสิ่งที่เธอต้องการหา
วิธีลบล้างสัญญาทาสชั่วนิรันดร์
แม้ว่าชื่อของมันจะบอกอย่างชัดเจนอยู่แล้วว่าคาถานี้เป็นสัญญาทาสที่ทำขึ้นชั่วนิรันดร์ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีเพียงไม่กี่วิธีที่สามารถลบล้างสัญญาทาสไปได้ และเกือบทุกวิธีนั้นต้องมาจากความเต็มใจของเจ้านายผู้เป็นคนเสกสัญญาทาสนี้ขึ้นมาทั้งสิ้น
วิธีแรก และเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการลบล้างสัญญาทาสก็คือ ความตาย เมื่อใดก็ตามที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถึงแก่ความตาย สัญญาทาสชั่วนิรันดร์ก็จะจบสิ้นลง ในกรณีที่ผู้เป็นเจ้านายมีทาสในครอบครองหลายคนเมื่อเขาถึงแก่ความตาย ทาสทั้งหมดเหล่านั้นก็จะเป็นอิสระ
วิธีที่สอง การยกเลิกสัญญาทาสเป็นวิธีที่ต้องอาศัยความเต็มใจของผู้เป็นเจ้านายที่จะปลดปล่อยทาสของตนไปเท่านั้น การปลดปล่อยมีสองแบบก็คือแบบชั่วคราวและแบบถาวร แบบชั่วคราวนั้นคือในกรณีที่เจ้านายไม่ต้องการให้ทาสอยู่ใกล้ ๆ อีกต่อไปแต่ก็ไม่อยากปลดปล่อยทาสออกจากสัญญาทาสอย่างถาวร เจ้านายจะสามารถสั่งให้ทาสไปที่อื่นโดยไม่ต้องมาพบเขาอีกได้เป็นเวลานาน แต่สัญญาจะไม่ถูกลบล้างไปแต่อย่างใด และเมื่อใดที่เจ้านายต้องการตัวทาสกลับมารับใช้อีกครั้งพวกเขาก็สามารถเรียกทาสในครอบครองกลับมาได้ สำหรับการปลดปล่อยแบบถาวรนั้นเกิดขึ้นเมื่อเจ้านายไม่ต้องการทาสคนนั้นอีกต่อไปแล้ว ผู้เป็นเจ้านายสามารถร่ายคาถาเพื่อปลดปล่อยทาสออกจากครอบครองได้ตลอดกาล แต่วิธีนี้มีข้อจำกัดตรงที่เมื่อสัญญาจบลงผู้เป็นทาสจะไม่มีทางพบเจอเจ้านายของพวกเขาได้อีกเลย และถ้าทั้งสองกลับมาพบกันอีกครั้งมันจะนำมาซึ่งความทรมานอย่างแสนสาหัสแก่ผู้เป็นทาส โดยเลือดของผู้เป็นเจ้านายในตัวของทาสจะแปรเปลี่ยนเป็นเปลวเพลิงที่แผดไหม้ตัวทาสจนอาจถึงแก่ความตายได้ เท่าที่ปรากฏแทบไม่มีผู้ใดใช้การลบล้างสัญญาทาสชั่วนิรันดร์แบบถาวรเลย เพราะถึงอย่างไรเวทย์มนตร์มืดที่ได้มีการกระทำไว้ก็ยังคงส่งผลในตัวของทาสอยู่ดี ส่วนมากแล้วหากผู้เป็นเจ้านายเบื่อหรือไม่ต้องการทาสของเขาแล้ว ผู้เป็นเจ้านายจะนิยมฆ่าทาสทิ้งเสียมากกว่าทำการลบล้างสัญญาทาส
เฮอร์ไมโอนี่ถอนหายใจเมื่อเธออ่านสัญญาทาสจบ แม้จะพอมีวิธีที่สามารถลบล้างสัญญาทาสชั่วนิรันดร์ได้ แต่แต่ละวิธีนั้นล้วนทำได้ยากยิ่ง อีกทั้งมันยังต้องอาศัยความเต็มใจจากเจ้านายของเธอซึ่งก็คือเดรโก มัลฟอยทั้งสิ้น และแน่นอนว่าการที่มัลฟอยจะยอมปล่อยเธอซึ่งเป็นทาสของเขาแถมยังเป็นเหยื่อล่อชั้นดีของโวลเดอมอร์จากพันธนาการทาสนี้ไปนั้นมีความเป็นไปได้พอ ๆ กับการที่โวลเดอมอร์จะกลับตัวเป็นคนดีเลยทีเดียว
อันที่จริงมีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่สามารถลบล้างสัญญาทาสได้โดยไม่ต้องอาศัยความเห็นชอบจากเดรโก และมันก็เป็นวิธีที่เฮอร์ไมโอนี่รู้ดีรวมทั้งเธอเกือบจะทำมันลงไปแล้วด้วยซ้ำ!
วิธีดังกล่าวก็คือ ความตาย ใช่แล้ว ความตายเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดจะพรากเจ้านายกับทาสออกจากกันตราบชั่วนิรันดร์ และแม้ว่ามันจะเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดก็ตามแต่แน่นอนว่าเฮอร์ไมโอนี่จะต้องเลือกมันเป็นวิธีสุดท้ายถ้าหากเธอไม่สามารถหาทางอื่นได้แล้ว
แต่เธอจะหาทางใดได้เล่า ในเมื่อหนังสือก็บอกอย่างชัดเจนอยู่แล้วว่าการยกเลิกสัญญาทาสชั่วนิรันดร์ต้องอาศัยความเต็มใจจากผู้เป็นเจ้านายทิ้งสิ้น แถมการยกเลิกสัญญาอย่างถาวรจะส่งผลต่อชีวิตของเธอด้วย ถ้าหากเด็กสาวโชคดีขนาดที่เดรโกยอมยกเลิกสัญญาทาสเพื่อปลดปล่อยเธอให้เป็นอิสระจริง ๆ ล่ะก็ เธอก็ไม่อาจพบหน้าเขาอีกต่อไปได้ เพราะเมื่อไหร่ที่ทั้งสองต้องเผชิญหน้ากัน เลือดของเขาในร่างกายเธอจะเปลี่ยนเป็นยาพิษที่สามารถแผดเผาเธอจนถึงแก่ความตายได้!
เฮอร์ไมโอนี่ตัวสั่นเมื่อนึกถึงตรงนั้น เธอยกแขนทั้งสองข้างขึ้นกอดตัวเองเบา ๆ ราวกับอุณหภูมิในห้องลดลงอย่างกระทันหัน ซึ่งจริงแล้วอุณหภูมิในห้องของเธอไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด แต่เด็กสาวรู้สึกหวาดกลัวในสิ่งที่เธอกำลังได้รับรู้ แม้เธอจะรู้มานานแล้วว่าศาสตร์มืดเป็นสิ่งที่ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย แต่เธอเพิ่งได้สัมผัสความสะพรึงกลัวของมันในตอนนี้เอง
เฮอร์ไมโอนี่ถอนหายใจก่อนจะปิดหนังสือในมือลงช้า ๆ หลังจากเห็นความหวังอันน้อยนิดของตัวเองพังภินท์ลงต่อหน้าเธอก็ไม่รู้ว่าเธอควรจะทำอะไรต่อไปดี เธอควรจะพยายามฆ่าตัวตายอีกหนหรือมีชีวิตอยู่ในฐานะทาสของเดรโกต่อไปเพื่อรอวันที่เธอจะได้เจอแฮร์รี่อีกครั้งดี
จู่ ๆ เด็กสาวก็หลับตาลงพลางส่ายศีรษะ แน่นอนว่าเธอจะไม่มีทางรอจนถึงวันนั้น เธอไม่มีทางจะให้เพื่อนรักต้องมาเสี่ยงอันตรายเพื่อเธอแน่นอน และเธอก็รู้ดีพอ ๆ กับที่เธอคิดว่าแฮร์รี่น่าจะรู้ว่าเขายังไม่สามารถเอาชนะโวลเดอมอร์ได้ในตอนนี้ ในตอนที่พวกเขายังไม่ได้ทำลายฮอครักซ์ที่เหลือไปแม้เพียงชิ้นเดียว
(อันที่จริงสามสหายวางแผนกันว่าพวกเขาจะเดินทางออกตามหาฮอครักซ์กันก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่ถูกจับตัวไปไม่นาน และที่เด็กสาวเดินทางกลับบ้านในวันนั้นเธอก็ตั้งใจไว้แล้วว่าเธอจะกลับไปจัดการเรื่องทุกอย่างรวมทั้งร่ายคาถาปรับเปลี่ยนความทรงจำของพ่อแม่เธอและส่งพวกเขาไปอยู่ที่ออสเตรเลียด้วย แต่ลูเซียส มัลฟอยกลับเจอพวกท่านเสียก่อน และเฮอร์ไมโอนี่ก็แน่ใจว่าในชั่วเวลาแค่ไม่กี่สัปดาห์ที่เธอถูกจับตัวไปนั้น เพื่อนทั้งสองของเธอจะสามารถตามหาฮอครักซ์ที่เหลือและทำลายมันทั้งหมดได้)
ดังนั้นการที่เธอยอมอยู่เฉย ๆ เพื่อเป็นเหยื่อล่อให้แฮร์รี่มาติดกับของจอมมารก็เป็นการกระทำที่ไม่ต่างกับการหยิบยื่นความตายให้เขา และแน่นอนว่าเธอจะไม่ยอมทำเช่นนั้นเป็นแน่ ทางเลือกเดียวที่เหลือของเธอก็คือการฆ่าตายตัวตาย เธอต้องยอมสละตัวเองเพื่อรักษาชีวิตของแฮร์รี่ไว้ เธอต้องยอมแลกชีวิตของเธอกับเขาซึ่งเป็นความหวังของคนทั้งโลกเวทย์มนตร์ และเธอจะต้องลงมือทำมันเดี๋ยวนี้ เพราะเธอไม่แน่ใจว่านายลูเซียสจะใช้เธอเป็นเหยื่อล่อตามคำสั่งของโวลเดอมอร์เมื่อไหร่ มันอาจจะเกิดขึ้นในเดือนหน้า สัปดาห์หน้า หรือในวันพรุ่งนี้ก็ได้ แต่สิ่งเดียวที่เด็กสาวมั่นใจก็คือมันต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน!
แล้วเธอจะรอช้าอะไรอยู่ล่ะ เธอต้องลงมือทำมันเดี๋ยวนี้! แล้วเธอก็ต้องทำมันอย่างรอบคอบด้วยเพื่อที่จะไม่มีใครมาขัดขวางเธอได้ เธอไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากเธอต้องฆ่าตัวตายเดี๋ยวนี้!
‘ อันที่จริงเธอก็มีทางเลือกนะ ’ เสียงเล็ก ๆ ที่ชั่วร้ายดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เฮอร์ไมโอนี่กำหมัดแน่นเมื่อได้ยินมัน
‘ เธอไม่จำเป็นต้องสละชีวิตตัวเอง เพราะความตายที่ว่านั้นไม่จำเป็นต้องเป็นความตายของเธอก็ได้ แต่มันหมายถึงความตายของเจ้านายของเธอเช่นกัน ’ เสียงนั้นกล่าวและเด็กสาวก็ต้องชะงักเพราะมัน
‘ ความตายของมัลฟอยอย่างนั้นหรือ ’ เฮอร์ไมโอนี่คิด ‘ นั่นสินะถ้าหากเขาตายจากไปเธอก็สามารถจะเป็นอิสระได้ ในวินาทีที่เขาสิ้นใจมนตราของสัญญาทาสชั่วนิรันดร์ก็จะเสื่อมลงและเธอก็จะปราศจากพันธะที่ผูกเธอไว้กับเขา ’
มือของเด็กสาวกำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ ดวงตาสีน้ำตาลดูสับสน แม้เธอจะรู้ดีว่าการที่มัลฟอยตายจะสามารถนำอิสระมาสู่เธอได้ และถ้าหากพิจารณาถึงเรื่องที่เขาได้ทำไว้กับเธอแล้วมันก็คงไม่แปลกที่จะปรารถนาให้เขาถึงแก่ความตายหรือแม้กระทั่งลงมือฆ่าเขาด้วยซ้ำ แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ดีว่าเธอไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เธอรู้ดีว่าผู้เป็นทาสไม่สามารถทำร้ายเจ้านายได้แม้แต่ปลายเล็บ เธอไม่สามารถทำร้ายเขาได้ตราบใดที่เขายังเป็นเจ้านายของเธออยู่ ตรงกันข้ามเขากลับสามารถทำอย่างไรกับเธอก็ได้ตามที่เขาต้องการ แม้กระทั่งสั่งให้เธอฆ่าตัวตายก็ตาม
‘ ใช่แล้ว เธอลงมือเองไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะลงมือแทนเธอไม่ได้นี่ ’ เสียงเล็ก ๆ ที่ชั่วร้ายดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง และเพราะคำพูดของมันทำให้เฮอร์ไมโอนี่นึกออก นั่นสินะ แม้เธอจะไม่สามารถลงมือทำร้ายเดรโกได้ แต่เพื่อน ๆ ของเธอสามารถลงมือได้ และแน่นอนว่าพวกเขาต้องทำเพื่อเธอแน่หากพวกเขารู้เรื่องทั้งหมด อันที่จริงแค่พวกเขารู้ว่าเด็กหนุ่มทำร้ายเธออย่างไรบ้าง พวกเขาก็คงไม่ลังเลที่จะฉีกเดรโกออกเป็นชิ้น ๆ อย่างแน่นอน แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือ เธอกลับไม่ต้องการให้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น เธอไม่ต้องการให้เดรโกตายแม้เธอจะต้องการหนีออกไปจากที่นี่เพียงใดก็ตาม เธอไม่ต้องการให้เขาถึงแก่ความตายเหมือนเช่นในวันที่เธอพลั้งมือทำร้ายเขาเข้า และเธอก็ยอมทิ้งโอกาสในการหนีออกไปจากที่นี่เพียงเพราะเธอไม่ต้องการให้เขาถึงแก่ความตาย
ไม่ใช่สิ! เธอไม่ต้องการเป็นฆาตกรเพียงเพราะเธอฆ่าเขาต่างหาก เธอแก้ให้ถูกต้อง และครั้งนี้เธอก็ไม่ต้องการให้เขาตายเนื่องจากเธอไม่ต้องการให้เพื่อนทั้งสองกลายเป็นฆาตกรเพียงเพราะเธอ!
‘ แต่ถ้าเธอไม่ทำอย่างนั้นเธอก็จะต้องเป็นทาสของเขาตลอดไป ’ เสียงในหัวตอบกลับมาอย่างหน่าย ๆ ราวกับมันเริ่มเบื่อความดื้อด้านของเด็กสาวแล้ว และนี่เป็นครั้งแรกที่เฮอร์ไมโอนี่ยอมรับว่ามันพูดถูก เพราะในตอนนี้ดูจะเหลือเพียงทางเดียวเท่านั้นที่จะสามารถให้อิสระภาพแก่เธอได้ ซึ่งมันต้องแลกมาด้วยความตายของเด็กหนุ่มที่ชื่อเดรโก มัลฟอย
เด็กสาวกลั้นหายใจกับสิ่งที่เธอค้นพบ และในตอนนี้คำถามอยู่แค่ว่า ถ้าหากเธอสามารถเลือกได้จริง ๆ เธอจะอยากให้เดรโกตายเพื่อที่เธอจะเป็นอิสระหรือไม่ อันที่จริงมันไม่น่าจะเป็นคำถามที่ต้องใช้เวลาครุ่นคิดนานเลยสำหรับเฮอร์ไมโอนี่ เพราะเธอน่าจะเคียดแค้นและอยากให้เด็กหนุ่มต้องตายมากกว่าอะไรทั้งหมดเมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาได้ทำไว้กับเธอ แต่เพราะเหตุผลบางอย่างซึ่งเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่ทราบว่าอะไร ในส่วนลึก ๆ แล้วเธอไม่ต้องการใช้ชีวิตของเดรโกซื้ออิสระภาพของเธอแม้แต่น้อย และถ้าหากเป็นไปได้เธอก็หวังว่ามันจะมีทางที่เธอจะสามารถหลุดพ้นจากเขาได้โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อไม่ว่าจะเป็นของใครก็ตาม
‘ หนทางที่ว่านั่นไม่มีอยู่จริงหรอก ’ เสียงในหัวตอบกลับมาเป็นครั้งสุดท้าย
*************************************************
ณ ศูนย์บัญชาการภาคีนกฟินิกซ์ซึ่งเพิ่งย้ายสถานที่จากกริมโมลเพลซเลขที่สิบสองมาเป็นบ้านร้างแห่งหนึ่งแถบชานเมือง แฮร์รี่ พอตเตอร์กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่ขณะที่มือของเขากุมไม้กายสิทธิ์ไว้ เขากำลังรอการกลับมาของหน่วยสืบข่าวที่ทางภาคีส่งไปสืบหาร่องรอยของเฮอร์ไมโอนี่ เธอหายตัวไปจากภาคีได้เกือบหนึ่งเดือนแล้ว โดยเจ้าหน้าที่ของภาคีได้ไปเจอตรามารลอยอยู่เหนือบ้านของเธอ ก่อนจะพบร่างที่ถูกสะกดนิ่งของพ่อแม่ของเธอในห้องนั่งเล่น แต่พวกเขากลับไม่พบร่องรอยของเฮอร์ไมโอนี่แต่อย่างใด เมื่อเป็นเช่นนั้นเจ้าหน้าที่ของภาคีจึงช่วยเหลือนายและนางเกรนเจอร์ออกมาจากบ้านและนำพวกเขาไปซ่อนไว้ยังที่ที่ปลอดภัย และภายหลังการหารือกันภายในสมาชิกภาคีเป็นอย่างดีแล้ว พวกเขาก็ลงความเห็นว่าควรจะมีการปรับความทรงจำของนายและนางเกรนเจอร์รวมทั้งส่งพวกเขาไปอยู่ในที่ต่างประเทศที่ห่างไกลจากผู้เสพความตาย ซึ่งมันเป็นทางเดียวที่ทุกคนคิดว่าน่าจะปกป้องพวกเขา รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับแฮร์รี่ที่เฮอร์ไมโอนี่เคยเล่าให้พ่อแม่ของเธอฟังจากฝ่ายผู้เสพความตายได้ เพราะเหล่าสมาชิกภาคีต่างรู้ดีว่าในเวลานี้ไม่มีที่ไหนในอังกฤษที่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว และก็ไม่มีสมาชิกภาคีคนไหนที่พอจะให้ความคุ้มครองสองสามีภรรยาได้ในเวลาแบบนี้ในขณะที่พวกเขายังไม่สามารถให้ความคุ้มครองตัวเองให้ปลอดภัยได้เลย
และเมื่อคิงสลีย์ยืนยันกับแฮร์รี่ด้วยตัวเองคาถาแปลงความทรงจำที่เขาจะเสกใส่สองสามีภรรยาเกรนเจอร์นั้นเป็นคาถาที่สามารถลบล้างได้ และถ้าหากเฮอร์ไมโอนี่ยังมีชีวิตอยู่และภาคีสามารถตามหาเธอจนพบแล้ว หลังจากที่คาถาแปลงความทรงจำถูกลบล้างออกไปแล้วนายและนางเกรนจอร์ก็จะได้ความทรงจำเกี่ยวกับลูกสาวของเขากลับคืนมาอย่างสมบูรณ์ ซึ่งแฮร์รี่ก็คิดว่ามันเป็นแผนการที่ไม่เลวนัก แต่ติดอยู่อย่างเดียวตรงที่พวกเขาไม่รู้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่านี่สิ
เพราะนับตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่มีใครได้ข่าวคราวของเด็กสาวอีกเลย แน่นอนว่าทุกคนลงความเห็นว่าเฮอร์ไมโอนี่คงถูกผู้เสพความตายจับตัวไป พวกมันคงรู้ว่าเธอเป็นเพื่อนสนิทของแฮร์รี่และนั่นเป็นเหตุผลเดียวกับที่พวกมันจับตัวเธอไปแทนที่จะทำร้ายหรือฆ่าเธอทิ้งเสีย ตรงกันข้ามพวกผู้เสพความตายคงจะต้องการข้อมูลบางอย่างจากเธอมันถึงจับตัวเธอไปแบบนี้
เมื่อคิดถึงตรงนั้นมือของแฮร์รี่ที่กำลังกุมไม้กายสิทธิ์ของเขาอยู่ก็ถึงกับสั่นเทา เขาไม่อยากจะจินตนาการเลยว่าหากเฮอร์ไมโอนี่ถูกผู้เสพความตายจับตัวไปจริง ๆ จะเป็นเช่นไร แน่นอนว่าพวกมันจะต้องทรมานเธอเพื่อให้เธอบอกเรื่องทั้งหมดที่เธอรู้เกี่ยวกับแฮร์รี่อย่างแน่นอนรวมทั้งที่ซ่อนตัวของเขาด้วย เด็กหนุ่มผมดำรู้สึกขนลุกเมื่อเขาจินตนาการภาพของเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังดิ้นทุรนทุรายด้วยความทรมานจากคาถากรีดแทงซึ่งเขาเคยลิ้มรสคาถานี้มาก่อนแล้วและรู้ว่ามันร้ายกาจเพียงใด และแน่นอนว่าหากเฮอร์ไมโอนี่ถูกทรมานด้วยคาถานี้จริงเธอคงไม่อาจแข็งใจได้นาน ตรงกันข้ามเธอคงจะบอกพวกผู้เสพความตายในสิ่งที่เธอรู้เกี่ยวกับเขาออกไปเป็นแน่หากพวกนั้นทรมานเธอนานพอ
แต่แฮร์รี่ไม่ได้กังวลในเรื่องนั้นเลย แม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะถูกทรมานจนไม่อาจรักษาความลับไว้ได้เด็กหนุ่มก็ไม่ได้ห่วงในเรื่องนั้นแม้แต่น้อยเลย แม้เหตุการณ์ที่ว่าอาจจะนำความเดือดร้อนมาสู่เขาในภายหลังก็ตาม แต่สิ่งที่ทำให้เขาเป็นกังวลมากที่สุดก็คือชีวิตของเพื่อนรักของเขาต่างหาก เพราะถ้าเฮอร์ไมโอนี่ถูกผู้เสพความตายจับตัวไปทรมานจริงโอกาสที่เธอจะยังมีชีวิตรอดอยู่นั้นดูเหมือนจะน้อยกว่าศูนย์ขึ้นมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และถ้าเธอเด็กสาวเป็นอะไรไปจริง ๆ แล้วล่ะก็แฮร์รี่คงไม่มีวันให้อภัยตัวเองกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ พอ ๆ กับที่รอนคงมีวันให้อภัยเขาเป็นแน่ และจากการที่ไม่มีผู้เสพความตายคนไหนออกมาตามหาตัวเขาเลยหลังจากที่เฮอร์ไมโอนี่ถูกจับไปก็แสดงว่าเธอคงยังไม่ได้บอกที่อยู่ของแฮร์รี่แก่พวกนั้น และถ้าเธอไม่ได้ทำเช่นนั้น ถ้าหากเธอยอมถูกทรมานมากกว่าจะบอกความลับของเขากับผู้เสพความตายล่ะพวกนั้นจะทำอย่างไรกับเธอ พวกมันคงจะฆ่าเธอทิ้งอย่างไม่ต้องสงสัย และถ้าเธอเป็นอะไรไปมันก็เป็นความรับผิดชอบของเขาเพียงคนเดียว!
หลังจากดัมเบิลดอร์เสียชีวิตเพราะน้ำมือของสเนปโดยทิ้งภารกิจในการตามหาฮอครักซ์ไว้ให้เขา แฮร์รี่ รวมทั้งเฮอร์ไมโอนี่ และรอนก็ตัดสินใจว่าจะไม่กลับไปเรียนที่ฮอกวอตส์อีกตรงกันข้ามเด็กทั้งสามตกลงที่จะไปตามหาฮอครักซ์ด้วยกัน และพวกเขาก็นัดกันไว้แล้วว่าจะออกเดินทางก่อนโรงเรียนเปิด แต่เฮอร์ไมโอนี่จำเป็นจะต้องกลับไปร่ายคาถาเพื่อปรับแต่งความทรงจำของพ่อแม่เธอเพื่อให้พวกเขาหนีไปอยู่ที่ออสเตรเลียก่อน แต่เธอคงนึกไม่ถึงว่าจะมีผู้เสพความตายไปถึงที่นั่นเสียก่อนและฆ่าสังหารพวกท่านรวมทั้งลักพาตัวเธอไป
แฮร์รี่รู้สึกถึงแรงบีบที่ไหล่ และเมื่อเขาหันไปเขาก็พบกับรีมัส ลูปิน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลของอาจารย์มองมาทางเขาอย่างเป็นห่วง
“เพิ่งผ่านคืนวันเพ็ญมาหรือครับ” แฮร์รี่พูดในสิ่งที่เขาสังเกตุเห็นออกไป รีมัสยิ้มน้อย ๆ อย่างไม่ยี่หระก่อนจะพูดขึ้น
“ผ่านคืนวันเพ็ญมาตั้งสองวันแล้วน่ะ แต่ที่ฉันไม่ได้มาที่นี่เพราะฉันมีเรื่องบางอย่างที่จะต้องจัดการ” เขานั่งลงบนโซฟาข้าง ๆ แฮร์รี่
“มีข่าวเรื่องเฮอร์ไมโอนี่บ้างไหมครับ” เด็กหนุ่มถามขึ้นขณะที่ลูปินมองเขาตอบอย่างเห็นใจก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ
“ไม่มี ยังไม่มีข่าวอะไรเลย” แฮร์รี่มีท่าทีผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปมากกว่าเสมองไปทางอื่นเพื่อที่ลูปินจะได้ไม่เห็นแววผิดหวังในดวงตาของเขา
“ฉันเห็นเธอนั่งรอแบบนี้มาเป็นสัปดาห์ ๆ แล้วนะแฮร์รี่” จริงอย่างที่เขาพูด เด็กหนุ่มรอคอยข่าวคราวของสมาชิกภาคีที่ออกไปสืบข่าวของเฮอร์ไมโอนี่มาตลอดเวลาหลายสัปดาห์ที่เธอหายตัวไป
ดวงตาสีมรกตของเด็กหนุ่มเหลือบมองอดีตอาจารย์ของเขาก่อนจะตอบออกไป
“แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากรอล่ะครับ ในเมื่อพวกคุณไม่ยอมให้ผมออกไปหาเธอด้วยตัวเอง”
เมื่อทราบแน่ชัดแล้วว่าเฮอร์ไมโอนี่น่าจะถูกผู้เสพความตายจับตัวไป แฮร์รี่รวมทั้งรอนก็ตั้งใจจะออกไปตามหาเพื่อนรักของพวกเขาด้วยตัวเอง แต่พวกผู้ใหญ่ที่เป็นสมาชิกภาคีต่างไม่ยอมให้พวกเขาทำเช่นนั้น นายกับนางวีสลีย์ถึงกับให้รอนสัญญาว่าเขาจะไม่ออกไปทำอะไรเสี่ยง ๆ ขนาดนั้น ส่วนแฮร์รี่นั้นลูปินและคิงสลีย์ถึงกับมาขอร้องเขาด้วยตัวเองไม่ให้ออกไปตามหาเฮอร์ไมโอนี่เพราะพวกเขาเป็นห่วงความปลอดภัยของ ‘คนที่ถูกเลือก’ มากกว่าอะไรทั้งหมด ในตอนแรกเด็กหนุ่มไม่ฟังพวกเขาและยืนยันจะออกไปตามหาเพื่อนรักด้วยตัวเองจนกระทั่งคิงสลีย์รับปากว่าจะส่งสมากชิกภาคีคนอื่นออกไปสืบข่าวคราวของเด็กสาวทันที เพราะมันคงเป็นการดีกว่าที่จะให้มือปราบมารหรือผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์ออกไปสืบข่าวทางฝ่ายผู้เสพความตายแทนที่จะให้เด็กที่เพิ่งบรรลุนิติภาวะอย่างแฮร์รี่และรอนออกไปตามหาเฮอร์ไมโอนี่เอง
และนี่ก็ผ่านไปสองสัปดาห์แล้ว พวกเขาส่งคนไปทั้งหมดสามทีมในการสืบข่าวครั้งนี้ และไม่ได้อะไรกลับมาเลยแม้แต่น้อย ซึ่งแฮร์รี่คิดว่าถ้าหากทีมที่สามซึ่งเพิ่งถูกส่งไปล้มเหลวกลับมาอีกแฮร์รี่ก็ออกตามหาเฮอร์ไมโอนี่ด้วยตัวเอง โดยที่เขาจะไม่สนอีกแล้วว่าคนอื่น ๆ จะว่ายังไง
“ฉันขอแนะนำให้เธอใจเย็น ๆ นะ แฮร์รี่ ฉันเข้าใจว่าเฮอร์ไมโอนี่เป็นเพื่อนรักของเธอ แต่ฉันเชื่อว่า......” เสียงของลูปินดังขึ้นแต่ไม่ทันที่เขาจะพูดจนจบเด็กหนุ่มผมดำก็ตัดบทพูดขึ้นก่อน
“คุณก็รู้ว่าผมทำตามคำแนะนำของคุณทุกอย่างแล้วนี่ครับรีมัส” แฮร์รี่พูดขึ้น แม้เขาจะไม่ได้ตะโกนออกมาก็ตามแต่อีกฝ่ายก็สามารถรับรู้ถึงความไม่พอใจที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของเขาได้
“ผมทำตามที่คุณและทุกคนบอกด้วยการนั่งรออยู่เฉย ๆ แบบนี้เป็นสัปดาห์แล้วแต่มันกลับไม่ได้ผลอะไรเลยแม้แต่น้อย ขณะที่เพื่อนรักของผมที่ถูกผู้เสพความตายจับตัวไปซึ่งผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเธอจะยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า!” เขาตะโกนออกมาอย่างกดดัน ขณะที่ลูปินมองเขาเงียบ ๆ จนกระทั่งเด็กหนุ่มพูดจบ
“ฉันไม่อยากจะพูดแบบนี้นะแฮร์รี่ แต่ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอเป็นอย่างดี การรอคอยมันทรมานมากโดยเฉพาะเมื่อคนที่เธอห่วงใยหายตัวไประหว่างสงครามแบบนี้ แต่เชื่อฉันเถอะในกรณีนี้เธอทำอะไรที่ดีไปกว่านี้ไม่ได้แล้วนอกจากรอ” เขาพูดอย่างเคร่งขรึม
“แต่ถ้าการรอคอยไม่มีความหมายอะไรผมก็คงต้องลงมือทำอะไรซักอย่างล่ะครับ” เด็กหนุ่มกล่าว
ชายผู้มีอายุกว่ามองเขาด้วยแววตาพิจารณาก่อนจะพูดขึ้น
“ฉันหวังว่าการทำอะไรซักอย่างของเธอคงไม่ใช่การกระทำโง่ ๆ อย่างการเดินเข้าไปหาเงื้อมมือของผู้เสพความตายเองใช่ไหม” ลูปินพูด และดูเหมือนเขาจะพูดถูกทุกประการเมื่อแฮร์รี่ไม่ตอบอะไรออกมา
“เธอทำอย่างนั้นไม่ได้นะแฮร์รี่” ลูปินพูดเสียงเข้ม ท่าทีของเขาเปลี่ยนเป็นดุดันขึ้นมาเป็นครั้งแรก “เธอทำอะไรโง่ ๆ แบบนั้นไม่ได้!”
“อย่ามาบอกผมเลยดีกว่าครับว่าผมควรจะทำอะไร” เด็กหนุ่มผมดำเถียงออกมา
“แต่สิ่งที่เธอกำลังจะทำมันคือการเดินไปหาความตายนะ เธอไม่รู้เลยหรือว่าเธอเป็นความหวังของเราน่ะแฮร์รี่! ดัมเบิลดอร์บอกเราเองว่าเธอเป็นความหวังที่ดีที่สุดที่เรามี!” ลูปินพูด ขณะที่แฮร์รี่มองชายตรงหน้าราวกับเขาเพิ่งกลายร่างเป็นเซเวอร์รัส สเนป
“ถ้าผมเป็นความหวังที่ดีที่สุดที่พวกคุณมี คุณก็ควรจะเชื่อใจผมสิครับ” แฮร์รี่พูดออกมา “แล้วคุณก็รู้ว่าคนอย่างผมไม่มีวันปล่อยให้เพื่อนรักต้องตายไปโดยที่ไม่พยายามทำอะไรอย่าง โดยเฉพาะเมื่อเธอต้องมาเคราะห์ร้ายเพราะผม และผมเชื่อว่าถ้าเป็นคุณ คุณก็คงจะทำเช่นเดียวกับผม” แฮร์รี่พูดออกมา ดวงตาสีมรกตของเขาฉายแววเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญ
ลูปินส่ายหน้าเบา ๆ กับคำพูดนั้น
“มันไม่เหมือนกันแฮร์รี่ เธอบอกเองไม่ใช่เหรอว่าเธอมีภารกิจ ว่าดัมเบิลดอร์ฝากภารกิจบางอย่างไว้ให้เธอ ภารกิจที่เธอต้องทำให้สำเร็จ” เพราะคำพูดนั้นเองทำให้เด็กหนุ่มดูลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่เขาจะพูดออกมา
“ถ้าอย่างนั้นผมก็ต้องหาทางช่วยเฮอร์ไมโอนี่ให้ได้ก่อน แล้วเราทั้งสามคนก็จะไปทำภารกิจที่ดัมเบิลดอร์มอบหมายไว้ด้วยกันครับ” แฮร์รี่พูดประโยคนั้นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินออกจากห้องไป
……………………………………….
แฮร์รี่เดินออกจากห้องไปโดยตรงไปที่ห้องนอนของรอนซึ่งอยู่ไม่ห่างจากห้องของเขาเท่าไหร่นัก เด็กหนุ่มเปิดประตูห้องโดยไม่จำเป็นต้องเคาะและสิ่งแรกที่เขาเห็นหลังจากก้าวเข้าไปในห้องก็คือเพื่อนรักของเขาที่กำลังนั่งอยู่ปลายเตียงหันมามองเขาด้วยท่าทีกระตือรือร้น
“มีข่าวอะไรมาแล้วเหรอ!” รอนถาม ขณะที่แฮร์รี่ส่ายหน้าก่อนจะตอบออกมา
“ยังไม่มีน่ะ” สิ่งที่เขาได้เห็นต่อมาก็คือสีหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวังของเพื่อนรักของเขา แต่มันไม่ใช่ความผิดหวังอย่างในตอนที่เขาพบว่าพ่อกับแม่ไม่มีเงินพอจะซื้อนกฮูกให้เขาหรือเขาทำได้คะแนนได้ไม่ดีนักจากการสอบ ว.พ.ร.ส. แต่ยิ่งไปกว่านั้นเพราะมันเป็นความผิดหวังอย่างใหญ่หลวงและพวกเขาเองก็จมอยู่กับมันมากมากกว่าสามสัปดาห์แล้ว
แฮร์รี่เดินเข้ามาใกล้รอนก่อนจะนั่งลงปลายเตียงข้าง ๆ เขา
“ฉันคิดว่าเราไม่ควรจะรอต่อไปอีกแล้ว นายว่าไหม” แฮร์รี่ถามเพื่อนรัก ใบหน้าของเขาดูสงบนิ่งราวกับเขากำลังถามรอนอยู่ว่าเขาจะยกเลิกการซ้อมควิดดิชในวันนี้ดีหรือไม่ แต่แววตามีมรกตของเด็กหนุ่มกลับบ่งบอกถึงความกังวลออกมาอย่างชัดเจน
“นายหมายความว่ายังไง” รอนถาม
“ฉันคิดว่าเราไม่ควรจะรอต่อไปอีกแล้ว ถ้าหากทีมสืบข่าวทีมที่สามคว้าน้ำเหลวกลับมาอีกล่ะก็ฉันจะออกไปตามหาเฮอร์ไมโอนี่ด้วยตัวเอง ที่สำคัญคือฉันจะชวนนายไปกับฉันด้วย” แฮร์รี่รู้สึกว่ารอนหันมามองเขายามที่เขาพูดประโยคนั้นออกไป แต่เด็กหนุ่มผมดำยังคงไม่หันกลับไปมองเพื่อนรักแต่อย่างใด เพราะในใจลึก ๆ แล้วเขากลัวว่ารอนจะไม่เห็นด้วยกับเขา แฮร์รี่กลัวว่าเขาจะอยากอยู่ที่นี่เพื่อรอคอยข่าวคราวกับครอบครัวของเขามากกว่าออกไปตามหาเฮอร์ไมโอนี่
แต่แฮร์รี่ก็ต้องแปลกใจเมื่อได้ยินคำตอบของเพื่อนรัก
“ทำไมเราต้องรอให้ทีมสืบข่าวทีมล่าสุดกลับมาก่อนด้วยล่ะ ในเมื่อเราก็รู้แล้วว่าพวกเขาจะต้องล้มเหลวกลับมาอยู่แล้ว” รอนพูดขึ้น และแฮร์รี่ก็หันไปมองหน้าเพื่อนรักในวินาทีนั้น
“ฉันหมายความว่าถ้านายอยากจะออกไปตามหาเฮอร์ไมโอนี่จริง ๆ ทำไมนายถึงไม่ไปเสียตอนนี้เลยล่ะจริงไหม” รอนพูดด้วยท่าทีธรรมดา ๆ ราวกับว่าแฮร์รี่เพิ่งชวนเขาไปฮอกมีตส์ในช่วงสุดสัปดาห์ด้วยกันและเขาก็ตอบตกลงเพราะเขาเองก็ไม่ต้องทำอะไรอย่างอื่นในช่วงนั้นอยู่แล้ว ไม่ใช้การที่เด็กหนุ่มผมดำชวนเพื่อนรักของเขาออกไปสืบหาร่องรอยของเฮอร์ไมโอนี่จากพวกผู้เสพความตาย
แม้จะดีใจมากที่เพื่อนรักพูดเห็นด้วยกับเขาก็ตาม แต่แฮร์รี่ก็อดแปลกใจไม่ได้ที่เขายอมตกลงง่าย ๆ แบบนี้
“ฉันคิดว่านายอยากอยู่ที่นี่กับพ่อแม่เสียอีก” แฮร์รี่ถามขึ้น รอนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมา
“นายก็รู้ว่าเฮอร์ไมโอนี่สำคัญมากแค่ไหน” เขาพูดตามตรง
“ฉันมาคิดดูแล้ว มันเปล่าประโยชน์มากี่จะมานั่งรอข่าวจากคนอื่นแบบนี้ เฮอร์ไมโอนี่เป็นเพื่อนรักของเราทั้งสองคน แล้วเราก็ควรไปช่วยเธอสิใช่ไหม อีกอย่างพ่อแม่ฉันก็น่าจะปลอดภัยไปได้ระยะหนึ่ง แต่เฮอร์ไมโอนี่สิเราไม่รู้เลยว่าเธอเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง” เด็กหนุ่มผมแดงพูดขึ้นด้วยท่าทีเป็นทุกข์ราวกับเขากำลังจินตนาการภาพเด็กสาวกำลังถูกผู้เสพความตายทรมานเช่นเดียวกับที่แฮร์รี่ทำเมื่อครู่
“งั้นนายพร้อมจะไปเมื่อไหร่” แฮร์รี่กระซิบ ขณะที่รอนมีสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ฉันอยากไปให้เร็วที่สุด คืนนี้เลยดีไหม เราจะรอให้ทุกคนหลับเสียก่อน” เด็กหนุ่มผมแดงเสนอ และแฮร์รี่ก็พยักหน้ารับความคิดนั้น
“ตกลง เราจะไปกันคืนนี้” แฮร์รี่พูดพลางกำไม้กายสิทธิ์ในมือแน่น แม้จะไม่มั่นใจเท่าไหร่นักว่าเขาจะสามารถหาเพื่อนรักพบรวมทั้งช่วยเธอกลับมาได้หรือไม่ และที่แย่ไปกว่านั้นคือเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเธอจะยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า แต่สิ่งเดียวที่แฮร์รี่รู้ก็คือเขาต้องทำอะไรลงไปสักอย่างไม่ใช่แค่นั่งรอคอยฟังข่าวอยู่แบบนี้ เพราะเด็กหนุ่มรู้ดีว่าหากเฮอร์ไมโอนี่เป็นอะไรไปโดยที่เขาไม่ได้พยายามแม้แต่จะช่วยเหลือเธอล่ะก็ เขาคงต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตกับอย่างแน่นอน!
*************************************************
หลังจากสเนปซึ่งมาขอใช้ห้องสมุดของตระกูลมัลฟอยหาข้อมูลในเรื่องการยับยั้งการกลายร่างเป็นได้หนังสือที่เขาต้องการและกลับออกไปจากคฤหาสน์มัลฟอยเรียบร้อยแล้ว เดรโกก็คิดขึ้นได้ว่าบางทีเขาควรจะศึกษาในเรื่องของมนุษย์หมาป่าไว้เสียบ้าง เพราะถ้าให้พูดตามตรงก็คือเขาเพิ่งถูกมนุษย์หมาป่าทำร้ายและเขาอาจจะต้องกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าในวันพระจันทร์เต็มดวงครั้งหน้าถ้าหากพ่อของเขารวมทั้งสเนปไม่สามารถหาทางรักษาเขาได้ และเมื่อเป็นเช่นนั้นเขาก็ควรจะทำอะไรสักอย่างเพื่อเตรียมพร้อมกับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นและสิ่งเดียวที่เด็กหนุ่มพอจะคิดได้ก็คือการหาข้อมูลเกี่ยวกับมนุษย์หมาป่าให้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้
แม้ว่าพ่อของเขารวมทั้งเซเวอร์รัส สเนปพูดว่าพวกเขาจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเดรโกจากชะตากรรมที่เลวร้ายก็ตาม แต่เด็กหนุ่มไม่อาจนิ่งนอนใจหรือนั่งอยู่เฉย ๆ โดยไม่ทำอะไรเลยได้ หลังจากเขาทานยาตามที่สเนปแนะนำแล้วเขาก็สั่งให้เอลฟ์ไปหาหนังสือทั้งหมดที่เกี่ยวกับมนุษย์หมาป่าในห้องสมุดมาให้เขา แต่เมื่อเด็กหนุ่มพบว่าในห้องสมุดนั้นมีหนังสือที่เกี่ยวกับมนุษย์หมาป่ามากเกินกว่าที่เอลฟ์จะขนมาให้เขาไหวมัลฟอยจึงตัดสินใจเข้าไปอ่านหนังสือในห้องสมุดเองดีกว่า
ขณะที่ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงจนใกล้จะลับจากขอบฟ้าอยู่ภายในไม่กี่ชั่วโมงนี้ เดรโก มัลฟอยก็กำลังนั่งอยู่บนโซฟาในสมุดของตระกูลมัลฟอย บนโต๊ะเล็กข้างโซฟานั้นมีหนังสือจำนวนมากวางเรียงอยู่เกือบจะสูงว่าศรีษะของเดรโกซึ่งหนังสือเหล่านั้นล้วนแต่เป็นหนังสือศาสตร์มืดที่ว่าด้วยเรื่องของมนุษย์หมาป่าทั้งสิ้น รวมทั้งเล่มที่อยู่ในมือของเด็กหนุ่มด้วย
เดรโกนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องนี้ไม่ต่ำกว่าห้าชั่วโมงแล้ว เขาพยายามหารายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับมนุษย์หมาป่าซึ่งเป็นสัตว์ที่เขาไม่เคยคิดจะสนใจมาก่อน และที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือเขาเคยรังเกียจสิ่งมีชีวิตประเภทนี้ด้วยจนกระทั่งเขารู้ว่าเขากำลังจะกลายเป็นสิ่งที่เขาเคยเดียดฉันท์นักหนา
หลังจากผ่านการอ่านหนังสืออันยาวนานมาเด็กหนุ่มก็ปิดหนังสือในมือลง เขาหลับตาลงเพื่อพักสายตา และใช้นิ้วบีบดั้งจมูกเพื่อสงบสติอารมณ์ หนังสือทุก ๆ เล่มที่เขาอ่านมานั้นไม่มีเล่มไหนเลยบอกวิธีที่สามารถรักษาผู้ที่เป็นมนุษย์หมาป่าได้เลย ตรงกันข้ามหนังสือเหล่านั้นกลับบรรยายแต่ความร้ายกาจและน่ากลัวของสัตว์วิเศษประเภทนี้แล้วที่ร้ายไปกว่านั้นคือมีการบรรยายถึงความเจ็บปวดทรมานในการกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าเอาไว้ด้วย! แต่สิ่งที่เดรโกกำลังหาอยู่นั้นไม่ใช่ข้อมูลว่าเขาจะเจ็บปวดทรมานเพียงใดยามที่เขาต้องกลายร่าง แต่เด็กหนุ่มต้องการข้อมูลเพื่อยืนยันว่าเขายังมีความหวังอยู่ เขาต้องการแค่เศษเสี้ยวของข้อมูลที่พอจะบอกว่าผู้ที่ไม่ได้ถูกกัดโดยตรงนั้นยังมีโอกาสที่จะรอดพ้นจากการเป็นมนุษย์หมาป่าอยู่ แต่ดูราวกับเขาจะไม่มีหวังในเรื่องนี้เอาเสียเลย เพราะแม้ว่าเขาจะพยายามหาข้อมูลที่จะสามารถายืนยันในเรื่องนี้มาเป็นเวลาครึ่งวันแล้ว แต่เขาก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะหามันพบแต่อย่างใด!
และแล้วมัลฟอยก็วางหนังสือในมือของเขาลงบนโต๊ะข้าง ๆ โซฟาในตำแหน่งบนสุดของหนังสือที่เรียงเป็นตั้งซึ่งเป็นหนังสือที่เดรโกได้อ่านแล้วทั้งสิ้น และเขาก็ไม่สามารถหาข้อมูลที่สำคัญใด ๆ เกี่ยวกับการยับยั้งการเป็นมนุษย์หมาป่าจากหนังสือเหล่านั้นได้เลย
แม้สายตาของเด็กหนุ่มจะเริ่มเหนื่อยล้าจากการอ่านหนังสือยาวนานติดกันหลายชั่วโมงก็ตาม แต่ดูเหมือนเดรโกจะไม่ย่อท้อในความพยายามที่จะหาข้อมูลที่เขาต้องการเลย และเมื่อเห็นว่าหนังสือทั้งตั้งที่เขาเลือกมานั้นไม่มีสิ่งที่เขาต้องการหา หลังจากพักสายตาได้ครู่หนึ่งแล้วเด็กหนุ่มก็ลุกขึ้นและเดินไปที่ชั้นหนังสือก่อนจะกวาดสายตามองหาหนังสือเล่มอื่น ๆ ที่น่าจะมีข้อมูลเกี่ยวกับมนุษย์หมาป่าอยู่
และขณะที่กำลังกวาดสายตามองไปยังหนังสือมากมายที่เรียงอยู่บนชั้นสายตาของเดรโกก็ไปสะดุดอยู่ที่ชั้น ๆ หนึ่งซึ่งทำจากไม้โอ๊คสีดำสนิทที่ตั้งอยู่ด้านในสุดของห้องสมุด เด็กหนุ่มรู้ดีว่าชั้นหนังสือชั้นนี้มีไว้เพื่อเก็บหนังสือศาสตร์มืดที่ล้ำลึกที่สุดในห้องสมุดแห่งนี้ อันที่จริงชั้นที่ว่าก็เป็นชั้นหนังสือปรกติที่สูงจรดเพดานเหมือนกับชั้นอื่น ๆ ในห้อง แต่ที่มันทำจากไม้โอ๊คสีดำก็เพราะพ่อของเขาต้องการให้มันดูแตกต่างจากชั้นอื่น ๆ เพื่อเป็นการแยกหนังสือที่เกี่ยวกับศาตสตร์มืดขั้นสูงออกจากหนังสือทั่ว ๆ ไปซึ่งจะถูกบรรจุในชั้นไม้สีน้ำตาลธรรมดา
แต่สิ่งที่ทำให้เดรโกแปลกใจนั้นก็คือหนังสือเล่มหนึ่งจากชั้นสีดำนี้หายไป เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจึงเดินเข้าไปใกล้ชั้นนั้น มือใหญ่ของมัลฟอยไล่ไปตามสันหนังสือที่เรียงรายกันอยู่ไปถึงช่องว่างนั้น เมื่อดูจากตำแหน่งที่ว่างเปล่านั้นแล้วเด็กหนุ่มก็พอจะเดาได้ว่าเขาหนังสือที่หายไปนั้นคือหนังสือชื่ออะไร
แต่คำถามมันอยู่ที่ใครกันที่หยิบหนังสือเล่มนั้นออกไป เพราะถ้าเดรโกจำไม่ผิดที่ตรงนี้เป็นที่ของหนังสือชื่อ ‘ ความลับของศาสตร์มืดที่สุด ’ ซึ่งมันบรรจุข้อมูลเกี่ยวกับศาสตร์มืดขั้นสูงและรุนแรงที่สุดไว้ และสิ่งที่ทำให้เดรโกแน่ใจได้ว่าสเนปหรือแม้กระทั่งพ่อของเขาคงไม่ได้หยิบมันออกอ่านอย่างแน่นอนก็เพราะหนังสือเล่มนี้ไม่มีข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับมนุษย์หมาป่าหรือการรักษามนุษย์หมาป่าเลยทั้งสิ้น ตรงกันข้ามมันกลับเต็มไปศาสตร์มืดที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่ผู้อ่านจะจินตนาการได้ ไม่ว่าจะเป็นการปรุงยาพิษ คาถาต้องห้าม คำแช่ง หรือแม้กระทั่งสัญญาทาสชั่วนิรันดร์
เดี๋ยวก่อน สัญญาทาสชั่วนิรันดร์อย่างนั้นหรือ เดรโกทวนประโยคนั้นในหัวอีกครั้งก่อนจะนึกขึ้นได้ หรือว่าเฮอร์ไมโอนี่จะเป็นคนเอาหนังสือเล่มนั้นไปกัน หรือว่าเธอรู้ว่ามันมีข้อมูลเกี่ยวกับสัญญาทาสที่เขาทำกับเธออยู่รวมทั้งวิธีในการลบล้างมันด้วย และแน่นอนว่าเด็กสาวคงต้องอยากรู้ว่าจะมีทางใดบ้างที่จะสามารถลบล้างสัญญาทาสนี้ออกไปได้อย่างแน่นอน
และในวินาทีต่อมาเด็กหนุ่มก็นึกถึงคำพูดที่เขาบอกเฮอร์ไมโอนี่ก่อนที่เขาจะออกจากห้องของเธอก่อนหน้านี้ได้
‘ส่วนเธอต้องอยู่ที่นี่ห้ามออกไปจากห้องเด็ดขาด ฉันจะให้ดีน่าคอยดูแลเธอ ถ้าเธอเบื่อก็ให้มันเอาหนังสือมาให้อ่านได้’
เมื่อเข้าใจถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นแล้ว เดรโกก็รู้สึกว่าความโกรธกำลังพลุ่งพล่านอยู่ในเส้นเลือดของเขาราวกับยาพิษเมื่อเขาคิดได้ว่าหญิงสาวที่เขารักกำลังพยายามจะหนีไปจากเขาอีกครั้งแม้กระทั่งตอนที่เขาทำสัญญาทาสชั่วนิรันดร์เพื่อผูกมัดเธอไว้กับเขาแล้วก็ตาม! มือใหญ่ของเด็กหนุ่มกำแน่นด้วยความโกรธก่อนที่เขาจะตะโกนก้อง
“ดีน่า!!!” สิ้นเสียงของมัลฟอย เอลฟ์สาวก็ปรากฏตัวขึ้นทันที มันก้มศีรษะลงต่ำก่อนจะพูดขึ้น
“นายน้อยมีอะไรให้ดีน่ารับใช้เจ้าคะ”
“ฉันอยากรู้ว่าใครเอาหนังสือเล่มนึงออกไปจากชั้นนี้” เดรโกถามเสียงเข้มพลางชี้มือไปที่ชั้นไม้สีดำตรงช่องว่างที่น่าจะเคยเป็นที่ของหนังสือความลับของศาสตร์มืดที่สุด
เมื่อรู้ว่าถึงสิ่งที่นายน้อยกำลังถามเอลฟ์ก็ตัวสั่นขึ้นมาทันที
“ดีน่า....ดีน่า.....” มันอ้ำอึ้ง
“ฉันถามแกไม่ได้ยินเหรอดีน่า หรือจะต้องใช้ฉันลงโทษแกก่อน” เดรโกพูดด้วยน้ำเสียงที่เอลฟ์รู้ดีว่าเป็นคำขาดดังนั้นมันจึงไม่อาจเสี่ยงให้ตัวเองถูกลงโทษได้
“เป็นดีน่าเองเจ้าค่ะนายน้อย เธอเอาหนังสือเล่มหนึ่งออกไปจากชั้นเองค่ะ” มันกล่าวออกมา เสียงของเอลฟ์สาวสั่นเทาอย่างน่าสงสาร แต่ดูเหมือนจะไม่มีความปราณีอยู่ในน้ำเสียงของเด็กหนุ่มเลยเมื่อเขาถามต่อ
“ฉันอยากรู้ว่าหนังสือที่แกเอาออกไปจากชั้นนี้ชื่อว่าอะไรดีน่า มันชื่อว่า ‘ความลับที่สุดของศาสตร์มืด’ ใช่ไหม แล้วแกเอามันไปให้ใคร” เขาถามด้วยน้ำเสียงดุดัน แต่ดูเหมือนเอลฟ์จะไม่อาจตอบคำถามของเจ้านายของมันได้ในตอนนั้น ขาเล็ก ๆ ของดีน่าสั่นจนมันแทบจะทรงตัวไม่อยู่ราวกับว่ามันกำลังจินตนาการอยู่ว่ามัลฟอยจะลงโทษมันอย่างไรถ้าหากเขารู้ว่ามันเอาหนังสือไปให้ใคร
“ฉันขอถามอีกครั้งว่าหนังสือเล่มที่แกเอาหนังสือชื่อความลับที่สุดของศาสตร์มืดไปใช่ไหม” เดรโกถาม
ดีน่าได้แต่พยักหน้าตอบเขาเท่านั้น
“แล้วแกเอาไปให้ใคร แกบอกฉันมาเดี๋ยวนี้ว่าแกเอาหนังสือเล่มนั้นไปให้ใคร!” เขาถามเป็นครั้งสุดท้ายแล้วตอนนี้เอลฟ์ก็ยอมบอกเขาแต่โดยดี
“ดีน่าเอาไปให้คุณผู้หญิงเจ้าค่ะ เธอบอกว่าให้ดีน่าเอาหนังสือไปให้เธออ่าน แล้วเธอก็บอกด้วยว่านายน้อยอนุญาตแล้ว” เอลฟ์สาวพูดด้วยท่าทีหวาดกลัว ขณะที่มัลฟอยจ้องมองเอลฟ์ด้วยแววตาที่ดุดัน เด็กหนุ่มกัดฟันกรอดอย่างเคียดแค้น จนแวบหนึ่งดีน่าคิดว่านายน้อยคงต้องลงโทษมันอย่างหนักแน่นอนที่นำหนังสือเล่มนั้นไปให้คุณผู้หญิง แต่เอลฟ์ก็ต้องแปลกใจเมื่อมันพบว่าเดรโกไม่ได้ลงโทษมันหรือสั่งให้มันลงโทษตัวเองแต่อย่างใด แต่เขากลับหันหลังกลับและทำท่าเหมือนกำลังจะเดินออกจากห้องสมุด
“นายน้อยจะไปไหนเจ้าคะ” เอลฟ์ร้องถาม แต่เด็กหนุ่มหันหลังกลับมามองมันแม้แต่น้อย เขาได้แต่ตะโกนตอบกลับมา
“ฉันก็จะไปเอาหนังสือเล่มนั้นคืนจากเกรนเจอร์น่ะสิ” มัลฟอยพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะเดินออกจากห้องสมุดไป
*************************************************
ความคิดเห็น