คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ความเจ็บปวดของมัลฟอย: Draco's past
***Chapter 7 ความเจ็บปวดของมัลฟอย: Draco’s past***
“พ่อเธอเสกคาถาสะกดใจใส่แม่เธอมาตลอดหนึ่งปีอย่างนั้นเหรอมัลฟอย!” เฮอร์ไมโอนี่พูดอย่างตกใจ เด็กหนุ่มพยักหน้าช้า ๆ แทนคำตอบ
“แล้วตอนนี้พ่อก็บังคับให้ฉันเสกคาถาใส่แม่แทนเขา ถ้าแม่เกิดขัดขืน!” มัลฟอยพูดอย่างทุกข์ทรมาน เด็กหนุ่มกำหมัดแน่น ราวกับต้องการระบายความอัดอั้นภายในใจ
“เกิดอะไรขึ้นมัลฟอย” เฮอร์ไมโอนี่พูดขึ้น ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเตียงข้าง ๆ เขา น่าแปลกนักที่คราวนี้มัลฟอยกลับไปไม่ไล่เธอไปไกล ๆ อย่างที่เขาควรจะทำ
“มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอเลยนะ ยายเลือดสีโคลน” มัลฟอยพูด
“ถึงไม่เกี่ยว แต่ฉันก็รับฟังได้นี่” เด็กสาวพูด พยายามจะไม่สนใจคำพูดหยาบคายที่มัลฟอยใช้กับเธอ เพราะตอนนี้เธอรู้แล้วว่าการที่มัลฟอยทำตัวแบบนั้นเพียงเพราะเขาไม่ต้องการให้ใครได้เห็นความอ่อนแอของเขา
“ถึงเธอจะมาทำดีกับฉัน ฉันก็จะไม่ปล่อยเธอไปหรอกนะ” เด็กหนุ่มพูดดักคอ
“เรื่องนั้นฉันรู้ ฉันแค่อยากให้เธอระบายออกมาเท่านั้น ดีกว่าเก็บไว้คนเดียวไม่ใช่รึ” เฮอร์ไมโอนี่พูด
มัลฟอยมองเธออย่างประหลาดใจน้อย ๆ ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น เรื่องราวที่เปรียบเสมือนรอยแผลที่ฝังลึกในจิตใจของเขาตราบจนถึงทุกวันนี้
.................................................
“ตั้งแต่ฉันเป็นเด็ก พ่อสอนฉันเสมอว่าเราต้องภูมิใจในสายเลือดของเราที่พิเศษกว่าใคร” มัลฟอยเริ่มเล่า
“พ่อย้ำกับฉันเสมอว่า มีแต่พวกเลือดบริสุทธิ์อย่างเราเท่านั้นที่ควรค่าแก่การใช้เวทย์มนตร์ พวกเลือดผสมและพวกเลือดสีโคลนถือเป็นความอัปยศของพ่อมดแม่มดอย่างยิ่ง” เด็กหน่มพูดโดยไม่มองหน้าเฮอร์ไมโอนี่
“พ่อสอนฉันในหลาย ๆ เรื่อง ที่ทายาทตระกูลมัลฟอยสมควรจะรู้ ทั้งเวทย์มนตร์ต่าง ๆ การใช้ศาสตร์มืด และการภูมิใจในสายเลือดและวงศ์ตระกูลของเราที่สูงส่งกว่าใคร” มัลฟอยพูด
“พ่อสอนฉันทุกอย่างเท่าที่พ่อจะนึกได้สำหรับทายาทคนเดียวของตระกูล แต่เรื่องหนึ่งที่พ่อไม่ยอมสอนฉันเพียงเรื่องเดียว ก็คือ ‘ความรัก’ ”
“เท่าที่ฉันจำความได้ พ่อไม่เคยกอดฉันเลยสักครั้ง ไม่เคยแสดงความรักต่อฉันเลยแม้แต่น้อย พ่อบอกว่าลูกผู้ชายตระกูลมัลฟอยต้องเข้มแข็ง และต้องไม่ถูกตามใจจนเสียคน พ่อทำแม้กระทั่งห้ามแม่ไม่ให้ใกล้ชิดฉัน เพราะพ่อกลัวว่าถ้าฉันได้รับความรักจากแม่มากเกินไป ฉันจะกลายเป็นคนใจอ่อนเหมือนที่พวกผู้หญิงเป็น” เสียงของมัลฟอยฟังดูแปลก ๆ เมื่อเขาเล่าถึงอดีตที่เจ็บปวด
“เวลาฉันร้องไห้ พ่อไม่เคยปลอบฉันเลยสักครั้ง เพราะพ่อคิดว่าทายาทตระกูลมัลฟอยต้องเป็นคนที่เข้มแข็งและช่วยเหลือตัวเองได้ เมื่อตอนที่ฉันล้มพ่อก็ไม่เคยช่วยอุ้มฉันเลยสักครั้ง แต่ท่านจะมองดูฉันจนกว่าฉันจะลุกขึ้นได้เอง และถ้าฉันทำไม่ได้พ่อก็จะบอกฉันเสมอว่า คนที่ช่วยเหลือแม้กระทั่งตัวเองไม่ได้ก็ไม่สมควรเป็นลูกหลานตระกูลมัลฟอย”
“แต่ถึงอย่างนั้น แม่ก็จะแอบปลอบฉันเสมอ ๆ ยามที่พ่อไม่เห็น ฉันจำได้ว่าฉันเพิ่งรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แท้จริงก็ตอนที่แม่กอดฉันและปลอบให้ฉันหยุดร้องนี่แหละ แต่สิ่งที่แม่ทำนั้นก็ไม่เคยพ้นสายตาของพ่อไปได้เลย พอพ่อจับได้ว่าแม่แสดงความรักกับฉัน ท่านก็โกรธมาก ฉันเห็นพ่อโมโหมากและด่าว่าแม่เสียงดัง” มัลฟอยเล่า แววตาสีเงินของเขาจ้องมองที่พื้น
“แล้วพ่อของเธอทำร้ายแม่เธอรึเปล่า” เฮอร์ไมโอนี่ถาม
“เปล่า พ่อไม่ได้ทำร้ายแม่ แต่พ่อแยกเราแม่ลูกออกจากกัน ตอนนั้นฉันไม่ได้เจอแม่นานมาก หลายเดือนทีดียว เพราะพ่อเอาแต่ขังแม่ไว้ในห้องไม่ยอมให้ออกมาเจอฉัน” มัลฟอยพูดต่อ รอยยิ้มเศร้า ๆ ปรากฏบนใบหน้าหมองเศร้าของเขา
“เพราะอย่างนั้น ฉันถึงเติบโตมาโดยปราศจากความรักยังไงล่ะ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังคิดเสมอว่าพ่อคงรักฉันบ้าง เพราะอย่างน้อยพ่อกับแม่ก็รักกัน ท่านทั้งสองแต่งงานกันเพราะความรักฉันจึงได้เกิดมา แต่นั่นมันไม่จริงเลย”
“เธอหมายความว่ายังไงน่ะ มัลฟอย” เฮอร์ไมโอนี่ถามขึ้นเบา ๆ
“ฉันเคยคิดว่าพ่อกับแม่แต่งงานกันด้วยความรัก จนกระทั่งฉันไปเจอสมุดบันทึกของแม่เข้าโดยบังเอิญ ตอนที่ฉันเข้าไปดูแลแม่ที่ห้อง แล้วฉันก็รู้ว่าตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมาแม่ไม่ได้รักพ่อเลยแม้แต่น้อย!” มัลฟอยพูด เฮอร์ไมโอนี่ดูตกใจกับเรื่องที่ได้ยิน
“ถ้าอย่างนั้น แม่เธอก็ถูกบังคับให้แต่งงานอย่างนั้นหรือ” เฮอร์ไมโอนี่พูด
“ถึงไม่ถูกบังคับก็เหมือนโดนบังคับนั่นแหละ สำหรับเลือดบริสุทธิ์อย่างพวกเรา ความรักสำหรับเราก็คือการแต่งงานกับเลือดบริสุทธิ์ที่คู่ควรกับเรา เหมือนอย่างที่แม่ต้องจำใจแต่งงานกับพ่อ” มัลฟอยพูดประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงปวดร้าว แววตาสีซีดของเขาดูหมองเศร้าเหลือเกิน เกินกว่าที่เฮอร์ไมโอนี่จะปล่อยให้เขาทุกข์ทรมานอยู่อย่างนี้คนเดียวได้
มือน้อย ๆ เลื่อนไปกุมมือแข็งแรงอย่างจงใจ มัลฟอยมองหน้าเธออย่างแปลกใจ
“เกรนเจอร์?” เด็กหนุ่มพูด
“เล่าต่อสิ” เด็กสาวบอก ก่อนจะละสายตาไปมองมือเธอกับเขาที่จับกันอยู่
“ฉันรู้นะว่าเธอรังเกียจฉัน แต่ฉันคิดว่ามันน่าจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น อย่างน้อยเธอก็รู้ว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียวไง” เฮอร์ไมโอนี่ว่า
และเธอก็คาดว่าจะได้ยินมัลฟอยตอบกลับมาว่า ‘มันไม่เกี่ยวกับเธอสักนิด ยัยเลือดสีโคลน!’ ก่อนจะสะบัดมือเธอออกไป แต่มัลฟอยกลับไม่ทำอย่างนั้น มือชื้นเหงื่อของมัลฟอยกระชับเข้ากับมือเรียวเล็กของเฮอร์ไมโอนี่ สายตาของเด็กหนุ่มละไปจากใบหน้าของเด็กสาวก่อนที่จะเริ่มเล่าอีกครั้ง
“พอฉันได้อ่านบันทึกฉันก็ได้รู้ความจริงทั้งหมดว่าแม่ไม่ได้รักพ่อเลย แต่จำเป็นต้องแต่งงานกันเขา เธอคงรู้ใช่ไหมเกรนเจอร์ว่าแม่ฉันเป็นคนตระกูลแบล็ก” มัลฟอยถาม
“ฉันพอรู้มาบ้าง” เด็กสาวตอบ เพราะเธอเคยเห็นชื่อของนางนาร์ซิสซาอยู่บนม่านปักในกริมโมลด์เพลซ
“นั่นแหละ แล้วเธอก็คงรู้ใช่ไหมว่าตระกูลแบล็กนั้นเคร่งเรื่องสายเลือดบริสุทธิ์มากพอ ๆ กับตระกูลมัลฟอย” มัลฟอยถามอีกครั้ง เฮอร์ไมโอนี่พนักหน้าตอบ
“โดยเฉพาะคุณป้าของแม่ หรือคุณผู้หญิงของตระกูลแบล็ก เธอเคร่งเรื่องสายเลือดมากเอา ๆ ใครก็ตามที่บังอาจไปแต่งงานกับคนที่ไม่ใช่สายเลือดบริสุทธิ์ด้วยกัน จะถูกขับไล่ออกจากตระกูลทันที” มัลฟอยพูด
“พี่สาวคนรองของแม่ อันโดรเมดา ก็เป็นอีกคนที่ถูกขับออกจากตระกูล เพราะไปแต่งงานกับเลือดสีโคลน ไม่เพียงเท่านั้นพี่สาวคนโตของแม่ เบลลาทริกซ์ ก็แต่งงานกับเลือดบริสุทธิ์ที่น่านับถือ มันจึงเป็นการสร้างความกดดันให้กับลูกสาวคนเล็กในครอบครัวอย่างแม่ เพราะความภาคภูมิใจของคนในตระกูลฝากไว้กับแม่ คนทั้งตระกูลต่างคอยจับตาดูว่าเธอจะเลือกเจริญรอยตามพี่สาวคนไหนกัน”
“แม่สับสนอยู่นาน จนกระทั่งพ่อของฉันมาทาบทามแม่กับตระกูลแบล็ก แน่นอนว่าแม่ไม่มีทางเลือก ถึงแม้เธอจะไม่ได้รักพ่อ แต่พ่อเป็นคู่แต่งงานที่เหมาะสม เขามีฐานะ ชาติตระกูลเพรียบพร้อม เหมาะสมกับเธอทุกอย่าง และแน่นอนว่าแม่ไม่ต้องการเป็นแบบพี่สาวคนรอง อันโดรเมดา ที่ถูกขับออกจากตระกูล เธอจึงตกลงแต่งงานกับพ่อ” มัลฟอยพูด
“แต่การตัดสินใจนั้น มันทำให้แม่ต้องติดอยู่กับชีวิตแต่งงานที่ไม่มีความสุข แม่รู้ว่าพ่อรักแม่ และบางทีอาจจะรักมาก แต่แม่ไม่อาจจะทำใจให้รักเขาได้ พอ ๆ กับที่ไม่อาจทำใจรับกับเรื่องต่าง ๆ ที่พ่อทำได้” มัลฟอยเล่า
“ตั้งแต่พ่อหนีออกมาจากอัซคาบัน แม่เฝ้าขอร้องให้พ่อกลับตัวกลับใจ และใช้ชีวิตอย่างสงบสุข เพราะถึงอย่างไรก็ไม่อาจมีมือปราบมารหรือผู้เสพความตายคนไหนย่างกรายเข้ามาในบ้านของเราได้ คฤหาสน์มัลฟอยของเรานั้นถูกร่ายเวทย์มนตร์โบราณคุ้มครองผู้ที่อาศัยไว้ ตราบใดที่เลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลมัลฟอยยังคงปักหลักอยู่ในคฤหาสน์แห่งนี้ ก็จะไม่มีใครสามารถมาทำร้ายพวกเราได้”
“แต่พ่อกลับไม่ฟัง เพราะพ่อต้องการกลับไปรับใช้จอมมาร พ่อต้องการอำนาจจากเขา พ่อต้องการที่จะยึดครองอำนาจบางส่วนไว้ในมือ แต่แม่ก็ยังยืนยันว่าอยากให้พ่อกลับตัว แม่ไม่อยากให้พ่อถลำลึกลงไปมากกว่านี้อีกแล้ว ทั้งสองคนทะเลาะกันใหญ่โต จนกระทั่งแม่ขู่ว่าจะไปฟ้องกระทวงหากพ่อไม่ยอมหยุด และเมื่อเป็นเช่นนั้น พ่อก็เลยเสกคาถาสะกดใจใส่แม่!” มัลฟอยจบประโยคด้วยน้ำเสียงปวดร้าว มือแข็งแรงบีบมือของเฮอร์ไมโอนี่แน่น
“ตลอดเวลาหนึ่งปีมานี่ พ่อร่ายคาถาสะกดใจใส่แม่มาตลอด และก็มีบางครั้งที่เธอพยายามจะขัดขืนมัน และเมื่อเป็นเช่นนั้นพ่อจึงต้องร่ายคาถาใส่เธอซ้ำอีก และนับวันคาถาที่พ่อร่ายใส่เธอก็จะยิ่งรุนแรงขึ้น จนสมองของเธอรับไม่ได้” มัลฟอยพูดอย่างปวดร้าว เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกว่ามือของเธอแทบจะแหลกไปเพราะแรงบีบจากมือแข็งแรงนั้น แต่เด็กสาวกลับไม่พูดอะไรออกไป
“พอเป็นอย่างนั้น แม่ก็เริ่มลืมเลือนเรื่องต่าง ๆ บางทีเธอก็เหม่อลอยทั้งวัน ไม่สนใจใคร และที่สำคัญ เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเธอเป็นใคร แม่จำไม่ได้แม้กระทั่งพ่อ หรือฉัน!” มัลฟอยพูดอย่างปวดร้าว แววตาสีเงินนั้นดูโศกเศร้าจนยากจะบรรยาย เฮอร์ไมโอนี่มองเด็กหนุ่มอย่างสงสาร และเธอก็เข้าใจว่าทำไมเขาถึงละเมอออกมาอย่างนั้นในวันที่เขาป่วย และเข้าใจแล้วว่าทำไมมัลฟอยต้องมีท่าทีผิดปกติด้วยเมื่อเฮอร์ไมโอนี่พูดถึงเรื่องนั้นขึ้นมา
และตอนนี้เด็กสาวก็เข้าใจแล้วว่า ทำไมเดรโก มัลฟอยถึงได้รังเกียจเธอและเพื่อนทั้งสองนัก นั่นเป็นเพราะเขาอิจฉาแฮร์รี่และรอนที่มีในสิ่งที่เขาไม่เคยมี
ถึงแฮร์รี่จะสูญเสียทั้งพ่อและแม่ แต่เขาก็ได้รับความรักจากคนอื่นมากมาย เขามีชื่อเสียง มีคนรักใคร่ ส่วนรอนนั้น ถึงครอบครัวเขาจะยากจน แต่เขาก็มีพ่อกับแม่ที่รักเขา และมีครอบครัวที่อบอุ่น
สำหรับเฮอร์ไมโอนี่นั้น เธอคิดว่าเหตุผลเดียวที่มัลฟอยรังเกียจเธอก็เพราะเธอเป็นเลือดสีโคลน เป็นคนที่เขาสมควรรังเกียจอย่างที่พ่อเขาปลูกฝังเขามาตั้งแต่เล็ก แต่เฮอร์ไมโอนี่ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่มัลฟอยเกลียดมากกว่าเธอและเพื่อนทั้งสองก็คือตัวของเขาเอง!
.................................................
แม้ว่าพ่อของเขาจะพร่ำสอนเขาอยู่ทุกวันว่าให้ภูมิใจในสายเลือดบริสุทธิ์ที่เขามี แต่อีกใจหนึ่งมัลฟอยก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าเป็นเพราะเรื่องนี้ที่ทำให้แม่ของเขาต้องทนทุกข์อยู่กับชีวิตแต่งงานที่ไม่มีความสุข เขารู้มาตลอดว่าแม่ไม่ได้รักพ่อเลย แต่แม่ก็ต้องทนอยู่กับพ่อ!
เบื้องหน้าของแม่นั้นเป็นคุณนายมัลฟอยที่สง่างาม แต่ในใจของเธอกลับชอกช้ำ ตรอมตรมกับชีวิตแต่งงานที่ไม่มีความสุข เดรโกรู้ดีว่าแม่ไม่มีทางเลือก เธอต้องทนอยู่กับพ่อเพราะสภาพที่บีบบังคับ ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาในสังคม ชื่อเสียงวงศ์ตระกูล ความภาคภูมิใจของคนในครอบครัวที่มันค้ำคอเธออยู่ แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้นางนาร์ซิสซาต้องทนอยู่กับผู้ชายที่เธอไม่ได้รักจนถึงทุกวันนี้ก็คือ ลูกชายของเธอ เดรโก มัลฟอยนั่นเอง!
และแน่นอนว่ามัลฟอยรู้เรื่องนี้มาตลอด เพราะเดรโกไปเจอบันทึกของแม่เข้าในห้องของเธอ และหลังจากที่เขาอ่านบันทึกจบไม่นานนางนาร์ซิสซาก็กลับเข้ามาในห้องพอดี
.................................................
ย้อนไปเมื่อฤดูร้อนที่เดรโกอายุ 16 ปี [ช่วงปิดเทอมก่อนที่เขาจะขึ้นปี 6]
“เดรโก ลูกทำอะไรอยู่น่ะ” นางมัลฟอยถาม เมื่อเห็นว่าลูกชายของเขากำลังยืนอยู่ที่ตู้หนังสือภายในห้องนอนของเธอ และที่สำคัญก็คือช่องลับที่เธอใช้ซ่อนสิ่งสำคัญไว้ในตู้นั้นได้เปิดออกมา!
“เดรโก!” นางนาร์ซิสซากล่าวอย่างตกใจเมื่อเห็นสิ่งที่ลูกชายถือไว้ในมือ “เอามาให้แม่เดี๋ยวนี้นะ!” หล่อนสั่งและพยายามจะแย่งมันมาจากมือของลูกชาย แต่เดรโกกลับไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น
“ทำไมแม่ไม่เคยบอกผมเลยซักครั้ง” เดรโกถามด้วยน้ำเสียงที่แปลกแปร่ง ราวกับมันถูกอัดแน่นไปด้วยความสับสนระคนเศร้า
“ทำไมแม่ไม่เคยบอกผมเลยว่าแม่ไม่เคยรักพ่อเลยซักนิด!”
นางนาร์ซิสซามองลูกชายตัวเองอย่างจนใจ แต่หล่อนก็รู้ดีว่าเธอไม่มีทางจะปิดปังเขาได้อีกต่อไป
“ไม่มีประโยชน์ที่จะเอ่ยถึงมันอีก” นางพูด
“ทำไมล่ะแม่ ถ้าแม่ไม่รักพ่อ แล้วแม่แต่งงานกับพ่อทำไม” เดรโกถามอย่างไม่เข้าใจ นางมัลฟอยถอนใจ
“ลูกก็น่าจะรู้นะว่าทำไมแม่ถึงแต่งงานกันเขา” นางตอบลอย ๆ
“แล้วทำไมแม่ถึงไม่เลิกกับเขาล่ะ ทำไมแม่ต้องทนอยู่กับพ่อจนถึงป่านนี้ด้วย” มัลฟอยถามเสียงสั่น เขาไม่รู้ว่าครวจะรู้สึกอย่างไรดี โกรธ หรือว่า เสียใจ
“มันสายเกินไปแล้วที่จะทำอย่างนั้น อีกอย่างตอนนี้พ่อของลูกก็เข้าอัซคาบันไปแล้ว” นางนาร์ซิสซากล่าว แม้เธอจะไม่ได้รักสามีของเธอเลยแม้แต่น้อย แต่แววตาสีฟ้าของนางก็แสดงออกถึงความเป็นห่วงเขาออกมาอยู่ดี
“แต่นั่นก็เท่ากับแม่เป็นอิสระจากเขาแล้ว” เดรโกพูดกับมารดา “ถ้าแม่ไม่อยากอยู่ที่นี่แม่ก็มีสิทธิ์ที่จะไม่อยู่”
“แม่ทำอย่างนั้นไม่ได้” นางนาร์ซิสซาพูด แม้ว่าข้อเสนอของเดรโกลูกชายจะแป็นสิ่งที่นางต้องการเพียงไรก็ตาม
“แล้วถ้าซักวันพ่อแหกคุกกลับมาล่ะแม่ แม่ก็ต้องมาติดแหง็กอยู่กับชีวิตเดิม ๆ อีกครั้ง” เดรโกพูดอย่างมีเหตุผล นางมัลฟอยส่ายหน้า
“แต่นั่นเป็นสิ่งที่แม่ควรจะทำ แม่เป็นภรรยาของพ่อนะเดรโก แม่เป็นคุณนายมัลฟอย แม่ไปไหนไม่ได้ แม่ต้องอยู่ที่นี่” นางมัลฟอยพูดอย่างสับสน “ถ้าแม่ทิ้งทุกอย่างไปตอนนี้ไม่รู้ว่าคนอื่นเขาจะพูดอย่างไรกัน”
“แม่เลิกสนคนอื่นเถอะ แม่ทำเพื่อคนอื่นมามากพอแล้วนะ” เดรโกแย้ง
“แม่ต้องแต่งงานกับพ่อทั้ง ๆ ที่ไม่ได้รักเพื่อความภาคภูมิใจของตระกูล แม่ต้องอยู่กับพ่อทั้ง ๆ ที่แม่ไม่ได้มีความสุข...” เสียงของมัลฟอยสั่นเครือ เด็กหนุ่มต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะห้ามไม่ได้น้ำตารินไหลมาจากดวงตาสีเงิน
“แม่ทนมาพอแล้วนะ” เดรโกพูด นางนาร์ซิสซามองดูลูกชายของเธออย่างชัดเจน
เขาเติบโตเป็นเด็กหนุ่มแล้วสินะ มือผอมบางของนางมัลฟอยสัมผัสเรือนผมสีบลอนด์ของเดรโกเบา ๆ ราวกับความรักของเธอได้ถ่ายทอดไปยังลูกชายผ่านดวงตาสีฟ้าของเธอยามจ้องมองเขา
“ลูกรู้ไหม” นางนาร์ซิสซาพูด มองลูกชายคนเดียวของเธออย่างแสนรัก
“เหตุผลเดียวที่ทำให้แม่ทนอยู่กับพ่อมาตลอดนี่ ก็คือลูก เดรโก”
.................................................
“นายเป็นอะไรรึเปล่ามัลฟอย” เฮอร์ไมโอนี่ถามขึ้นเมื่อเธอเห็นเด็กหนุ่มซบหน้าลงกับฝ่ามือ ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ จากเด็กหนุ่ม ในใจของเฮอร์ไมโอนี่คิดว่าเขาคงอยากจะร้องไห้ แต่เด็กสาวก็รู้ว่าตัวเองคิดผิดเมื่อมัลฟอยเงยหน้าขึ้นมาหลังจากนั้นไม่นานนัก และดวงตาสีเงินของเขาก็ปราศจากหยดน้ำตาแต่อย่างใด
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตนั้นเป็นสิ่งที่คอยย้ำเตือนแก่เขาว่าเป็นเพราะเขาที่ทำให้แม่ต้องเป็นอย่างนี้ เป็นเพราะเขาที่ทำให้แม่ต้องทุกข์ทรมานอยู่ตลอดเวลาสิบกว่าปีนี่!
และนั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงเกลียดตัวเองนัก เขาเกลียดที่ตัวเองเกิดมาและทำให้แม่ต้องทนอยู่กับพ่อเพียงเพราะเขา เขาเกลียดตัวเองที่ไม่สามารถช่วยเหลือหรือปกป้องเธอได้เลยยามที่พ่อเสกคาถาสะกดใจใส่เธอ!
“มัลฟอย?” เฮอร์ไมโอนี่เรียกชื่อเขาเมื่อเธอเห็นว่ามัลฟอยเงียบไปนาน
“อะไรรึเกรนเจอร์” มัลฟอยตอบกลับมา
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” เฮอร์ไมโอนี่พูด มัลฟอยละสายตาจากใบหน้าของเธอและมองไปทางอื่น
“เธอคงสมเพชฉันสิใช่ไหม มันคงน่าหัวเราะสินะกับเรื่องที่เธอได้ฟังน่ะ หรือเธอคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ฉันสมควรได้รับแล้ว” มัลฟอยพูดราวกับจะเย้ยหยันตัวเอง เฮอร์ไมโอนี่ลุกขึ้นยืน
“ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยนะ” เฮอร์ไมโอนี่พูด เด็กหนุ่มไม่ตอบอะไรออกมา
“ตรงกันข้าม” เด็กสาวพูด “ฉันเป็นห่วงนายมากกว่า”
“เธอคิดว่าถ้าเธอพูดอย่างนี้แล้วฉันจะปล่อยเธอไปหรือ” มัลฟอยรีบพูดดักคอ เฮอร์ไมโอนี่ส่ายหน้า
“ฉันรู้ว่านายไม่มีทางปล่อยฉันไป เพียงแต่ฉันคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับนายมันเลวร้ายมาก ๆ ทีเดียว” เด็กสาวพูดอย่างระมัดระวัง
“เธอไม่มีทางเข้าใจฉันหรอกเกรนเจอร์” มัลฟอยพูดเบา ๆ เฮอร์ไมโอนี่มองเด็กหนุ่มอย่างจนใจ
มันก็อาจจะใช่ ที่เธอไม่มีทางเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเขาได้ เพราะถึงแม้ว่าเธอจะมีบาดแผลในใจเช่นเดียวกับเขา แม้ว่าพ่อแม่ของเธอถูกสังหารโดยฝีมือของนายมัลฟอยก็ตาม แต่ตลอดเวลาที่ท่านทั้งสองมีชีวิตอยู่นั้น พวกท่านไม่เคยทำอย่างที่ครอบครัวมัลฟอยทำเลยแม้แต่น้อย
เฮอร์ไมโอนี่จำได้ดีว่าเธอได้รับความรักจากพ่อแม่มากมาย ตั้งแต่เล็กมา ไม่เคยมีซักครั้งที่เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกว่าครอบครัวของเธอมีปัญหา เธอจำได้ดีว่าพ่อกับแม่ของเธอไม่เคยทะเลาะกันให้เธอเห็นสักครั้ง ถึงแม้ว่าท่านทั้งสองจะมีความคิดเห็นขัดแย้งกันในบางครั้ง แต่พวกท่านก็เลือกจะไปคุยกันเงียบ ๆ ในห้องแทนที่จะทะเลาะกันต่อหน้าเฮอร์ไมโอนี่
เด็กสาวจำได้ดีว่าเธอเติบโตขึ้นมาท่ามกลางความรักและความอบอุ่น ซึ่งตรงกันข้ามกับมัลฟอย แม้ว่าพ่อแม่ของเธอจะเป็นมักเกิ้ลธรรมดา ๆ แต่เธอก็ภูมิใจในตัวท่านทั้งสองมาก ในวันที่เฮอร์ไมโอนี่ได้รับจดหมายจากฮอกวอตส์ และเธอไปปรึกษาเรื่องนี้กับพ่อและแม่ ท่านทั้งสองก็เห็นดีเห็นงามกับเรื่องนี้ ถ้าหากเฮอร์ไมโอนี่อยากไปเรียนที่นั่นพ่อกับแม่ของเธอก็เต็มใจ และไม่คิดจะบังคับให้เธอเป็นหมอฟันเหมือนท่านทั้งสองเลยแม้แต่น้อย
และแม้ว่าตอนนี้ทั้งพ่อกับแม่ของเธอจะจากไปแล้วก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ยังรู้สึกเหมือนกับพวกท่านยังอยู่ใกล้ ๆ เธอมาตลอด ซึ่งตรงกันข้ามกับเดรโก แม้ว่าพ่อกับแม่ของเขาจะอยู่กันพร้อมหน้า แต่ไม่มีสักครั้งเลยที่เด็กหนุ่มได้รับความอบอุ่นเฉกเช่นที่เธอเคยได้รับ
เฮอร์ไมโอนี่ยืนขึ้นตรงหน้ามัลฟอย เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเธอ
“ฉันเสียใจด้วยนะมัลฟอย” เฮอร์ไมโอนี่พูด
“เกรนเจอร์?” มัลฟอยพูดอย่างสงสัย ว่าทำไมเด็กสาวคนนี้ถึงได้ดีกับเขานัก ทั้ง ๆ ที่เขาเคยทำเรื่องร้าย ๆ กับเธอสารพัด ทั้ง ๆ ที่พ่อของเขาเป็นคนสังหารพ่อแม่ของเธอ ทั้ง ๆ ที่เขาเกือบใช้กำลังขืนใจเธอ แต่เฮอร์ไมโอนี่กลับทำราวกับเรื่องเหล่านั้นไม่เคยเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
“ฉันแค่อยากให้นายรู้ว่านายไม่ได้อยู่คนเดียว” เฮอร์ไมโอนี่พูดและสวมกอดเด็กหนุ่มเบา ๆ
มันไม่ใช่กอดแบบที่หญิงสาวกอดชายหนุ่ม ไม่ใช่แบบนี่คู่รักกอดกัน แต่เป็นกอดที่อบอุ่นที่สุดที่เขาเคยสัมผัสนอกจากอ้อมกอดของแม่ของเขาแล้ว มัลฟอยรู้สึกได้ถึงความห่วงใยและความปรารถนาดีที่เฮอร์ไมโอนี่ต้องการจะมอบให้เขา และด้วยความอบอุ่นนี้เองมันทำให้ความเจ็บปวดในอดีตของเขาจางหายไปได้อย่างง่ายดาย
“เกรนเจอร์” มัลฟอยพึมพำชื่อของเธอออกมาเบา ๆ ก่อนจะรวบวงแขนแข็งแรงไว้รอบร่างของเด็กสาว ที่เขาต้องการมาตลอดก็คือมีใครสักคนที่จะมาช่วยเยียวยาหัวใจที่เต็มไปด้วยรอยแผลของเขา แค่ใครสักคนเท่านั้นที่สามารถเข้าใจเขา และอยู่เคียงข้างเขาในเวลาเช่นนี้
และตอนนี้คน ๆ นี้ก็ได้ยืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
มัลฟอยคลายวงแขนที่โอบกอดร่างของเฮอร์ไมโอนี่ออก ก่อนจะดันตัวเด็กสาวออกช้า ๆ มือแข็งแรงของมัลฟอยวางลงบนไหล่ของเด็กสาวเบา ๆ
“คืนนี้ เธออยู่เป็นเพื่อนฉันได้ไหมเกรนเจอร์”
*************************************************
ความคิดเห็น