คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : The Graveyard [สุสานบ้านริดเดิ้ล]
***Chapter 4 The Graveyard [สุสานบ้านริดเดิ้ล] ***
มัลฟอยรู้สึกราวกับร่างของเขาถูกดันไปตามท่อขนาดใหญ่ ความอึดอัดรุมรัดร่างทั้งร่างของเด็กหนุ่มเอาไว้ เขากลั้นหายใจและหลับตาแน่นจนกระทั่งมาถึงปลายทาง เท้าของมัลฟอยสัมผัสพื้นหญ้าที่แห้งกรอบ เขาลืมตาขึ้นและพบว่าเขากำลังยืนอยู่ในสุสานแห่งหนึ่ง
เบื้องหน้าของเขามีร่างดำทะมึนจำนวนนับสิบร่างยืนรายล้อมกันอยู่รอบ ๆ สุสานครอบครัวริดเดิ้ล แต่ดูเหมือนว่าศูนย์กลางของร่างเหล่านั้นจะเป็นสุสานเก่าแก่อันหนึ่งซึ่งสลักชื่อไว้ว่า ‘ ทอม ริดเดิ้ล ’ เบื้องหน้าสุสานนั้นมีร่าง ๆ หนึ่งยืนอยู่อย่างสงบนิ่ง ศีรษะที่ประดับอยู่บนร่างที่สวมอาภรณ์สีดำสนิทนั้นดูราวกับมันไม่ใช่ใบหน้าของมนุษย์ ใบหน้าซีดเผือด ดวงตาสีแดงก่ำ ริมฝีปากที่เป็นเพียงรอยแยกบาง ๆ กับจมูกเล็ก ๆ ทำให้มัลฟอยคิดว่าใบหน้านั้นช่างดูเหมือนงูอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
เกิดเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นทันทีที่มัลฟอยปรากฏตัวที่สุสาน เหล่าผู้เสพความตายที่มาร่วมชุมนุมกันนั้นต่างส่งสายตาที่ดูราวกับจะประเมินค่ามาทางเด็กหนุ่มภายใต้หน้ากากที่สวมพวกเขาอยู่
“เดินไปสิ” หางหนอนกระซิบบอกมัลฟอย และพยักเพยิกไปทางสุสานที่จอมมารรออยู่ เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ก่อนที่จะเดินตรงไปยังเส้นทางที่ได้ถูกกำหนดเอาไว้
เท้าของมัลฟอยเหยียบลงบนพื้นหญ้าและส่งเสียงดังกรอบแกรบไปทั่วบริเวณสุสานที่เงียบสงบ แต่ดูเหมือนว่าจอมมารและเหล่าผู้เสพความตายจะไม่สนใจถึงเสียงรบกวนนั้น พวกเขาได้แต่มองตามมัลฟอยทุกฝีก้าวที่เขาเดิน สายตานับสิบที่จ้องมองเขาอยู่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกอึดอัด ราวกับเขากำลังมุ่งหน้าไปสู่ตะแลงแกรงก็ไม่ปาน จนในที่สุดเขาก็มาหยุดฝีเท้าลงตรงหน้าจอมมาร
จอมมารมองมัลฟอยด้วยแววตาพิจารณาเช่นเดียวกับที่ผู้เสพความตายทุกคนใช้มองเขา แต่เด็กหนุ่มกลับรู้สึกว่าดวงตาสีแดงก่ำที่เจ้าแห่งศาสตร์มืดใช้มองเขาอยู่นั้นมันทะลุไปยังทุกส่วนของร่างกายเขา
เด็กหนุ่มรู้ดีว่าจอมมารนั้นเป็นผู้ที่เชียวชาญทางด้านพินิจใจมากที่สุดเท่าที่โลกนี้เคยมีมา และแน่นอนว่าตอนนี้ท่านกำลังใช้ความสามารถนั้นกับเขาอยู่!
มัลฟอยหลับตาแน่น และพยายามจะปิดใจตัวเองออกจากการมองเห็นของจอมมารอย่างยากเย็น เพราะมันคงจะไม่ดีแน่ถ้าจอมมารจะเจาะเข้าไปในจิตใจของเขา แล้วรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับเฮอร์ไมโอนี่!
หลังจากผ่านช่วงเวลาที่กดดันอย่างยิ่งสำหรับมัลฟอยไปแล้วจอมมารก็พูดขึ้นว่า
“ข้าเห็นหลายสิ่งหลายอย่างในความคิดของเจ้า และมีอยู่หลายอย่างที่ข้าไม่เข้าใจ” จอมมารเอ่ยขึ้นพลางมองมัลฟอย “ภาพความคิดของเจ้ามันช่างสับสนนัก ราวกับว่าเจ้ากำลังปิดปังไม่ให้ข้ามองเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่อยู่ในใจของเจ้า” จอมมารพูด มัลฟอยรู้สึกว่าคำพูดนั้นแทงทะลุจิตใจของเขา
“หามิได้เลย ข้าไม่ได้ปิดปังเรื่องใดกับท่านเลยแม้แต่น้อย เจ้านาย” มัลฟอยพูดขึ้น
“อย่าเรียกข้าว่าเจ้านาย!” จอมมารตวาด “คนที่เรียกข้าว่าเจ้านายได้นั้นมีเพียงสมุนรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของข้าเท่านั้น!”
“แต่ท่านก็ประสงค์จะให้ข้ามารับใช้ท่านไม่ใช่รึ ท่านเจ้าแห่งศาสตร์มืด” มัลฟอยตอบออกไปก่อนที่เขาจะได้ทันคิด ดวงตาสีแดงก่ำของจอมมารราวโรจน์ด้วยความโกรธ เขาจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าเขม็งราวกับว่าไม่เคยมีใครมาลองดีกับเขาเช่นนี้นานมากแล้ว เหล่าผู้เสพความตายที่ยืนรายล้อมต่างจ้องมองทั้งสองด้วยแววตาตกใจ ราวกับพวกเขาไม่อาจเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเด็กหนุ่มคนนี้ต่อไป!
แต่จู่ ๆ รอยยิ้มก็ผุดพรายขึ้นบนใบหน้าเรียวซีดของจอมมาร เขาหัวเราะน้อย ๆ
“เจ้ามีความกล้ามากเดรโกที่พูดกับข้าเช่นนี้ ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นเพียงเด็กหนุ่มก็ตาม แต่เจ้ากลับมีความกล้ามากกว่าสมุนของข้าอีกหลายคน อาจจะรวมถึงพ่อของเจ้าด้วย” จอมมารพูดขึ้นอย่างพอใจ
“แต่ความกล้าของเจ้านั้นควรจะมาพร้อมกับความภักดีของเจ้าด้วย ข้าถึงจะยินดีรับเจ้าเป็นสมุนของข้า เจ้าจะสาบานหรือไม่เดรโกว่าจะจงรักภักดีต่อข้า เจ้าแห่งศาสตร์มืดผู้ยิ่งใหญ่ตลอดจนกว่าชีวิตของเจ้าจะหาไม่” จอมมารเอ่ยถาม
“ข้าสาบาน” มัลฟอยตอบอย่างหนักแน่น แม้เขาจะรู้ดีว่าคำตอบนี้ของเขานั้นจะทำให้ชีวิตของเขาต้องเดินไปในเส้นทางที่ไม่อาจหวนกลับได้ แต่จะให้เขาทำเช่นไรในเมื่อตอนนี้เขามีเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้น
“ดี ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงคุกเข่าลง และรับการประทับตรามารจากข้า” จอมมารเอ่ยด้วยเสียงอันดัง มัลฟอยคุกเข่าลงบนผืนหญ้าตามที่จอมมารสั่ง เด็กหนุ่มเลิกแขนเสื้อข้างซ้ายขึ้นและในวินาทีนั้นเองจอมมารก็หยิบไม้กายสิทธิ์ออกมา
ความเจ็บปวดแล่นผ่านร่างของมัลฟอย เขารู้สึกราวกับมีเหล็กเผาไฟร้อน ๆ มาแนบที่แขนซ้าย แต่ความเจ็บปวดที่เขาได้รับนั้นมันรุนแรงกว่าถูกเหล็กแดง ๆ นาบนัก แขนของเขาเจ็บปวดราวกับมันจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ กลิ่นเนื้อไหม้คละคลุ้งไปทั่วบริเวณ
มัลฟอยทรุดตัวลงกับพื้น เด็กหนุ่มใช้มือขวาประคองแขนซ้ายไว้ เขากัดริมฝีปากแน่นเพื่อบังคับไม่ให้ตัวเองส่งเสียงร้องออกมาในขณะที่ความปวดร้าวเริ่มแผ่ซ่านไปทั่วแขน เส้นสีดำราวกับหยดหมึกกระจายตัวไปทั่วบริเวณท้องแขนของเด็กหนุ่ม มันขดตัวครั้งแล้วครั้งเล่า จนบรรจบกันได้รอยสักรูปหัวกะโหลกซึ่งมีลิ้นเป็นงูดังที่มัลฟอยเคยเห็นมาก่อนที่แขนของพ่อของเขา
จอมมารก้าวมายืนข้าง ๆ มัลฟอยที่บัดนี้ขดตัวอยู่บนพื้น เขามองใบหน้าซีดเซียวของเด็กหนุ่มอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะพูดขึ้นว่า
“ความเจ็บปวดเป็นสิ่งที่เจ้าสมควรจะรู้จักเดรโก แม้ว่าเจ้าจะต้องเจ็บปวดบ้างเพื่อรับการประทับตรามาร แต่มันก็คุ้มค่าที่ได้รับเกียรติอันนี้” จอมมารกล่าว พลางเดินวนอยู่รอบร่างของมัลฟอย
“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเจ้าคือสมุนคนหนึ่งของข้าเดรโก การสาบานว่าจะภักดีต่อข้านั้นไม่อาจหวนกลับได้ เช่นเดียวกับที่เจ้าไม่สามารถลบเลือนตรามารออกจากผิวหนังของเจ้าได้ และต่อจากนี้ไปถ้าเจ้าทำความดีความชอบให้แก่ข้า ข้าจะตอบแทนเจ้าด้วยรางวัล แต่ถ้าหากเจ้าทรยศข้า ข้าก็จะตอบแทนเข้าด้วยความตาย!” จอมมารพูดด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม
“และข้าก็มีภารกิจที่สามารถสร้างความดีความชอบให้แก่เจ้ารอคอยเจ้าอยู่เดรโก เจ้าสนใจที่จะได้ยินมันไหม” จอมมารพูดขึ้น เด็กหนุ่มมองหน้าเจ้านายของเขาชั่วครู่ก่อนจะตอบขึ้นมาว่า
“ถ้าหากข้าไม่รู้ ข้าก็คงปฏิบัติภารกิจนั้นให้ท่านไม่ได้” จอมมารหัวเราะชอบใจกับคำตอบของเด็กหนุ่ม
“ดีมาก แต่ภารกิจนี้เป็นความลับ ผู้ที่ข้าคัดเลือกมาอยู่ที่นี่ล้วนสาบานแล้วว่าจะปิดเรื่องนี้เป็นความลับ เพราะฉะนั้นเจ้าเองก็ต้องสาบานด้วยเหมือนกันเดรโก ว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครรู้ ยกเว้นแม่ของเจ้า”
“ข้าสาบาน เจ้านาย” เด็กหนุ่มพูด
“ดีมาก” จอมมารพูดพลางยิ้มอย่างพอใจ
“ส่วนภารกิจที่เจ้าจะได้รับมอบหมายก็คือ สังหารอัลบัส ดัมเบิลดอร์!”
................................................
เฮอร์ไมโอนี่กำลังนั่งอยู่บนเตียงในห้องนอนของเธอ บนตักของเด็กสาวมีหนังสือเล่มใหญ่ที่มีชื่อว่า ‘ การแปลงร่างขั้นสูง ’ เปิดทิ้งไว้ ที่มุมห้องของเธอมีกระเป๋าสัมภาระของเธอวางอยู่พร้อมกับถุงใบใหญ่ที่บรรจุหนังสืออีกสองสามถุง
เฮอร์ไมโอนี่นั่งอ่านหนังสือเล่มนี้มาตั้งแต่เย็นแล้วเพื่อฆ่าเวลาระหว่างที่รอครอบครัววีสลีย์มารับ เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองดูนาฬิกาเป็นระยะ ๆ เพื่อเช็คว่าตอนนี้ใกล้เวลาที่เพื่อนรักของเธอจะมาถึงหรือยัง และครั้งสุดท้ายที่เฮอร์ไมโอนี่เงยหน้าขึ้นมองนาฬิกา มันบอกเวลาสองทุ่มครึ่ง
เด็กสาวก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ แต่จู่ ๆ ก็มีเสียงดังสนั่นเกิดขึ้นข้างล่าง เธอรีบวางหนังสือลงบนเตียงและวิ่งลงไปชั้นล่างทันที
ในห้องนั่งเล่นของบ้านเกรนเจอร์นั้นเต็มไปด้วยฝุ่นฟุ้ง นายและนางเกรนเจอร์ที่เคยนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟาดี ๆ นั้นมีท่าทีตกอกตกใจและกำลังมองไปยังเตาผิงอย่างหวาดระแวง ท่ามกลางกลุ่มควันนั้นมีร่างหลายร่างกำลังยืนอยู่
ครอบครัววีสลีย์ก้าวออกมาจากกองไฟและฝุ่นควันทีละคน ๆ ทุกคนล้วนทีผมสีแดงเพลิงตัดกับแปลวไฟสีเขียวที่พวกเขาเพิ่งพุ่งผ่านออกมา คนแรกที่ก้าวเข้ามาในห้องนั่งเล่นเป็นชายร่างเล็กที่หัวเริ่มล้าน เขามองไปยังพวกเกรนเจอร์และยิ้มกว้าง ตามมาด้วยเด็กหนุ่มผมสีแดงเพลิงร่างสูง และฝาแฝดผมสีแดงเพลิงอีกสองคน
“สวัสดีตอนเย็นครับ ยินดีที่ได้พบพวกคุณอีกครั้ง” นายวีสลีย์จับมือนายและนางเกรนเจอร์เขย่าอย่างอบอุ่น “ผมหวังว่าลูกสาวของคุณ เอ้อ เฮอร์ไมโอนี่คงบอกพวกคุณแล้วว่าผมจะมารับเธอ” พวกเกรนเจอร์พยักหน้าหงึกหงักอยู่บนโซฟา ขณะที่นายวีสลีย์หันมาทางเฮอร์ไมโอนี่
“เก็บของเรียบร้อยแล้วนะ เฮอร์ไมโอนี่” นายวีสลีย์ถามขึ้น
“เรียบร้อยแล้วค่ะคุณวีสลีย์” เด็กสาวตอบ
“ถ้าอย่างนั้นให้ฝาแฝดไปช่วยยกของสิ” นายวีสลีย์พยักเพยิกมาทางเฟร็ดและจอร์จที่เพิ่งก้าวออกมาจากเตาผิง
“โถ่....พ่อ.....พ่อเห็นพวกเราเป็นผู้ใช้แรงงานหรือไงถึงจะใช้เราไปยกของน่ะ” เฟร็ดพูดขึ้นทันควัน
“ใช่ พ่อไม่สงสารลูกชายที่น่ารักของพ่อเลยหรือ ถึงใช้ลูกของพ่อไปทำงานเยี่ยงกรรมกรอย่างนั้น” จอร์จโอดโอยพลางนั่งลงบนโซฟาบ้านเกรนเจอร์ข้าง ๆ พี่ชายของเขา นายวีสลีย์ส่ายศีรษะอย่างเอือมระอา
“ก็ได้ ๆ ถ้าพวกลูกไม่อยากไปพ่อให้รอนไปก็ได้ รอนขึ้นไปช่วยเฮอร์ไมโอนี่ยกของซิ พ่อจะหาอะไรดื่มกับพวกเกรนเจอร์ฆ่าเวลาสักนิด” นายวีสลีย์หันไปพูดกับลูกชายคนเล็ก
“ได้ฮะ” รอนรับคำพลางเดินขึ้นชั้นสองไปกับเฮอร์ไมโอนี่ ขณะที่นายวีสลีย์กำลังเสกเหล้าน้ำผึ้งออกมาและชวนพวกเกรนเจอร์ดื่มพลางถามเรื่องเครื่องใช้ไฟฟ้าไปในตัว
“ปิดเทอมเป็นยังไงบ้าง” เฮอร์ไมโอนี่ถามรอนเมื่อเธอและเขาเดินขึ้นบันไดมา
“ก็ดีนะ แล้วเธอล่ะ” รอนตอบ
“ดีอะไรกันล่ะ เห็นเธอบอกว่าบ้านของเธอมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นไม่ใช่เหรอ” เด็กสาวถาม
“เดี๋ยวเธอก็ได้รู้เองแหละ ห้องเธอห้องนี้เหรอ” รอนพูดเมื่อเขาและเธอมาหยุดอยู่ตรงหน้าห้อง ๆ หนึ่งที่มีป้ายทำด้วยไม้เขียนอยู่ว่า ‘ ห้องของเฮอร์ไมโอนี่ ’
“ใช่แล้ว เข้ามาสิ” เด็กสาวพูดพลางผลักประตูออก ภายในเป็นห้องขนาดไม่ใหญ่นัก แต่เนื่องจากถูกจัดอย่างเป็นระเบียบจึงทำให้ไม่ดูคับแคบเท่าไหร่นัก ภายในห้องมีเตียงเดี่ยวเตียงนึงวางอยู่ ข้าง ๆ เตียงเป็นตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเขียนหนังสือตั้งอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องซึ่งติดกับหน้าต่าง
“ห้องเธอ....เรียบร้อยมากเลย” รอนพูดพลางมองสำรวจไปรอบ ๆ ห้อง
“แน่นอนสิ ไม่เหมือนห้องเธอนี่” เด็กสาวแขวะเขา พลางเดินไปยังมุมห้องที่เธอวางกระเป๋าสัมภาระไว้ และหยิบมันขึ้นมา
“มานี่ฉันช่วย” รอนพูดพลางก้าวมาทางเธอ
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันถือไหวน่ะ เธอไปถือถุงนั่นดีหว่า” เฮอร์ไมโอนี่ปฏิเสธพลางยื้อกระเป๋าไว้ในมือ
“แต่กระเป๋านั่นมันน่าจะหนักกว่านะ มาให้ฉันถือเถอะ” รอนพูดพลางแย่งกระเป๋ามาจากมือเฮอร์ไมโอนี่
“ไม่เป็นไร ฉันถือเอง” เด็กสาวดื้อดึง
“ฉันต่างหากถือเอง ฉันเป็นผู้ชายนะ” รอนว่าพลางดึงกระเป๋ามาทางเขา ระหว่างการยื้อแย่งนั้นเองรอนก็เผลอดึงร่างของเฮอร์ไมโอนี่เข้ามาพร้อม ๆ กับกระเป๋า ร่างของเด็กสาวเซมาซบที่หน้าอกของเขา
ดวงตาสีน้ำตาลของเฮอร์ไมโอนี่สบกับดวงตาสีอ่อนของรอน ณ วินาทีนั้นเองเด็กหนุ่มรู้สึกว่าใจของเขาเต้นแรงอย่างน่าประหลาด จนกระทั่งเธอกระเถิบตัวออกห่าง
“ฉัน...เอ่อ..ขอโทษ” เฮอร์ไมโอนี่พูดขึ้นด้วยใบหน้าแดงก่ำ แต่ก็ยังไม่เท่าหูของรอนซึ่งตอนนี่ได้เปลี่ยนเป็นสีเดียวกับผมของเขาไปเรียบร้อยแล้ว
“ฉันถือนี่เองก็แล้วกัน....ส่วนเธอถือถุงพวกนั้นลงไปนะ” เฮอร์ไมโอนี่โบ้ยใบ้ไปยังถุงหนังสือที่วางอยู่ใกล้ ๆ ก่อนที่เธอจะเดินออกจากห้องไป รอนมองตามแผ่นหลังของเด็กสาวที่เดินออกไป ก่อนจะถามตัวเองว่าทำไมเขาถึงไม่คว้าร่างของเธอมาโอบกอดให้นานกว่านั้นนะ
................................................
รอนเดินตามเฮอร์ไมโอนี่ลงไปชั้นล่างในเวลาต่อมา และเมื่อเด็กหนุ่มเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นเขาก็พบว่าพ่อของเขากำลังคุยอยู่กับสองสามีภรรยาเกรนเจอร์อย่างออกรส ในขณะที่พี่ชายทั้งสองของเขาเริ่มทำเสียงระเบิดปึงปังในนั่งเล่น
“ผมสนใจจะรู้จริง ๆ ว่าโทรระทัตที่คุณบอกนั่นทำงานยังไง มันเป็นเครื่องใช้ไฟฝ้าด้วยใช่ไหมครับ” นายวีสลีย์พูดกับนายเกรนเจอร์ แต่ก่อนที่เขาจะได้รับคำตอบกลับมารอนที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นก็กระแอมไอเบา ๆ
“อ้อ มาแล้วเหรอรอน เรียบร้อยใช่ไหม” นายวีสลีย์หันไปถามลูกชาย รอนพยักหน้าเบา ๆ
“งั้นก็ดี ผมเกรงว่าคงต้องขอตัวก่อนนะครับ คุณเกรนเจอร์ คุณนายเกรนเจอร์ หวังว่าเราคงได้พบกันอีก” นายวีสลีย์จับมือสองสามีภรรยาพร้อมกับบอกลา
“ยังไงก็ฝากเฮอร์ไมโอนี่ด้วยนะครับ” นายเกรนเจอร์กล่าว
“แน่นอนครับ แน่นอน ผมจะดูแลเธออย่างดีเหมือนลูกคนหนึ่งทีเดียว เราคงต้องไปกันแล้ว” นายวีสลีย์กล่าว
“หนูไปก่อนนะคะ” เฮอร์ไมโอนี่พูดพลางเดินเข้ามาโอบกอดบิดามารดา นางเกรนเจอร์ลูบหลังเฮอร์ไมโอนี่เบาๆ
“ดูแลตัวเองนะจ๊ะลูกรัก” นางเกรนเจอร์พูดกับลูกสาว เฮอร์ไมโอนี่พยักหน้ารับ เธอละจากมารดาและเดินตามนายวีสลีย์ไปยังปล่องไฟ เด็กสาวรู้สึกแปลกใจที่เฟร็ดกับจอร์จไม่เดินตามเธอมาด้วย
“พวกเราจะหายตัวกลับน่ะ เราต้องกลับไปจัดการอะไรที่ร้านนิดหน่อย” เฟร็ดพุดราวกับรู้ทันความคิดของเฮอร์ไมโอนี่เด็กสาวพยักหน้ารับเบา ๆ
“เอาล่ะเฮอร์ไมโอนี่ เธอไปก่อนเลย” นายวีสลีย์พูดพลางส่งถุงใบเล็ก ๆ ที่บรรจุผงฟลูไปให้เธอ เด็กสาวรับไว้ในมือ เฮอร์ไมโอนี่ก้าวเข้าไปยืนในเตาผิง เธอยิ้มกว้างให้ครอบครัวของเธอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ร่างของเด็กสาวจะหายวับไปกับเปลวไฟสีเขียวมรกต
************************************************
ความคิดเห็น