ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักต้องห้ามระหว่างเฮอร์ไมโอนี่กับมัลฟอย ภาค 2

    ลำดับตอนที่ #1 : Draco’s back Home [การเดินทางกลับบ้านของเดรโก]

    • อัปเดตล่าสุด 30 ต.ค. 52


     

    รักต้องห้ามระหว่างเฮอร์ไมโอนี่กับมัลฟอย

    ภาค 2 เผชิญชะตากรรม ( Facing The Destination )

     

                   

                    ***Chapter 1 Draco’s back Home [การเดินทางกลับบ้านของเดรโก]***

     

                    การกลับมาบ้านในครั้งนี้ของเดรโก  มัลฟอยไม่เหมือนกับครั้งอื่น ๆ ที่ผ่านมา  เพราะว่าทุก ๆ ครั้งที่เขาต้องเดินทางกลับบ้านช่วงปิดเทอม  พ่อของเขาลูเซียส  มัลฟอยจะมารับเขาด้วยตัวเอง  แม้ว่านายลูเซียสจะรู้ดีว่าที่สถานีรถไฟคิงครอสต์นั้นมีพวกมักเกิ้ลอยู่มากมายเพียงไร  แต่เขาก็ไม่คิดจะส่งคนรับใช้มารับเดรโกกลับบ้าน  ตรงกันข้ามเขาจะลงทุนมารับลูกชายด้วยตัวเองทุกครั้ง 

                    เดรโกถอนหายใจพลางเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง  รถไฟกำลังเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วผ่านทุ่งหญ้าสีเขียวขจี  แดดแรงสาดส่องอยู่ภายนอกรถไฟสมกับเป็นบรรยากาศของฤดูร้อนที่ใกล้เข้ามาถึง  เสียงก๊อบแก๊บที่ดังขึ้นบอกให้มัลฟอยรู้ว่าลูกน้องร่างยักษ์ของเขายังคงง่วนอยู่กับการแกะห่อขนมจำนวนมาก  เด็กหนุ่มไม่สนใจพวกเขาทั้งสอง  แต่กลับเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างตามเดิม

     

                    เสียงเปิดประตูดังขึ้น  แครบและกอยล์เงยหน้าจากกองขนมขึ้นมามองผู้มาเยือนเช่นเดียวกับมัลฟอย  แพนซี่  พาร์กินสัน  เด็กสาวหน้าหงิกที่หลงรักมัลฟอยยืนอยู่ตรงประตูตู้

                    เธอมาอยู่นี่เองหรือแพนซี่พูดพลางก้าวข้ามกองขนมของแครบและกอยล์จนมาถึงตัวมัลฟอย  เธอนั่งลงตรงเบาะตรงข้ามกับเขา

                    ฉันตามหาเธอตั้งนาน  เธอไปอยู่ไหนมาแพนซี่ถาม  มัลฟอยละสายตาจากทิวทัศน์ด้านนอกและหันมายังแพนซี่แทน

                    ฉันไปอยู่ที่ตู้พรีเฟ็คมามัลฟอยตอบเรียบ ๆ

                    แต่ฉันไปหาเธอที่นั่นมาแล้วนะ  แล้วเธอก็ไม่อยู่ด้วยแพนซี่พูด

                    บางทีเราอาจจะสวนกันพอดีก็ได้มัลฟอยตอบอย่างไม่ใส่ใจและเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง  สีหน้าของเด็กหนุ่มดูเรียบเฉยและไม่ใส่ใจต่อสิ่งใด  แม้ว่าจริง ๆ แล้วเขาจะรู้สึกโล่งใจมากก็ตามที่แพนซี่ไม่ไปเจอเขาที่ตู้พรีเฟ็ค  เพราะว่าถ้าเป็นเช่นนั้น  แพนซี่ก็ต้องเจอเขาอยู่กับเฮอร์ไมโอนี่  เกรนเจอร์พอดี

                    ใช่แล้ว  มัลฟอยกับเฮอร์ไมโอนี่รักกัน  แม้ว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นก็ตาม  เขาสองคนเป็นศัตรูกัน  เฮอร์ไมโอนี่เป็นเลือดสีโคลน  ส่วนมัลฟอยเป็นเลือดบริสุทธิ์  เธอเป็นกริฟฟินดอร์  ส่วนเขานั้นเป็นสลิธีริน  แต่พวกเขาทั้งสองกลับมารักกัน  ท่ามกลางความขัดแย้งที่นับวันจะยิ่งทวีมากขึ้น  รักกันท่ามกลางความเป็นจริงตรงหน้าที่พวกเขาไม่อาจต้านทานได้  แต่ทั้งสองก็ยังคงรักกันแม้ว่าจะมีอุปสรรคมากมายมาเป็นตัวขวางกั้นความรักของทั้งสอง  แต่ในขณะเดียวกันอุปสรรคเหล่านั้นก็เป็นตัวทดสอบและช่วยให้ความรักของทั้งคู่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นด้วย  แม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างกระทั่งโชคชะตาจะไม่เป็นใจให้ทั้งคู่รักกัน  แม้ทั้งคู่จะรู้ดีว่าความรักของพวกเขานั้นเป็น   รักต้องห้าม แต่พวกเขาก็ยังยึดมั่นในความรักครั้งนี้อย่างไม่เปลี่ยนแปลง  ถึงแม้จะมีอุปสรรคมากมายรอคอยพวกเขาทั้งสองอยู่ในภายภาคหน้าก็ตาม

     

                    เสียงของแพนซี่ดังขึ้น  ปลุกมัลฟอยให้ตื่นขึ้นจากภวังค์อีกครั้ง

                    นี่ก็ใกล้จะถึงแล้วนะ  ฉันว่าเธอน่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้วนะเดรโกแพนซี่เตือน  เด็กหนุ่มหันมามองเธอช้า ๆ

                    แล้วเธอล่ะมัลฟอยถาม

                    ฉันว่าไปเปลี่ยนที่ตู้ของมิลลิเซนต์น่ะ  ฉันไปก่อนนะ  แล้วเจอกันแพนซี่พูดพลางโน้มศีรษะมาหอมแก้มมัลฟอย  เด็กหนุ่มนั่งนิ่ง  เขาไม่ได้ปฏิเสธอะไรแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีพอใจกับการกระทำนั้น

                    พอร่างของแพนซี่หายลับไปจากตู้แล้ว  มัลฟอยก็สั่งกับลูกน้องทั้งสอง

                    ยืนบื้ออะไรอยู่ล่ะ  ออกไปข้างนอกซิเขาพูด  แครบกอยล์พยักหน้ารับแทบไม่ทัน  และเดินเงอะงะงุ่มง่ามออกจากตู้ไป  ในขณะที่มัลฟอยหยิบชุดลำลองสีดำออกมาจากกระเป๋าของเขา  และเริ่มเปลี่ยนเสื้อผ้า

                    หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จมัลฟอยก็เก็บชุดนักเรียนของเขาใส่กระเป๋า  แต่มือที่ถือชุดคลุมของเขาก็ต้องชะงักไปเมื่อเขารู้สึกได้ถึงบางอย่าง  กลิ่นหอมอ่อน ๆ แตกต่างจากที่เขาเคยสัมผัสลอยมาแตะจมูก  แม้ว่ากลิ่นนั้นจะจางไปมากก็ตามแต่มัลฟอยก็ยังจำได้ดีว่ามันเป็นกลิ่นที่ติดมาจากร่างของเด็กสาวที่เขาเพิ่งโอบกอดเธอแนบอก  กลิ่นของเฮอร์ไมโอนี่  เกรนเจอร์

                    รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเย็นชาของมัลฟอย  ในขณะที่เขาเก็บชุดนั้นใส่กระเป๋า

     

                    .................................................

     

                    รถไฟสายด่วนฮอกวอตส์จอดเทียบชานชาลาเก้าเศษสามส่วนสี่ก็เมื่อเวลาคล้อยบ่ายแล้ว  เด็ก ๆ ที่อยู่บนรถไฟต่างพากันขนสัมภาระลงจากรถเพื่อไปหาครอบครัวที่มารับพวกเขา  นักเรียนหลายคนต่างล่ำลาเพื่อน ๆ ที่จะไม่ได้เจอกันเป็นเวลาสามเดือนเต็ม ๆ ก่อนที่จะเดินทะลุแผงกั้นออกไปสู่สถานีคิงครอสต์

                    มัลฟอยลากสัมภาระของเขาลงมาจากรถไฟช้า ๆ เด็กหนุ่มไม่ต้องเสียเวลากวาดตามองไปรอบ ๆ ชานชาลาเพื่อหาคนที่มารับเขาหรอก  เพราะมัลฟอยรู้ดีว่าการกลับบ้านของเขาในปีนี้นั้นไม่เหมือนแต่ก่อนอีกต่อไปแล้ว

                    มัลฟอยเดินหลีกหนีกลุ่มเด็กนักเรียนที่มาออกันตรงแผงกั้นอันแรก ๆ ไป  เพราะว่าเขาเกลียดที่ที่มีคนเยอะ ๆ  เด็กหนุ่มจึงลากสัมภาระของเขาไปอีกทางหนึ่งซึ่งเป็นทางด้านท้าย ๆ ของขบวนรถไฟ  เพื่อหลีกเลี่ยงฝูงชนจำนวนมากที่ต่อคิวรอออกไปจากแผงกั้น  แต่จู่ ๆ เสียง ๆ หนึ่งที่เรียกชื่อเขาก็ดังขึ้น

                    นายน้อยเดรโก!” เสียงแหลมเล็กสมร่างของเอลฟ์ประจำบ้านดังขึ้นจากด้านหลัง  มัลฟอยหันไปมอง  มันเป็นเอลฟ์ตัวหนึ่งในบ้านของเขา  ลักษณะของมันก็เหมือนกับเอลฟ์ตัวอื่น ๆ ทั่ว ๆ ไป  เอลฟ์ตัวนี้สวมผ้าปูโต๊ะเก่า ๆ สีเขียวซีดจาง 

                    นายหญิงสั่งให้กระผมมารับนายน้อยขอรับ เอลฟ์ตัวนั้นค้อมศีรษะลงจนจมูกยาว ๆ ของมันแทบจะจรดพื้น 

                    แล้วแม่ของฉันล่ะ มัลฟอยถาม

                    นายหญิงอยู่ที่คฤหาสน์ครับ  นายหญิงไม่สะดวกจะมารับนายน้อยด้วยตัวเองเพราะสุขภาพของท่านเอลฟ์ตัวนั้นพูดอย่างเศร้าสร้อย แต่เดรโกกลับไม่ได้ตกใจแต่อย่างใดที่รู้ว่าแม่ของเขาป่วย  อาจจะเป็นเพราะว่าแม่ของเขาสุภาพไม่ค่อยดีอยู่แล้วด้วย  พอเกิดเรื่องสะเทือนใจเช่นนี้ขึ้นเธอจึงล้มป่วยอย่างช่วยไม่ได้

                    แล้วฉันจะกลับคฤหาสน์ด้วยวิธีไหนกันมัลฟอยถามเอลฟ์  แน่นอนว่าพ่อมดอายุต่ำว่า 17 ปีอย่างมัลฟอยยังไม่ได้รับอนุญาตให้หายตัวได้

                    เราจะเดินทางกลับคฤหาสน์โดยใช้กุญแจนำทางขอรับ!” เอลฟ์พูดอย่างกระตือรือร้น 

                    แต่ว่ากระผมจะอยู่กับนายน้อยตลอดไม่ได้  เพราะถ้าออกจากชานชาลานี่ก็จะเป็นเขตของพวกมักเกิ้ลขอรับเอลฟ์พูดอย่างมีเหตุผล  เพราะถ้าออกจากแผงกั้นไปก็จะเป็นสถานีรถไฟคิงครอสต์ที่มีพวกมักเกิ้ลพลุกพล่าน  และคงไม่ดีแน่ก็หากมีเอลฟ์ประจำบ้านไปเดินเพ่นพ่านอยู่ที่นั่น

                    แล้วแกจะให้ฉันทำยังไงมัลฟอยถาม

                    นายหญิงได้เสกกุญแจนำทางมาให้นายน้อยแล้วครับเอลฟ์ยื่นกล่องไม้ที่ภายในบรรจุถ้วยชาอันหนึ่งมาให้มัลฟอย นายน้อยควรจะออกไปหาที่เงียบ ๆ ที่ปลอดคนนอกสถานี  และใช้มัน  ส่วนกระผมจะหายตัวกลับคฤหาสน์ขอรับ!” มันพูดด้วยท่าทีกระตือรือร้นดังเดิมในขณะที่มัลฟอยรับกล่องนั้นมา

                    กระผมคงต้องไปแล้วเอลฟ์บอกเด็กหนุ่ม  เขาพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนที่มันจะหายตัวกลับคฤหาสน์ไป  หลังจากนั้นมัลฟอยก็หนีบกล่องไม้ไว้ในอ้อมแขน  อีกมือหนึ่งของเขาก็ลากสัมภาระไปยังแผงกั้น

     

                    มัลฟอยทะลุจากชายชาลาเก้าเศษสามส่วนสี่ออกมายังสถานีรถไฟคิงครอสต์ที่มีผู้คนคับคั่ง  เขากวาดสายตาไปรอบ ๆ ก่อนจะลากสัมภาระไปตามทางเดินอย่างระมัดระวัง  แต่ก่อนที่มัลฟอยจะเดินออกจากสถานีคิงครอสต์ไป  ก็มีเสียง ๆ หนึ่งหยุดเขาไว้ก่อน

                    เสียงของเด็กสาวเรียกชื่อเขาไว้  โดยไม่ต้องหันไปมอง  มัลฟอยก็รู้ดีว่ามันเป็นเสียงของใคร

                    เฮอร์ไมโอนี่ยืนห่างจากเขาออกไป  เด็กสาวสวมชุดแบบพวกมักเกิ้ล  ผมสีน้ำตาลของเธอดูยุ่งเหยิงคล้ายว่าเธอออกแรงวิ่งมา  ห่างจากเฮอร์ไมโอนี่ออกไปห้าหกหลามีชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ สัมภาระของเด็กสาว  ดูปราดเดียวก็รู้ว่าทั้งสองเป็นพ่อแม่ของเฮอร์ไมโอนี่

                    เฮอร์ไมโอนี่ก้าวเข้ามาหามัลฟอยที่ยืนนิ่ง  เธอหอบหายใจเล็กน้อย  ใบหน้าเป็นสีแดง  มัลฟอยมองเธอด้วยท่าทีราวกับจะบอกว่า มีอะไรแต่เด็กหนุ่มกลับพูดอีกคำหนึ่งขึ้นมาแทน

                    ไม่กลัวพอตเตอร์กับวีสลีย์เห็นรึไงนั่นเป็นคำพูดที่ออกมาจากปากของมัลฟอย

                    พวกเขากลับไปแล้วเฮอร์ไมโอนี่พูด

                    งั้นเธอมีธุระอะไรกับฉันมัลฟอยพูดด้วยท่าทีเย็นชา  แต่เฮอร์ไมโอนี่รู้ดีว่าในใจของเขาไม่ได้คิดอย่างนั้น

                    ฉันอยากบอกเธอว่า....ใบหน้าของเธอเป็นสีชมพูขณะพูด เขียนจดหมายมาหาฉันบ้าง

                    มัลฟอยเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า

                    ก็ได้  ถ้าฉันว่างนะเขาบอก  เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มกว้าง

                    แล้วเจอกันตอนเปิดเทอมนะเด็กสาวบอกเขา  ก่อนจะเดินกลับไปหาพ่อแม่ของเธอที่ยืนรออยู่  มัลฟอยยิ้มให้เธอบาง ๆ โดยไม่พูดอะไร  เด็กหนุ่มมองด้านหลังของเฮอร์ไมโอนี่ที่เดินห่างออกไป  เขารู้สึกว่ามีบางอย่างอบอุ่นก่อตัวขึ้นในใจของเขาโดยที่เขาก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร  แต่มัลฟอยกลับรู้สึกว่าจิตใจที่หนักอึ้งได้ผ่อนคลายลงบ้างแล้วหลังจากได้สัมผัสถึงรอยยิ้มที่เด็กสาวมอบให้เขา

                    มัลฟอยลากสัมภาระของเขาไปอีกทางหนึ่ง  เขารู้สึกว่าความกลัวที่ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปในชีวิตของเขานั้นเริ่มลดน้อยลงไปแล้ว  แม้ว่าเด็กหนุ่มจะรู้ดีว่ามีหนทางยากลำบากรออยู่เบื้องหน้าเขาก็ตาม

     

                    .................................................

     

                    มัลฟอยเดินทางกลับมาถึงคฤหาสน์ของเขาในเวลาต่อมา  คฤหาสน์มัลฟอยเป็นคฤหาสน์ที่เก่าแก่และกว้างขว้างที่ตั้งอยู่ทางใต้ของอังกฤษ  ซึ่งมันกินพื้นที่ตั้งแต่บริเวณราบเชิงเขาไปจนถึงริมทะเลสาบกว้างใหญ่ไพศาล  รวมแล้วมีเนื้อที่หลายพันเอเคอร์ทีเดียว  

                    เบื้องหน้าของมัลฟอยเป็นคฤหาสน์เก่าแก่หลังใหญ่ที่ทำจากอิฐสีเทาและดูทึบทึม  เด็กหนุ่มเดินขึ้นบันไดที่ทำจากหินแกรนิตสีดำไป  ทันทีที่มัลฟอยก้าวเข้าไปในคฤหาสน์เอลฟ์ประจำบ้านจำนวนมากก็ปรากฏตัวขึ้น

                    ยินดีต้อนรับนายน้อยพวกเอลฟ์พูดขึ้นอย่างพร้อมเพรียง  พร้อมกับโค้งศีรษะลงต่ำจนจมูกจรดพื้นหินแกรนิต มัลฟอยโบกมือเป็นเชิงว่าพอได้แล้ว ก่อนจะสั่งให้เอลฟ์สองตัวยกสัมภาระของเขาขึ้นไปบนห้องนอน

                    กระผมได้ทำความสะอาดห้องนอนไว้รอนายน้อยกลับมาแล้วขอรับเอลฟ์ตัวหนึ่งซึ่งดูจะอาวุโสที่สุดในกลุ่มพูดขึ้น  มัลฟอยพยักหน้าในเชิงรับรู้

                    แล้วกระผมก็ได้สั่งให้ห้องครัวจัดเตรียมอาหารโปรดของนายน้อยไว้ด้วยขอรับ  ไม่ทราบว่านายน้อยจะทานตอนนี้เลยรึไม่ขอรับมันถาม

                    ไม่ล่ะ  ฉันยังไม่หิว  แม่ของฉันอยู่ไหนนั่นเป็นคำถามแรกที่มัลฟอยพูดขึ้น

                    นายหญิงอยู่ในห้องนอนขอรับ  กระผมจะไปเรียนนายหญิงว่านายน้อยกลับมาถึงคฤหาสน์แล้วนะขอรับเอลฟ์ตัวนั้นเสนอ  แต่มัลฟอยกลับโบกมือห้าม

                    ไม่ต้อง  ฉันจะไปหาแม่เองเด็กหนุ่มพูดพลางเดินขึ้นบันไดไป

     

                    .................................................

     

                    ภายในคฤหาสน์มัลฟอยนั้นกว้างขวางและถูกตกแต่งอย่างปราณีต  แต่ในขณะเดียวกันคฤหาสน์หลังนี้ยังห่างไกลบรรยากาศของคำว่า บ้านอยู่มากทีเดียว  เพราะว่าภายในคฤหาสน์มัลฟอยนั้นไม่ได้ให้ความรู้สึกอบอุ่นแก่ผู้อยู่อาศัยเลย  มันกลับให้ความรู้สึกหดหู่และเศร้าหมองมากกว่า

                    ทางเดินภายในคฤหาสน์นั้นปูด้วยพรมสีเขียวเข้มตลอดทาง  แม้จะอยู่ในฤดูร้อนแต่บรรยากาศภายในคฤหาสน์มัลฟอยนั้นกลับเย็นยะเยือกจนขนลุก

     

                    มัลฟอยเดินมาหยุดอยู่ที่ประตูไม้ขัดมันบานหนึ่ง  ก่อนจะเคาะมันเบา ๆ

                    แม่ครับ  ผมเอง ผมกลับมาแล้วมัลฟอยพูด  ทันใดนั้นเองก็ประตูก็เปิดขึ้นช้า ๆ    

                    ภายในเป็นห้องนอนที่กว้างขวางมากห้องหนึ่ง  ภายในห้องนอนปูพรมสีเขียวเข้มแบบเดียวกับทางเดิน  เตียงสี่เสาขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางห้อง  เตาผิงเก่าแก่ที่ไม่ได้จุดไฟตั้งอยู่ตรงข้ามเตียง  และร่างที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างกำลังเหม่อมองไปภายนอกนั้นก็คือคนที่มัลฟอยปรารถนาจะเจอมากที่สุดในเวลานี้

                    แม่ครับมัลฟอยพูดพลางเดินเข้าไปหามารดา  ประตูปิดตามหลังเด็กหนุ่มเองโดยอัติโนมัติ  นางมัลฟอยค่อย ๆ หันกลับมาหาลูกชาย

                    นาร์ซิลซาร์  มัลฟอยเป็นหญิงวัยกลางคนที่จัดว่าสวยมากทีเดียว  ผมสีทองแบบเดียวกับเดรโกถูกรวบเป็นมวยตึง  แต่ก็มีบ้างที่หลุดลุ่ยออกมา  นางนาร์ซิลซาร์เป็นหญิงที่มีรูปร่างผอมบาง  ผิวขาวหมดจด  หากแต่ดูซีดเผือด  โดยเฉพาะใบหน้าของนางที่ดูอมทุกข์ยิ่งนัก

                    เดรโกนางนาร์ซิลซาร์เอ่ยขึ้นพลางเดินเข้ามาหาลูกชายในที่สุดลูกก็กลับมา  แม่ดีใจเหลือเกินนางมัลฟอยคว้าตัวลูกชายมากอดแนบอก  ปากก็ละล่ำละลั่กว่าเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมามากเพียงไร  หยาดน้ำตาร่วงหล่นจากดวงตาสีน้ำเงินของนาง

                    มันเลวร้ายมากเลยเดรโก  แม่เสียใจจริง ๆ นางมัลฟอยพูดขึ้นพร้อมกับปล่อยโฮออกมาในขณะที่นางยังกอดลูกชายอยู่  แต่ถ้าให้คนอื่นมาดูคงคิดว่าเดรโกเป็นฝ่ายกอดแม่ของเขามากกว่า  เพราะว่าตอนนี้เดรโกนั้นได้เติบโตเป็นหนุ่ม  และสูงกว่านางนาร์ซิลซาร์มากนัก  จนดูเหมือนว่านางกำลังซบใบหน้าที่เปื้อนน้ำตากับอกของลูกชายอยู่

                    ไม่เป็นไรครับแม่  มันไม่ใช่ความผิดของแม่เลย  ไม่เป็นไรหรอกครับเดรโกปลอบโยนแม่  เขารู้สึกสงสารเธอจับใจ

                    แม่เสียใจจริง ๆ เดรโก  แม่มันไม่ดีเอง  แม่ผิดเอง  แม่ขอโทษนาร์ซิลซาร์ยังคงร่ำไห้ไปอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด  เดรโกกอดแม่ของเขาแน่น

                    มันไม่เกี่ยวกับแม่นะครับ  เรื่องที่พ่อโดนจับมันไม่เกี่ยวกับแม่เลยเดรโกพูด  นางมัลฟอยสั่นศีรษะ

                    ไม่ใช่  มันไม่ใช่เรื่องที่พ่อโดนจับ  แต่เป็นเรื่อง......นางนาร์ซิลซาร์กำลังจะพูดออกมา  แต่สายตาของนางที่มองข้ามหัวไหล่ของลูกชายก็ไปสะดุดกับบางสิ่งบางอย่าง  นางเบิกตากว้าง  ปากอ้าค้างอย่างตกใจ!

                    มัลฟอยมองกิริยาของมารดาอย่างแปลกใจ  ก่อนจะหันกลับไปมองด้านหลัง  ร่างดำทะมึนสวมชุดคลุมสีดำยืนอยู่มุมห้อง  แทบจะกลืนไปกับเงามืดของกำแพง  มัลฟอยชักไม้กายสิทธิ์ออกมาทันที

                    แกเป็นใคร!” เด็กหนุ่มถามพลางชี้ไม้กายสิทธิ์ไปยังร่างลึกลับที่อยู่เบื้องหน้า  ร่างนั้นแสยะยิ้มอวดฟันสีเหลืองน่าเกลียดโดยไม่หวาดหวั่นต่อไม้กายสิทธิ์ที่ชี้มาทางตัวเอง  ในไม่ช้าร่างนั้นก็ก้าวออกมาจากเงามืด

                    แสงแดดจากหน้าต่างส่องกระทบกับร่างนั้น  มันเป็นชายร่างเตี้ย  หัวล้าน  จมูกและตาหยีเล็ก  ลักษณะคล้ายกับหนูแปลงร่างมาเป็นคน

                    หางหนอนนั่นเอง!

     

     

    *************************************************


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×