คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Dracos back Home [การเดินทางกลับบ้านของเดรโก]
รักต้องห้ามระหว่างเฮอร์ไมโอนี่กับมัลฟอย
ภาค 2 เผชิญชะตากรรม ( Facing The Destination )
***Chapter 1 Draco’s back Home [การเดินทางกลับบ้านของเดรโก]***
การกลับมาบ้านในครั้งนี้ของเดรโก มัลฟอยไม่เหมือนกับครั้งอื่น ๆ ที่ผ่านมา เพราะว่าทุก ๆ ครั้งที่เขาต้องเดินทางกลับบ้านช่วงปิดเทอม พ่อของเขาลูเซียส มัลฟอยจะมารับเขาด้วยตัวเอง แม้ว่านายลูเซียสจะรู้ดีว่าที่สถานีรถไฟคิงครอสต์นั้นมีพวกมักเกิ้ลอยู่มากมายเพียงไร แต่เขาก็ไม่คิดจะส่งคนรับใช้มารับเดรโกกลับบ้าน ตรงกันข้ามเขาจะลงทุนมารับลูกชายด้วยตัวเองทุกครั้ง
เดรโกถอนหายใจพลางเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง รถไฟกำลังเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วผ่านทุ่งหญ้าสีเขียวขจี แดดแรงสาดส่องอยู่ภายนอกรถไฟสมกับเป็นบรรยากาศของฤดูร้อนที่ใกล้เข้ามาถึง เสียงก๊อบแก๊บที่ดังขึ้นบอกให้มัลฟอยรู้ว่าลูกน้องร่างยักษ์ของเขายังคงง่วนอยู่กับการแกะห่อขนมจำนวนมาก เด็กหนุ่มไม่สนใจพวกเขาทั้งสอง แต่กลับเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างตามเดิม
เสียงเปิดประตูดังขึ้น แครบและกอยล์เงยหน้าจากกองขนมขึ้นมามองผู้มาเยือนเช่นเดียวกับมัลฟอย แพนซี่ พาร์กินสัน เด็กสาวหน้าหงิกที่หลงรักมัลฟอยยืนอยู่ตรงประตูตู้
“เธอมาอยู่นี่เองหรือ” แพนซี่พูดพลางก้าวข้ามกองขนมของแครบและกอยล์จนมาถึงตัวมัลฟอย เธอนั่งลงตรงเบาะตรงข้ามกับเขา
“ฉันตามหาเธอตั้งนาน เธอไปอยู่ไหนมา” แพนซี่ถาม มัลฟอยละสายตาจากทิวทัศน์ด้านนอกและหันมายังแพนซี่แทน
“ฉันไปอยู่ที่ตู้พรีเฟ็คมา” มัลฟอยตอบเรียบ ๆ
“แต่ฉันไปหาเธอที่นั่นมาแล้วนะ แล้วเธอก็ไม่อยู่ด้วย” แพนซี่พูด
“บางทีเราอาจจะสวนกันพอดีก็ได้” มัลฟอยตอบอย่างไม่ใส่ใจและเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง สีหน้าของเด็กหนุ่มดูเรียบเฉยและไม่ใส่ใจต่อสิ่งใด แม้ว่าจริง ๆ แล้วเขาจะรู้สึกโล่งใจมากก็ตามที่แพนซี่ไม่ไปเจอเขาที่ตู้พรีเฟ็ค เพราะว่าถ้าเป็นเช่นนั้น แพนซี่ก็ต้องเจอเขาอยู่กับเฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์พอดี
ใช่แล้ว มัลฟอยกับเฮอร์ไมโอนี่รักกัน แม้ว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นก็ตาม เขาสองคนเป็นศัตรูกัน เฮอร์ไมโอนี่เป็นเลือดสีโคลน ส่วนมัลฟอยเป็นเลือดบริสุทธิ์ เธอเป็นกริฟฟินดอร์ ส่วนเขานั้นเป็นสลิธีริน แต่พวกเขาทั้งสองกลับมารักกัน ท่ามกลางความขัดแย้งที่นับวันจะยิ่งทวีมากขึ้น รักกันท่ามกลางความเป็นจริงตรงหน้าที่พวกเขาไม่อาจต้านทานได้ แต่ทั้งสองก็ยังคงรักกันแม้ว่าจะมีอุปสรรคมากมายมาเป็นตัวขวางกั้นความรักของทั้งสอง แต่ในขณะเดียวกันอุปสรรคเหล่านั้นก็เป็นตัวทดสอบและช่วยให้ความรักของทั้งคู่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นด้วย แม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างกระทั่งโชคชะตาจะไม่เป็นใจให้ทั้งคู่รักกัน แม้ทั้งคู่จะรู้ดีว่าความรักของพวกเขานั้นเป็น ‘ รักต้องห้าม ’ แต่พวกเขาก็ยังยึดมั่นในความรักครั้งนี้อย่างไม่เปลี่ยนแปลง ถึงแม้จะมีอุปสรรคมากมายรอคอยพวกเขาทั้งสองอยู่ในภายภาคหน้าก็ตาม
เสียงของแพนซี่ดังขึ้น ปลุกมัลฟอยให้ตื่นขึ้นจากภวังค์อีกครั้ง
“นี่ก็ใกล้จะถึงแล้วนะ ฉันว่าเธอน่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้วนะเดรโก” แพนซี่เตือน เด็กหนุ่มหันมามองเธอช้า ๆ
“แล้วเธอล่ะ” มัลฟอยถาม
“ฉันว่าไปเปลี่ยนที่ตู้ของมิลลิเซนต์น่ะ ฉันไปก่อนนะ แล้วเจอกัน” แพนซี่พูดพลางโน้มศีรษะมาหอมแก้มมัลฟอย เด็กหนุ่มนั่งนิ่ง เขาไม่ได้ปฏิเสธอะไรแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีพอใจกับการกระทำนั้น
พอร่างของแพนซี่หายลับไปจากตู้แล้ว มัลฟอยก็สั่งกับลูกน้องทั้งสอง
“ยืนบื้ออะไรอยู่ล่ะ ออกไปข้างนอกซิ” เขาพูด แครบกอยล์พยักหน้ารับแทบไม่ทัน และเดินเงอะงะงุ่มง่ามออกจากตู้ไป ในขณะที่มัลฟอยหยิบชุดลำลองสีดำออกมาจากกระเป๋าของเขา และเริ่มเปลี่ยนเสื้อผ้า
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จมัลฟอยก็เก็บชุดนักเรียนของเขาใส่กระเป๋า แต่มือที่ถือชุดคลุมของเขาก็ต้องชะงักไปเมื่อเขารู้สึกได้ถึงบางอย่าง กลิ่นหอมอ่อน ๆ แตกต่างจากที่เขาเคยสัมผัสลอยมาแตะจมูก แม้ว่ากลิ่นนั้นจะจางไปมากก็ตามแต่มัลฟอยก็ยังจำได้ดีว่ามันเป็นกลิ่นที่ติดมาจากร่างของเด็กสาวที่เขาเพิ่งโอบกอดเธอแนบอก กลิ่นของเฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์
รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเย็นชาของมัลฟอย ในขณะที่เขาเก็บชุดนั้นใส่กระเป๋า
.................................................
รถไฟสายด่วนฮอกวอตส์จอดเทียบชานชาลาเก้าเศษสามส่วนสี่ก็เมื่อเวลาคล้อยบ่ายแล้ว เด็ก ๆ ที่อยู่บนรถไฟต่างพากันขนสัมภาระลงจากรถเพื่อไปหาครอบครัวที่มารับพวกเขา นักเรียนหลายคนต่างล่ำลาเพื่อน ๆ ที่จะไม่ได้เจอกันเป็นเวลาสามเดือนเต็ม ๆ ก่อนที่จะเดินทะลุแผงกั้นออกไปสู่สถานีคิงครอสต์
มัลฟอยลากสัมภาระของเขาลงมาจากรถไฟช้า ๆ เด็กหนุ่มไม่ต้องเสียเวลากวาดตามองไปรอบ ๆ ชานชาลาเพื่อหาคนที่มารับเขาหรอก เพราะมัลฟอยรู้ดีว่าการกลับบ้านของเขาในปีนี้นั้นไม่เหมือนแต่ก่อนอีกต่อไปแล้ว
มัลฟอยเดินหลีกหนีกลุ่มเด็กนักเรียนที่มาออกันตรงแผงกั้นอันแรก ๆ ไป เพราะว่าเขาเกลียดที่ที่มีคนเยอะ ๆ เด็กหนุ่มจึงลากสัมภาระของเขาไปอีกทางหนึ่งซึ่งเป็นทางด้านท้าย ๆ ของขบวนรถไฟ เพื่อหลีกเลี่ยงฝูงชนจำนวนมากที่ต่อคิวรอออกไปจากแผงกั้น แต่จู่ ๆ เสียง ๆ หนึ่งที่เรียกชื่อเขาก็ดังขึ้น
“นายน้อยเดรโก!” เสียงแหลมเล็กสมร่างของเอลฟ์ประจำบ้านดังขึ้นจากด้านหลัง มัลฟอยหันไปมอง มันเป็นเอลฟ์ตัวหนึ่งในบ้านของเขา ลักษณะของมันก็เหมือนกับเอลฟ์ตัวอื่น ๆ ทั่ว ๆ ไป เอลฟ์ตัวนี้สวมผ้าปูโต๊ะเก่า ๆ สีเขียวซีดจาง
“นายหญิงสั่งให้กระผมมารับนายน้อยขอรับ” เอลฟ์ตัวนั้นค้อมศีรษะลงจนจมูกยาว ๆ ของมันแทบจะจรดพื้น
“แล้วแม่ของฉันล่ะ” มัลฟอยถาม
“นายหญิงอยู่ที่คฤหาสน์ครับ นายหญิงไม่สะดวกจะมารับนายน้อยด้วยตัวเองเพราะสุขภาพของท่าน” เอลฟ์ตัวนั้นพูดอย่างเศร้าสร้อย แต่เดรโกกลับไม่ได้ตกใจแต่อย่างใดที่รู้ว่าแม่ของเขาป่วย อาจจะเป็นเพราะว่าแม่ของเขาสุภาพไม่ค่อยดีอยู่แล้วด้วย พอเกิดเรื่องสะเทือนใจเช่นนี้ขึ้นเธอจึงล้มป่วยอย่างช่วยไม่ได้
“แล้วฉันจะกลับคฤหาสน์ด้วยวิธีไหนกัน” มัลฟอยถามเอลฟ์ แน่นอนว่าพ่อมดอายุต่ำว่า 17 ปีอย่างมัลฟอยยังไม่ได้รับอนุญาตให้หายตัวได้
“เราจะเดินทางกลับคฤหาสน์โดยใช้กุญแจนำทางขอรับ!” เอลฟ์พูดอย่างกระตือรือร้น
“แต่ว่ากระผมจะอยู่กับนายน้อยตลอดไม่ได้ เพราะถ้าออกจากชานชาลานี่ก็จะเป็นเขตของพวกมักเกิ้ลขอรับ” เอลฟ์พูดอย่างมีเหตุผล เพราะถ้าออกจากแผงกั้นไปก็จะเป็นสถานีรถไฟคิงครอสต์ที่มีพวกมักเกิ้ลพลุกพล่าน และคงไม่ดีแน่ก็หากมีเอลฟ์ประจำบ้านไปเดินเพ่นพ่านอยู่ที่นั่น
“แล้วแกจะให้ฉันทำยังไง” มัลฟอยถาม
“นายหญิงได้เสกกุญแจนำทางมาให้นายน้อยแล้วครับ” เอลฟ์ยื่นกล่องไม้ที่ภายในบรรจุถ้วยชาอันหนึ่งมาให้มัลฟอย “นายน้อยควรจะออกไปหาที่เงียบ ๆ ที่ปลอดคนนอกสถานี และใช้มัน ส่วนกระผมจะหายตัวกลับคฤหาสน์ขอรับ!” มันพูดด้วยท่าทีกระตือรือร้นดังเดิมในขณะที่มัลฟอยรับกล่องนั้นมา
“กระผมคงต้องไปแล้ว” เอลฟ์บอกเด็กหนุ่ม เขาพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนที่มันจะหายตัวกลับคฤหาสน์ไป หลังจากนั้นมัลฟอยก็หนีบกล่องไม้ไว้ในอ้อมแขน อีกมือหนึ่งของเขาก็ลากสัมภาระไปยังแผงกั้น
มัลฟอยทะลุจากชายชาลาเก้าเศษสามส่วนสี่ออกมายังสถานีรถไฟคิงครอสต์ที่มีผู้คนคับคั่ง เขากวาดสายตาไปรอบ ๆ ก่อนจะลากสัมภาระไปตามทางเดินอย่างระมัดระวัง แต่ก่อนที่มัลฟอยจะเดินออกจากสถานีคิงครอสต์ไป ก็มีเสียง ๆ หนึ่งหยุดเขาไว้ก่อน
เสียงของเด็กสาวเรียกชื่อเขาไว้ โดยไม่ต้องหันไปมอง มัลฟอยก็รู้ดีว่ามันเป็นเสียงของใคร
เฮอร์ไมโอนี่ยืนห่างจากเขาออกไป เด็กสาวสวมชุดแบบพวกมักเกิ้ล ผมสีน้ำตาลของเธอดูยุ่งเหยิงคล้ายว่าเธอออกแรงวิ่งมา ห่างจากเฮอร์ไมโอนี่ออกไปห้าหกหลามีชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ สัมภาระของเด็กสาว ดูปราดเดียวก็รู้ว่าทั้งสองเป็นพ่อแม่ของเฮอร์ไมโอนี่
เฮอร์ไมโอนี่ก้าวเข้ามาหามัลฟอยที่ยืนนิ่ง เธอหอบหายใจเล็กน้อย ใบหน้าเป็นสีแดง มัลฟอยมองเธอด้วยท่าทีราวกับจะบอกว่า ‘ มีอะไร ’ แต่เด็กหนุ่มกลับพูดอีกคำหนึ่งขึ้นมาแทน
“ไม่กลัวพอตเตอร์กับวีสลีย์เห็นรึไง” นั่นเป็นคำพูดที่ออกมาจากปากของมัลฟอย
“พวกเขากลับไปแล้ว” เฮอร์ไมโอนี่พูด
“งั้นเธอมีธุระอะไรกับฉัน” มัลฟอยพูดด้วยท่าทีเย็นชา แต่เฮอร์ไมโอนี่รู้ดีว่าในใจของเขาไม่ได้คิดอย่างนั้น
“ฉันอยากบอกเธอว่า....” ใบหน้าของเธอเป็นสีชมพูขณะพูด “เขียนจดหมายมาหาฉันบ้าง”
มัลฟอยเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า
“ก็ได้ ถ้าฉันว่างนะ” เขาบอก เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มกว้าง
“แล้วเจอกันตอนเปิดเทอมนะ” เด็กสาวบอกเขา ก่อนจะเดินกลับไปหาพ่อแม่ของเธอที่ยืนรออยู่ มัลฟอยยิ้มให้เธอบาง ๆ โดยไม่พูดอะไร เด็กหนุ่มมองด้านหลังของเฮอร์ไมโอนี่ที่เดินห่างออกไป เขารู้สึกว่ามีบางอย่างอบอุ่นก่อตัวขึ้นในใจของเขาโดยที่เขาก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่มัลฟอยกลับรู้สึกว่าจิตใจที่หนักอึ้งได้ผ่อนคลายลงบ้างแล้วหลังจากได้สัมผัสถึงรอยยิ้มที่เด็กสาวมอบให้เขา
มัลฟอยลากสัมภาระของเขาไปอีกทางหนึ่ง เขารู้สึกว่าความกลัวที่ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปในชีวิตของเขานั้นเริ่มลดน้อยลงไปแล้ว แม้ว่าเด็กหนุ่มจะรู้ดีว่ามีหนทางยากลำบากรออยู่เบื้องหน้าเขาก็ตาม
.................................................
มัลฟอยเดินทางกลับมาถึงคฤหาสน์ของเขาในเวลาต่อมา คฤหาสน์มัลฟอยเป็นคฤหาสน์ที่เก่าแก่และกว้างขว้างที่ตั้งอยู่ทางใต้ของอังกฤษ ซึ่งมันกินพื้นที่ตั้งแต่บริเวณราบเชิงเขาไปจนถึงริมทะเลสาบกว้างใหญ่ไพศาล รวมแล้วมีเนื้อที่หลายพันเอเคอร์ทีเดียว
เบื้องหน้าของมัลฟอยเป็นคฤหาสน์เก่าแก่หลังใหญ่ที่ทำจากอิฐสีเทาและดูทึบทึม เด็กหนุ่มเดินขึ้นบันไดที่ทำจากหินแกรนิตสีดำไป ทันทีที่มัลฟอยก้าวเข้าไปในคฤหาสน์เอลฟ์ประจำบ้านจำนวนมากก็ปรากฏตัวขึ้น
“ยินดีต้อนรับนายน้อย” พวกเอลฟ์พูดขึ้นอย่างพร้อมเพรียง พร้อมกับโค้งศีรษะลงต่ำจนจมูกจรดพื้นหินแกรนิต มัลฟอยโบกมือเป็นเชิงว่าพอได้แล้ว ก่อนจะสั่งให้เอลฟ์สองตัวยกสัมภาระของเขาขึ้นไปบนห้องนอน
“กระผมได้ทำความสะอาดห้องนอนไว้รอนายน้อยกลับมาแล้วขอรับ” เอลฟ์ตัวหนึ่งซึ่งดูจะอาวุโสที่สุดในกลุ่มพูดขึ้น มัลฟอยพยักหน้าในเชิงรับรู้
“แล้วกระผมก็ได้สั่งให้ห้องครัวจัดเตรียมอาหารโปรดของนายน้อยไว้ด้วยขอรับ ไม่ทราบว่านายน้อยจะทานตอนนี้เลยรึไม่ขอรับ” มันถาม
“ไม่ล่ะ ฉันยังไม่หิว แม่ของฉันอยู่ไหน” นั่นเป็นคำถามแรกที่มัลฟอยพูดขึ้น
“นายหญิงอยู่ในห้องนอนขอรับ กระผมจะไปเรียนนายหญิงว่านายน้อยกลับมาถึงคฤหาสน์แล้วนะขอรับ” เอลฟ์ตัวนั้นเสนอ แต่มัลฟอยกลับโบกมือห้าม
“ไม่ต้อง ฉันจะไปหาแม่เอง” เด็กหนุ่มพูดพลางเดินขึ้นบันไดไป
.................................................
ภายในคฤหาสน์มัลฟอยนั้นกว้างขวางและถูกตกแต่งอย่างปราณีต แต่ในขณะเดียวกันคฤหาสน์หลังนี้ยังห่างไกลบรรยากาศของคำว่า ‘ บ้าน ’ อยู่มากทีเดียว เพราะว่าภายในคฤหาสน์มัลฟอยนั้นไม่ได้ให้ความรู้สึกอบอุ่นแก่ผู้อยู่อาศัยเลย มันกลับให้ความรู้สึกหดหู่และเศร้าหมองมากกว่า
ทางเดินภายในคฤหาสน์นั้นปูด้วยพรมสีเขียวเข้มตลอดทาง แม้จะอยู่ในฤดูร้อนแต่บรรยากาศภายในคฤหาสน์มัลฟอยนั้นกลับเย็นยะเยือกจนขนลุก
มัลฟอยเดินมาหยุดอยู่ที่ประตูไม้ขัดมันบานหนึ่ง ก่อนจะเคาะมันเบา ๆ
“แม่ครับ ผมเอง ผมกลับมาแล้ว” มัลฟอยพูด ทันใดนั้นเองก็ประตูก็เปิดขึ้นช้า ๆ
ภายในเป็นห้องนอนที่กว้างขวางมากห้องหนึ่ง ภายในห้องนอนปูพรมสีเขียวเข้มแบบเดียวกับทางเดิน เตียงสี่เสาขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางห้อง เตาผิงเก่าแก่ที่ไม่ได้จุดไฟตั้งอยู่ตรงข้ามเตียง และร่างที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างกำลังเหม่อมองไปภายนอกนั้นก็คือคนที่มัลฟอยปรารถนาจะเจอมากที่สุดในเวลานี้
“แม่ครับ” มัลฟอยพูดพลางเดินเข้าไปหามารดา ประตูปิดตามหลังเด็กหนุ่มเองโดยอัติโนมัติ นางมัลฟอยค่อย ๆ หันกลับมาหาลูกชาย
นาร์ซิลซาร์ มัลฟอยเป็นหญิงวัยกลางคนที่จัดว่าสวยมากทีเดียว ผมสีทองแบบเดียวกับเดรโกถูกรวบเป็นมวยตึง แต่ก็มีบ้างที่หลุดลุ่ยออกมา นางนาร์ซิลซาร์เป็นหญิงที่มีรูปร่างผอมบาง ผิวขาวหมดจด หากแต่ดูซีดเผือด โดยเฉพาะใบหน้าของนางที่ดูอมทุกข์ยิ่งนัก
“เดรโก” นางนาร์ซิลซาร์เอ่ยขึ้นพลางเดินเข้ามาหาลูกชาย “ในที่สุดลูกก็กลับมา แม่ดีใจเหลือเกิน” นางมัลฟอยคว้าตัวลูกชายมากอดแนบอก ปากก็ละล่ำละลั่กว่าเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมามากเพียงไร หยาดน้ำตาร่วงหล่นจากดวงตาสีน้ำเงินของนาง
“มันเลวร้ายมากเลยเดรโก แม่เสียใจจริง ๆ ” นางมัลฟอยพูดขึ้นพร้อมกับปล่อยโฮออกมาในขณะที่นางยังกอดลูกชายอยู่ แต่ถ้าให้คนอื่นมาดูคงคิดว่าเดรโกเป็นฝ่ายกอดแม่ของเขามากกว่า เพราะว่าตอนนี้เดรโกนั้นได้เติบโตเป็นหนุ่ม และสูงกว่านางนาร์ซิลซาร์มากนัก จนดูเหมือนว่านางกำลังซบใบหน้าที่เปื้อนน้ำตากับอกของลูกชายอยู่
“ไม่เป็นไรครับแม่ มันไม่ใช่ความผิดของแม่เลย ไม่เป็นไรหรอกครับ” เดรโกปลอบโยนแม่ เขารู้สึกสงสารเธอจับใจ
“แม่เสียใจจริง ๆ เดรโก แม่มันไม่ดีเอง แม่ผิดเอง แม่ขอโทษ” นาร์ซิลซาร์ยังคงร่ำไห้ไปอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เดรโกกอดแม่ของเขาแน่น
“มันไม่เกี่ยวกับแม่นะครับ เรื่องที่พ่อโดนจับมันไม่เกี่ยวกับแม่เลย” เดรโกพูด นางมัลฟอยสั่นศีรษะ
“ไม่ใช่ มันไม่ใช่เรื่องที่พ่อโดนจับ แต่เป็นเรื่อง......” นางนาร์ซิลซาร์กำลังจะพูดออกมา แต่สายตาของนางที่มองข้ามหัวไหล่ของลูกชายก็ไปสะดุดกับบางสิ่งบางอย่าง นางเบิกตากว้าง ปากอ้าค้างอย่างตกใจ!
มัลฟอยมองกิริยาของมารดาอย่างแปลกใจ ก่อนจะหันกลับไปมองด้านหลัง ร่างดำทะมึนสวมชุดคลุมสีดำยืนอยู่มุมห้อง แทบจะกลืนไปกับเงามืดของกำแพง มัลฟอยชักไม้กายสิทธิ์ออกมาทันที
“แกเป็นใคร!” เด็กหนุ่มถามพลางชี้ไม้กายสิทธิ์ไปยังร่างลึกลับที่อยู่เบื้องหน้า ร่างนั้นแสยะยิ้มอวดฟันสีเหลืองน่าเกลียดโดยไม่หวาดหวั่นต่อไม้กายสิทธิ์ที่ชี้มาทางตัวเอง ในไม่ช้าร่างนั้นก็ก้าวออกมาจากเงามืด
แสงแดดจากหน้าต่างส่องกระทบกับร่างนั้น มันเป็นชายร่างเตี้ย หัวล้าน จมูกและตาหยีเล็ก ลักษณะคล้ายกับหนูแปลงร่างมาเป็นคน
หางหนอนนั่นเอง!
*************************************************
ความคิดเห็น