คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : การเดินทาง: The Journey
***Chapter 9 การเดินทาง: The Journey***
I'm thinking out loud
That maybe we found love right where we are
Thinking Out Loud – Ed Sheeran
ในที่สุดวันที่เฮอร์ไมโอนี่ต้องเดินทางไปร่วมประชุมและบรรยายที่แคนาดาเป็นเวลาร่วมสองเดือนก็มาถึง หลังจากหญิงสาวใช้เวลาทั้งวันอาทิตย์ในการตรวจสอบสัมภาระและเอกสารที่จะนำเสนอในการประชุมที่จัดเตรียมไว้ก่อนหน้านี้เป็นรอบที่สามแล้วนั้น เธอก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ของเธอดังขึ้น และเมื่อเธอหยิบมันขึ้นมาดูเธอก็พบว่าปลายสายนั้นคือเดรโก
“ฮัลโหล” เธอพูดหลังจากกดรับสาย
“เธอทำอะไรอยู่รึเปล่า” หญิงสาวได้ยินเสียงชายหนุ่มดังขึ้นแข่งกับเสียงการจราจรรอบข้างราวกับเขากำลังขับรถอยู่
“ชั้นจัดของอยู่น่ะ แต่ก็คุยได้นะ เธอมีอะไรเหรอ เดรโก” เฮอร์ไมโอนี่ถามก่อนจะเลือกที่จะนั่งลงบนเก้าอี้เพื่อคุยกับเพื่อนรักของเธอ
“คืนนี้เธอบินกี่โมงน่ะ” เขาถาม
“ห้าทุ่มครึ่งนะ ทำไมเหรอ” เธอตอบพลางเหลือบมองนาฬิกา นี่เพิ่งจะห้าโมงเย็นเท่านั้น
“งั้นอีกครึ่งชั่วโมงชั้นจะไปรับไปกินข้าวเย็นนะ แล้วเดี๋ยวชั้นจะเลยไปส่งเธอที่สนามบินเลย” ชายหนุ่มกรอกเสียงมาตามสาย หญิงสาวขมวดคิ้วให้กับคำพูดนั้นของเขาก่อนจะตอบออกไป
“แต่ชั้นบอกให้รอนมารับชั้นแล้วนะ แล้วชั้นต้องเอาครุกแชงค์กับลูอี้ไปฝากให้จินนี่ช่วยเลี้ยงด้ว.....” ไม่ทันที่เฮอร์ไมโอนี่จะพูดจบ เดรโกก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“ชั้นคุยกับวีสลีย์แล้ว เดี๋ยววีสลีย์จะเข้าไปจัดการเรื่องนี้เอง เอาเป็นว่าเดี๋ยวเราเจอกันอีกครึ่งชั่วโมงนะ ชั้นต้องวางก่อนแล้ว” ชายหนุ่มตัดบท
“เดี๋ยวสิ เดรโก” เธอพยายามจะแย้ง แต่ไม่ทันเสียแล้วเพราะชายหนุ่มวางสายเธอไปเสียแล้ว
“นี่มันอะไรกันเนี่ย” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง บางครั้งเดรโกก็มีนิสัยเอาแต่ใจและชอบจัดการอะไรเองแบบนี้นี่แหละ ตั้งแต่เรื่องที่เขาจัดแจงเลือกชุดให้เธอใส่ไปงานแต่งงานพ่อทูนหัวของเขา หรือเรื่องซื้อบ้านในสกอตแลนด์ให้เป็นค่าตอบแทนการทำสัญญาซื้อขายปราสาทที่เขานำมาสร้างเป็นโรงแรมในครั้งนั้นก็เหมือนกัน แม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะรู้จักเดรโกจนเธอรู้นิสัยในข้อนี้ของเขาและอาจจะเคยชินกับมันแล้วก็ตาม แต่การตัดสินใจเอาเอง แถมยังบอกเธอกะทันหันแบบนี้มันทำให้เธอหัวหมุนไม่น้อยเลยทีเดียว แต่แน่นอนว่าเฮอร์ไมโอนี่รู้ดีกว่าเดรโกไม่ใช่คนที่จะยอมให้เธอตอบปฏิเสธได้ง่าย ๆ เมื่อคิดได้เช่นนั้นหญิงสาวจึงวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะและหันไปมองรอบตัวเพื่อสำรวจว่าเธอลืมของที่ต้องนำติดตัวไปแคนาดาชิ้นไหนไปหรือเปล่า
แต่ไม่ทันที่เฮอร์ไมโอนี่จะได้ทำอะไรไปมากกว่านั้นเสียงแส้ฟาดอากาศก็ดังขึ้น หญิงสาวอุทานอย่างตกใจกับเสียงนั้น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและพบว่าคนที่เพิ่งหายตัวเข้ามาในห้องของเธอเมื่อครู่ก็คือรอนนั่นเอง!
หลังจากหายตกใจกับการที่อยู่ ๆ เพื่อนรักของเธอหายตัวมาปรากฏตัวถึงในคอนโดของเธอแบบนี้แล้ว เฮอร์ไมโอนี่ก็พูดขึ้น
“โรนัลด์ วีสลีย์ ชั้นบอกเธอกี่ครั้งแล้วว่า…..” หญิงสาวเริ่มพูด แต่ก่อนที่เธอจะได้พูดจนจบ ชายหนุ่มตรงหน้าก็ยกมือขึ้นห้ามเสียก่อน
“ถ้าเธอจะบ่นอะไรชั้นนะ เฮอร์ไมโอนี่ เก็บไว้บ่นเดรโกแทนนะ” รอนพูด
หญิงสาวขมวดคิ้ว เธอยกมือข้างหนึ่งขึ้นท้าวเอว ทำให้ในสายตาของชายหนุ่มผมแดงเธอดูเหมือนคุณนายวีสลีย์ไม่มีผิดเลยทีเดียว
“ชั้นจะบ่นพวกเธอทั้งสองคนนี่แหละถ้าเธอยังไม่บอกชั้นว่านี่มันเรื่องอะไรกัน” เธอพูดเสียงเข้ม
“ไม่ใช่ความผิดชั้นซักหน่อยนะ ก็ชั้นกะจะมารับเธอตอนทุ่มนึงตามที่เราตกลงกันไว้อยู่แล้ว แล้วก็ชั้นอุตส่าห์ยกเลิกนัดมาเพื่อเธอเลยนะ เฮอร์ไมโอนี่” รอนร่ายยาว ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ยกมือขึ้นกอดอกขณะฟังเขาพูด
“แล้วอยู่ ๆ เดรโกก็โทรหาชั้นบอกว่าเค้าจะมารับเธอเอง แล้วยังบอกว่าคุยกับเธอแล้วด้วย แต่พอชั้นพูดว่าเธอต้องเอาครุกแชงก์กับลูอี้ไปฝากจินนี่เลี้ยง เดรโกก็บอกให้ชั้นช่วยเข้ามารับครุกแชงก์กับลูอี้ให้หน่อย แล้วให้มาทันทีเลยด้วย เพราะงี้ชั้นถึงต้องหายตัวมาไง” รอนอธิบาย พร้อมกับเฮอร์ไมโอนี่ที่ส่ายหน้าอย่างจนใจเมื่อเธอรู้เรื่องราวทั้งหมด มันเป็นตามที่เธอคิดไว้จริง ๆ ว่าเดรโกนี่เองที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดเนื่องมาจากชายหนุ่มต้องการจะไปส่งเธอที่สนามบินให้ได้
“แล้วนี่เธอไม่ได้นัดกับเดรโกไว้ก่อนงั้นเหรอ” รอนถามขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย แต่เฮอร์ไมโอนี่เลือกที่จะไม่ตอบอะไรออกมา นี่คงไม่ใช่เวลามาต่อล้อต่อเถียงกันว่าเธอตกใจกับใครไว้อย่างไรตั้งแต่แรก เพราะอีกหกชั่วโมงเธอก็ต้องขึ้นเครื่องบินไปแคนาดาแล้ว และเมื่อคิดได้เช่นนั้นหญิงสาวจึงพูดขึ้น
“เดี๋ยวชั้นจะไปเอาครุกแชงก์กับลูอี้มาให้นะ แล้วยังไงฝากขอบคุณจินนี่ด้วยแล้วกันนะ” เธอพูดก่อนจะตัดสินใจเดินไปยังห้องนอนเพื่อไปอุ้มครุกแชงก์กับลูอี้มาใส่กรง และเมื่อร่างของหญิงสาวหายลับไปจากห้องนั่งเล่นแล้วนั้น เธอก็ได้ยินเสียงรอนดังขึ้นตามหลังมา ขณะที่เธอพยายามจับเจ้าแมวส้มที่ดิ้นรนเข้าไปไว้ในกรง
“นี่เธอต้องไปนานแค่ไหนน่ะ ไมโอนี่” รอนถามมาจากอีกห้องหนึ่ง
“สองเดือนน่ะ” เธอตะโกนตอบกลับไปก่อนจะหันมาพูดกับครุกแชงก์ที่ทำหน้ามุ่ยอยู่
“ไม่ทำหน้าอย่างนั้นสิครับสุดหล่อ หม่ามี๊ไม่อยู่แป๊ปเดียวเอง ครุกแชงก์ไปอยู่กับน้าจินนี่ก่อนนะครับ เดี๋ยวหม่ามี๊ซื้อของมาฝากนะครับ” เธอพูดพลางลูบหัวเจ้าแมวส้มที่ทำหน้าตาไม่พอใจอยู่ แต่มันก็ยอมให้เธออุ้มไปใส่กรงแต่โดยดีโดยไม่ดิ้นรนเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว (ลูอี้เข้าไปในกรงอย่างว่าง่ายตั้งแต่แรกแล้ว) พร้อมกับร้อง ‘ม๊าวววววว’ ราวกับมันอยากจะบอกเฮอร์ไมโอนี่ว่า ‘อย่าไปนานนะ’
“ครับคนดี หม่ามี๊ไปไม่นานนะครับ เดี๋ยวจะรีบกลับมาหาครุกแชงก์นะครับ” เธอพูดพร้อมกับจูบที่ศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเส้นขนสีส้มของมันก่อนจะจับมันใส่กรงและถือกรงสองกรงกลับไปที่ห้องนั่งเล่นที่มีรอนรออยู่
เมื่อหญิงสาวยื่นกรงของทั้งครุกแชงก์และลูอี้ให้กับเขา รอนก็ถามขึ้นอีกครั้ง
“เมื่อกี๊เธอบอกว่าเธอจะไปนานเท่าไหร่นะ เฮอร์ไมโอนี่” ชายหนุ่มถาม
“สองเดือนน่ะ เดี๋ยวชั้นฝากค่าอาหารไปให้จินนี่ด้วยนะ คราวนี้ต้องรบกวนนานเลย” เฮอร์ไมโอนี่พูด หลังจากส่งกรงในมือให้รอนแล้วเธอก็เดินไปที่โต๊ะเพื่อจะหยิบกระเป๋าสตางค์
“ไม่ต้องหรอก เธอก็รู้ว่าจินนี่จัดการได้” รอนพูด
“เธอแน่ใจเหรอ รอน ชั้นเกรงใจน่ะ”
“เธอไม่ต้องเกรงใจพวกเรา เฮอร์ไมโอนี่ แล้วก็ไม่ต้องห่วงด้วย รับรองแม่ชั้นกับจินนี่จะขุนเจ้าแมวนี่ให้อ้วนกว่านี้โดยที่เธอไม่ต้องจ่ายเงินเราซักคนุตเลย” รอนพูดโดยเจาะจงคำว่า ‘แมวอ้วน’ เป็นพิเศษพร้อมกับที่เจ้าแมวส้มก็มองมาทางเขากวน ๆ ราวกับมันรู้ว่าถูกรอนพาดพิงถึง
แม้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะพูดออกมาด้วยท่าทีสบาย ๆ ราวกับเขาและครอบครัวชินและยินดีในการรับครุกแชงก์และลูอี้มาอยู่ด้วยในช่วงที่เฮอร์ไมโอนี่จะต้องเดินทางไปประชุมหรือทำธุระที่ต่างประเทศก็ตาม แต่ในครั้งนี้หญิงสาวก็อดเกรงใจจินนี่และคุณนายวีสลีย์ไม่ได้ที่ต้องมาดูแลแมวทั้งสองตัวของเธอนานขนาดนี้
ปกติถ้าเป็นการไปทริปสั้น ๆ เช่นการไปดูโรงแรมกับเดรโกหรือไปงานแต่งงานของเฟลิกซ์นั้น หญิงสาวสามารถปล่อยครุกแชงก์กับลูอี้ให้อยู่กันตามลำพังในคอนโดของเธอได้ โดยที่เฮอร์ไมโอนี่ซื้อเครื่องให้อาหารแมวและกล้องวงจรปิดของมักเกิ้ลมาติดตั้งไว้สำหรับเวลาที่เธอไม่อยู่เป็นช่วงสั้น ๆ แต่เป็นเพราะครั้งนี้เธอจำเป็นต้องไปนานสักหน่อยเธอจึงคิดว่าการเอาแมวของเธอทั้งสองตัวไปฝากไว้ที่บ้านโพรงกระต่ายน่าจะเป็นการดีที่สุด
“ถ้าอย่างนั้นชั้นก็ต้องรบกวนหน่อยนะ ไว้ชั้นจะซื้อของมาฝากแทนก็แล้วกัน” หญิงสาวพูดพร้อมกับยิ้มให้เพื่อนรักของเธอ
“ว่าแต่ครั้งนี้เธอไปนานเหมือนกันนะ” รอนพูดขึ้น “ไม่ใช่ว่าชั้นจะว่าอะไรหรอกนะ แต่ชั้นพอเข้าใจแล้วว่าทำไมเดรโกถึงอยากไปส่งเธอเอง” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองดวงตาสีอ่อนที่มีแววร่าเริงของเพื่อนรักขณะที่เขาพูดต่อ
“จะว่าไปเจ้าหัวทองนั่นก็ติดเธอเหมือนกันนะ เฮอร์ไมโอนี่” รอนพูดออกมาตามตรง และถึงแม้จะรู้ดีว่าสิ่งที่รอนพูดนั้นไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงเลยก็ตาม แถมถ้าหากคนที่เฮอร์ไมโอนี่เคยพูดถึงว่าเขา ‘มีความรู้สึกได้แค่ระดับช้อนชา’ อย่างรอนสังเกตเห็นสิ่งนี้แล้วนั้น แน่นอนว่าคนอื่น ๆ ก็คงสังเกตเห็นมันด้วยเช่นเดียวกัน
แต่ถึงคนอื่นจะคิดว่ามันแปลกประหลาดมากเพียงใดก็ตามที่เธอกับอดีตศัตรูตัวฉกาจของสามสหายอย่างเดรโก มัลฟอยจะเป็นเพื่อนสนิทกันมาได้จนถึงสิบปี แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็รู้ว่าสิ่งที่คนภายนอกมองเข้ามาหรือแม้กระทั่งรู้สึกต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองนั้นไม่สำคัญแต่อย่างใด เพราะสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือมิตรภาพระหว่างเธอกับชายหนุ่มเท่านั้น และเธอก็รู้ดีว่าอาจจะมีใครหลายคนคิดว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่นั้นดูสนิทสนมกันมากกว่าความเป็นเพื่อน และบางครั้งคนที่คิดเช่นนั้นก็เป็นคนใกล้ตัวเธออย่างแฮร์รี่หรือรอนเสียด้วย แต่ในสายตาหญิงสาวกลับคิดว่าการที่คนเหล่านั้นคิดเช่นนั้นเพราะพวกเขายังไม่เข้าใจมิตรภาพระหว่างเธอกับชายหนุ่มต่างหาก
และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงเลยตัดสินใจพูดออกไป
“ก็ปกติชั้นเจอเดรโกทุกวันอาทิตย์นี่นา เขาคงยังไม่ชินละมั้ง” เธอกล่าว
รอนพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ก็จริง บางทีก็น่าเห็นใจเจ้านั่นอยู่เหมือนกันนะ ตอนโทรมาหาชั้นงี้เสียงจ๋อยเชียว” รอนพูดออกมาตามตรง และเมื่อเขาเห็นว่าเฮอร์ไมโอนี่ไม่ตอบอะไรออกมา ชายหนุ่มก็เพิ่งนึกได้ว่าเขาควรจะหายตัวกลับไปที่บ้านโพรงกระต่ายได้แล้ว
“ชั้นไปก่อนละกัน ไมโอนี่ เดินทางปลอดภัยนะ” รอนพูด ขณะที่หญิงสาวยิ้มและเข้าไปโอบกอดเขา
แม้ว่ามันจะต้องเป็นภาพที่ตลกมากแน่ ๆ ที่เธอเข้าไปโอบรอบคอรอนขณะที่เขาถือกรงของครุกแชงก์และลูอี้เอาไว้ในมือ แต่หญิงสาวก็รู้สึกถึงความอบอุ่นยามเธอโอบกอดเพื่อนรักคนนี้ของเธอ ซึ่งมันเป็นเช่นนี้ทุกครั้งมาตั้งแต่ที่พวกเขากลายเป็นเพื่อนสนิทกันในตอนปีหนึ่ง หากแต่ด้วยเหตุผลบางประการเฮอร์ไมโอนี่กลับพบว่าการโอบกอดรอนนั้นช่างต่างกับการโอบกอดเดรโกเหลือเกิน
แต่ก่อนที่จะมีโอกาสหาคำตอบให้กับความรู้สึกอันแปลกประหลาดนี้ของเธอ หญิงสาวก็คลายอ้อมกอดออกมา ชายหนุ่มผมแดงยิ้มให้เธอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะหายตัวไปพร้อมกับเสียงแส้ฟาดอากาศ
หลังจากเห็นว่ารอนหายตัวไปเรียบร้อยแล้ว เฮอร์ไมโอนี่ก็หันไปมองข้าวของรอบตัวก่อนที่สายตาของเธอจะไล่ไปมองนาฬิกาที่ฝาผนัง มันบอกเวลาห้าโมงเจ็ดนาที
‘คงจะต้องรีบหน่อยแล้ว’ หญิงสาวคิดในใจก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าห้องน้ำเพื่อไปอาบน้ำและแต่งตัว
................................................
หญิงสาวรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อกริ่งห้องของเธอดังขึ้น เฮอร์ไมโอนี่เงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาซึ่งบอกเวลาห้าโมงสามสิบห้านาที ก่อนที่จะเดินไปเปิดประตูและเธอก็พบว่าชายหนุ่มผมบลอนด์กำลังยืนอยู่หน้าประตูห้องของเธอ เธอยิ้มบาง ๆ ให้เขาก่อนจะเบี่ยงตัวหลบให้เขาเข้ามา แม้ว่าหญิงสาวจะไม่พอใจกับการตัดสินใจกะทันหันของเดรโกในวันนี้เท่าไหร่นัก แต่เมื่อเฮอร์ไมโอนี่เห็นหน้าเขาแล้ว เธอก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกไป
“เธอเตรียมตัวเสร็จแล้วเหรอ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบามากกว่าปรกติ หากแต่ใบหน้าของเขากลับไม่แสดงท่าทีอะไรออกมา สายตาของเขาไล่ผ่านหญิงสาวไปมองกระเป๋าเดินทางใบใหญ่สองใบที่วางอยู่ในห้องนั่งเล่นของเธอ
“แป๊ปนึงนะ ขอชั้นหยิบของก่อน” เฮอร์ไมโอนี่พูดก่อนจะหายเข้าไปในห้องนั่งเล่น ในไม่ช้าเธอก็กลับมาพร้อมกับเสื้อโค้ทและกระเป๋าที่จะถือขึ้นเครื่อง
“เรียบร้อยแล้ว ไปกันเถอะ” เธอพูดพร้อมกับหนีบกระเป๋าเอกสารและกระเป๋าถือไว้ในมือ ก่อนที่จะพยายามเดินเข้าไปลากกระเป๋าเดินทางที่เหลือของเธอ
“เดี๋ยวชั้นช่วย” เดรโกเสนอ ก่อนจะเดินไปคว้าที่จับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ทั้งสองใบของเฮอร์ไมโอนี่เอาไว้ แม้ว่าชายหนุ่มจะเคยไปส่งหญิงสาวไปประชุมสมาพันธ์ต่อต้านการใช้ความรุนแรงในผู้ที่ไม่มีเวทมนตร์มาหลายต่อหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เฮอร์ไมโอนี่เตรียมกระเป๋าใบใหญ่ไปถึงสองใบเต็ม ๆ ซึ่งมันแสดงถึงความจริงที่เขาล่วงรู้มาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว แต่เขาไม่อยากจะยอมรับมันเท่าไหร่นัก ว่าการเดินทางครั้งนี้ของเฮอร์ไมโอนี่นั้นกินเวลายาวนานมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา รวมถึงครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งที่พวกเขาจะต้องห่างกันเนิ่นนานกว่าครั้งไหนด้วย
ชายหนุ่มเงยหน้ามองหน้าหญิงสาวตรงหน้า เธอดูดีไม่น้อยในเสื้อคาร์ดิแกนกับกางเกงขายาวสีครีมและเสื้อโค้ทในโทนสีเดียวกัน มันเป็นลุคที่บ่งบอกเขาว่าเธอพร้อมจะเดินทางแล้ว และเมื่อเขาพิจารณาใบหน้าของเฮอร์ไมโอนี่แล้วนั้นเขาก็พบว่ามันไม่ได้แสดงถึงความไม่พอใจออกมาเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะเป็นคนจัดแจงเปลี่ยนแปลงแผนการของเธอตามอำเภอใจ และดึงดันที่จะมารับเธอด้วยตัวเองอย่างที่เขาทำในครั้งนี้ก็ตาม และเมื่อเห็นเช่นนั้นเดรโกก็รู้สึกโล่งอกไม่น้อย
“งั้นไปกันเถอะ เธอยากกินอะไรดี” ชายหนุ่มพูดก่อนจะเดินนำหญิงสาวที่หันไปสำรวจทุกอย่างในห้องเป็นครั้งสุดท้ายออกจากห้อง และเมื่อเฮอร์ไมโอนี่แน่ใจว่าเธอทุกอย่างในห้องนอนของเธอเรียบร้อยดีแล้ว หญิงสาวก็จัดแจงล็อกห้องก่อนจะหันมาตอบเขา
“ชั้นยังไม่ได้คิดเลยน่ะ แล้วเธอล่ะ เดรโก เธอมีร้านในใจหรือเปล่า” เธอถาม ชายหนุ่มยิ้มให้กับเธอ
“ชั้นว่าชั้นมีนะ” เขาพูด ก่อนที่ทั้งสองจะเดินไปที่ลิฟต์เพื่อลงไปยังรถยนต์ของชายหนุ่มที่จอดไว้ที่ชั้นล่าง
................................................
ในไม่ช้าทั้งสองก็มาถึงร้าน ดิ ไอวี่ ที่เดรโกเป็นสมาชิกเอ็กซ์คลูซีฟของทางร้านอยู่ซึ่งมันทำให้พวกเขาสามารถใช้พื้นที่ชั้นสองของร้านที่สงวนไว้สำหรับสมาชิกได้ตามสะดวกและยังได้ทานอาหารในบรรยากาศที่เป็นส่วนตัวมากเสียด้วย และอาจจะเป็นเพราะว่าตามปรกติแล้วพวกเขาทั้งสองไม่ได้มาทานอาหารที่ร้านหรูหราขนาดนี้กันบ่อยเท่าไหร่นัก เฮอร์ไมโอนี่จึงรู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่ชายหนุ่มพาเธอมาที่นี่ เพราะถ้าดูจากบรรยายกาศของร้านแล้วมันเป็นที่ที่เหมาะจะพาสาว ๆ ในสต๊อกของเขามาเสียมากกว่า
ถึงกระนั้นหญิงสาวก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรออกไปเมื่อบริกรพาพวกเขามายังโต๊ะที่มีการจัดเตรียมไว้อย่างดีราวกับชายหนุ่มได้นัดหมายกับทางร้านไว้แล้ว และเมื่อบริกรรินเครื่องดื่มให้พวกเขาและเดินจากไปเพื่อปล่อยให้พวกเขาเลือกอาหารกันตามลำพังแล้วนั้น เฮอร์ไมโอนี่จึงเอ่ยปากถามขึ้น
“นี่มันอะไรกัน เดรโก” น้ำเสียงนั้นของเธอไม่ได้ฟังดูคาดคั้น หากแต่มันฟังดูสงสัยเสียมากกว่า
“มันอะไรงั้นเหรอ” ชายหนุ่มพูดด้วยท่าทีไม่รู้ไม่ชี้ แต่เมื่อเขาเห็นสายตาที่เฮอร์ไมโอนี่มองมาทางเขาแล้วนั้น เดรโกก็ตัดสินใจพูดออกมา
“ชั้นก็แค่อยากมาส่งเธอเท่านั้น” เขายอมพูดออกมาแต่โดยดี
“เธอก็น่าจะบอกชั้นดี ๆ นะ ไม่ใช่มาเปลี่ยนแผนชั้นกะทันหันแบบนี้” หญิงสาวพูดพลางมองเขาด้วยสายตาที่บอกว่าเธอรู้นะว่าเขาเป็นคนต้นเรื่องทั้งหมด
“ก็ชั้นเห็นว่าเธอนัดวีสลีย์ให้ไปส่งเธอ แต่เหมือนเจ้านั่นอยากจะไปเดทกับสาวมากกว่า ชั้นก็เลย........” เขาแก้ตัว แต่ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะพูดจบเฮอร์ไมโอนี่ก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“ชั้นเห็นว่าเธอเพิ่งกลับจากฝรั่งเศส ชั้นก็เลยไม่อยากรบกวนเธอให้ไปส่งชั้นเพราะกลัวว่าเธอจะเหนื่อยต่างหาก” เธออธิบาย แต่เมื่อลองคิดดูอีกทีแล้วหญิงสาวก็เพิ่งนึกได้ว่าปรกติแล้วคนที่เป็นคนไปส่งเธอขึ้นเครื่องบินเวลาที่เธอไปประชุมสมาพันธ์ฯ ทุกครั้งที่ผ่านมานั้นก็คือเดรโก ดังนั้นมันอาจจะทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเคยชินจนรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ของเขาในการมาส่งเธอในครั้งนี้ด้วยเช่นกันหรือเปล่านะ
หากแต่เฮอร์ไมโอนี่กลับไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ชายหนุ่มตรงหน้าของเธอรู้สึกนั้นมีอะไรมากกว่าแค่คำว่าหน้าที่หรือความเคยชินมากนัก!
หลังจากพูดจบ หญิงสาวก็มองชายหนุ่มตรงหน้าราวกับกำลังรอให้เขาพูดอะไรออกมา แต่เดรโกกลับเฉไฉไปเปิดเมนูแทน และเมื่อเธอเห็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงตัดสินใจที่จะไม่พูดอะไรออกมา ตรงกันข้ามหญิงสาวเลือกที่จะหันไปสนใจเมนูของเธอเช่นเดียวกัน
และเมื่อชายหนุ่มผมบลอนด์เห็นว่าหญิงสาวตรงหน้ากำลังสนใจเมนูของเธออยู่เขาจึงลองมองเค้าโครงหน้าของเธอที่โผล่พ้นมาจากเมนูแผ่นใหญ่ของทางร้านอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา
“เธอคิดหรือยังว่าจะสั่งอะไร” เขาถามขึ้น
“ชั้นยังเลือกไม่ถูกเลย”
“ที่นี่ดังเรื่องแชปเพิร์ตพายมานานแล้วนะ แล้วเธอก็คงหาเมนูนี้กินที่แคนาดาไม่ได้ด้วย” ชายหนุ่มพูดขึ้นมาก่อนที่เขาจะยั้งตัวเองได้ทัน เฮอร์ไมโอนี่เลิกคิ้วกับคำพูดนั้นของเขา เธอตัดสินใจวางเมนูตรงหน้าของเธอลง
“ทั้งหมดนี่มันเกี่ยวกับเรื่องที่ชั้นจะไปแคนาดาใช่มั๊ย” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้ถึงกับคาดคั้น หากแต่มันก็ฟังดูหนักแน่น
ชายหนุ่มตัดสินใจวางเมนูของเขาลงก่อนจะมองลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลที่ฉายแววสงสัยของอีกฝ่ายก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา
“ชั้นดีใจที่เธอได้มีโอกาสไปบรรยายในครั้งนี้ เฮอร์ไมโอนี่ มันเป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับเธอ” เขาเริ่มพูด “แต่ชั้นก็อดคิดไม่ได้ว่าชั้นจะทำยังไงหากเราต้องห่างกันนานขนาดนั้น” เขาสารภาพสิ่งที่ติดอยู่ในใจของเขาตั้งแต่วันที่เธอบอกเขาว่าเธอจะต้องไม่อยู่เป็นเวลาถึงสองเดือนออกมา ขณะที่หญิงสาวตรงหน้ามองเขาด้วยแววตาที่แสดงถึงความเห็นอกเห็นใจ
และในวินาทีต่อมา มือเล็กของเฮอร์ไมโอนี่ก็เลื่อนไปจับมือใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะของเดรโกก่อนที่เธอจะจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีเงินที่แสนจะคุ้นเคยของเขาซึ่งบัดนี้มันฉายแววแห่งความกังวลออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“ชั้นไปไม่นานหรอก” เธอเริ่มพูดอย่างระมัดระวัง แม้ว่าภายนอก เดรโก มัลฟอยจะมีภาพลักษณ์ของเพลย์บอยเจ้าเสน่ห์ที่ไม่เคยจริงจังกับความสัมพันธ์ครั้งใดก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ที่สนิทกับเขามานานก็พอจะรู้ว่าชายหนุ่มก็มีมุมที่เปราะบางเหมือนคนทั่ว ๆ ไปเหมือนกัน โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เธอต้องไปไกลจากเขานานขนาดนี้ เดรโกอาจจะรู้สึกว่าเขาถูกทิ้งไว้ตามลำพัง
และเมื่อคิดได้เช่นนั้นหญิงสาวจึงบีบมือของชายหนุ่มตรงหน้าก่อนจะพูดต่อ
“ชั้นจะกลับมาก่อนที่เธอจะรู้ตัวด้วยซ้ำ แล้วอีกอย่างเราก็โทรคุยกันได้นี่นา” เธอเสริม หากแต่สายตาของเฮอร์ไมโอนี่ที่ใช้มองมาทางเขานั้นดูราวกับต้องการจะบอกเขาว่า เธอจะไม่ไปไหนทั้งนั้น เธอจะอยู่ตรงนี้เป็นเพื่อนสนิท เป็นคู่คิดของเขาไปตลอด
และอาจจะเป็นเพราะเขาเข้าใจในสิ่งที่เธอพยายามจะสื่อออกมาทางสายตาหรืออาจจะเป็นเพราะชายหนุ่มรู้สึกถึงแรงบีบจากมือของหญิงสาวก็ไม่ทราบได้ เดรโกก็พบว่าเขารู้สึกอุ่นใจขึ้นมากนัก ราวกับว่าระยะเวลาสองเดือนที่ไม่มีเฮอร์ไมโอนี่อยู่เคียงข้างเขานั้นไม่ได้ฟังดูยาวนานอีกต่อไปแล้ว เมื่อเทียบระยะเวลาที่เธออยู่เคียงข้างเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเขามาตลอดสิบปีที่ผ่านมานี่ อีกทั้งระยะเวลาสองเดือนคงไม่ยาวนานเท่าไหร่นักหากเทียบกับความจริงที่ว่าเขาและเธอจะมีกันและกันในชีวิตตลอดไปหลังจากนี้
และเมื่อคิดได้เช่นนั้นชายหนุ่มจึงส่งยิ้มบาง ๆ ให้หญิงสาวตรงหน้า พวกเขาจับมือกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่จะเป็นฝ่ายดึงมือของเธอกลับมาก่อนที่เธอจะหันไปสนใจเมนูตรงหน้าแทน และหลังจากพิจารณารายการอาหารตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่งเธอก็พูดขึ้น
“เธอบอกว่าแชปเพิร์ตพายที่นี่อร่อยใช่ไหม” เฮอร์ไมโอนี่ถาม “ถ้างั้นชั้นจะสั่งละกัน เผื่อว่าที่แคนาดาจะไม่มีให้สั่ง” เธอพูดพลางยิ้มให้เดรโก ชายหนุ่มยิ้มตอบ ก่อนที่เขาจะยกมือเรียกบริกรเข้ามารับออเดอร์
................................................
หลังจากอิ่มหนำสำราญกับอาหารมื้อเย็นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เดรโกก็ขับรถมาสั่งเฮอร์ไมโอนี่ที่สนามบินฮีทโธรว์เพื่อขึ้นเครื่องบินไปแคนาดา แม้ว่าหญิงสาวจะสามารถใช้กุญแจนำทางเดินทางไปแคนาดาได้ก็ตาม แต่เมื่อคำนวณค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่ไม่หนีกันเท่าไหร่แล้วนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็เลือกวิธีการเดินทางแบบมักเกิ้ลแทน หญิงสาวจำได้ว่าเดรโกเคยถามเธอตอนที่เขาไปส่งเธอเข้าร่วมการประชุมครั้งแรก ว่าทำไมเธอถึงยอมทนนั่งเครื่องบินเป็นเวลานานทั้ง ๆ ที่การเดินทางด้วยกุญแจนำทางนั้นใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น เธอจำได้ว่าเธอตอบเขาออกไปว่าเธอชอบบรรยากาศในสนามบิน เธอชอบได้เห็นผู้คนจากทั่วทุกสารทิศเดินขวักไขว่ไปมา เธอชอบเฝ้ามองพวกเขาตอนที่เธอรอขึ้นเครื่อง ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะเป็นครอบครัว นักธุรกิจที่เดินทางเพียงคนเดียว หรือคู่รัก หรือผองเพื่อนที่เดินทางพร้อมกันเป็นกลุ่มใหญ่ก็ตาม
อีกสาเหตุหนึ่งที่หญิงสาวชื่นชอบการเดินทางด้วยเครื่องบินนั้นเป็นเพราะเธอสามารถได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง การเดินทางคนเดียวหลากหลายครั้งทำให้เธอได้มีเวลาอยู่เงียบ ๆ คนเดียว ได้เดินเล่นไปตามร้านรวงในสนามบิน และได้คิดทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิต และเมื่อเธอเล่าถึงตรงนี้และเห็นว่าเดรโกในตอนนั้นฟังดูประหลาดในไม่น้อยและคงยังไม่เข้าใจคำตอบนี้ของเธอเท่าไหร่นัก เฮอร์ไมโอนี่จึงอธิบายว่ามันก็เหมือนกันการเดินทางไปฮออกวอตส์ทุก ๆ ปีนั่นแหละ และเธอก็ถามเขากลับว่าถ้าเลือกได้ชายหนุ่มอยากจะเดินทางไปฮอกวอตส์ด้วยทางใดมากกว่ากัน ระหว่างการนั่งรถไฟกับกุญแจนำทาง แน่นอนว่าเดรโกเลือกตอบว่าการนั่งรถไฟดังที่นักเรียนฮอกวอตส์ทุกคนนั่งไปกลับเป็นประจำทุกปี และเมื่อเธอพูดถึงตรงนี้หญิงสาวจึงอธิบายเพิ่มว่า สิ่งที่สำคัญสำหรับการเดินทางนั้นอาจจะไม่ใช่แค่การไปถึงจุดหมายปลายทางอย่างรวดเร็วที่สุดแต่เพียงเท่านั้น แต่ระยะเวลาที่ใช้ไปกับการเดินการและการดื่มด่ำกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างทางต่างหากเล่าที่ทำให้การเดินทางแต่ละครั้งนั้นน่าจดจำ
เมื่อหญิงสาวเปรียบเทียบเช่นนั้น ชายหนุ่มก็มีท่าทีเข้าใจขึ้นมาบ้าง แม้ว่าเขาจะยังคงไม่เห็นด้วยเท่าไหร่นักกับการที่เฮอร์ไมโอนี่ต้องลำบากตัวเองฝ่าฟันผู้คนจำนวนมากมาขึ้นเครื่องบินที่สนามบินแบบนี้ หากแต่เดรโกก็เข้าใจในสิ่งที่หญิงสาวคิดมากพอจนเขาเสนอตัวมาส่งเธอในการเดินทางครั้งต่อ ๆ ไป จนแทบจะเรียกได้ว่าเขาทำหน้าที่รับส่งเธอทุกครั้งที่เธอต้องเดินทางผ่านสนามบินก็เป็นได้
และในวันนี้ก็เป็นอีกวันที่สนามบินฮีทโธรว์เต็มไปด้วยผู้คนที่มารอขึ้นเครื่องที่หรือรับส่งคนที่จะเดินทางผ่านสนามบิน เดรโกนำรถไปจอดที่ลานจอดรถใกล้ ๆ ก่อนที่เขาจะเดินไปส่งเฮอร์ไมโอนี่ถึงภายในสนามบินด้วยตัวเองแม้ว่าหญิงสาวจะบอกเขาหลายครั้งแล้วว่าเขาสามารถจอดส่งเธอแล้วขับรถออกไปเลยก็ได้ แต่ชายหนุ่มกลับปฏิเสธที่จะทำเช่นนั้นราวกับการไปส่งเฮอร์ไมโอนี่ถึงภายในสนามบินเป็นสิ่งที่จำเป็นยิ่งสำหรับเขา
เมื่อทั้งสองมาถึงสนามบิน เดรโกก็จัดการยกกระเป๋าของเธอขึ้นรถเข็นที่ใช้ภายในสนามบินก่อนที่เขาจะเข็นมันตามหลังหญิงสาวที่เดินนำหน้าเขาไปดูป้ายประกาศเที่ยวบินที่อยู่ไม่ไกลนัก และเมื่อเฮอร์ไมโอนี่เห็นว่าเที่ยวบินที่เธอจะต้องขึ้นในคืนนี้เปิดให้เช็คอินแล้ว เธอจึงหันมาทางเดรโก
“เธอส่งชั้นแค่นี้ก็ได้นะ” เธอบอกกับชายหนุ่มที่มีท่าทีราวกับเขาไม่ต้องการปล่อยให้เธอขึ้นเครื่องบินในครั้งนี้ไปเท่าไหร่นัก แต่ถึงกระนั้นเดรโกก็ฝืนยิ้มให้เธอ
“เดินทางปลอดภัยนะ” เขากล่าวพลางคว้ามือเล็กของเธอมากุม “อย่าลืมโทรมาบอกชั้นหลังจากเรื่องลงด้วยนะ”
“ได้สิ ขอบคุณนะ เดรโก แล้วเจอกันนะ” เฮอร์ไมโอนี่พูดพลางยิ้มให้เขาและโอบกอดชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เธอจะคลายอ้อมกอดนั้นออกมาและเริ่มเข็นเข็นรถของเธอไปยังแถวสำหรับเช็คอิน โดยที่หญิงสาวไม่ลืมที่จะหันมายิ้มให้ชายหนุ่มที่ยังยืนอยู่ตรงนั้นท่ามกลางผู้คนที่ขวักไขว่เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เธอจะเดินเข้าเกทไป
เดรโกมองภาพหญิงสาวผู้เป็นเพื่อนสนิทที่สุดของเขาหายลับสายตาไปท่ามกลางผู้คนจำนวนมากในสนามบินด้วยความรู้สึกโหวงในช่องท้อง พร้อมกับคำถามที่ผุดขึ้นมาในหัวเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่อาจจะทราบได้ว่าเขาจะผ่านช่วงเวลาแปดสัปดาห์ต่อไปนี้ที่ไม่มีเธอไปได้อย่างไรกัน
................................................
กว่าเฮอร์ไมโอนี่จะเดินทางถึงประเทศแคนาดาก็ล่วงเลยเวลาเที่ยงวันตามเวลาท้องถิ่นมาแล้ว และที่มันใช้เวลาเนิ่นนานขนาดนี้กว่าที่เธอจะมาถึงจุดหมายปลายทางได้นั้นก็เป็นเพราะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศที่สนามบินออตตาวาไม่เป็นใจจนทำให้เครื่องบินที่เธอนั่งมานั้นไม่สามารถลงจอดได้และต้องไปลงจอดที่สนามบินมอนทรีออลที่อยู่ห่างจากออตตาวาไปสามชั่วโมงแทน แม้จะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าการเดินทางด้วยเครื่องบินนั้นเสี่ยงกับการเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเช่นนี้ก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางข้ามวันข้ามคืนมาก็อดรู้สึกหัวเสียไม่น้อยกับปัญหาที่เธอต้องเผชิญในการเดินทางครั้งนี้ เพราะว่าเธอจำเป็นจะต้องไปให้ถึงออตตาวาภายในวันพรุ่งนี้ซึ่งเป็นวันที่การประชุมสมาพันธ์ต่อต้านการไม่ใช้ความรุนแรงในผู้ไม่มีเวทมนตร์เริ่มขึ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้เฮอร์ไมโอนี่จึงต้องหาหนทางที่จะให้ทำให้เธอสามารถไปถึงออตตาวาได้ภายในคืนนี้ และความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวสมองของหญิงสาวก็คือ การที่เธอออกจากสนามบินมอนทรีออลไปก่อนแล้วค่อยหาที่ที่ลับตาคนเพื่อหายตัวไปที่ออตตาวาแทน แต่วิธีนี้ก็ออกจะเสี่ยงไปบ้างก็ตามในแง่ของการหาพื้นที่ที่ปลอดผู้คนเพื่อหายตัวไป นอกจากการที่เธอจะต้องแน่ใจว่าจะไม่มีมักเกิ้ลคนไหนมองเห็นหญิงสาวที่ถือกระเป๋าพะรุงพะรังแบบเธอหายวับไปกับอากาศแล้วนั้น ความเสี่ยงอีกประการที่เธอต้องเผชิญก็มาจากการที่เธอไม่เคยไปกระทรวงเวทมนตร์ของแคนาดาหรือเขตพ่อมดแม่มดของออตตาวามาก่อน และถ้าหากเธอหายตัวไปไปโผล่ยังตำแหน่งที่คลาดเคลื่อนไปจากที่ตั้งใจไว้เพียงไม่กี่เมตรก็อาจจะสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงขึ้นได้ หากมีมักเกิ้ลคนไหนเห็นว่าอยู่ ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากความว่างเปล่า ดังนั้นเมื่อลองคิดพิจารณาดูแล้วเฮอร์ไมโอนี่ก็คิดว่าการหายตัวไปออตตาวาน่าจะไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดให้กับสถานการณ์ที่เธอกำลังเผชิญอยู่ ณ ตอนนี้
ในขณะที่กำลังขบคิดหาหนทางแก้ปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ตั้งแต่ก่อนเครื่องลงจอดอยู่นั้น หญิงสาวก็ได้ยินเสียงพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินประกาศ
“ทางสายการบินขออภัยในความสะดวกในครั้งนี้ สำหรับท่านผู้โดยสารที่ประสงค์จะพักค้างคืนที่โรงแรมใกล้สนามบินมอนทรีออล กรุณาแจ้งพนักงานภาคพื้นที่จะทำหน้าที่จัดหาที่พักให้ท่าน และทางสายการบินจะจัดรถรับส่งนำท่านเดินทางไปยังสนามบินออตตาวาในเช้าวันพรุ่งนี้” พนักงานต้อนรับประกาศ ขณะที่เฮอร์ไมโอนี่คิดในใจว่าเธอไม่สามารถรอให้ถึงวันพรุ่งนี้ได้ เพราะกว่าที่รถของสายการบินจะพาเธอเดินทางไปถึงออตตาวาในวันพรุ่งนี้ การประชุมสมาพันธ์ฯ ก็คงเริ่มต้นขึ้นเสียแล้ว
ในขณะนั้นเอง เมื่อเห็นว่าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินอีกคนกำลังเดินมาทางเธอเพื่อตรวจเช็คความเรียบร้อยภายในห้องผู้โดยสารก่อนที่เครื่องบินจะลงจอดอยู่นั้น หญิงสาวก็โบกมือเรียกพนักงานคนนั้น
“มีอะไรให้ช่วยหรือคะ” หล่อนเดินตรงมาทางเธอก่อนจะถาม
“คือชั้นมีความจำเป็นที่จะต้องไปให้ถึงออตตาวาภายในคืนนี้ค่ะ ไม่ทราบว่ามีรถรับส่งที่จะออกภายในวันนี้ไหมคะ” เฮอร์ไมโอนี่ถาม
“ถ้าเป็นรถรับส่งของทางสายการบินเกรงว่าจะไม่มีค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะ” หล่อนตอบตามตรง
“แต่ชั้นมีความจำเป็นจริง ๆ นะคะ คือ....” ไม่ทันที่เธอจะพูดจนจบ แอร์โฮสเตสคนดังกล่าวก็พูดขึ้น
“แต่คุณสามารถเช่ารถแล้วขับไปออตตาวาเองได้นะคะ ใช้เวลาประมาณสามชั่วโมงเท่านั้นค่ะ แต่ถ้าในสภาพอากาศแบบนี้ก็น่าจะกินเวลาประมาณสี่ชั่วโมงเป็นอย่างช้า” หล่อนอธิบาย
เฮอร์ไมโอนี่กระพริบตากับคำพูดของหล่อนก่อนที่เธอจะนึกอะไรขึ้นได้
“ถ้าอย่างนั้นชั้นสามารถเช่ารถที่สนามบินได้เลยไหมคะ” เธอถาม
“ไม่ทราบว่าคุณมีใบขับนี่สากลไหมคะ” พนักงานคนนั้นถาม
“มีค่ะ” เฮอร์ไมโอนี่ตอบ รู้สึกว่าเธอคิดไม่ผิดที่นำใบขับขี่สากลของเธอมาด้วย เพราะหญิงสาวคิดไว้แล้วว่าเธออาจจะเช่ารถขับเที่ยวในช่วงวันหยุดที่เธออยู้ในแคนาดา
“ในกรณีนั้นคุณสามารถเช่ารถที่สนามบินได้เลยค่ะ อันที่จริงทางสายการบินของเรามีวอยเชอร์ส่วนลดสำหรับเช่ารถแทนคำขอโทษให้ผู้โดยสารด้วยนะคะ กรุณารอซักครู่นะคะ เดี๋ยวชั้นจะไปหยิบมาให้ค่ะ” แอร์โฮสเตสสาวกล่าวพร้อมกับยิ้มให้เฮอร์ไมโอนี่
“ขอบคุณมากค่ะ” เธอยิ้มตอบ และเมื่อเห็นเช่นนั้นพนักงานคนดังกล่าวก็เดินไปตามทางเดินก่อนจะหายลับไปด้านหลังเครื่อง
................................................
หลังจากเครื่องบินที่เธอนั่งมาลงจอดเทียบท่าที่ท่าอากาศยานมอนทรีออลอย่างสวัสดิภาพแล้วนั้น สิ่งที่หญิงสาวที่เพิ่งลงจากเครื่องต้องเผชิญต่อไปก็คือแถวตรวจคนเข้าเมืองที่มีผู้คนมหาศาลมารอคิวอยู่ก่อนหน้าเธ แม้ว่าการเข้าประเทศแคนาดาในฐานะพลเมืองอังกฤษจะไม่มีอะไรยุ่งยากและน่าเป็นห่วงก็ตาม แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็จำเป็นต้องบอกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองว่าจุดประสงค์ของการมาเยือนแคนาดาของเธอคือการท่องเที่ยว เพราะเจ้าหน้าที่ที่เป็นมักเกิ้ลคงไม่เคยได้ยินการประชุมสมาพันธ์ต่อต้านการใช้ความรุนแรงในผู้ที่ไม่มีเวทมนตร์มาก่อนเป็นแน่ รวมถึงหญิงสาวเองก็ไม่สามารถบอกเจ้าหน้าที่มักเกิ้ลคนนี้ได้ว่าวัตถุประสงค์ที่แท้จริงในการเดินทางมายังแคนาดาของเธอในครั้งนี้นั้นคือการเข้าร่วมการประชุมนานาชาติในฐานะตัวแทนของชุมชมผู้วิเศษจากอังกฤษ แต่ถึงกระนั้นการตอบคำถามเจ้าหน้าที่ก็ไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงของหญิงสาวแต่อย่างใด เพราะเธอหาข้อมูลเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวในแคนาดามาเป็นอย่างดีแล้วจนเธอมั่นใจว่าเธอสามารถตอบคำถามใดก็ตามที่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองต้องการจะถามเธอในฐานะนักท่องเที่ยวได้อย่างแน่นอน อีกทั้งเฮอร์ไมโอนี่ก็เสริมไปกับเจ้าหน้าที่ว่าเธอตั้งใจจะลงเครื่องบินที่ออตตาวาแต่เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นเสียก่อน และเพราะว่าเธอจองโรงแรมที่ออตตาวาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วเธอจึงตัดสินใจที่จะเช่ารถขับไปออตตาวาในวันนี้เลย และแน่นอนว่าเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวก็ไม่ได้ติดใจอะไรกับคำตอบของเธอ แถมยังอวยพรให้เธอเดินทางถึงออตตาวาโดยสวัสดิภาพและมีช่วงเวลาที่ดีแคนาดาอีกด้วย
หลังจากผ่านการตรวจคนเข้าเมืองมาเรียบร้อยแล้ว เฮอร์ไมโอนี่ก็เดินไปรับประเป๋าของเธอที่สายพาน และผ่านด่านตรวจกระเป๋า ซึ่งแน่นอนว่าเธอไม่มีของชิ้นใดที่ต้องสำแดงต่อเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้หญิงสาวยังไม่ลืมที่จะร่ายเวทมนตร์ปกปิดพื้นที่บางส่วนในกระเป๋าเดินทางของเธอไว้ไม่ให้เครื่องเอกซเรย์สามารถตรวจจับได้ รวมถึงเธอยังได้แปลงร่างหน้าปกหนังสือเกี่ยวกับกฎหมายเวทยมนตร์ที่เธอพกมาด้วยให้เป็นหนังสือท่องเที่ยวแคนาดาหรือไม่ก็หนังสือกฎหมายระหว่างประเทศของมักเกิ้ลแทนในกรณีที่เธอถูกสุ่มตรวจกระเป๋าขึ้นมา อันที่จริงหญิงสาวทำแบบนี้ทุกครั้งที่เธอต้องเดินทางไปต่างประเทศโดยใช้เส้นทางของมักเกิ้ลเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาใด ๆ ก็ตามที่สามารถเกิดขึ้นที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองได้
หลังจากผ่านด่านการตรวจกระเป๋ามาอย่างราบรื่นแล้ว ขณะที่เธอกำลังไปหาเคาน์เตอร์รถเช่าอยู่นั้นหญิงสาวก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเดรโกเพื่อบอกเขาว่าเธอมาถึงแคนาดาแล้วแม้ว่าจะมีบางอย่างผิดไปจากแผนการที่วางไว้ก็ตาม แต่ชายหนุ่มไม่ได้รับโทรศัพท์เธอ แต่ถึงกระนั้นหญิงสาวก็ไม่ติดใจอะไร เพราะเมื่อคำนวณความต่างของเวลาดูแล้ว ช่วงที่เธอโทรหาเขานี้น่าจะเป็นช่วงสายที่อังกฤษ ซึ่งเวลาช่วงสายของวันจันทร์เป็นเวลาที่เดรโกมักจะยุ่งกับงานเป็นปรกติอยู่แล้ว และเมื่อคิดได้เช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงเก็บโทรศัพท์มือถือลงในกระเป๋าก่อนจะเข็นรถเข็นของเธอยังเคาน์เตอร์เช่ารถ ห้วงความคิดของหญิงสาวในตอนนี้เปลี่ยนจากการคิดถึงเพื่อนรักของเธอไปคำนึงถึงเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้นก็คือ ความจริงที่ว่าเธอจะต้องไปถึงออตตาวาภายในวันนี้ให้ได้
................................................
หลังจากใช้เวลาเกือบสามชั่วโมงอยู่บนท้องถนนในประเทศแคนาดา เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ก็เพิ่งรู้ในตอนนี้เองว่าการขับรถในแคนาดาโดยเฉพาะในยามที่สภาพอากาศไม่เป็นใจเช่นนีไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ ถึงแม้ว่าเธอจะมีใบขับขี่ในครอบครองรวมถึงขับรถมาเป็นเวลาไม่ต่ำว่าห้าปีแล้วก็ตาม แต่การขับรถบนถนนของแคนาดาที่ใช้เลนต่างจากอังกฤษในสภาพอากาศที่เลวร้ายแบบนี้ทำให้หญิงสาวรู้สึกสงสัยทักษะในการขับรถของเธอขึ้นมาเสียดื้อ ๆ เพราะในตอนนี้ก็ล่วงเลยไปเกือบสามชั่วโมงแล้วที่เฮอร์ไมโอนี่ขับรถออกมาจากสนามบินมอนทรีออลมุ่งตรงสู่ออตตาวาท่ามกลางสายฝน แม้ว่าสภาพอากาศภายนอกนั้นจะไม่ถึงขั้นมีพายุก็ตาม แต่การที่สายฝนกระหน่ำลงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ตอนที่เธอออกมาจากสนามบินอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดทำให้วิสัยทัศน์ในการขับรถนั้นไม่ดีเอาเสียเลย โดยเฉพาะในตอนที่เธอกำลังอยู่บนถนนเส้นเล็กแคบในแถบชนบทซึ่งเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพราะจีพีเอสของเธอไม่ได้รับการอัปเดต หรือมันไม่มีเส้นทางที่ดีกว่านี้ในการเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางของเธอหรืออย่างไร จีพีเอสถึงได้นำเธอมายังเส้นทางสายชนบทที่แทบจะไม่มีรถคันอื่นวิ่งผ่านมาเลยแบบนี้ แต่ถ้าคิดอีกมุมหนึ่งมันอาจจะเป็นเรื่องดีก็เป็นได้ที่ไม่มีรถคันอื่นวิ่งสวนมา เพราะเธอก็ไม่แน่ใจว่าถนนสายที่เธอกำลังขับอยู่นี้นั้นกว้างพอจะให้รถอีกคันสวนได้หรือเปล่า
“โอ้ ไม่นะ” เฮอร์ไมโอนี่ร้องเมื่อภาพเบื้องหน้าปรากฏเข้าสู่สายตา มันไม่ใช่อะไรอื่นนอกเสียจากฝูงวัวจำนวนไม่ต่ำว่าสิบตัวที่กำลังยืนขวางกั้นเธอกับเส้นทางที่เธอต้องใช้มุ่งตรงสู้กรุงออตตาวา แถมพวกมันยังดูเป็นวัวที่ปราศจากคนดูแลเสียด้วย เพราะตอนนี้พวกมันกำลังยืนขวางถนนพลางเล็มหญ้ากันท่ามกลางสายฝนราวกับไม่ทุกข์ร้อนใด ๆ กับสถานการณ์รอบตัว
หญิงสาวจอดรถหน้าฝูงวัวตรงหน้า เธอเลือกที่จะบีบแตรเบา ๆ แต่วัวฝูงนั้นกลับไม่ยอมขยับ เมื่อเห็นเช่นนั้นเธอจึงเลือกบีบเป็นครั้งที่สอง และครั้งที่สาม แต่วัวเหล่านั้นก็ยังไม่ยอมหลีกทางให้เธอ แถมมันยังเดินมาล้อมรถของเธอไว้เสียด้วย!
ในตอนแรกเฮอร์ไมโอนี่คิดจะใช้คาถายกของเพื่อเคลื่อนย้ายวัวฝูงนั้นให้ไปให้พ้นทางเธอ แต่เพราะวิสัยทัศน์และสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยเธอถึงยกเลิกความคิดนี้ไป เพราะในสภาวะที่เธอไม่สามรถมองเห็นได้ไกลเกินห้าเมตรแบบนี้แล้วนั้น คาถาที่เธอเสกอาจจะทำให้วัวลอยไปชนต้นไม้ ภูเขา หรือตกหน้าผาข้าง ๆ ก็เป็นได้ นี่ยังไม่นับความจริงที่ว่าอาจจะมีมักเกิ้ลที่บังเอิญผ่านมาแถวนี้มาเห็นภาพวัวทั้งฝูงบินได้เข้าก็เป็นได้
และเมื่อพบว่าเธอไม่สามารถใช้เวทมนตร์จัดการปัญหาตรงหน้าได้ เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากการบีบแตรซ้ำ ๆ ใส่เจ้าวัวที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวเหล่านั้น
“ขยับเถอะ ชั้นขอล่ะ” หญิงสาวพูดอย่างสิ้นหวัง พร้อมกับที่มือของเธอก็บีบแตรไปด้วย และในวินาทีนั้นเอง จู่ ๆ เธอก็รู้สึกราวกับสิ่งที่เธอต้องเผชิญตั้งแต่ออกจากอังกฤษมานั้นช่างหนักหนาเสียเหลือเกิน เธอรู้สึกเหนื่อยล้า แถมยังหนาวสั่นจากสภาพอากาศภายนอกแม้ว่าภายในรถจะมีฮีตเตอร์ก็ตาม และถึงแม้ว่าเธอต้องการจะออกจากสถานที่ตรงนี้เพื่อไปให้ถึงจุดหมายปลายทางมากเพียงใด เฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่สามารถทำอะไรไปมากกว่านี้ได้นอกเสียจากการการนั่งบีบแตรซ้ำ ๆ อยู่ในรถยนต์ที่ห้อมล้อมไปด้วยฝูงวัว พร้อมกับที่มีคำถามผุดขึ้นมาในใจของเธอว่า เธอมาลงเอย ณ ที่แห่งนี้ได้อย่างไรกันนะ
และอยู่ ๆ ความรู้สึกนึกคิดของหญิงสาวก็หวนไปนึกถึงเพื่อนรักของเธอซึ่งก็คือเดรโก แม้มันจะเป็นเพราะเหตุผลใดก็ตามซึ่งเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ แต่เธอกลับรู้สึกคิดถึงเขาเหลือเกิน รวมทั้งเธอยังหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะมาอยู่กับเธอที่นี่ ในเวลานี้ ท่ามกลางสถานการณ์ที่เธอต้องเผชิญอยู่เช่นนี้
และจู่ ๆ โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น เฮอร์ไมโอนี่คว้ามันขึ้นมาดูและก็พบว่าชายหนุ่มที่เธอคิดถึงกำลังโทรหาเธออยู่ หญิงสาวรีบรับสายเขาทันที
“เดรโก!” เธอพูด
“โทษที เฮอร์ไมโอนี่ ชั้นติดประชุมก่อนหน้านี้น่ะ เธอถึงแล้วใช่มั๊ย” เสียงของคนที่เธออยากได้ยินที่สุดดังขึ้น และราวกับว่าชายหนุ่มเพิ่งจับความผิดปรกติในน้ำเสียงของเพื่อนรักของเขาได้
“นี่เธออยู่ที่ไหนน่ะ” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูกังวลขึ้นมาในทันที
“ชั้นไม่รู้” หญิงสาวตอบอย่างสิ้นหวัง “คือเครื่องบินชั้นต้องไปลงจอดที่มอนทรีออลแล้วชั้นก็ต้องขับรถต่อมาเอง แล้วตอนนี้ก็มีวัวมาขวางถนนอยู่” ชายหนุ่มขมวดคิ้วกับสิ่งที่เธอพูด
“วัวงั้นเหรอ นี่เธอเป็นอะไรหรือเปล่า เธอโอเคใช่มั๊ย” เขาถามย้ำ หากแต่ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าเสียงที่ตอบเขากลับมาของอีกฝ่ายนั้นฟังดูไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก.
“ชั้นไม่รู้ เดรโก ชั้นไม่รู้ว่าทำยังไงดี.....” เธอพูด และจู่ ๆ ก็หญิงสาวก็รู้สึกถึงความเงียบงันจากปลายสาย
“เดรโก ฮัลโหล เดรโก” เธอพูดซ้ำ แต่มันกลับไม่เป็นผลเมื่อสายถูกตัดไปเสียแล้ว ซึ่งอาจจะเป็นเพราะสภาพอากาศที่เลวร้ายที่เธอกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้
เฮอร์ไมโอนี่วางโทรศัพท์ลงอย่างหมดหวัง แม้ว่าการได้ยินเสียงเพื่อนสนิทของเธออย่างเดรโกอาจจะพอช่วยให้หญิงสาวใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง แต่เธอก็รู้ดีกว่าชายหนุ่มนั้นอยู่ไกลเกินกว่าที่เขาจะมาช่วยเหลืออะไรเธอได้ และคนเดียวที่จะสามารถช่วยเธอออกจากสถานการณ์นี้ได้ก็คือตัวเธอเองเท่านั้น
เมื่อคิดได้เช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะมอบไปรอบ ๆ ซึ่งไม่มีภาพอื่นใดปรากฎเข้าสู่สายตานอกเสียจากฝูงวัวที่เข้ามาล้อมรอบรถของเธอและสายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพลางคิดหาทางออก บางทีเธออาจจะต้องลงไปต้อนวัวฝูงนี้ด้วยตัวเองไม่อย่างนั้นเธอก็อาจจะต้องติดอยู่ตรงนี้ไปอีกนานเป็นแน่
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หญิงสาวก็ตัดสินใจเปลี่ยนไปเข้าเกียร์ P และกดเบรกมือไว้เพื่อความปลอดภัย ก่อนที่เธอจะหยิบไม้กายสิทธิ์มาถือไว้เพื่อเตรียมตัวลงจากรถ
แต่ก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่จะได้ก้าวลงไปเผชิญกับสายฝนเย็นเฉียบที่กระหน่ำลงมาและโคลนที่ชื้นแฉะบนพื้นนั้น ภาพ ๆ หนึ่งก็ปรากฏขึ้นสู่สายตาของเธอ มันคือภาพของร่าง ๆ หนึ่งที่กำลังขี่ม้าและมุ่งตรงมาทางเธอ ถ้าสายตาของเธอไม่ฝาดไปละก็!
หญิงสาวหยุดการกระทำและมองภาพเบื้องหน้าด้วยความฉงนอย่างเป็นที่สุด แต่เธอก็ไม่ลืมจะกดล็อกรถเธอในกรณีที่ร่าง ๆ นั้นเป็นผู้ไม่ประสงค์ดีกับเธอ แม้จะรู้ดีว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่คนร้ายจะมาปล้นชิงทรัพย์หรือก่ออาชญกรรมใด ๆ บนหลังม้าก็ตาม แต่สิ่งที่ทำให้เฮอร์ไมโอนี่ต้องแปลกใจไปมากกว่านั้นเมื่อร่างบนหลังม้านั้นเข้ามาใกล้ก็คือการที่เขาเข้ามาต้อนฝูงวัวตรงหน้าเธอให้เดินไปในทิศทางตรงกันข้ามอย่างรู้งาน ราวกับว่าเขารู้ว่าเธอกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากและต้องการความช่วยเหลือดังที่เขากำลังทำอยู่นี้
ในไม่ช้าเจ้าวัวเจ้าปัญหาฝูงนั้นก็ถอนร่นขึ้นเนินไปอย่างว่าง่ายพร้อมกับเปิดทางให้รถของเธอสามารถผ่านไปได้อย่างสะดวก แม้ว่าจะรู้สึกทึ่งกับภาพตรงหน้าไม่น้อยก็ตาม แต่หญิงสาวก็ไม่ลืมที่จะเลื่อนรถผ่านจุดที่เธออยู่เมื่อครู่ไปอย่างรวดเร็วหลังจากที่ฝูงวัวเคลื่อนตัวออกไปแล้วด้วยเกรงว่าเจ้าวัวฝูงดังกล่าวอาจจะนึกอยากกลับมาขวางทางเธออีกรอบ
แต่ถึงจะรีบร้อนแค่ไหนก็ตาม เมื่อเฮอร์ไมโอนี่กำลังจะขับรถผ่านร่างที่อยู่บนหลังม้าไปนั้น เธอก็ไม่ลืมที่จะลดกระจกลงเพื่อกล่าวขอบคุณเขา
“ขอบคุณนะคะ ไม่ได้คุณฉันคงแย่.....” เธอพูด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของร่างนั้นที่ซ่อนอยู่ภายใต้ฮู้ดท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำลงมา และถึงแม้ว่าวิสัยทัศน์เบื้องหน้าจะไม่ดีเพียงใดก็ตาม แต่หญิงสาวก็จำได้ดีว่าใบหน้านั้นเป็นใบหน้าของใครแม้ว่าเธอและเขาจะไม่ได้พบกันมาเป็นเวลานานมากแล้วก็ตามอันที่จริงเธอควรจะพูดว่าเธอไม่มีทางลืมใบหน้านั้นไปได้มากกว่า เพราะว่ามันเป็นใบหน้าของชายหนุ่มที่เคยเป็นคู่เดทของเธอในงานคริสมาสต์ที่ฮออกวอตส์ของศาสตราจารย์ซลักฮอร์นเมื่อตอนปีหก
คอร์แม็ก แม็คล้ากเก้นนั่นเอง!
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
คุยกันหลังอ่าน
เป็นยังไงบ้างคะสำหรับตอนนี้ ตัวละครลับเปิดเผยตัวแล้ว 1 เพื่อน ๆ คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อคอมเม้นคุยกันได้นะคะ
ความคิดเห็น