คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Welcome to Malfoy Manor
***Chapter 4 Welcome to Malfoy Manor***
หลังจากรอนกลับจากคอนโดของเดรโกในกลางดึกคืนนั้นแล้วชายหนุ่มก็ไม่ได้นอนอีกเลย ไม่ใช่เพียงเพราะว่าเขามัวแต่ครุ่นคิดเรื่องการทุ่มเถียงระหว่างกับรอนที่ไม่ได้เกิดขึ้นมานานแล้ว เดรโกคิดถึงคำพูดที่เพื่อนรักของเขาทิ้งท้ายไว้ก่อนเขาจะกลับ
‘ ฉันจะรอวันที่เฮอร์ไมโอนี่รู้ความจริงทั้งหมด เดรโก ฉันจะรอวันที่เธอเกลียดชังนายอย่างที่เธอไม่เคยเกลียดใครมาก่อน ’
คำพูดนั้นของรอนยังคงก้องอยู่ในหัวของเดรโกแม้ในยามที่เจ้าตัวจากไปแล้วก็ตาม และชายหนุ่มเองก็ยอมรับว่าสิ่งที่เพื่อนรักของเขาพูดออกมานั้นเป็นสิ่งที่เขากลัวมากที่สุดว่ามันจะเกิดขึ้น
‘ ถ้าหากว่าเธอรู้ว่านายหลอกลวงเธอ เธอจะเกลียดนายไปชั่วชีวิต ’ เสียงเล็ก ๆ ที่ดังขึ้นในหัวนั้นเตือนเขาให้นึกถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นหากเขายังคงหลอกลวงเฮอร์ไมโอนี่ต่อไปแบบนี้และเดรโกเองก็ยอมรับว่าผลลัพธ์ที่ว่านั้นมันไม่น่าพิสมัยเลยแม้แต่น้อย
แต่ที่เขาทำไปทั้งหมดนี่ก็เพราะเขารักเธอ! เดรโกเถียง ที่เขายอมเป็นคนหลอกลวง ยอมถูกเพื่อนรักเกลียดชัง ทั้งหมดนี่ก็เพราะเรารักเธอ เขาต้องการทำให้เธอมีความสุขเพราะเขารักเธออย่างที่เขาไม่เคยรักใครมาก่อน!
‘ แล้วนายคิดว่าเธอจะยอมฟังที่นายพูดงั้นเหรอ ถ้าเธอรู้ความจริงขึ้นมาเธอจะยอมยกโทษให้นายเพียงเพราะที่นายทำลงไปเพราะว่านายรักเธออย่างนั้นเหรอ ’ เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง และดูเหมือนว่าคราวนี้ชายหนุ่มจะหมดหนทางโต้เถียงกับมันเสียแล้ว
เดรโกหลับตาลงพลางใช้นิ้วทั้งสองบีบตรงหว่างคิ้วเบา ๆ เพื่อให้ตัวเองผ่อนคลายลงบ้าง
‘ ช่างเถอะ ถ้าวันนั้นมาถึงจริง ๆ ต่อให้เธอจะโกรธหรือจะเกลียดฉันก็ตาม ฉันก็จะใช้ความรักของฉันรั้งเธอให้อยู่กับฉันได้อยู่ดี ’ เขาคิดก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้
เดรโกเดินกลับไปที่ห้องนอน ชายหนุ่มตรงไปยังห้องแต่งตัวซึ่งเต็มไปด้วยตู้เสื้อผ้าบิวด์อินเรียงรายอยู่ตลอดด้านหนึ่งของผนัง เขาคว้าเสื้อคลุมมาเปลี่ยนโดยไม่ใส่ใจว่ามันจะเป็นชุดไหน และหลังจากที่แต่งตัวเสร็จชายหนุ่มก็หายตัวกลับไปยังคฤหาสน์ของเขา
เท้าของเดรโกแตะลงบนพื้นหินแกรนิตในห้องโถงของคฤหาสน์มัลฟอย เขาสำรวจไปรอบ ๆ บ้านที่เขาไม่ได้มาเหยียบเป็นเวลาหลายปี ทุกอย่างดูไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่นิดเดียว ทุกอย่างในคฤหาสน์ยังคงเหมือนกับวันสุดท้ายที่เขาอยู่ที่นี่ก่อนที่เขาจะย้ายออกไปเนื่องจากเดรโกไม่อาจทำใจอยู่ในที่ที่พ่อกับแม่ของเขาสิ้นใจลงได้
แค่ไม่กี่อึดใจต่อมาหลังจากเดรโกมาเหยียบคฤหาสน์ของเขา เสียงป๊อปก็ดังขึ้นรอบกายของชายหนุ่มพร้อมกับการปรากฏตัวของเอลฟ์ประจำบ้านจำนวนมาก เอลฟ์เหล่านั้นดูปิติยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นเขา พวกมันก้มศีรษะลงต่ำในเชิงทำความเคารพและพร้อมใจพูดออกมาว่า “ยินดีต้อนรับกลับบ้านขอรับนายท่าน”
เดรโกโบกมือให้เอลฟ์เหล่านั้นอย่างไม่ใส่ใจกับท่าทีพินอบพิเทาเกินควรของพวกมัน จนกระทั่งมีเอลฟ์ที่ดูสูงอายุกว่าตัวอื่น ๆ ก้าวออกมาหาเขา ชายหนุ่มรู้ดีว่ามันเป็นหัวหน้าเอลฟ์ในบ้านของเขา
“พวกเราไม่ทราบว่านายท่านจะกลับมาที่นี่ดึกขนาดนี้ ไม่งั้นเราคงจะเตรียมอาหารและของว่างไว้ต้อนรับนายท่านแล้ว” เอลฟ์ชรานามว่า ‘ คอลี่ ’ พูดขึ้น [ชื่อเอลฟ์อาจจะซ้ำกะฟิคเรื่องอื่นนะคะ เพราะเราคิดไม่ออกอ่ะ - -“]
“ไม่เป็นไร ความจริงฉันก็ไม่ได้คิดว่าจะกลับคฤหาสน์ในคืนนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” ชายหนุ่มพูดอย่างไม่ใส่ใจ “แต่ที่ฉันเปลี่ยนใจเป็นเพราะฉันอยากมาดูว่าพวกแกทำงานที่ฉันสั่งได้เรียบร้อยหรือยัง” เขาถามคอลี่
“พวกเราจัดการตามที่นายท่านสั่งเรียบร้อยทุกอย่างแล้วขอรับ” คอลี่กล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดคฤหาสน์ใหม่ทั้งหมด ปิดตายห้องใต้ดินของนายท่านคนก่อน รวมทั้งจัดหาข้าวของเครื่องใช้ให้คุณผู้หญิงด้วยขอรับ” เอลฟ์ชราอธิบาย เดรโกมีสีหน้าพอใจ
“งั้นก็ดี ว่าแต่แกจัดห้องของเฮอร์ไมโอนี่ไว้ข้าง ๆ ห้องของฉันรึเปล่า” เขาถามและเริ่มเดินไปทางบันไดขนาดใหญ่ที่มีราวจับสีเงินและปูด้วยพรมสีเขียวเข้ม อันที่จริงแล้วทุกอย่างในคฤหาสน์หลังนี้ล้วนเป็นสีเขียวและเงินทั้งนั้น เพราะมันอีกทางหนึ่งที่แสดงออกว่าตระกูลมัลฟอยภูมิใจกับความเป็นสลิธีรินของพวกเขามากเพียงใด
“แน่นอนขอรับ” คอลี่บอกขณะที่มันและเอลฟ์อีกสองตัวเดินตามเขามาติด ๆ ส่วนเอลฟ์ที่เหลือต่างไปหาน้ำชามารองรับเจ้านายของพวกมัน “กระผมจัดห้องของคุณผู้หญิงไว้ข้าง ๆ ห้องของนายท่านขอรับ และตระเตรียมทุกอย่างสำหรับคุณผู้หญิงไว้เรียบร้อยแล้วขอรับ เหลือแต่รอเธอย้ายเข้ามาเท่านั้น แต่ที่กระผมหนักใจก็คือเรื่อง............” เสียงของคอลี่ขาดหายไป เดรโกมองมันอย่างสงสัย
“เรื่องอะไร” ชายหนุ่มถามเสียงเข้ม ขณะที่คอลี่มีท่าทีราวกับมันไม่ต้องการจะพูดออกมา
“อภัยให้คอลี่ด้วยเถอะขอรับนายท่าน แต่คอลี่ไม่ต้องการอาจจะ....” มันอึกอัก
“ฉันบอกให้พูดมา!” เดรโกพูดด้วยน้ำเสียงที่บอกได้ว่านั่นเป็นคำขาด และนี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขาพูดแบบนี้กับเอลฟ์ประจำบ้าน เพราะตั้งแต่เป็นเพื่อนกับเฮอร์ไมโอนี่ชายหนุ่มก็เปลี่ยนไปปฏิบัติกับเอลฟ์ประจำบ้านอย่างดีมาตลอด
“คอลี่หนักใจเรื่องที่.............ที่นายท่านจะพาคุณผู้หญิงเข้ามาอยู่ที่นี่.......ไม่ใช่สิขอรับ คอลี่หนักใจเรื่องที่นายท่านจะพาเธอมานอนที่ห้องนั้นมากกว่า เพราะนายมันเป็นห้องพิเศษ.......เป็นห้องที่คู่กับห้องนอนของนายท่าน และผู้หญิงที่สมควรจะมานอนที่ห้องนั้นก็ควรจะเป็นนายหญิงคนต่อไปขอคลอนี่” เอลฟ์อธิบาย น้ำเสียงของมันสั่นเทาอย่างน่าสงสาร ราวกลับมันกลัวว่าจะถูกมัลฟอยลงโทษก่อนที่จะพูดจบ
เรื่องที่คอลี่พูดนั้นเกี่ยวกับห้องนอนที่เดรโกสั่งให้เอลฟ์จัดเตรียมไว้สำหรับเฮอร์ไมโอนี่ เพราะตั้งแต่เธอยอมตกลงมาอยู่กับเขาหลังจากออกจากโรงพยาบาล ชายหนุ่มก็สั่งให้คอลี่เปิดห้องนอนที่คู่กับห้องนอนของเขาและจัดห้องนั้นเพื่อรอต้อนรับเฮอร์ไมโอนี่ ซึ่งอันที่จริงแล้วห้องนอนที่ว่านั้นเป็นห้องนอนที่อยู่ติดกับห้องนอนของเดรโกและมีประตูเชื่อมถึงกัน และมันเป็นห้องที่จะเตรียมไว้ให้เจ้าสาวของเขาในอนาคตอยู่
ตามธรรมเนียมของตระกูลมัลฟอยแล้ว สามีภรรยาจะไม่นอนห้อง ๆ เดียวกัน แต่ทั้งสองจะมีห้องนอนที่ติดกันและมีประตูเชื่อมห้องทั้งสองเข้าด้วยกัน ในกรณีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการความเป็นส่วนตัวก็สามารถที่จะปิดประตูนั้นและอยู่ในห้องของตัวเองได้ และตอนนี้เดรก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคอลี่ถึงได้หนักใจเรื่องที่เขาจะพามาเฮอร์ไมโอนี่มานอนที่ห้องนั้นนัก เพราะว่าคอลี่ซึ่งเป็นเอลฟ์ที่อาวุโสที่สุดในบ้านยังคงยึดถือธรรมเนียมเก่าแก่ของตระกูลที่ว่าผู้หญิงที่จะมานอนในห้องนอนที่คู่กับห้องของเดรโกได้นั้นจะต้องเป็นเจ้าสาวของเขาเท่านั้น
ชายหนุ่มมองเอลฟ์ที่กำลังตัวสั่นงันงกด้วยสายตาที่เรียบเฉย ขณะที่คอลี่กำลังคิดว่าเจ้านายจะลงโทษมันด้วยวิธีไหนเดรโกก็พูดขึ้น
“แกไม่ต้องกังวลว่ามันจะผิดธรรมเนียมของตระกูลหรอก เพราะผู้หญิงที่ฉันจะพามานี่คือว่าที่นายหญิงมัลฟอยคนต่อไป” เขาพูดท่ามกลางสายตาที่ตกตะลึงของเอลฟ์ประจำบ้าน แม้ว่าเฮอร์ไมโอนี่จะยังไม่รักเขา และยังไม่ได้ตอบรับคำขอแต่งงานที่ชายหนุ่มเองยังไม่เคยขอเธอก็ตาม แต่เดรโกรู้ดีว่าเขาสามารถทำให้เธอรักเขาได้ไม่ยากหากเธอลืมแฮร์รี่ออกไปจากใจของเธอได้แล้ว และเมื่อถึงวันที่เธอรักเขาจนหมดหัวใจเมื่อไหร่เดรโกก็จะขอเธอแต่งงาน เขาจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะผูกมัดเธอให้อยู่กับเขาตลอดไปโดยการให้เธอเป็นเจ้าสาวของเขา เป็นคุณนายมัลฟอยของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น
‘ เฮอร์ไมโอนี่ จีน มัลฟอย อย่างนั้นรึ เป็นชื่อที่เพราะอยู่ไม่น้อยทีเดียว ’ ชายหนุ่มยิ้มให้กับความคิดนั้นก่อนจะเดินขึ้นไปยังชั้นสองของคฤหาสน์เพื่อไปดูห้องนอนของว่าที่ ‘ เจ้าสาว ’ ของเขา
.................................................
หลังจากจัดการเรื่องที่คฤหาสน์เสร็จเรียบร้อยแล้วเดรโกก็มาที่โรงพยาบาลในตอนเช้าเพื่อมารับเฮอร์ไมโอนี่กลับไปกับเขา ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะเข้าไปที่ห้องของเธอเขาก็พบกับผู้บำบัดส่วนตัวของหญิงสาวเสียก่อน
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณมัลฟอย มาแต่เช้าเชียวนะคะ” มารี ที่เป็นผู้บำบัดของเฮอร์ไมโอนี่ทักขึ้น เดรโกยิ้มให้เธอ
“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณก็รู้นี่ว่าทำไมผมถึงต้องมาแต่เช้า” ชายหนุ่มตอบ
“แน่นอนว่าฉันรู้ค่ะว่าคุณจะมารับเธอกลับบ้าน” มารีพูดด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว
“อาการของเธอเป็นยังไงบ้างครับ แล้วนี่เธอตื่นหรือยัง” เดรโกถาม
“ยังค่ะ เมื่อคืนเราให้ยานอนหลับเธอไปเพราะต้องการให้เธอพักผ่อน อาการของเธอดีขึ้นมากแล้วค่ะแต่คุณต้องเช็คกับคุณยอร์กอีกทีนะคะ คุณก็รู้ว่าฉันเป็นแค่ผู้บำบัดฝึกหัดเท่านั้น” หญิงสาวผมบลอนด์พูด ดูจากภายนอกแล้วเธอน่าจะอายุอ่อนกว่าเดรโกไม่มากนัก
“ตกลงครับ แต่ผมขอไปเยี่ยมเฮอร์ไมโอนี่ก่อนนะครับ” เขาพูดพลางเอื้อมมือไปจับที่ลูกบิดประตู
“เชิญเลยค่ะ แต่อย่าเผลอปลุกเธอเข้านะคะ” มารีพูดด้วยน้ำเสียงที่บอกว่าเธอล้อเล่นมากกว่าจะหมายความตามนั้นจริง ๆ ขณะที่ชายหนุ่มเข้าไปในห้องของเฮอร์ไมโอนี่
หญิงสาวกำลังนอนหลับอยู่บนเตียง ท่ามกลางแสงแดดอ่อน ๆ ที่ส่องมาจากหน้าต่าง มันทำให้ดูงดงามเหลือเกินแม้ในยามที่ใบหน้าของเธอไร้การแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางใด ๆ ก็ตาม
เดรโกเดินไปที่เตียงของเธอช้า ๆ พลางนั่งลงบนโต๊ะข้าง ๆ มัน เข้าเฝ้าดูเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังหลับด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก และเพราะความงดงามของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มอดใจไม่ไหวที่จะก้มลงไปจูบเธอ
เดรโกจูบเฮอร์ไมโอนี่ที่หน้าผากอย่างแผ่วเบาราวกับเขาไม่ต้องการให้เธอตื่นเพียงเพราะสัมผัสของเขา และมันก็เป็นดังเช่นที่เขาต้องการ เพราะแม้ว่าชายหนุ่มจะถอนใบหน้าของเขาออกมาแล้วหญิงสาวก็ยังคงนอนหลับอย่างสงบนิ่งอยู่บนเตียง
เดรโกยิ้มให้กับภาพที่เห็น เขาไม่ต้องการปลุกเธอให้ตื่นมาเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเขากลับอยากนั่งมองเธอนอนกลับแบบนี้ไปนาน ๆ เสียด้วยซ้ำ ชายหนุ่มคิดขณะที่มือใหญ่ของเขาเลื่อนไปลูบศีรษะของหญิงสาวผู้เป็นที่รักอย่างแผ่วเบา เดรโกเฝ้ามองเธออยู่เงียบ ๆ เพื่อรอเธอตื่นขึ้นมา
.................................................
มันผ่านไปนานแค่ไหนแล้วเดรโกไม่ทราบแน่ชัด เพราะกว่าเขาจะรู้สึกอีกทีก็เป็นเวลาที่เฮอร์ไมโอนี่ค่อย ๆ ปรือตาขึ้นมา ขนตาที่เป็นแพงอนงามของเธอกระพริบเบา ๆ สู้แสงแดดที่ส่องมาจากหน้าต่างในยามสาย ก่อนที่ดวงตาสีน้ำตาลของเธอจะหันมาสบกับดวงตาเงินของชายหนุ่ม
“เดรโก” นั่นเป็นสิ่งที่เธอพูดขึ้นเป็นครั้งแรกของวันนี้ แต่หญิงสาวก็ไม่อาจจะพูดอะไรได้มากไปกว่านั้นเมื่อชายหนุ่มจูบเธอที่ริมฝีปากเบา ๆ
“อรุณสวัสดิ์” เขาพูด พลางจูบเธอซ้ำที่แก้มอีกครั้ง และทำให้แก้มของเธอขึ้นสีได้อย่างไม่ยาก
“อรุณสวัสดิ์ เธอมานานแล้วเหรอ” เฮอร์ไมโอนี่ถาม เดรโกยิ้มให้เธอ
“ไม่นานนักหรอก ฉันไม่อยากปลุกเธอน่ะ” เขาโกหก ความจริงจะเรียกว่าโกหกก็ไม่ถูกนัก เพราะเขาเองก็จำไม่ได้ว่าเขานั่งมองเธอหลับมาเป็นเวลานานเท่าไหร่
“แล้วทำไมวันนี้มาเช้าจังล่ะ” หญิงสาวถามขึ้น ใบหน้าของเธอเป็นสีเข้มขึ้นอีกเมื่อรู้ว่าก่อนหน้านี้ชายหนุ่มนั่งมองเธอหลับมาก่อน
“ก็วันนี้เธอจะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้วนี่นา ฉันเลยมารับเธอเช้าหน่อย” เขาพูด แต่สีหน้าของเฮอร์ไมโอนี่กลับสลดลงเมื่อเธอได้ยินคำว่า ‘ ออกจากโรงพยาบาล ’ และแน่นอนว่าเดรโกสังเกตเห็นความไม่สบายใจของเธอได้ไม่ยากนัก
“เป็นอะไรไปเหรอ” ชายหนุ่มถามขึ้นขณะที่หญิงสาวหลบตาเขา
“เปล่า ฉันแค่กังวลเท่านั้น” เธอตอบออกมาด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก และเมื่อเป็นเช่นนั้นเดรโกจึงเลื่อนมือใหญ่ของเขาไปกุมมือของเฮอร์ไมโอนี่ไว้
“เธอกังวลอะไร” เขาถามอย่างอ่อนโยนขณะที่หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตาเขา
“ฉัน....มันไม่มีอะไรมากหรอกเดรโก......ฉันแค่กังวลเรื่องที่ฉันต้องออกจากโรงพยาบาลเท่านั้น ที่เธอจะให้ฉันไปอยู่ที่บ้านของเธอน่ะ ฉันหมายความว่าฉันไปอยู่กับเธอได้จริง ๆ เหรอ แล้วพ่อแม่ของเธอล่ะ” เธอพูดออกมาตามตรง ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ กับคำพูดนั้น
“เธอไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น เฮอร์ไมโอนี่ เธอไปอยู่กับฉันได้อย่างแน่นอน เพราะถึงยังเธอก็เป็นคนรักของฉัน เราเป็นคนรักกัน” เขาย้ำประโยคสุดท้ายอย่างชัดเจน “บ้านของฉันก็เหมือนกับบ้านของเธอ แล้วถ้าเธอกังวลเรื่องพ่อแม่ของฉันล่ะก็เธอก็ไม่ต้องห่วงหรอกนะ เพราะพวกท่านตายจากฉันไปนานแล้ว ฉันเองก็เหมือนเธอที่สูญเสียพ่อแม่ไปในสงคราม” เฮอร์ไมโอนี่ตาโตเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“เดรโก ฉันขอโทษ ฉันหมายถึงฉันจำไม่ได้เลยเรื่องพ่อแม่ของเธอ ฉันเสียใจ” หญิงสาวพูดออกมา แต่ชายหนุ่มกลับยิ้มให้เธอและเอื้อมมือมาลูบศีรษะเธอเบา ๆ อย่างรักใคร่
“ฉันรู้ ฉันไม่โกรธเธอหรอก ว่าแต่เธอพร้อมจะกลับบ้านกับฉันหรือยัง” เขาถาม
“เอ่อ ฉันว่าฉันพร้อมแล้วนะ แต่ฉันต้องขออาบน้ำแต่งตัวก่อน ก็เธอเล่นมาซะเช้าแบบนี้นี่นา” เฮอร์ไมโอนี่พูด และใบหน้าของเธอก็เป็นสีแดงอีกครั้งเมื่อชายหนุ่มก้มลงมาจูบเธอที่หน้าผากเบา ๆ
“งั้นก็ได้ ระหว่างรอเธอแต่งตัวฉันจะไปคุยกับผู้บำบัดซักหน่อย ว่าแต่เธออาบน้ำคนเดียวได้ใช่ไหม เธอต้องการให้ใครช่วยรึเปล่า” เขาถามออกไปก่อนที่จะลืมคิดถึงความหมายอีกแง่หนึ่งของคำถามนั้น
ใบหน้าของเฮอร์ไมโอนี่แดงก่ำเสียยิ่งกว่าตอนที่ชายหนุ่มจูบเธอเป็นไหน ๆ
“ฉันหมายความว่าเธออยากให้มารีมาช่วยเธอแต่งตัวรึเปล่าน่ะ” เดรโกรีบพูดทันทีเมื่อเขาเห็นท่าทีเขินอายของเฮอร์ไมโอนี่ แต่ชายหนุ่มก็ชอบไม่น้อยเวลาที่เธออายแบบนี้ เพราะมันทำให้เขาอยากกอดเธอไว้ในอ้อมแขนโดยไม่ยอมปล่อยให้ไปไหน
“ไม่ต้องหรอก แค่อาบน้ำแต่งตัวฉันทำเองได้” เธอพูดโดยที่ไม่ยอมสบตาเขา และเริ่มลุกจากเตียง เดรโกประคองเธอเดินไปจนถึงห้องน้ำ [ ความจริงนอกจากอาการสูญเสียความทรงจำแล้วเฮอร์ไมโอนีบาดแผลอื่น ๆ บนร่างกายของเธอก็ได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเดรโกก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่าเธอยังไม่แข็งแรงพอที่จะทำอะไรเองยู่ดี ] และชายหนุ่มก็ส่งเสื้อผ้าชุดใหม่ที่เขาซื้อมาเธอ หลังจากหญิงสาวหายลับไปในห้องน้ำแล้วเขาก็เดินออกไปจากห้องพักของเฮอร์ไมโอนี่เพื่อคุยกับผู้บำบัดเรื่องพาเธอออกจากโรงพยาบาล
.................................................
เฮอร์ไมโอนี่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จโดยใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่เดรโกกลับมาจากการพูดคุยกับผู้บำบัด โดยผู้บำบัดได้บอกเขาว่าแม้เฮอร์ไมโอนี่จะอาการดีขึ้นจนสามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว แต่สภาพจิตใจของเธอยังไม่เป็นปรกติเท่าไหร่นัก และเขาก็แนะนำให้เดรโกดูแลเธออย่างใกล้ชิดรวมทั้งหลีกเลี่ยงสิ่งที่กระทบกระเทือนจิตใจของเธอ และชายหนุ่มต้องพาเธอมาตรวจที่นี่ทุกสัปดาห์และเขายังสั่งยาให้เธอไปทานที่บ้านด้วย
หลังจากหารือกับผู้บำบัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว เดรโกก็ให้เฮอร์ไมโอนี่รอเขาที่ห้องพักระหว่างที่เขาไปรับยาของเธอกับจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายก่อนที่ชายหนุ่มจะกลับมาที่ห้องพักเพื่อหาเธอหายตัวกลับไปยังคฤหาสน์ของเขา ซึ่งก่อนออกจากโรงพยาบาลเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่ลืมที่จะบอกลามารี ผู้บำบัดฝึกหัดที่ดูแลเธอตลอดเวลาที่เธออยู่ที่นี่
“ลาก่อนนะคะ ขอบคุณมากสำหรับทุกอย่างค่ะ” หญิงสาวพูดกับผู้บำบัดผมบลอนด์ที่มีหน้าที่ดูแลเธออย่างใกล้ชิดมาตลอดระยะเวลาหลายสัปดาห์
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอให้คุณโชคดีและหายเร็ว ๆ นะคะ” มารีพูดพลางยิ้มให้เฮอร์ไมโอนี่ หญิงสาวมีรอยยิ้มที่อ่อนหวานราวกับแม่พระสมกับชื่อของเธอจริง ๆ
“เราต้องไปแล้วครับมารี ขอบคุณคุณมากที่ช่วยดูแลเฮอร์ไมโอนี่” เดรโกพูดขณะที่เขาโอบเอวหญิงสาวที่เขารักไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง
“ยินดีค่ะคุณมัลฟอย แล้วเจอกันใหม่นะคะ” เธอกล่าว
“ครับ แล้วเจอกันใหม่” ชายหนุ่มว่าก่อนจะกอดเฮอร์ไมโอนี่แน่นก่อนจะหาเธอหายตัวไป
.................................................
เมื่อเฮอร์ไมโอนี่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเธอก็พบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ดูโอ่อ่าราวกับพระราชวัง แต่ต่างมันต่างจากพระราชวังตรงที่คฤหาสน์หลังนี้ถูกตกแต่งด้วยสไตส์โกธิคที่ดูลึกลับหากแต่ก็สวยงามในคราวเดียวกัน หญิงสาวมองสำรวจพื้นหินแกรนิตสีดำที่เธอกำลังยืนอยู่ก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังประตูบานยักษ์ที่ถูกตกแต่งด้วยกระจกสีต่าง ๆ และหันกลับมาหาชายหนุ่มที่เธอเข้าใจว่าเป็นคนรักของเธอ แต่ก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่จะได้พูดอะไรออกไปเสียงป็อปดังขึ้นเสียก่อน
เอลฟ์ประจำบ้านจำนวนห้าตนปรากฏกายขึ้นตรงหน้าพวกเขาทั้งสอง ทุกตัวล้วนแต่ตัวเล็กกระจ้อยร่อยและสวมอะไรบางอย่างที่ไม่อาจเรียกว่าเสื้อผ้าได้ แต่ถึงกระนั้นพวกมันก็ไม่ได้ดูเหมือนเอลฟ์ที่อดอยากหรือถูกใช้งานอย่างทารุณ ตรงกันข้ามพวกมันกลับดูอยู่ดีกินดีเสียด้วยซ้ำ
“ยินดีต้อนรับนายท่ายและนายหญิงขอรับ/เจ้าค่ะ” เอลฟ์พูดอย่างพร้อมเพรียงกันก่อนจะพากันก้มศีรษะลงจนจมูกแทบจรดกับพื้น และในวินาทีนั้นเองเดรโกก็ดึงตัวเฮอร์ไมโอนี่เข้ามาใกล้ ๆ และกระซิบกับเธอเบาๆ
“ยินดีต้อนรับสู่คฤหาสน์มัลฟอย” เขาบอกเธอ ก่อนจะหันไปสั่งงานเอลฟ์ตรงหน้า
“อาหารเช้าเรียบร้อยหรือยัง” ชายหนุ่มถาม และก็เอลฟ์ตัวหนึ่งตอบกลับมาในทันทีว่าเรียบร้อยแล้ว เดรโกพยักหน้าอย่างพอใจก่อนจะเอ่ยประโยคต่อไป
“งั้นพวกแกมาเอาของของนายหญิงไปไว้ในห้องนอน แล้วก็จัดเก็บให้เรียบร้อยด้วยล่ะ” เขาสั่ง และก็มีเอลฟ์สองตัวเดินเตาะแตะมาหยิบกระเป๋าที่มีข้าวของของเฮอร์ไมโอนี่ซึ่งเดรโกนำกลับมาจากโรงพยาบาลมาด้วยขึ้นไปไว้บนห้อง
เมื่อเห็นภาพเอลฟ์ประจำบ้านถูกใช้งาน เฮอร์ไมโอนี่ก็อดไม่ได้ที่จะมองชายหนุ่มอย่างตำหนิซึ่งหญิงสาวเองก็ไม่เข้าใจว่ามันเกิดขึ้นเพราอะไร แต่เธอก็ต้องแปลกใจไม่น้อยที่เขาดูไม่มีท่าทีประหลาดใจกับสายตาของเธอเลย
“ฉันรู้ว่าเธอรักเอลฟ์ประจำบ้านมากแค่ไหน แต่ฉันขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่าฉันไม่ได้ใช้งานพวกมันเยี่ยงทาสอย่างที่เธอคิดหรอกนะ” เขาพูดพลางจูบแก้มเฮอร์ไมโอนี่ที่มีท่าทีประหลาดใจ
“เธอว่าฉันรักเอลฟ์ประจำบ้านอย่างนั้นเหรอ” เธอถามพลางมองเดรโกอย่างค้นหา ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ ให้เธอก่อนจะตอบออกมา
“ใช่ เธอเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนแล้วล่ะ ว่าแต่เราจะเข้าบ้านกันได้หรือยัง” เดรโกพูด และเมื่อเฮอร์ไมโอนี่พยักหน้าเบา ๆ ชายหนุ่มก็ออกแรงอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขน
“ว้าย!” หญิงสาวร้องขึ้นมา “ทำอะไรน่ะ”
“ก็พาเธอเข้าบ้านน่ะสิ” เดรโกพูดพร้อมกับพาเธอเดินเข้าไปในตัวบ้าน ในตอนแรกเฮอร์ไมโอนี่ทำท่าจะประท้วง แต่เมื่อชายหนุ่มก้มลงมาจูบเธอเบา ๆ คำพูดนั้นของเธอก็จางหายไปกับจูบนั้นในทันที เธอจึงทำได้แค่ซุกใบหน้ากับอกของเดรโกขณะที่เขาพาเดินเข้าไปในบ้านเท่านั้น
แม้ว่าภายนอกของคฤหาสน์มัลฟอยจะดูโอ่อ่ามากก็ตาม แต่มันก็เทียบมาได้กับสิ่งที่อยู่ข้างในเลย ตั้งแต่วินาทีแรกที่เดรโกพาเฮอร์ไมโอนี่ก้าวเข้ามาในคฤหาสน์ [หรือจะพูดให้ถูกก็คือเขาอุ้มเธอเข้ามา] หญิงสาวก็สัมผัสได้ถึงความเก่าแก่หากแต่ว่าหรูหรา ภายในเป็นห้องโถงเพดานสูงที่ถูกตกแต่งเป็นอย่างดี พื้นหินแกรนิตสีดำสนิทรับกับวอลเปเปอร์สีเข้มและเครื่องเรือนโบราณที่เธอไม่อาจประเมินค่าได้ ทางขวามือมีบันไดที่มาราวจับสีเงินและปูด้วยพรมสีเขียวเข้มอยู่ ตรงผนังริมบันไดนั้นประดับประดาไปด้วยภาพเขียนเก่าแก่จำนวนนับไม่ถ้วน
เฮอร์ไมโอนี่สองสำรวจรอบ ๆ คฤหาสน์อย่างตื่นตาตื่นใจ แม้เธอจะพอดูออกว่าชายหนุ่มที่อ้างตัวว่าเป็นคนรักของเธอเป็นคนมีฐานะ แต่เธอเคยไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะร่ำรวยขนาดนี้
“เธออาศัยอยู่ที่นี่เหรอ” หญิงสาวพูดออกไปก่อนที่จะทันห้ามตัวเองทัน และเธอก็รู้สึกว่าตัวเองไม่น่าถามคำถามแบบนั้นออกไปเลย เพราะมันคงฟังดูโง่เง่ามากแน่ ๆ ในสายตาของชายหนุ่ม
แต่เดรโกกลับยิ้มบาง ๆ ให้เธอก่อนตอบออกมา
“ฉันโตขึ้นมาที่นี่ แต่ฉันย้ายออกไปหลังจากสงครามจบลง ฉันมีคอนโดอยู่ในลอนดอนอีกที่หนึ่งและมีบ้านพักตากอากาศสองสามแห่ง แต่หลัง ๆ มานี่ฉันจะอยู่ที่คอนโดมากกว่า” เดรโกพูดก่อนที่จะคิดขึ้นได้ว่าคำพูดนี้ของเขาอาจจะนำคำถามต่อไปมาสู่ตัวเขาเอง
และก็เป็นยังที่เดรโกคาด เพราะเฮอร์ไมโอนี่ขมวดคิ้วราวกับไม่เข้าใจในคำตอบนั้นก่อนจะถามเขาขึ้นมาอีกครั้ง
“แล้วทำไมเธอถึงไม่พาฉันไปอยู่ที่คอนโดของเธอแทนล่ะ” ชายหนุ่มเงียบไปพักหนึ่งก่อนตอบออกมา
“มันไม่ค่อยสะดวกน่ะ ถ้าเธอมาอยู่ที่นี่ฉันจะได้ให้เอลฟ์คอยดูแลเธอได้เวลาที่ฉันไม่อยู่บ้าน เพราะคอนโดของฉันตั้งอยู่ในเขตมักเกิ้ล มันคงไม่ดีแน่ถ้าหากจะมีเอลฟ์ประจำบ้านอยู่ที่นั่น อีกอย่างที่คอนโดของฉันก็มีคนมาหาบ่อยที่นี่น่าจะสะดวกให้เธอพักผ่อนมากกว่า” เดรโกเลือกที่จะไม่บอกเหตุผลที่แท้จริงของเขาในการพาเธอมาอยู่ที่นี่ เพราะเหตุผลนั้นก็คือชายหนุ่มไม่ต้องการให้เธอเจอคนรู้จักคนอื่น รวมทั้งเขาไม่ต้องการให้เพื่อนร่วมงานของเธอคนใดมาเยี่ยมเธอทั้งสิ้น เพราะเขากลัวว่าคนพวกนั้นจะเล่าเรื่องของแฮร์รี่ให้เธอฟัง
“แล้วเธอจะอยู่ที่นี่กับฉันตลอดรึเปล่า หรือเธอต้องกลับไปที่คอนโดของเธอด้วย” หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงกังวล เดรโกจึงยิ้มให้เธออย่างเอ็นดู
“แน่นอนว่าฉันจะอยู่กับเธอที่นี่ เฮอร์ไมโอนี่ ฉันจะไม่ทิ้งเธอไปไหนทั้งนั้นนอกเสียจากว่าฉันต้องออกไปทำงานเท่านั้น” เขาบอกเพื่อให้เธอสบายใจ “ว่าแต่เราขึ้นไปดูห้องนอนของเธอกันดีกว่ามั๊ย” เขาเสนอ
“ได้สิ แต่เธอน่าจะปล่อยฉันก่อนนะ เดรโก” หญิงสาวอ้อมแอ้มออกมา ใบหน้าของเธอยังคงเป็นสีแดง
“ไม่ ฉันอุ้มเธอขึ้นไปแบบนี้แหละ เราน่าจะทำตามธรรมเนียมกันหน่อยจริงไหม” ชายหนุ่มล้อ และผลที่ตามมาก็คือใบหน้าของเฮอร์ไมโอนี่เป็นสีจัดยิ่งกว่าเดิมราวกับเธอไข้ขึ้นกะทันหัน
“เราไม่ได้แต่งงานกันซะหน่อยนะ” เธอท้วง
“แล้วอยากแต่งไหมล่ะ” เดรโกหยอกเธอ เขาชอบเหลือเกินเวลาที่เฮอร์ไมโอนี่อาย เพราะมันทำให้เธอดูเหมือนเจ้าหญิงน้อย ๆ ที่ดูใสซื่อบริสุทธิ์มากกว่าอะไรทั้งหมด
“บ้า!” เฮอร์ไมโอนี่พูดพร้อมกับรัวกำปั้นใส่อกของชายหนุ่ม แต่เขากลับไม่รู้สึกเจ็บเลย แต่เมื่อเดรโกเห็นใบหน้าแดงก่ำของหญิงสาวเขาก็รู้ว่าควรเลิกแกล้งเธอได้แล้ว
“ล้อเล่นนิดเดียวเอง ฉันว่าเราไปดูห้องของเธอกันดีกว่า” เขาบอกพลางจูบแก้มเธอเบา ๆ อย่างเอาใจก่อนจะอุ้มเธอขึ้นบันไดไป
...
ห้องที้เดรโกพาเฮอร์ไมโอนี่ไปนั้นเป็นห้องนอนที่ถูกกว้างขวางโอ่อ่าและถูกตกแต่งเป็นอย่างดี มีเตียงสี่เสาขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง ชุดรับแขก เตาผิง ชั้นหนังสือ แต่ที่น่าแปลกก็คือห้อง ๆ นี้ถูกตกแต่งในแบบที่แตกต่างจากส่วนอื่น ๆ ของคฤหาสน์ มันดูอบอุ่นและอ่อนโยนมากกว่า โทนสีที่ใช้ในห้องรวมทั้งเครื่องเรือนก็ดูเป็นสีที่อ่อนกว่าที่ใช้ตกแต่งห้องโถงราวกับมันเป็นห้องนอนที่ออกแบบมาสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ
และแน่นอนว่าเดรโกก็เดาความคิดของหญิงสาวออกได้ไม่ยาก เขาเฉลยสิ่งที่เธอสงสัยออกมาหลังจากชายหนุ่มวางเธอลงบนโซฟาหน้าเตาผิงแล้ว
“นี่เคยเป็นห้องของแม่ฉันน่ะ” เขาพูดพลางยิ้มให้เธอ แต่ชายหนุ่มก็ไม่อาจปกปิดน้ำเสียงโศกเศร้าของเขาไว้ได้ เฮอร์ไมโอนี่มองเขาอย่างสงสารขณะที่เดรโกนั่งลงบนโซฟา
“ทำไมเธอไม่เคยเล่าเรื่องพ่อแม่ของเธอให้ฉันฟังเลยล่ะ เดรโก ฉันหมายถึงฉันอาจจะรู้อยู่ก่อนแล้ว แต่หลังจากที่ฉันสูญเสียความทรงจำเธอก็ไม่เคยพูดถึงครอบครัวของเธอให้ฉันฟังเลย” หญิงสาวถามขึ้นมา
ชายหนุ่มมีสีหน้าครุ่นคิด เขาถอนใจก่อนจะตอบออกมา
“ที่ฉันไม่ได้เล่าเรื่องครอบครัวให้เธอฟังเพราะมันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ไม่ใช่สิ มันไม่ใช่เรื่องที่ฉันควรจะเล่าให้เธอฟัง เพราะฉันกลัวว่ามันจะให้เธอตกใจ” เฮอร์ไมโอนี่มีสีหน้าประหลาดใจกับคำพูดนั้น
“แล้วทำไมฉันจะต้องตกใจด้วยล่ะ ในเมื่อฉันคนเดิม หมายถึงฉันในตอนก่อนสูญเสียความทรงจำก็น่าจะรู้เรื่องครอบครัวของเธอดีนี่นา” เธอถาม เดรโกพยักหน้า
“ใช่ เธอรู้เรื่องของฉันดี และอาจจะดีมากกว่าใครด้วยซ้ำ” ชายหนุ่มพูด ใช่แล้ว เฮอร์ไมโอนี่เป็นคนที่รู้เรื่องครอบครัวของเขาดีมากที่สุดรองจากตัวของเขาเอง แม้ว่ามันอาจจะฟังดูแปลกอยู่บ้างที่เลือดสีโคลนอย่างเธอจะมาล่วงรู้ความเป็นไปของครอบครัวเลือดบริสุทธ์อย่างครอบครัวมัลฟอยดีกว่าใครทั้งหมด แต่นั่นก็เป็นเพราะเดรโกเป็นคนเล่าให้เธอฟัง เขาเป็นคนเล่าเรื่องครอบครัวที่เขาเพิ่งสูญเสียไปให้เธอฟังด้วยตนเองหลังจากที่เขามาเข้าร่วมภาคีเรียบร้อยแล้ว
ชายหนุ่มนึกย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่พ่อกับแม่ของเขาเพิ่งเสียชีวิตลงไม่นานด้วยน้ำมือของจอมมารและนั่นเป็นเพราะสาเหตุนั้นที่ทำให้เขาก็เข้าร่วมกับภาคีโดยไม่ลังเลใจเลย ด้วยจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวก็คือ เพื่อแก้แค้นให้แม่ของเขาที่เพิ่งตายลงไป แต่ถึงแม้มันจะผ่านไปหลายเดือนแล้วนับตั้งแต่วันที่เธอจากเขาไป แต่เดรโกก็ไม่อาจจะลืมเลือนเธอได้เลย ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ชายหนุ่มไม่อาจจะทำใจลืมเธอได้ต่างหาก แม้ว่าการคิดถึงเธอจะเป็นเรื่องที่เจ็บปวดยิ่งนักสำหรับเขา แต่การต้องใช้ทำชีวิตอยู่โดยไม่คิดถึงเธอและพยายามลืมเธอไปจากใจของเขานั้นมันกลับเป็นเรื่องที่เจ็บปวดเสียยิ่งกว่าสำหรับเขา
Flash Back
เดรโก มัลฟอยกำลังนั่งอยู่ในห้องหนังสือที่เหม็บอับของกริมโมลด์เพลซเลยที่สิบสองซึ่งเป็นกองบัญชาการภาคีนกฟินิกซ์มานับตั้งแต่โวลเดอมอร์หวนคืนสู่อำนาจ ชายหนุ่มมาเข้าร่วมกับภาคีมาเป็นเวลาร่วมหนึ่งเดือนแล้ว และมันก็ผ่านมาได้สามเดือนแล้วนับตั้งแต่ที่พ่อกับแม่จากเขาไป แต่เดรโกก็ไม่อาจจะลืมพวกเขาได้เลย ต้องพูดว่าเขาไม่อาจจะลืมเธอได้เลยถึงจะถูก ชายหนุ่มไม่อาจจะลืมแม่ผู้เป็นที่รักของเขาได้เลย
แต่สำหรับพ่อของเขานั้น เดรโกยอมรับว่าตอนที่เกิดเรื่องขึ้นใหม่ ๆ เขาโทษว่าเรื่องทั้งหมดนั้นเป็นความผิดของพ่อ เป็นเพราะพ่อไปรับใช้จอมมารจึงทำให้เขารวมทั้งแม่ต้องตาย และมันทำให้ชายหนุ่มไม่ได้เสียใจกับการตายของพ่อเท่ากับการตายของแม่เลย แต่เขากลับคิดว่าที่แม่ของเขาต้องมาตายนั้นเป็นเพราะพ่อของเขาเป็นต้นเหตุ
แต่หลังจากเขาได้ผ่านช่วงที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตไปได้ ชายหนุ่มก็เริ่มเข้าใจทุกอย่างมากขึ้นเขาก็เลิกโทษว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความผิดของพ่อ ตรงกันข้ามเดรโกกลับรู้สึกเสียใจกับการจากไปของเขาไม่ต่างไปจากแม่เลย เพราะถึงแม้นายลูเซียสจะเป็นคนที่เย็นชาแม้กระทั่งกับลูกและภรรยา แต่เดรโกก็รู้ดีว่าลึก ๆ แล้วพ่อของเขารักเขาและแม่มากทีเดียว อย่างน้อย ๆ เขาก็คงรักเดรโกและแม่พอ ๆ กับที่ผู้ชายคนอื่นจะรักลูกและภรรยาของตัวเองได้
เดรโกจำได้ดีว่าระหว่างที่เขากำลังนั่งเหม่อลอยโดยมีล็อกเก็ตซึ่งเป็นของดูต่างหน้าเพียงชิ้นเดียวของแม่ที่เขานำติดตัวมาด้วยอยู่ในมือนั้นเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น เสียงนั้นเบามากจนเขาแทบจะไม่ได้ยิน แต่สิ่งที่มาปลุกชายหนุ่มขึ้นจากภวังค์ก็คือเสียงของหญิงสาวคนหนึ่ง
“อุ๊ย ฉันขอโทษ” เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์พูดขึ้นเมื่อเธอเห็นมัลฟอยกำลังนั่งเหม่ออยู่ในห้องหนังสือขณะที่ชายหนุ่มก็เพิ่งสังเกตการมาของเธอ เขาเห็นว่าในมือของเธอมีหนังสือจำนวนสองสามเล่มอยู่ด้วย
“เกรนเจอร์” เขาพึมพำออกมาขณะหันมามองเธอ
“โทษที มัลฟอย ฉันไม่รู้ว่าเธออยู่ที่นี่” หญิงสาวอ้อมแอ้มและกำลังจะเดินออกจากห้อง แต่เดรโกกลับรั้งเธอไว้ด้วยคำถามของเขาเสียก่อน
“เธอมาทำอะไรที่นี่” เขาถามขณะที่เฮอร์ไมโอนี่เลิกคิ้วให้เขา
“ฉันก็เข้ามาหาที่เงียบ ๆ อ่านหนังสือน่ะสิ” หญิงสาวพูดด้วยท่าทีราวกับต้องการจะบอกเพิ่มว่า ‘ นี่นายไม่เห็นหรือไงว่าฉันถือหนังสือมาด้วยน่ะ ’ “แต่ฉันไม่รู้ว่านายอยู่ที่นี่ เพราะฉะนั้น.....”
“เธอไม่ต้องออกไปไหนหรอกเกรนเจอร์ ฉันกำลังจะไปอยู่พอดี” เดรโกพูดก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ แต่เขากลับทำสร้อยในมือหล่นเสียก่อน
ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะก้มลงไปเก็บมัน หญิงสาวก็ก้าวเข้ามาและหยิบสร้อยเส้นนั้นขึ้นมาจากพื้น เธอมีท่าทีสงสัยเล็กน้อยเมื่อเห็นรูปในล็อกเกตที่กำลังเปิดอยู่ เพราะมันเป็นรูปของนาร์ซิลซาร์ มัลฟอย และเมื่อเห็นเช่นนั้นเฮอร์ไมโอนี่จึงเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดว่าทำไมเดรโกถึงได้ปลีกตัวมานั่งอยู่คนเดียวในห้องนอนที่เหม็นอับและไม่มีใครอยากจะเข้ามาแบบนี้ มันคงเป็นเพราะเดรโกไม่ต้องการให้มีใครมาเห็นเขาตอนที่กำลังอ่อนแอเพราะคิดถึงครอบครัวที่จากไปแบบนี้
“ขอของของฉันคืนด้วย เกรนเจอร์” ชายหนุ่มพูดขึ้น ขณะที่หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยแววตาเห็นใจก่อนจะส่งของล็อกเกตในมือไปให้เขา ชายหนุ่มบรรจงปิดมันและเก็บใส่กระเป๋าเสื้ออย่างระวัง
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะดูมันเลย มัลฟอย ฉันขอโทษ” เธอพูด
“ช่างมันเถอะ” เดรโกพูดออกมาเรียบ ๆ ราวกับเขาไม่ใส่ใจใด ๆ ต่อการกระทำนั้น แต่ก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องไปเฮอร์ไมโอนี่ก็พูดขึ้นก่อน
“ความจริงเธอพูดกับฉันได้นะ มัลฟอย ฉันหมายถึงถ้าเธอมีเรื่องไม่สบายใจฉันยินดีให้คำปรึกษา” เธอพูดขึ้น
“ขอบใจ เกรนเจอร์ แต่ฉันคิดว่าฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเธอ” เขาตอบเสียงเย็น
“แต่ฉันช่วยเธอได้นะ เพราะตอนนี้ฉันเองก็เป็นแบบเดียวกับเธอ ฉันคิดว่าฉันน่าจะข้าใจความรู้สึกของเธอ” เฮอร์ไมโอนี่พูด
“เธอไม่มีวันเข้าใจฉันหรอก” เดรโกหันกลับมาเผชิญหน้ากับเธอ แม้ว่าดวงตาสีเงินที่มองมาทางหญิงสาวจะดูเย็นชาอยู่มากก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้มีแววเหยียดหยามเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
“แต่ฉันก็รับฟังได้นี่นา ฉันหมายความว่า ฉันรู้นะว่ามันแย่มาก ๆ สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอ รวมถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันด้วย แล้วฉันก็ผ่านเวลาช่วงนั้นมาแล้วถึงแม้มันจะลำบากมากก็ตาม แต่ฉันเชื่อว่าเธอต้องผ่านมันไปได้แน่ เพราะฉะนั้นให้ฉันช่วยเธอเถอะนะ มัลฟอย ฉันต้องการจะช่วยเธอจริง ๆ ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น และจู่ ๆ โดยที่เฮอร์ไมโอนี่ไม่คาดคิดมาก่อน ชายหนุ่มก็ยิ้มออกมา มันนับว่าเป็นรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเขาเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่เดรโกสูญเสียพ่อแม่ของเขาไป และดูเหมือนเฮอร์ไมโอนี่ก็งุนงงกับมันอยู่ไม่น้อย
“เธอนี่มันตื๊อไม่เลิกจริง ๆ นะยายหัวฟู” เขาเหน็บเธอ หญิงสาวจึงนิ่วหน้าใส่เขา
“อย่างน้อยฉันก็ทำให้เธอยิ้มได้ละกันน่า อีกอย่างเลิกเรียกฉันแบบนั้นได้แล้ว เพราะอย่างน้อยผมฉันก็ไม่ได้ฟูเหมือนแต่ก่อนแล้วนะ” เฮอร์ไมโอนี่พูด และก็เป็นอย่างที่เธอว่าจริง ๆ เพราะในตอนนี้เธอได้เปลี่ยนจากเด็กสาวผมสีน้ำตาลฟูฟ่องที่ชอบหิ้วหนังสือไม่ต่ำกว่าสิบเล่มไว้ในอ้อมแขนเมื่อหลายปีก่อนมาเป็นหญิงสาวผู้มีผมหยักศกยาวสลวยที่รับกับดวงตาสีน้ำตาลกลมโตและใบหน้าที่อ่อนหวาน แม้ว่าเดรโกจะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงมาก่อนหน้านี้ก็ตาม แต่ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองใบหน้าที่งดงามของเธออย่างไม่ปิดบังในคราวนี้
เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกประหลาดใจไม่น้อยกับสายตาที่ชายหนุ่มจ้องมองมา แต่เธอก็แกล้งหาเรื่องอื่นพูดเพื่อกลบเกลื่อนเสียก่อน
“แล้วตกลงเธอจะเล่าให้ฉันฟังได้ไหม เรื่องของเธอน่ะ” หญิงสาวพูดขึ้น เดรโกมีท่าทีครุ่นคิดก่อนที่เขาจะตอบออกมา
“อาจจะนะ ถ้าฉันเกิดอยากจะเล่าขึ้นมา”
“แต่ฉันเป็นห่วงเธอนะ มัลฟอย” เฮอร์ไมโอนี่สารภาพ ขณะที่เดรโกเลิกคิ้ว ถึงแม้จะแปลกใจอยู่บ้างแต่ชายหนุ่มก็รู้ดีว่าหญิงสาวตรงหน้าเป็นยายจอมจุ้นมากพอ ๆ กับที่เป็นยายรู้มาก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็อดรู้สึกดีไม่ได้ที่มีใครซักคนมาเป็นห่วงเขาหลังจากที่ทุกคนที่รักเขาตายจากเขาไปจนหมด
“ฉันหมายถึงตอนนี้เราไม่ใช่ศัตรูกันแล้ว เธอเป็นสมาชิกของภาคีเพราะฉะนั้นเธอก็นับได้ว่าเป็นเพื่อนกับฉันเหมือนกัน.........” หญิงสาวกำลังจะพูดต่อ แต่เดรโกกลับห้ามเธอไว้เสียก่อนเพราะชายหนุ่มรู้ดีว่าถ้าเขาปล่อยให้เธอพูดต่อไปมีหวังเขาต้องหูแฉะแน่ ๆ
“ตกลง เกรนเจอร์ ฉันตกลงจะเล่าเรื่องของฉันให้เธอฟังในตอนที่ฉันกลุ้มใจ” ชายหนุ่มพูดออกมา เฮอร์ไมโอนี่ยิ้มกว้าง แต่รอยยิ้มของเธอก็ต้องจางลงเมื่อเดรโกพูดประโยคต่อไป
“แต่ไม่ใช่ตอนนี้นะ ฉันไม่มีอารมณ์อยากคุยกับใครตอนนี้ ฉันเหนื่อยและอยากพักผ่อนแล้วด้วย แต่ฉันสัญญาว่าถ้าฉันกลุ้มใจขึ้นมาเมื่อไหร่ ฉันจะบอกเธอเป็นคนแรก ตกลงไหม” เธอยิ้มออกมาอีกครั้งเมื่อเขาพูด
“ตกลง มัลฟอย” หญิงสาวพูดพลางส่งยิ้มที่แสนจะอ่อนโยนให้เขา และนั่นเป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มรู้สึกว่าเขาหวั่นไหวไปกับรอยยิ้มของเลือดสีโคลนที่เคยเป็นศัตรูตัวฉกาจของเขาอย่างเฮอร์ไมโอนี่
End of Flash Back
“เดรโก” เสียงหวานที่เรียกชื่อเขาทำให้ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาจากภวังค์ และสิ่งที่เขาเห็นเป็นเวลาต่อมาก็คือดวงตาสีน้ำตาลกลมโตที่จ้องมองมาทางเขา
“เอ่อ โทษที เมื่อกี๊เธอพูดว่าไงนะ” เขาถามขึ้นขณะที่เฮอร์ไมโอนี่ขมวดคิ้ว
“ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลย จู่ ๆ เธอก็เงียบไป แต่ก่อนหน้านั้นฉันถามเธอว่าทำไมเธอถึงไม่เคยเล่าเรื่องครอบครัวของเธอให้ฉันฟังเลย แล้วเธอก็บอกว่าเธอกลัวว่าฉันจะกลัวถ้าหากเธอเล่าเรื่องครอบครัวให้ฉันฟัง” หญิงสาวพูด และชายหนุ่มก็มีท่าทีราวกับเขาเพิ่งจำบทสนทนาที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ได้
เดรโกเลื่อนแขนทั้งสองข้างไปโอบกอดเฮอร์ไมโอนี่เอาไว้และยกร่างของเธอขึ้นมานั่งบนตักของเขา
“เดรโก” หญิงสาวประท้วงขึ้นมา แต่เสียงนั้นก็เงียบหายไปเมื่อชายหนุ่มเข้าไปจูบเธอเบา ๆ ที่ริมฝีปากก่อนจะมองเธอด้วยแววตาสีเงินที่เต็มไปด้วยความลังเลใจ และหญิงสาวก็สังเกตได้ถึงความอึดอัดใจของเขา
“ถ้าเธอไม่อยากพูดถึงเรื่องครอบครัวให้ฉันฟังก็ไม่เป็นไรนะ ฉันไม่ว่าเธอหรอก” เฮอร์ไมโอนี่รีบพูดขึ้นมา แต่เดรโกกลับส่ายหน้า
“ฉันอยากเล่าทุกเรื่องเกี่ยวกับฉันให้เธอฟัง เฮอร์ไมโอนี่ แต่อย่างที่ฉันได้พูดไปแล้วว่าฉันกลัวว่าเธอจะกลัวเสียก่อนถ้าหากฉันเล่าเรื่องอดีตทั้งหมดของฉันให้เธอฟัง” เขาพูดอย่างสับสน แต่จู่ ๆ หญิงสาวก็ยื่นมือมาสัมผัสใบหน้าของเขาเบา ๆ เธอลูบแก้มของเขาอย่างแผ่วเบาด้วยมือที่อ่อนนุ่มของเธอก่อนจะส่งรอยยิ้มที่แสนจะอ่อนโยนมาให้เขา
“ก็เธอบอกว่าเราเป็นคนรักกันไม่ใช่เหรอ แล้วฉันจะไปกลัวเรื่องของเธอได้ยังไงกันล่ะ อีกอย่างฉันก็บอกไปแล้วนี่นาว่าถ้าฉันคนเก่าก่อนที่จะสูญเสียความทรงจำรับได้กับอดีตของเธอ แล้วทำไมฉันในตอนนี้จะรับไม่ได้ล่ะ จริงไหม” หญิงสาวพูดเบา ๆ ขณะที่ชายหนุ่มมองเธออย่างหลงใหล
เธอยังเป็นเฮอร์ไมโอนี่คนเดิมของเขาจริง ๆ ถึงแม้ว่าเธอจะสูญเสียความทรงจำไปแล้วก็ตาม แต่ความอ่อนโยนและความห่วงใยที่เธอมีให้ต่อเขาก็ไม่ได้แตกต่างไปจากแต่ก่อนเลยแม้แต่น้อย แถมมันดูจะเพิ่มพูนมากขึ้นด้วยซ้ำ เพราะในอดีตความห่วงใยที่เฮอร์ไมโอนี่มีต่อเดรโกนั้นถูกจำกัดอยู่แค่ในฐานะเพื่อนเท่านั้น แต่ในตอนนี้หญิงสาวคิดว่าเธอเป็นคนรักของเขาตามที่เขาได้บอกเธอ เพราะฉะนั้นความรู้สึกที่เธอมีให้เขา ความห่วงใยที่เธอมอบให้เขามันจึงลึกซึ้งและมากมายกว่าที่เขาเคยได้รับยิ่งนัก
และแน่นอนว่าชายหนุ่มไม่มีวันยอมสูญเสียความรู้สึกที่แสนดีอย่างนี้ไปเป็นอันขาด เขาจะไม่มีวันยอมสูญเสียเฮอร์ไมโอนี่ที่แสนอ่อนโยนซึ่งในตอนนี้เป็นของเขาแค่เพียงคนเดียวไปอย่างแน่นอน แม้ว่าเขาจะต้องถูกตราหน้าว่าเป็นคนโกหกหลอกลวง หรือแม้แต่คนทรยศก็ตาม
เดรโกจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลของหญิงสาว และเธอก็จ้องตอบกลับมาอย่างอ่อนโยนพร้อมกับยิ้มให้เขา
“ใช่ ฉันคิดผิดไป ฉันกลัวไปเองทั้งนั้น” เขาสารภาพออกมาพลางลูบผมเธอเบา ๆ “ฉันกลัวว่าถ้าฉันเล่าเรื่องครอบครัวของฉัน ทั้งหมด ให้เธอฟังเธอจะกลัวแล้วก็วิ่งหนีฉันไปเลย” เขาพูดตามตรง เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกขบขันกับความคิดนั้น แต่ก็เธอได้แต่ยิ้มหวานให้เขา มือทั้งสองข้างของหญิงสาวลูบใบหน้าซีดขาวของเขาเบา ๆ
“ฉันไม่มีวันหนีเธอไปไหนเธอก็รู้ เธอเป็น.......” เธอมองเขาด้วยแววตาที่ล้ำลึก “เธอเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันเหลืออยู่ในโลกนี้ เธอเป็นเพียงคนเดียวที่ดีกับฉันและเป็นคนเดียวที่ช่วยเหลือฉันตั้งแต่ฉันสูญเสียความทรงจำ” เธอพูดออกมา และเพราะเหตุผลบางประการเดรโกรู้สึกเจ็บปวดเพราะคำพูดนั้น เขาเจ็บปวดที่เธอเชื่อคำโกหกของเขาอย่างหมดใจ เขาปวดร้าวที่ต้องหลอกลวงเธอ เธอที่ไร้เดียงสา บริสุทธิ์และอ่อนโยนมากกว่าใคร ทั้ง ๆ ที่เธอเชื่อใจเขามากกว่าใครทั้งหมด แต่เขากลับหลอกลวงเธอเพียงเพราะเขาต้องการได้เธอมาเป็นของเขา พระเจ้า ช่วยบอกเขาได้ไหมว่าในโลกนี้จะมีใครที่เห็นแก่ตัวไปกว่าเขาอีก! เขาซึ่งหลอกลวงได้แม้กระทั่งผู้หญิงที่เขารัก!
แต่ที่เขาทำลงไปทั้งหมดก็เพราะเขารักเธอ! ถึงแม้มันจะเป็นการทำสิ่งที่ผิดก็ตาม แต่ที่เขาทำลงไปทั้งหมดก็เพื่อให้เธอมีความสุข! ถ้าหากเธอไม่รู้ความจริงที่เขาปิดบังเธอไว้เธอจะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างปลอดภัยและมีความสุข และเขาจะเป็นคนปกป้องเธอเอง เขาจะเป็นคนทำให้เธอมีความสุขเองโดยไม่จำเป็นที่จะต้องให้เธอรับรู้เรื่องอดีตเลยแม้แต่น้อย!
‘ นายแน่ใจเหรอว่านายจะปิดบังเธอได้ตลอดไปน่ะ ถ้าซักวันความทรงจำของเธอกลับคืนมาล่ะ ’ เสียงเล็ก ๆ ที่ชั่วร้ายดังขึ้นในหัวของเดรโก แต่ในครั้งนี้เขาเลือกที่จะไม่สนใจมัน
ชายหนุ่มคิดพลางสะบัดศีรษะน้อย ๆ เพื่อไล่ความคิดนั้นออกไป ก่อนจะหันมาสบดวงตาสีน้ำตาลที่มีแววสงสัยของเฮอร์ไมโอนี่ แต่เธอก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา
เดรโกฝืนยิ้มให้เธอ
“ฉันดีใจที่ได้ยินอย่างนั้น เฮอร์ไมโอนี่ แต่ถึงเธอจะพูดแบบนั้นฉันก็จะขอยืนยันว่าฉันจะไม่มีวันยอมปล่อยให้เธอจากฉันไปไหนเป็นอันขาด เพราะถึงเธอจะวิ่งหนีฉันไปฉันก็จะไม่ลังเลที่จะไล่ตามเธอ เพราะฉันรู้ว่าชีวิตของฉันไม่อาจจะมีความสุขโดยปราศจากเธอได้” เขาสารภาพความในใจของมา เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกแปลกใจกับคำพูดนั้น
“เธอรักฉันขนาดนั้นเชียวเหรอเดรโก” เธอถามเบา ๆ และมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ อันที่จริงไม่มีเหตุผลอะไรที่เฮอร์ไมโอนี่จะเคลือบแคลงในความรู้สึกของเดรโกที่มีต่อเธอ เพราะเขาก็แสดงมันออกมาอย่างชัดเจนแล้วว่าเขาจริงจังกับเธอแค่ไหน เพียงแต่ที่หญิงสาวไม่แน่ใจก็คือความโชคดีของเธอนั่นเอง เพราะในสายตาของเฮอร์ไมโอนี่ เธอคิดว่ามันจะเป็นไปได้เหรอที่หญิงสาวหน้าตาธรรมดา ๆ ไม่มีอะไรสะดุดตาอย่างเธอจะมีคนรักที่ทั้งหล่อเหลา สมบูรณ์ แสนดีและรักเธอมากขนาดนี้ เธอไม่อยากจะเชื่อในเรื่องนี้เลย
หากแต่หญิงสาวไม่รู้หรอกว่า ในสายตาของเดรโก รวมทั้งผู้ชายที่ได้ใกล้ชิดเธอแทบจะทุกคนนั้นล้วนลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า เธอไม่ได้เป็นแค่หญิงสาวหน้าตาธรรมดาที่ไม่มีอะไรสะดุดตาเลยแม้แต่น้อย
“เธอก็น่าจะรู้นี่ว่าฉันรักเธอแค่ไหน” เขากระซิบพลางจูบเธอที่ใบหู ก่อนจะถอนใบหน้าออกมาเพื่อจ้องมองเธออีกครั้ง
“ปัญหามันอยู่ที่ว่า เธอรักฉันบ้างไหมเฮอร์ไมโอนี่ ฉันรู้ว่ามันอาจจะเร็วไปที่จะถามแบบนี้” เดรโกรีบพูดเมื่อเห็นสีหน้าอึดอัดใจของหญิงสาว “ฉันรู้ดีว่าความทรงจำของเธอยังไม่กลับมา แต่ฉันไม่ได้อยากรู้ความรู้สึกของเธอที่มีต่ออดีตของเรา”
‘ เพราะเราไม่เคยมีอดีตต่อกันและกัน ‘ ความคิดนั้นผุดขึ้นในหัวสมองของชายหนุ่ม แต่เขากลับเลือกที่จะไม่พูดมันออกมา ไม่ใช่สิ เขาพูดมันออกมาไม่ได้ ตราบที่เขาไม่อยากจะเสี่ยงต่อการสูญเสียเธอไป
“ฉันแค่อยากรู้ว่าในตอนนี้ วินาทีนี้ เธอรักฉันบ้างไหม” เขาถามออกไปพร้อมกับจ้องมองเข้าไปในแววตาของหญิงสาว และสิ่งเดียวที่ได้รับจากการอ่านสายตาของเธอก็คือ ความสับสน ใจหนึ่งของเดรโกคิดว่าหญิงสาวคงจะไม่ให้คำตอบเขาออกมาในทันทีเป็นแน่ หรือถ้าเธอตอบออกมามันก็คงเป็นคำตอบที่ทำให้เขาผิดหวัง แต่ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าโชคของเขาในวันนี้นั้นมันดีเกินกว่าที่เขาคาดหวังเอาไว้มากนัก
เฮอร์ไมโอนี่มีท่าทีลังเลอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะตอบออกมา
“ฉันไม่แน่ใจนะเดรโกว่า ว่ามันใช่อย่างที่เธออยากจะได้ยินรึเปล่า แต่เท่าที่ฉันรู้ก็คือ ฉันรู้สึกดีเวลาที่มีเธออยู่ใกล้ ๆ ความจริงมันมากกว่าแค่รู้สึกดีซะอีก ฉันหมายถึงหัวใจของฉันเต้นแรงตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน” หญิงสาวพูดด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ เธอพยายามจะหลบตาเขา แต่เดรโกกลับใช้มือเชยคางของเธอให้กลับมาสบตาเขาดังเดิม ขณะที่ชายหนุ่มมองเธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังขณะที่เขารอฟังประโยคต่อไปด้วยใจที่เต้นระทึก
“ถ้าการที่เราคิดถึงใครทุกลมหายใจหรือ รู้สึกอยากให้เขามาอยู่ใกล้ ๆ เราตลอดเวลามันเรียกว่าความรักล่ะก็ ฉันคิดว่าฉันคงจะรู้สึกไม่ต่างจากเธอในตอนนี้หรอกเดรโก........ฉันคิดว่าฉันอาจจะรักเธอ” เธอพูดออกมา แม้ว่าคำพูดนั้นจะฟังดูลังเลและไม่แน่ใจอยู่มากก็ตาม แต่น้ำเสียงและแววตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์ของเฮอร์ไมโอนี่ก็บอกให้ชายหนุ่มรู้ว่าเธอพูดทุกอย่างมาจากใจจริง ๆ รวมทั้งคำว่า เธออาจจะรักเขาด้วย
เดรโกนิ่งอึ้งเพราะคำพูดนั้น เขามองเธอด้วยแววตาที่สับสนระคนประหลาดใจจนเฮอร์ไมโอนี่นึกว่าเธอคงพูดอะไรผิดไป
“ฉันพูดอะไรผิดไปรึเปล่า เดรโก ฉันขอโทษ.....ฉัน.........” แต่จู่ ๆ เสียงของหญิงสาวก็ขาดหายไปเมื่อเดรโกเลื่อนริมฝีปากร้อน ๆ เข้ามาจูบปิดปากของเธอ เฮอร์ไมโอนี่ตกใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะจูบตอบโดยไม่ลังเล แต่แล้วดวงตาสีน้ำตาลของหญิงสาวก็ต้องเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อชายหนุ่มเลื่อนริมฝีปากของเขาลงไปที่ลำคอของเธอ พร้อมกับมือแข็งแกร่งของเขาที่รั้งร่างของเธอลงบนโซฟา!
*************************************************
ความคิดเห็น