คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : The Heir of Revanclaw: ทายาทของเรเวนคลอ
***Chapter 3 The Heir of Revanclaw: ทายาทของเรเวนคลอ***
“นายท่าน” ลูเซียส มัลฟอยกระซิบ ใบหน้าของเขาซีดเผือดเมื่อว่าเห็นว่าร่างที่มาใหม่นั้นเป็นใคร
“ข้าบอกเจ้าแล้วนี่ว่าห้ามเสียมารยาทกับแขกของข้า” ลอร์ดโวลเดอมอร์เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาและเฮอร์ไมโอนี่พลางมองสมุนของเขาด้วยอย่างตำหนิ นายลูเซียสรีบปล่อยมือจากเด็กสาวทันที
“ข้าผิดไปแล้วเจ้านาย” เขากล่าวกลางก้มศีรษะลงต่ำ จอมมารโบกมือให้เขาหลบไปข้าง ๆ และเมื่อจอมมารทำเช่นนั้นลูเซียสจึงหลีกทางให้เจ้านายของเขามายืนอยู่หน้าเฮอร์ไมโอนี่
“ยินดีต้อนรับคุณเกรนเจอร์ สู่ที่พักของฉัน” จอมมารเอ่ยขึ้นพลางผายมือไปรอบ ๆ ซึ่งในความคิดของเด็กสาวมันดูห่างไกลคำว่า ‘ ที่พัก ’ มากนัก “หวังว่าสมุนของฉันคงไม่ทำอะไรให้เธอต้องขุ่นเคืองใจหรอกนะ” เขาพูดเสียงนุ่ม เฮอร์ไมโอนี่ไม่ตอบ
รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นบนมุมปากบางเฉียบของลอร์ดโวลเดอมอร์ เขาเริ่มพูดต่อ
“เธอคงสงสัยใช่ไหมว่าฉันจับตัวเธอมาที่นี่ทำไม” เขากล่าวพลางปรายตามองเด็กสาวที่อยู่ในฐานะเชลย
“ใช่แล้วเธอสงสัย แต่ฉันขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่าฉันไม่ได้ตั้งใจจับเธอมาเพื่อให้มาเป็นเชลย” จอมมารพูดราวกับรู้ทันความคิดของเฮอร์ไมโอนี่
“แต่เธอมาที่นี่ในฐานะแขกของฉัน”เขากล่าว
“แล้วท่านต้อนรับแขกของท่านด้วยการล่ามโซ่แบบนี้น่ะหรือ” เด็กสาวสวนขึ้นมาอย่างไม่เกรงกลัว นายลูเซียสตาโต เขาทำท่าจะตรงมาที่เธอพร้อมกับไม้กายสิทธิ์ในมือ แต่โวลเดอมอร์กลับโบกมือห้ามไว้เสียก่อน
“นายท่าน!”
“ข้าบอกแล้วไงว่าอย่าเสียมารยาทกับแขก ลูเซียส” จอมมารพูด นายลูเซียสลดไม้ของเขาลงอย่างเสียไม่ได้
“เธอคงสงสัยไม่น้อยใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องจับตัวเธอมาที่นี่ด้วย ทั้ง ๆ ที่ฉันก็ได้สิ่งที่ฉันต้องการแล้ว” โวลเดอมอร์พูดพลางยื่นมือออกมา “ลูเซียส ส่งมันมาให้ข้า”
“ครับ นายท่าน” ลูเซียสส่งลูกแก้วพยากรณ์ที่เก็บไว้ในเสื้อคลุมไปให้จอมมาร เฮอร์ไมโอนี่สังเกตุเห็นว่าตอนนี้มันไม่ได้มีคาถาป้องกันอยู่แต่อย่างใด
โวลเดอมอร์รับลูกแก้วมาถือไว้ในมือ พลางมองไปที่เฮอร์ไมโอนี่
“เธอไม่สงสัยบ้างหรือเกรนเจอร์ ว่าทำไมชื่อของเธอถึงไปอยู่บนลูกแก้วอันนี้ได้” เขากล่าว “ทำไมถึงมีคำว่าเจ้าหญิงแห่งความมืดปรากฏอยู่ด้วย แล้วทำไมชื่อของเธอถึงได้ไปเกี่ยวข้องกับสงครามครั้งสุดท้าย ทั้ง ๆ ที่เธอเป็นแค่เด็กเลือดสีโคลนคนหนึ่งเท่านั้น.......ทำไมกัน” โวลเดอมอร์พึมพำราวกับเขากำลังถามคำถามนี้กับตัวเองมากกว่าถามเฮอร์ไมโอนี่
จอมมารออกเดินไปรอบห้อง ในมือถือลูกแก้วพยากรณ์ไว้ เขาเริ่มต้นเล่าเรื่อง
“นานมาแล้วคุณเกรนเจอร์ นานเกือบยี่สิบปีก่อน มีคำทำนายอันหนึ่งพูดถึงการกำเนิดของเจ้าหญิงแห่งความมืด” จอมมารกล่าว
“นักพยากรณ์คนหนึ่งเคยทำนายเรื่องนี้เอาไว้ เธอเป็นคนที่มีความสามารถมากทีเดียว เสียอยู่อย่างเธอกลับไม่ยอมรับใช้ฉัน ไม่ยอมบอกข้อมูลสำคัญที่เธอรู้แก่ฉัน ฉันเลยต้องทรมานเธอ ฉันเสกคาถากรีดแทงใส่เธอจนเธอยอมบอกข้อมูลแก่ฉัน คำทำนายที่เธอเห็นเกี่ยวกับเจ้าหญิงแห่งความมืด” เขาพูดด้วยท่าทีสบาย ๆ ราวกับเขากำลังเล่านิทานก่อนนอนให้เด็กสาวฟัง
“คำทำนายนั้นกล่าวไว้ว่า หลังจากนี้ไม่นานนักจะมีเจ้าหญิงแห่งความมืดถือกำเนิดขึ้น เธอเป็นผู้หญิงที่พิเศษที่สุดในโลกแห่งเวทย์มนต์” เขาพูด
“เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะเธอมีชะตากรรมที่จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับอำนาจมืดและสงครามน่ะสิ คำทำนายบอกไว้ว่า เมื่อเจ้าหญิงคนนี้เจริญวัยขึ้น จะเกิดสงครามครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นในโลกเวทย์มนต์ และเธอจะเป็นกุญแจหลักของการทำสงครามครั้งนี้ เธอเปรียบเสมือนอาวุธที่ทรงพลัง ฝ่ายใดที่ได้ตัวเธอไปอำนาจของเธอจะช่วยสนับสนุนฝ่ายนั้นให้มีชัยในสงคราม แต่ที่แปลกกว่านั้นก็คือ...” จอมมารชะงักคำพูด สีหน้าของเขาดูลังเลระคนสงสัยซึ่งเป็นสีหน้าที่เด็กสาวคาดว่าจะไม่มีวันได้เห็นจากเขา
“นักพยากรณ์คนนั้นได้ทำนายไว้ว่าเจ้าหญิงแห่งความมืดจะมีอำนาจที่แม้แต่เจ้าแห่งศาสตร์มืดอย่างฉันไม่แม้แต่จะฝันถึง” น้ำเสียงของโวลเดอมอร์เกรี้ยวกราดขึ้นทันทีเมื่อเขาเอ่ยประโยคสุดท้าย
“ตอนที่ได้ยินคำทำนายนี้ฉันยอมรับนะว่าฉันไม่พอใจซักเท่าไหร่นัก แล้วก็เป็นเคราะห์ของนักพยากรณ์คนนั้นที่ฉันไม่ปลาบปลื้มกับคำทำนายของเธอแม้แต่น้อย” โวลเดอมอร์ยิ้มออกมา มันเป็นรอยยิ้มที่โหดเหี้ยมพอจะทำให้เฮอร์ไมโอนี่เดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนักพยากรณ์คนนั้น เมื่อเธอทำให้จอมมารไม่พอใจ
“ทำไมน่ะรึ เพราะฉันไม่เชื่อ ไม่ใช่สิ ฉันไม่มีทางเชื่อว่าผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งจะมามีอำนาจที่ฉันไม่มีวันมี คิดดูสิว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไรที่หล่อนจะมีอำนาจที่แม้แต่ฉัน ลอร์ดโวลเดอมอร์ พ่อมดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่เคยฝันถึง” สีหน้าของจอมมารดูโกรธเกรี้ยวอย่างชัดเจน ดวงตาแดงก่ำหรี่ลงจนทำให้หน้าของเขาเหมือนงูมากขึ้น
“แม้ว่าฉันจะไม่เชื่อคำทำนายนั่นก็ตาม แต่ฉันก็จำเป็นจะต้องรู้ว่าเจ้าหญิงที่ว่านั้นเป็นใคร ฉันจึงสอบปากคำนักพยากรณ์คนนั้นต่อ ฉันทรมานหล่อนเพิ่ม แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้หล่อนจะไม่ยอมบอกฉันง่าย ๆ เหมือนอย่างที่แล้วมา ฉันทรมานหล่อนจนหล่อนแทบเสียสติ แต่หล่อนยังคงปิดปากเงียบ เพราะหล่อนคงรู้ดีว่าถ้าหากหล่อนบอกเรื่องชาติกำเนิดของเจ้าหญิงแก่ฉัน มันจะเป็นการทำลายชีวิตน้อย ๆ ของเจ้าหญิงเสียตั้งแต่เธอยังไม่ได้ลืมตามาดูโลก ฉันทรมานหล่อนอยู่นานแต่หล่อนก็ไม่ยอมปริปากพูดถึงครอบครัวที่จะให้กำเนิดเจ้าหญิง จนกระทั่งหล่อนใกล้ถึงวาระสุดท้ายเต็มที ฉันจึงเจาะเข้าไปในใจของหล่อน” จอมมารเล่าด้วยท่าทีสบาย ๆ
“การเจาะเข้าไปในจิตใจของคนที่ใกล้จะตายเพื่อหาข้อมูลเล็ก ๆ นั้นคงจะเป็นเรื่องยากยิ่งสำหรับคนอื่น เธอคงรู้ใช่ไหมคุณเกรนเจอร์ ว่าจิตใจของคนที่ใกล้ตายมักจะสับสนฟุ้งซ่าน เพราะมันเต็มไปด้วยความทรงจำที่หลั่งไหลเข้ามาก่อนที่เขาจะตาย......แต่ที่ฉันพูดนี่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันเคยตายหรอกนะ” จอมมารพูดด้วยน้ำเสียงเดียดฉันท์
“แล้วมันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเสาะหาเศษเสี้ยวของข้อมูลเพียงน้อยนิดในจิตใจที่เต็มไปด้วยความสับสนของหล่อน แต่มันก็ไม่ใช่กับฉันซึ่งเป็นนักพินิจใจยอดเยี่ยมที่สุด ฉันเจาะเข้าไปในใจของหล่อนและนำข้อมูลจำนวนหนึ่งออกมาได้สำเร็จ แม้ว่าข้อมูลส่วนใหญ่ที่ฉันต้องการนั้นจะกระจัดกระจายเกินกว่าที่ฉันจะรวบรวมมาได้หมดก็ตาม และฉันก็เสียดายไม่น้อยที่ฉันไม่ได้ข้อมูลเกี่ยวกับอนาคตของเจ้าหญิง แต่ฉันก็ได้ข้อมูลส่วนที่สำคัญที่สุดออกมา ข้อมูลที่บอกฉันถึงชาติกำเนิดของเจ้าหญิงคนนั้น”
“ข้อมูลอันมีค่านั้นบอกฉันว่า เจ้าหญิงแห่งความมืดจะถือกำเนิดขึ้นเมื่อต้นฤดูใบไม้ร่วงในอีกหนึ่งปีให้หลัง และเธอจะกำเนิดจากทายาทคนสุดท้ายของแม่มดผู้ยิ่งใหญ่ โรวีน่า เรเวนคลอ” จอมมารกล่าว
.................................................
เฮอร์ไมโอนี่กระพริบตา นี่เธอได้ยินอะไรผิดไปหรือเปล่า เจ้าหญิงแห่งความมืดจะถือกำเนิดจากทายาทคนสุดท้ายของเรเวนคลออย่างนั้นรึ แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อเธอเคยอ่านเจอในหนังสือว่าทายาทของเรเวนคลอนั้นสูญสิ้นไปหมดแล้ว
“เธอคงคิดสินะว่าทายาทของเรเวนคลอไม่หลงเหลืออยู่ในโลกนี้แล้ว” โวลเดอมอร์ กล่าวอย่างรู้ทัน “ฉันเองก็เคยคิดอย่างนั้นเมื่อนานมาแล้ว และมันก็เจ็บปวดทีเดียวที่ต้องยอมรับว่าฉันคิดผิด”
“หลังจากหลักฐานหลายอย่างที่ฉันรวบรวมมาได้ฉันก็พบว่าเชื้อสายของเรเวนคลอยังมีชีวิตอยู่ แม้ว่าจะไม่มีใครใช้ชื่อสกุลนี้แล้วก็ตาม ตระกูลที่สืบเชื้อสายของเรเวนคลออพยพออกไปจากอังกฤษเมื่อหลายศตวรรษที่แล้ว และไปตั้งรกรากอยู่ที่อื่นแทน แต่ฉันก็สั่งให้สมุนของฉันตามสืบจนเจอทายาทกลุ่มสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ของเรเวนคลอ พวกเขาอพยพไปที่ฝรั่งเศส ฉันสั่งให้ผู้เสพความตายของฉันจับตาดูครอบครัวนี้ไว้ และรายงานพฤติกรรมของพวกเขาตลอดเวลา จนกระทั่งภรรยาของครอบครัวนี้คลอดลูกสาวคนหนึ่งในช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงซึ่งตรงกับคำทำนายพอดี” จอมมารเล่า ริมฝีปากบางยิ้มอย่างชั่วร้าย
“หลังจากเด็กคนนั้นถือกำเนิดขึ้น เธอพอจะเดาได้ไหมเกรนเจอร์ว่าฉันทำอย่างไร” เขาถามเด็กสาว ใบหน้าของเธอซีดเผือดเมื่อนึกถึงสิ่งที่จอมมารจะทำต่อผู้ที่อาจจะมีอำนาจเหนือเขา อย่างเดียวกับที่เขาพยายามทำกับแฮร์รี่
และแน่นอนว่าโวลเดอมอร์อ่านสีหน้าที่ตื่นตระหนกของเฮอร์ไมโอนี่ออก
“เปล่าเลย ฉันไม่ได้ฆ่าพวกเขาอย่างที่เธอคิดหรอก ตรงกันข้าม ฉันส่งผู้เสพความตายคนหนึ่งเพื่อไปนำตัวเธอมา แต่ตอนนั้นฉันไม่รู้เลยว่ามีพ่อมดอีกคนที่กำลังตามหาตัวเจ้าหญิงคนนี้เหมือนกัน และก็น่าเสียดายอย่างที่สุดที่สมุนของฉันคนนั้นทำงานพลาด” จอมมารพูดรอดไรฟันออกมาอย่างเคียดแค้น รูม่านตาของเขาขยายกว้าง แววตาสีแดงราวโรจน์ด้วยความโกรธ
“เจ้านาย.....ข้าเสียใจที่ทำให้ท่านผิดหวัง” นายลูเซียสเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา
“เจ้าต้องการให้ข้าลงโทษเจ้าอีกหรือไง ลูเซียส” จอมมารบอกอย่างรำคาญอยู่ในที นายลูเซียสหน้าขาวซีด เขารีบตอบออกมา
“ไม่ครับเจ้านาย แน่นอนว่าไม่” จอมมารมองสมุนของเขาด้วยสายตาประเมินอยู่ครู่หนึ่งก่อนก็จะกล่าวขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็รีบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้คุณเกรนเจอร์ฟังเสียสิ เพราะถึงยังไงข้าก็คงไม่รู้ดีกว่าเจ้าที่อยู่ในเหตุการณ์จริงไหม” เจ้าแห่งศาสตร์มืดพลางแสยะยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นกลับดูน่ากลัวพิลึกเมื่อปรากฏอยู่บนใบหน้าที่เหมือนงูของเขา
“แต่นายท่านต้องการให้ข้าบอกเธอตอนนี้เลยหรือ” เสียงของลูเซียสแสดงถึงความลังเล
“บอกเท่าที่ความทรงจำของเจ้าจะเอื้ออำนวย” โวลเดอมอร์สั่งพลางสะบัดไม้กายสิทธิ์ในมือ และแล้วก็มีบางอย่างลอยมาจากมุมห้องมาหยุดอยู่ตรงหน้าเฮอร์ไมโอนี่ ในตอนแรกเด็กสาวคิดว่ามันเป็นอ่างหินที่ประดับอยู่คู่กับรูปปั้นสัตว์ประหลาดตรงมุมห้อง แต่เมื่อเธอสามารถมองมันได้ชัดขึ้น เธอก็พบว่ามันคือเพนซิฟ อุปกรณ์สำหรับใช้ดูความทรงจำ
“แต่ท่านไม่ต้องการรอให้เขากลับมาก่อนหรือ แค่ความทรงจำของข้าเพียงคนเดียวอาจจะทำให้เธอแคลงใจ” ลูเซียสแย้ง จอมมารมีสีหน้ารำคาญใจ
“เซเวอร์รัสกลับมาช้าเกินไป ข้าไม่ต้องการที่จะรออีกแล้ว ข้าสั่งให้เจ้า......” เขาเอ่ยขึ้นอย่างโมโห แต่ก่อนที่โวลเดอมอร์จะพูดจบ ประตูห้องก็เปิดขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของร่างในชุดคลุมสีดำ
.................................................
เซเวอร์รัส สเนปยืนอยู่ตรงธรณีประตู เขาก้าวยาว ๆ ผ่านหน้าเฮอร์ไมโอนี่ไปยังจอมมาร เฮอร์ไมโอนี่มองเขาอย่างตกใจ แต่สเนปไม่สนใจเธอ เขาเดินไปหยุดหน้าลอร์ดโวลเดอมอร์ก่อนจะก้มศีรษะลงต่ำ
“ข้ากลับมาแล้วเจ้านาย” สเนปพูดขึ้น
“เจ้าได้ของที่ข้าต้องการมารึเปล่า” เจ้าแห่งศาสตร์มืดถาม
แทนคำตอบสเนปล้วงมือเข้าไปในเสื้อคลุมแล้วหยิบบางสิ่งออกมา มันเป็นขวดแก้วเล็ก ๆ ที่บรรจุสารสีเงินยวงเอาไว้ เด็กสาวรู้ทันทีว่ามันเป็นความทรงจำ แต่เจ้าของของมันคือใครนั้นเฮอร์ไมโอนี่ไม่อาจทราบได้
“ทำไมถึงใช้เวลานานนัก หรือว่าภารกิจนี้มันหนักหนาสำหรับแกมาก” ลูเซียสอดไม่ได้ที่จะแขวะร่างที่มาใหม่ สเนปเลิกคิ้วอย่างไม่สนใจ เขาหันไปตอบคำถามนั้นกับเจ้านายของเขาแทน
“นายท่านโปรดอภัยให้ข้าด้วย ที่ข้ากลับมาช้าเพราะต้องรอจังหวะที่จะเข้าถึงพ่อแม่ของเธอโดยไม่ให้พวกมักเกิ้ลคนอื่นสงสัย เพื่อเอาความทรงจำมา” เขาพยักเพยิกไปทางเฮอร์ไมโอนี่ เด็กสาวตาโตเมื่อรู้ว่าพูดถึงอะไร
“คุณทำอะไรพ่อแม่ฉัน!” เธอร้องขึ้น
สเนปกรอกตาอย่างรำคาญ ก่อนจะพูดออกมา
“ฉันไม่ได้ทำอะไรพวกเขาทั้งนั้น เกรนเจอร์” สเนปว่า “เธอคิดว่าฉันอยากจะแตะต้องพ่อแม่มักเกิ้ลของเธอนักรึไง”
“โกหก คุณโกหก!” เธอกรีดเสียง พยายามดิ้นรนจากโซ่ที่ล่ามเธออยู่ “คุณทำอะไรพวกท่าน บอกฉันมานะ!”
“ฉันไม่ได้ฆ่าพวกเขา” สเนปตอบอย่างหนักแน่น “ฉันแค่เข้าไปที่คลินิกของพ่อเธอ เอาความทรงจำของเขามาแล้วก็เสกคาถาลบความทรงจำใส่เขาเท่านั้น เธอวางใจได้ว่าเขาจะยังจำลูกสาวสุดที่รักของเขาได้แน่นอน ถ้าหากเธอมีโอกาสกลับไปหาเขาอีกนะ” เสียงของสเนปฟังดูเยาะเย้ย เด็กสาวโกรธจนหน้าแดง แต่เมื่อได้ยินว่าสเนปไม่ได้ทำอะไรพ่อแม่ของเธอ เฮอร์ไมโอนี่ก็มีสีหน้าดีขึ้น
“คุณไม่ได้ทำอะไรท่านใช่จริง ๆ ใช่มั๊ย” เธอถามซ้ำ แต่คราวนี้สเนปไม่ตอบ เขาเบนหน้าไปทางอื่นอย่างรำคาญ
“เอาล่ะ เซเวอร์รัส ส่งความทรงจำนั่นไปให้ลูเซียส เราจะได้เริ่มกันเสียที” จอมมารสั่งขึ้น สเนปทำตามโดยการส่งขวดแก้วเล็กจิ๋วในมือไปให้ลูเซียส
ลูเซียสรับมันมาถือแต่ยังไม่ได้ทำอะไรกับมัน เขาตรงไปยังเพนซิฟที่ลอยอยู่หน้าเฮอร์ไมโอนี่ มือข้างหนึ่งที่ถือไม้กายสิทธิ์ของเขายกขึ้นและชี้ไปยังเส้นผมสีบลอนด์ของตนเอง และในวินาทีต่อมาเขาก็ดึงสารสีเงินยวงออกมาจากศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเส้นผมสีบลอนด์
นายลูเซียสทิ้งสารสีเงินยวงจากศีรษะเขาลงในเพนซิฟเป็นอันดับแรก ก่อนจะลงมือเปิดขวดแก้วที่รับมาจากสเนปแล้วเทสารสีเงินในขวดตามลงในอ่างที่ทำด้วยหิน
“ดีมาก” จอมมารเอ่ยขึ้นอย่างพอใจ เมื่อลูเซียสทำหน้าที่เสร็จเขาก็หลบไปข้าง ๆ เพื่อหลีกทางให้เจ้านาย
โวลเดอมอร์เดินเข้ามาหยุดที่เฮอร์ไมโอนี่ซึ่งมีอ่างเพนซิฟลอยอยู่ตรงหน้า
“เอาล่ะคุณเกรนเจอร์ ถ้าเธอจะกรุณา” เขาพูดเสียงนุ่ม แต่แฝงแววชั่วร้ายเอาไว้ เฮอร์ไมโอนี่รู้ดีว่าจอมมารต้องการอะไร เขาต้องการให้เธอดูความทรงจำในเพนซิฟนั่นซึ่งเด็กสาวก็ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร และเขามีจุดประสงค์อะไรถึงทำเช่นนี้ แต่สิ่งเดียวที่เธอรู้ก็คือความทรงจำหนึ่งในสองอันนั้นเป็นของพ่อของเธอ
เฮอร์ไมโอนี่นิ่งเฉย เธอไม่ยอมทำตามคำสั่งของเขา และเมื่อเป็นเช่นนั้นจอมมารก็ยิ้มกริ่มขึ้นมา
“ดูท่าเธอจะดื้อกว่าที่คิดนะ” เขาพูด “ฉันบอกให้เธอดู!” จบคำพูดโวลเดอมอร์ก็กระดกไม้กายสิทธิ์ที่ชี้มาทางเธอ เด็กสาวรู้สึกเหมือนมีมือขนาดใหญ่มาผลักศีรษะเธอให้จมลงไปในอ่างนั่น!
.................................................
เด็กสาวเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อศีรษะของเธอถูกกดให้จมลงในอ่างที่เต็มไปด้วยของเหลวสีเงินยวง เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกอึดอัดในช่วงแรก เธอพยายามดิ้นรนแม้จะรู้ว่ามันเปล่าประโยชน์ก็ตาม และในวินาทีต่อมาภาพของเหลวสีเงินที่เธอเห็นก็ค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้น ราวกับมันกำลังเข้าครอบคลุมใบหน้าของเธอไว้ เด็กสาวรู้สึกเหมือนร่างของเธอถูกดูดออกมาจากแท่นหินที่นั่งอยู่และจมดิ่งเข้าไปในมวลสารสีเงินนั่น
เมื่อรู้สึกตัวอีกทีเฮอร์ไมโอนี่ก็พบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่บนถนนแห่งหนึ่งท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายลงมา สองข้างทางนั้นเต็มไปด้วยบ้านเรือนทรงโบราณ เด็กสาวมองสำรวจไปรอบ ๆ กายก่อนจะลงความเห็นว่าที่ที่เธอยืนอยู่นี่คงไม่ใช่ประเทศอังกฤษแน่นอน และเมื่อเธอเห็นตัวหนังสือที่อยู่บนป้ายสำหรับบอกชื่อถนน เฮอร์ไมโอนี่ก็แน่ใจว่าเธออยู่ในฝรั่งเศส
ท่ามกลางถนนที่เปล่าเปลี่ยวและปกคลุมไปด้วยหิมะหนา ร่าง ๆ หนึ่งยืนเด่นอยู่กลางถนน เขากำลังเดินอย่างเชื่องช้าหากแต่ระมัดระวัง ผมสีบลอนด์เกือบขาวตัดกับเสื้อคลุมสีดำที่สวมอยู่ มือข้างหนึ่งของร่างนั้นถือไม้เท้าที่มีหัวเป็นรูปงูไว้ แม้จะเป็นการมองจากด้านหลังก็ตามแต่เฮอร์ไมโอนี่ก็แน่ใจว่าร่างนั้นคือลูเซียส มัลฟอย และเธอกำลังอยู่ในความทรงจำของเขา
โวลเดอมอร์ต้องการให้เธอเข้ามาในความทรงจำของลูเซียสทำไมกัน เขามีจุดประสงค์อะไรที่ทำเช่นนี้เด็กสาวไม่อาจรู้ได้เลย นอกเสียจากเธอจะตามนายลูเซียสไปเพื่อดูว่าจอมมารต้องการให้เธอเห็นอะไรในความทรงจำของนายมัลฟอยกันแน่
เฮอร์ไมโอนี่เดินตามร่างสูงใหญ่ของลูเซียส มัลฟอยในความทรงจำไป แม้ว่าเมื่อครู่เธอจะยืนอยู่ไกลจากเขามากก็ตาม แต่เด็กสาวเดินตามเขาเขาในไม่ช้า อาจจะเป็นเพราะว่านายลูเซียสไม่รีบร้อน เขาเดินอย่างช้า ๆ หากแต่ระมัดระวังยิ่งนัก
เมื่อเด็กสาวเดินมาถึงร่างสูงและเห็นใบหน้าของเขา เฮอร์ไมโอนี่ก็พบว่าความทรงจำนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว เพราะนายลูเซียสตรงหน้าของเธอนั้นยังหนุ่มอยู่มาก อายุของเขาไม่น่าจะเกิน 27 ปีเป็นอย่างสูง ใบหน้าขาวซีดของเขาไม่ปรากฏริ้วรอยอย่างที่เห็นในปัจจุบันเลย แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นใบหน้าของลูเซียส มัลฟอยของแท้ เพราะสีหน้าของเขามันเต็มไปด้วยความยิ่งยโสและถือตัวอย่างที่สุด
เฮอร์ไมโอนี่ตามลูเซียสมาจนพ้นเขตบ้านเรือน ชายหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งที่ปราศจากผู้คนเนื่องจากอากาศหนาวเหน็บในตอนนี้ และในตอนนั้นเองเด็กสาวก็เพิ่งสังเกตุว่าลูเซียสไม่ได้มีท่าทางหนาวเหน็บเพราะอากาศที่โหดร้ายเช่นนี้เลยทั้ง ๆ ที่เขาก็ไม่ได้สวมเสื้อคลุมหนา ๆ สำหรับหน้าหนาวแต่อย่างใด เธอเดาว่าเขาคงจะเสกคาถาทำให้ร่างกายอบอุ่นก่อนจะออกมาเดินข้างนอกแบบนี้
ลูเซียสหยุดอยู่ที่หน้าสวนสาธารณะ เขายกไม้เท้าในมือขึ้นเล็กน้อยและเคาะมันลงบนพื้นถนนสามครั้ง
ภาพสวนสาธารณะตรงหน้าค่อย ๆ จางหายไป แต่ปรากฏเป็นบ้านหลังหนึ่งขึ้นมาแทน มันเป็นบ้านทรงโบราณเฉกเช่นบ้านทุกหลังในละแวกนี้ หากแต่ว่าบ้านหลังนี้นั้นดูเก่าแก่กว่า และโบราณกว่าบ้านหลังอื่น ๆ ที่เหลือ ราวกับว่ามันถูกสร้างขึ้นเป็นหลังแรก ๆ ในละแวกบ้านนี้
นายลูเซียสเดินเข้าไปที่ประตูหน้าบ้าน เขาใช้ไม้เท้าในมือเคาะประตูสองครั้ง
เสียงตึงตังดังขึ้นมาจากภายในบ้าน ในไม่กี่อึดใจต่อมาก็มีใครบางคนมองลอดตาแมวจากข้างในออกมา ตามมาด้วยเสียงห้าวลึกที่พูดเป็นภาษาฝรั่งเศสซึ่งเด็กสาวพอเข้าใจว่ามันแปลออกมาเป็นภาษาอังกฤษว่า ‘’คุณเป็นใคร!”
[อธิบายนิดนึง ตรงที่ตัวละครพูดภาษาฝรั่งเศสกันข้างล่างข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าจะใช้ได้ถูก 100 % รึเปล่านะคะ แบบว่าเคยเรียนมาบ้าง แต่ก็แค่งู ๆ ปลา ๆ อ่ะนะ]
“เฌอ มะแป็ล ลูเซียส มัลฟอย(ผมคือลูเซียส มัลฟอย)” นายมัลฟอยตอบกลับไปด้วยภาษาฝรั่งเศส
ประตูบานนั้นค่อย ๆ เปิดออก เผยให้เห็นร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งที่อายุไล่เลี่ยกับนายลูเซียส เขามีผมสีน้ำตาล สวมแว่นไร้กรอบ หน้าตาดูคงแก่เรียนและเฉลียวฉลาด แต่แววตาสีน้ำตาลคู่นั้นดูไม่ไว้ใจร่างที่ยืนอยู่ตรงหน้าแม้แต่น้อย ชายคนนั้นชี้ไม้กายสิทธิ์มาทางลูเซียส
“แกสเซอเกอ วู แฟ็ต อีซี่?(คุณมาทำอะไรที่นี่)” ชายสวมแว่นถามขึ้น
“เฌอ แชคเชอะ เมอซิเออร์ซิลเวีย(ผมมาหาเมอซิเออร์ซิลเวีย)” ลูเซียสตอบด้วยท่าทีไม่เป็นเดือดเป็นร้อนว่าขณะนี้ไม้กายสิทธิ์ของฝ่ายตรงข้ามกำลังชี้อยู่ที่หน้าอกของเขา
“ผมนี่แหละเมอซิเออร์ซิลเวีย คุณมีธุระอะไรกับผม” นายซิลเวียพูดภาษาอังกฤษขึ้นเป็นครั้งแรก แม้สำเนียงของเขาจะฟังดูแปลกแปร่งอยู่บ้างก็ตาม ในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่หายใจกระตุกเมื่อได้ยินคำว่า ‘ ซิลเวีย ’
ลูเซียสไม่ตอบแต่เขากลับยื่นมือให้นายซิลเวียแทน
“อองฌ็องเต้ เมอซิเออร์, ซิลวูเปล?(ยินดีที่ได้รู้จัก ผมเข้าไปได้ไหม)” เมอซิเออร์ซิลเวียมองนายลูเซียส อย่างลังเล เขาไม่ยอมจับมือนั้นเขย่า และเมื่อเป็นเช่นนั้นลูเซียสจึงลดมือลง เขายิ้มอย่างไม่ว่าอะไรแม้ว่าไม้กายสิทธิ์ของเมอซิเออร์ซิลเวียจะชี้อยู่ที่อกของเขาก็ตาม
“คุณต้องการอะไรจากผม” เมอซิเออร์ซิลเวียถาม
“ผมว่าเราเข้าไปคุณกันข้างในดีกว่าไหม คุณก็รู้ว่าตรงนี้ไม่สะดวกเท่าไหร่ คุณคงไม่อยากเปิดประตูบ้านทิ้งไว้นานหรอกจริงไหม” ลูเซียสพยายามเกลี้ยกล่อมเขา แต่เมอซิเออร์ซิลเวียไม่ขยับ
“ถ้าคุณสงสัยว่าผมจะเป็นคนที่ศัตรูของคุณส่งมาผมขอให้คุณคิดเสียใหม่นะ เพราะว่าผมไม่ได้ทำงานให้พวกนั้น” เขาพูด
“แต่ผมก็ไม่รู้นี่ว่าคุณเป็นฝ่ายไหน” เมอซิเออร์ซิลเวียยังคงแคลงใจในการมาปรากฏตัวของเขา ลูเซียส ถอนหายใจ เขาเลิกเสื้อคลุมขึ้นก่อนจะยื่นแขนซ้ายให้ชายหนุ่มตรงหน้าดู
ทันทีที่เห็นสิ่งที่อยู่บนแขนของลูเซียส นายซิลเวียก็ผงะถอยหลังด้วยความตกใจ ใบหน้าของเขาซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด
“ผมว่าเราคงคุยกันดี ๆ ได้แล้วใช่ไหม” ลูเซียสพูดขณะที่แทรกกายผ่านประตูบ้านเข้ามา
.................................................
เมอซิเออร์ซิลเวียเดินนำนายลูเซียสเข้าไปในบ้านของเขา เฮอร์ไมโอนี่ตามชายทั้งสองไปยังห้องรับแขก
บ้านตระกูลซิลเวียถูกตกแต่งอย่างหรูหราด้วยเครื่องเรือนแบบโบราณและของตกแต่งที่เฮอร์ไมโอนี่ไม่อาจประมาณค่าได้ เห็นได้ชัดว่าตระกูลนี้เป็นตระกูลที่เก่าแก่และน่าจะร่ำรวยอยู่ไม่น้อย ซึ่งคนในตระกูลนี้ก็คงเป็นเลือดบริสุทธิ์เช่นเดียวกับนายลูเซียส
เมื่อมาถึงห้องรับแขกเด็กสาวพบว่ามีใครอีกคนอยู่ในห้องอยู่แล้ว เธอเป็นหญิงสาวที่สวยมากคนหนึ่ง ใบหน้าของเธอ ใบหน้าของเธอช่างคล้ายคลึงกับเฮอร์ไมโอนี่เหลือเกิน เพียงแต่ว่าเธอมีดวงตาทีฟ้าสดใสและผมสีบลอนด์หยักศกเท่านั้น เธอกำลังอุ้มทารกคนหนึ่งไว้ในอ้อมแขน
แต่สิ่งที่ทำให้เด็กสาวใจเต้นนั้นไม่ใช่แค่ใบหน้าของหญิงสาวเท่านั้น แต่กลับเป็นสร้อยที่หล่อนสวมอยู่ สร้อยคอที่มีจี้รูปนกอินทรีเหมือนกับที่เธอกำลังสวมอยู่ตอนนี้เลย!
และดูเหมือนว่านายลูเซียสในอดีตจะสังเกตเห็นสิ่งเดียวกับที่เฮอร์ไมโอนี่เห็น เขามองหญิงสาวคนนั้นอย่างสนใจ ก่อนจะเลื่อนสายตาลงมาที่จี้ที่สวมอยู่ที่คอและมาหยุดอยู่ที่ทารกที่อยู่ในอ้อมแขนของหล่อน
“นี่คงเป็นมาดามซิลเวียสินะครับ” นายลูเซียสเอ่ยขึ้น แต่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่เด็กน้อยในอ้อมแขนของหญิงสาว ในขณะที่มาดามซิลเวียนั้นยืนนิ่งด้วยความตกใจ
“ชาร์ล็อต พาลูกขึ้นไปข้างบนก่อน” เมอซิเออร์ซิลเวียพูดกับภรรยาเป็นภาษาฝรั่งเศส หญิงสาวทำตามโดยดี เธออุ้มทารกในอ้อมแขนออกไปจากห้องรับแขกอย่างรีบเร่ง แต่ก่อนที่ร่างของเธอจะลับจากธรณีประตูไป ชาร์ล็อต ซิลเวียก็ส่งสายตาเป็นห่วงมาทางสามี เมอร์ซิเออร์ซิลเวียจึงพยักหน้าให้ภรรยาในเชิงให้บอกว่าไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง
หลังจากมาดามซิลเวียออกจากห้องไปแล้ว เมอซิเออร์ซิลเวียก็ปิดประตูพร้อมกับร่ายคาถาห้ามรบกวน ก่อนจะเดินกลับมาที่นายลูเซียสซึ่งยืนอยู่กลางห้องรับแขก
“เชิญนั่ง เมอซิเออร์มัลฟอย”
“เมอซี่(ขอบคุณ)” ลูเซียสพูดก่อนจะนั่งลงบนโซฟาหนังอย่างดีของบ้านซิลเวีย เมอซิเออร์ซิลเวียเสกเครื่องดื่มสองแก้วขึ้นมาตรงหน้า ลูเซียสยื่นมือไปรับมันมาแก้วหนึ่ง
“คุณหาบ้านผมเจอได้ยังไง” เขาถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“แน่นอนว่าจอมมารล่วงรู้ทุกอย่างที่ท่านต้องการจะรู้ แต่ผมก็ยอมรับว่ามนตราที่ใช้ป้องกันบ้านของคุณนั้นใช้ได้ทีเดียว แม้ว่ามันจะไม่ดีที่สุดก็ตาม” นายลูเซียสตอบด้วยท่าทีสบาย ๆ
เมอซิเออร์ซิลเวียไม่พูดอะไร เขาจิบวิสกี้เข้าไปอีกอึก สีหน้ายังคงตึงเครียดอยู่
“คุณมีธุระอะไรกับผม ไม่ใช่สิ คนที่คุณก็รู้ว่าใครส่งคุณมาที่นี่ทำไม” เมอซิเออร์ซิลเวียเปลี่ยนมาพูดภาษาอังกฤษ นายลูเซียสยิ้มมุมปาก เขาจิบวิสกี้เข้าไปอึกหนึ่งก่อนจะเริ่มพูด
“ผมดีใจที่คุณเข้าใจอะไรได้รวดเร็วดี เราจะได้เลิกอ้อมค้อมกันเสียที” เขากล่าวพลางวางแก้วเหล้าในมือลงบนโต๊ะ “เจ้านายของผม จอมมาร ท่านส่งผมมาทำภารกิจอย่างหนึ่ง และภารกิจที่ผมว่านั้นก็เกี่ยวกับคุณ เมอซิเออร์ซิลเวีย” ลูเซียสพูดเสียงนุ่ม
“ท่านต้องการอะไรจากผม” เมอซิเออร์ซิลเวียถามขึ้นมาด้วยเสียงอันดัง ใบหน้าของเขาซีดลงอย่างรวดเร็วเมื่อรู้ว่าจอมมารส่งนายลูเซียสมาหาเขาโดยเฉพาะ ในขณะที่ผู้มาเยือนนั้นยังคงยิ้มสบาย ลูเซียสเอนหลังพิงโซฟาด้วยท่าทีราวกับเขานั่งอยู่ในบ้านของตัวเอง
“คุณเคยรู้มาก่อนไหม ว่าเจ้านายของผมชอบสะสมสิ่งของที่มีค่าทางประวัติศาสตร์” ลูเซียสกล่าว
“แต่ผมไม่มีมัน!” เมอซิเออร์ซิลเวียแผดเสียงออกมาในทันที เขาผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้พลางตะโกนก้อง “ผมไม่มีรัดเกล้าของเรวนคลอ ผมบอกพวกนั้นไปแล้ว แต่ไม่มีใครเชื่อผม” ใบหน้าของเมอซิเออร์ซิลเวียซีดขาว แววตาของเขาดูตื่นตะหนกราวกับความกลัวทั้งหมดของเขาได้กลายเป็นความจริงเสียแล้ว ในขณะที่แขกที่ไม่ได้รับเชิญของเขายังคงนั่งนิ่ง
“เจ้านายของผมไม่ได้ต้องการรัดเกล้าของเรเวนคลอ” เขาพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “จอมมารจะต้องการรัดเกล้าไปทำไมในเมื่อท่านมีมันสมองที่ฉลาดล้ำยิ่งกว่ามนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว” ลูเซียสพูด
“อีกอย่างพ่อมดในอังกฤษไม่ได้เหมือนศัตรูของคุณที่ฝรั่งเศสนี่หรอกนะ เราฉลาดพอที่จะรู้ว่ารัดเกล้านั้นหายสาบสูญไปตั้งหลายศตวรรษแล้ว อาจจะหายไปตั้งแต่สมัยของเรเวนคลอเองด้วยซ้ำ และที่ผมมาที่นี่ก็เพื่อจุดประสงค์อื่นที่ไม่ใช่รัดเกล้า” ลูเซียสพูดด้วยน้ำเสียงสุขุม
เมื่อยินคำพูดของนายมัลฟอย เมอซิเออร์ซิลเวียก็มีท่าทีที่สงบนิ่งลง เขาทิ้งตัวลงบนโซฟาตามเดิม สีหน้าเหม่อลอยระคนประหลาดใจ แต่เขาก็มีท่าทีโล่งใจอยู่ไม่น้อยที่นายลูเซียสบอกว่าเขาไม่ได้ต้องการรัดเกล้า
“ถ้าอย่างนั้นคุณต้องการอะไร เจ้าแห่งศาสตร์มืดต้องการอะไรจากผม” เมอซิเออร์ซิลเวียพูดขึ้นเมื่อเขาตั้งสติได้ เขามองชายตรงหน้าด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย
“จอมมารต้องการบางสิ่งบางอย่างที่คุณมีอยู่ในครอบครอง เมอซิเออร์ ไม่ใช่สิ่งที่ศัตรูของคุณค้นหาทั้ง ๆ ที่มันไม่ได้มีอยู่จริง” ลูเซียสพูด
“แต่ผม.....” นายลูเซียสยกมือขึ้นในเชิงให้เขาฟังให้จบก่อน
“แม้ว่านายท่านจะเห็นว่ารัดเกล้าเป็นสิ่งที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ก็ตาม แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นแค่สิ่งของชิ้นหนึ่ง แค่สิ่งของที่แตกหักได้ แม้ว่ามันจะมีค่ามหาศาล แต่ก็เป็นเพียงสิ่งของเท่านั้น และแน่นอนว่าสิ่งของไม่สามารถมีคุณค่าไปมากกว่ามนุษย์ที่มีเลือดเนื้อได้ คุณว่าจริงไหม เมอซิเออร์” สีหน้าของเมอซิเออร์ซิลเวียเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเขาเริ่มเข้าใจว่าสิ่งที่นายลูเซียสพูดนั้นหมายถึงอะไร
“คุณคงไม่ได้หมายความว่า.........” ลูเซียสยิ้มมุมปาก
“สิ่งที่จอมมารต้องการก็คือทายาทคนสุดท้ายที่สืบเชื้อสายจากโรวีน่า เรเวนคลอ ใช่แล้วเมอซิเออร์ซิลเวีย ผมหมายถึงลูกสาวของคุณ”
*************************************************
ความคิดเห็น