คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ม่านทราย :: Part 4
Part 4
“พักนี้ไม่ค่อยได้เจอพี่เลยนะ มีเรื่องยุ่งหรือ”
“ไม่ยุ่งนักหรอกแล้วก็ ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรเพียงแต่ช่วงนี้รู้สึกมีคนมายุ่งวุ่นวายในส่วนที่ข้าอยู่มากไป”
“พี่ก็เลยมาหาผมเพราะเรื่องนี้ ..... มีเรื่องอยากถามหรือขอร้องใช่ไหมล่ะ”
“อืม ....... อยากให้เจ้าช่วยปล่อยข่าวลือเกี่ยวกับขบวนเดินทางของนักท่องเที่ยวที่หายสาปสูญเมื่ออาทิตย์ก่อน”
“เอ .... ปกติไม่เห็นพี่เคยสนใจนี่ แต่ช่างเถอะ ..... ยังไงเรื่องข่าวลือนั่นจะให้ปล่อยออกไปแนวไหนล่ะ นักเดินทางหายสาปสูญที่หุบเขาคาโรว์ทั้งขบวนหรือถูกปล้นจากพวกกองโจรทะเลทรายดี”
“............ ขบวนเดินทางทุกคนเสียชีวิตเพราะถูกปล้นฆ่าจากกองโจรทะเลทราย ไม่ปรากฏผู้รอดชีวิตสักราย ..... ให้ข่าวเป็นไปในทางนี้”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ผมจะจัดการอย่างที่พี่ต้องการทุกอย่าง แล้ววันนี้จะค้างไหมพระอาทิตย์ก็จะตกดินแล้วกลับไปคงดึกน่าดูเลย”
“ไม่ล่ะ ข้าจะกลับเลย ชางมิน ...... ถ้าเจ้ามีปัญหาอะไรก็เรียกข้าให้ช่วยได้เสมอแล้วก็ระวังตัวจากราชิดด้วย นิสัยขี้อิจฉาของมันไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนสักนิด คงต้องไปแล้วล่ะ ....” เมื่อมองไปที่บานหน้าต่างร่างสูงใหญ่กำยำจึงลุกออกจากโซฟาตัวหนาที่นั่งสนทนากับผู้ที่มีศักดิ์ไม่ต่างจากน้องหากแต่ไม่มีใครที่จะยอมรับหรือปฏิบัติต่อร่างสูงให้เท่าเทียมกับฐานะที่ควรจะมี
ชางมินหรือเจ้าชายชามาห์มองตามแผ่นหลังกำยำของพระภาดา(ลูกพี่ลูกน้อง)จนร่างสูงหายลับไปพร้อมกับที่ทวารไม้ปิดลง แผ่นหลังที่ดูเข้มแข็งแต่ต้องซ่อนความโดดเดี่ยวและโหยหาความรักไว้ ถึงแม้จะไม่เคยพูดหรือเรียกร้องอะไรให้ใครได้รับรู้ แต่อาจเป็นเพราะชางมินรู้จักคนๆนี้มานานและรู้ด้วยว่าตำแหน่งที่เขายืนอยู่ตรงนี้มันไม่ใช่ที่ๆเขาควรจะยืน มันควรเป็นที่ของคนที่หันหลังจากไปเมื่อครู่ต่างหาก
แต่โชคชะตาก็มักจะมาเล่นตลกกับคนเราอยู่บ่อยๆไม่ใช่หรือ ..........
.
.
.
ทะเลทรายกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตากำลังอาบทอไปด้วยแสงสีแดงฉานของดวงอาทิตย์บ่งบอกถึงเวลาใกล้ค่ำ ร่างกำยำบนอาชาสีขาวกำลังควบม้าคู่ใจให้วิ่งเร็วขึ้นเพื่อไปยังที่หมายก่อนจะถึงมื้ออาหารของเชลยแสนดื้อดึงเสียก่อน ไม่รู้ว่าป่านนี้จะป่วนผู้คนที่หุบเขาไปขนาดไหนแล้ว นึกแล้วร่างสูงก็รีบกระตุกม้าให้วิ่งทะยานไปตามเส้นทางที่คุ้นชินถึงแม้ตลอดทางจะถูกปกคลุมไปด้วยทะเลทรายก็ตาม
.
.
.
“นี่ ..... นี่!!! ข้าเรียกเจ้าน่ะเป็นใบ้รึไง!!! ข้าคุยกับใครก็ไม่มีคนตอบข้าสักคนหรือว่าเจ้านายพวกเจ้าจะซ่องสุมแต่พวกบ้าใบ้ไว้ เอ้ะ ..... พูดด้วยแล้วยังจะเดินหนีอีกคนที่นี่เป็นอะไรกันไปหมด”เชลยตัวแสบออกมาจากกระโจมในเวลาพลบค่ำด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่านหลังจากวันนี้ทั้งวันยังไม่สามารถทำให้ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของเจ้าแห่งทะเลทรายพูดกับเขาได้สักคน
“ชิ ไม่พูดก็ไม่ต้องพูดนะไม่ต้องพูดให้มันได้ตลอดแล้วกัน”ปากอิ่มสวยขมุบขมิบไปมาพร้อมกับบ่นโน้นนี่ไปตลอดทางจนไม่ได้รู้ว่าเดินออกมานอกเส้นทางที่เคยสำรวจ
ตากลมสวยมองไปรอบๆสถานที่ๆไม่คุ้นชินนักก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเนื่องจากเส้นทางที่จะเดินไปนั้นราวกับจะตรงเข้าไปในหมู่บ้านใดสักแห่ง ใบหน้าขาวหันมองไปรอบๆก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปยังชุมชนที่ถูกแอบซ่อนไว้
.
.
.
“เชลยหาย!!! ทำอีท่าไหนการีม!!!”เสียงทรงอำนาจดูไม่สบอารมณ์หลังจากคนสนิทมาบอกว่าเชลยตัวแสบหายตัวไป
“ขอโทษครับจ้าวผมสะเพร่าเอง”การีมก้มหน้าลงชิดอกอย่างสำนึกผิด เจ้าแห่งทะเลทรายเบือนหน้าหนีก่อนจะบอกให้การีมไปป่าวประกาศบอกข้ารับใช้ให้ช่วยกันเร่งตามหา
ร่างสูงใหญ่ยืนครุ่นคิดอยู่หน้ากระโจมที่เชลยแสนดื้อเคยพัก ใบหน้าหล่อเข้มมีท่าทางครุ่นคิดและดูน่ากลัวยิ่งเมื่อดวงตาที่ราวกับเหยี่ยวนั้นตวัดมองไปตามเส้นทางต่างๆเล่นเอาผู้คนโดยรอบหลบสายตากันเป็นพัลวัน
“หรือว่าจะเข้าไป .......” ด้วยความเร็วขายาวๆก็ก้าวฉับๆไปทันที ใบหน้าที่เรียบเฉยถูกแต้มไปด้วยรอยยิ้มมุมปากที่ไม่สามารถคาดเดาความหมายอะไรได้
.
.
.
“นี่มัน ..... นี่มันหมู่บ้านชัดๆ ฮ่าๆๆ ไอ้โรคจิตนั่นต้องจับเรามาซ่อนไว้ที่เมืองไหนสักเมืองแน่ๆ ...... ว่าแต่มันรัฐไหนกันเนี่ยคนที่นี่ทำไมถึงไม่เหมือนกับที่อื่น .......”ตากลมใสมองผู้คนในหมู่บ้านอย่างแปลกใจเนื่องจากที่นี่ไม่เหมือนกับรัฐอื่นๆในประเทศ ผู้หญิงก็ไม่ใส่ชุดมิดชิดปกคลุมใบหน้าแถมรูปหน้าของคนในหมู่บ้านนี้ก็ไม่เหมือนชาวทะเลทรายเท่าไรนัก สีผิวเองก็เช่นกันถึงจะขาวไม่เท่ากับยูชอนแต่ก็ไม่ใช่สีผิวของชาวทะเลทราย สีผิวที่ทำให้ยูชอน “ต่าง” จากคนอื่นๆและทำให้ยูชอน “แปลก” ไปจากผู้คนรอบข้าง
“ต้องเป็นเหมือนเราแน่ๆคนพวกนี้ ......”ตากลมใสหม่นแสงลงเพียงชั่วครู่ก่อนจะส่ายหน้าขับไล่ความคิดนั้นแล้วเดินเข้าไปในส่วนที่น่าจะเป็นแหล่งซื้อขายเนื่องจากมีคนอยู่มากมายทีเดียว
“เอ่อ .... ขอโทษนะที่นี่คือที่ไหน คือหมู่บ้านนี้ชื่ออะไร .....”ยูชอนรั้งชายแปลกหน้าที่น่าจะอายุไม่ต่างกันเท่าไหร่ไว้แล้วเอ่ยถาม ชายคนนั้นมองกลับมาที่ยูชอนอย่างแปลกใจก่อนจะสำรวจยูชอนอย่างไม่คิดจะปิดบัง
“ที่นี่อยู่ในหุบเขาคาโรว์ในรัฐซามาลแล้วหมู่บ้านเล็กๆที่เจ้าเห็นคนที่นี่ก็เรียกกันว่าเมสติโซ ...... เจ้ารู้ความหมายของมันใช่ไหม .....??”
“อื้อ ....... รู้สิ .....”พยักหน้ารับเพื่อบอกให้รู้ว่าเข้าใจความหมาย ดวงตากลมใสหลุบต่ำลงเพื่อซ่อนความรู้สึกบางอย่างไว้ มือหนาของคนแปลกหน้าลูบลงที่กลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนของยูชอนเบาๆเพื่อเป็นการปลอบโยนหากแต่มือสวยกลับปัดมันออกด้วยสัญชาตญาณ
“เอ่อ .... ขอโทษที่เสียมารยาทกับเจ้านะ ข้าชื่อแจจุงอยู่ที่หมู่บ้านนี้ตั้งแต่จำความได้ถ้าเจ้าเพิ่งเคยมาที่นี่งั้นไปพักที่บ้านข้าก่อนไหม”คนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันเอ่ยชวนยูชอน ดวงตากลมใสมองคนตรงหน้าอย่างหวาดระแวง
“............”
“ข้ารู้ว่ามันแปลกที่คนเพิ่งเจอหน้ากันเอ่ยชวนไปแบบนั้น แต่ที่นี่ ..... ถ้าเจ้ารู้ความหมายของคำว่า “ต่าง” ก็น่าจะเข้าใจจิตใจของพวกเราดีไม่ใช่หรอว่าการไม่เป็นที่ยอมรับและการโดนดูถูกมันเป็นยังไง ไว้ใจข้าเถอะ ......”มือขาวของคนแปลกหน้าที่ชื่อแจจุงยื่นออกมาให้ยูชอน ดวงตากลมใสมองมือขาวๆนั้นอย่างใช้ความคิดจนในตอนท้ายมือเรียวที่ขาวไม่ต่างกันก็ยื่นออกไปรับสัมผัส แจจุงยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มที่สดใสแล้วจับมือยูชอนให้เดินไปตามทาง
“แล้วเจ้าชื่ออะไรน่ะ ......”
“ชื่อยูชอน บ้านเจ้าอยู่ที่นี่หรอแล้วทำไมถึงเรียกที่นี่ว่าเมสติโซล่ะ”ยูชอนเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
“ความหมายก็แปลตรงตัวนั่นล่ะ เมสติโซ ก็คือ ‘ลูกครึ่ง’ ที่นี่เลยมีแต่พวกเลือดผสมที่พ่อแม่ทิ้งไว้บ้างหรือบางคนพ่อแม่เองก็เป็นเลือดผสมแล้วก็มีลูกน่ะ คนที่เมสติโซน่ะมีไม่มากหรอกมีไม่ถึงสี่ร้อยคนด้วยซ้ำ อาจเพราะที่นี่ไม่ใช่เมืองเปิดที่ใครจะเข้ามาได้ง่ายๆด้วยแหละข้าก็เลยรู้จักกับคนที่นี่แทบทุกคนเลยล่ะ เจ้าน่ะเพิ่งเข้ามาสินะ ..... แล้วมาจากไหนล่ะใครพาเข้ามา พ่อแม่เจ้ารึไง .....”
“เอ่อ ...... อื้อ”พยักหน้ารับไว้ก่อนยังไม่รู้จะอธิบายว่าอย่างไรดีจะให้บอกว่าถูกเจ้าแห่งทะเลทรายจับตัวไว้แล้วดันเดินเล่นจนหลงเข้ามาในหมู่บ้านนี้ ....... ที่เป็นเมืองของพวกลูกครึ่ง
“พ่อแม่เจ้าไปไหนแล้วล่ะ ...... หลงกันหรอ”
“อื้อ ..... หลงกันนั่นแหละ”พยักหน้ารับอีกครั้งอย่างไม่รู้จะอธิบายยังไง
“งั้นให้ข้าไปประกาศตามหาให้ไหม ตอนนี้ไปพักแล้วหาอะไรกินที่บ้านข้าก่อนนี่ก็มืดค่ำแล้วไว้พรุ่งนี้เราค่อยไปที่ลานคำร้องแล้วค่อยให้ท่านซามีร์ช่วยเจ้าดีกว่า”แจจุงเอ่ยทุกอย่างคนเดียวเสร็จสรรพไม่ฟังความเห็นใดๆของยูชอนสักนิดก่อนจะหยุดเท้าลงที่หน้ากระโจมขนาดปานกลางหลังหนึ่ง
“ถึงแล้วล่ะ ..... นี่แหละบ้านข้า”แจจุงเอ่ยบอกก่อนจะจูงมือยูชอนให้เข้าไปข้างในด้วยกัน
พอเข้ามาข้างในกระโจมยูชอนก็เห็นว่าข้างในมีข้าวของเครื่องใช้วางเรียงรายไว้ในส่วนต่างๆอย่างเป็นระเบียบพอสมควร ของทุกอย่างดูจากสภาพแล้วถึงแม้จะเก่าไปบ้างแต่ก็ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีทำให้รู้ว่าคนแปลกหน้าที่ชื่อ “แจจุง” เป็นคนมีระเบียบอยู่พอสมควร แจจุงเป็นคนผิวขาวมากซึ่งก็ไม่ต่างกับยูชอนใบหน้าก็ดูหล่อเหลาแต่ก็มีบางมุมที่สวยมองแล้วก็ช่างเข้ากันอย่างลงตัวนับว่าเป็นคนที่มีเสน่ห์มากทีเดียว
“อะน้ำเจ้าอยากได้นมแพะไหม .... ข้าจะอุ่นให้”แจจุงยื่นแก้วน้ำที่ทำจากดินเผาให้ยูชอน
“ขอบใจแค่นี้ก็พอแล้ว”มือเรียวขาวยื่นไปรับแก้วน้ำมาดื่ม
“เจ้าเป็นคนที่ไหนล่ะ??”
“เอ่อ ..... มาจากรัฐซาฮาร์ลน่ะ”ตากลมใสหลุบต่ำลงพร้อมกับแสร้งยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
“งั้นหรอ เพิ่งเคยมาที่นี่ใช่ไหมล่ะเพราะข้าเพิ่งเคยเห็นหน้าเจ้า”ยูชอนหยักหน้ารับแทนการพูด
“.........................”
“อ่า ..... ข้าพูดมากไปหรือเปล่านี่ เดี๋ยวจะหาอะไรให้เจ้ากินนะ”แจจุงพูดจบก็ตรงเข้าไปในโซนที่น่าจะมีไว้เพื่อทำอาหาร ยูชอนมองตามร่างสูงนั่นอย่างใช้ความคิด ...... แจจุงเป็นคนอัธยาศัยดีทีเดียว ยิ้มเก่งและก็ดูจะเป็นคนเชื่อคนง่าย เป็นคนที่น่าคบหาและน่าเข้าใกล้แตกต่างจากเจ้าคนยิ้มยากที่จับตัวเขามาเป็นเชลยจริงๆ จะว่าไปแล้วป่านนี้จะวุ่นขนาดไหนกันนะคงกำลังตามหาเชลยอย่างเขาอยู่จนหน้าตายียวนนั่นแดงก่ำเพราะโมโหเลยล่ะสิท่า หึหึ หรือบางที ..... อาจจะไม่สนใจก็เป็นได้ก็แค่เชลยคนเดียวนี่นา
คิดได้เท่านั้นใบหน้าของยูชอนก็สลดลงอย่างไม่รู้ตัว ตากลมใสมองพื้นแล้วเขี่ยเท้าไปมา
“เสร็จแล้วล่ะมากินได้แล้ว!!!”แจจุงกวักมือเรียกยูชอนให้ไปนั่งที่โต๊ะเล็กๆสำหรับทานอาหาร
“ที่นี่มีหัวหน้าไหม”ระหว่างกำลังกินอยู่ยูชอนก็เอ่ยถามขึ้น
“อื้อ มีสิ ...... ถ้าพรุ่งจ้าวว่างก็จะมารับคำร้องของเจ้าด้วยตัวเองเลยล่ะแต่ว่าช่วงนี้จ้าวไม่ค่อยว่างนักหรอกเห็นว่าต้องเข้าไปในวังบ่อยๆ”
“หือ ...... หัวหน้าของที่นี่เป็นคนในวังหรอ”ยูชอนถามขึ้นอย่างแปลกใจ
“อื้อ ...... มีเรื่องซับซ้อนยิ่งกว่านั้นอีกแต่ว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยมีคนรู้หรอก ต้องปิดเป็นความลับน่ะประวัติของจ้าวมีน้อยคนมากที่จะรู้แต่ข้าก็แอบรู้อะไรมาบ้างเล็กน้อยล่ะ หึหึ”แจจุงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ออกมาอย่างภูมิใจ ยูชอนขมวดคิ้วเล็กน้อย ‘จ้าว’ งั้นหรอ บังเอิญรึเปล่าที่เรียกเหมือนกับคนๆนั้น ........
“รู้อะไรมาหรือแจจุง .......”
“อย่าไปบอกใครล่ะข้าบอกเจ้าคนเดียวเพราะเจ้าน่ารักหรอกนะ”มือหนายื่นมาหยิกแก้มอูมขาวของยูชอนอย่างนึกหมั่นเขี้ยว หยิกเพียงเบาๆเท่านั้นยูชอนจึงไม่ได้ปัดป้องออกไป
“...........................”
“จ้าวน่ะเป็นเลือดผสมเหมือนเราๆนั่นแหละแล้วก็รู้มาว่าจ้าวเกี่ยวข้องอะไรสักอย่างกับเชื้อพระวงศ์ด้วยแต่อันนี้ข้าก็ไม่รู้อะไรมากมาย อาจเพราะว่าจ้าวเป็นเลือดผสมก็เลยสร้างที่นี่ขึ้นมาเพราะว่าสงสารคนที่เหมือนกันกับท่านล่ะมั้ง ข้าว่าชีวิตจ้าวเองก็น่าสงสารนะแต่ก็ไม่รู้อะไรมากนักหรอก คนอื่นๆน่ะกลัวจ้าวเพราะคิดว่าจ้าวโหดร้ายแต่ว่าตั้งแต่ข้าจำความได้จ้าวไม่เคยทิ้งคนในปกครองของจ้าวให้เจอเรื่องเดือดร้อนเลยสักครั้งท่านจะคอยช่วยพวกเราตลอด”
“ฟังดูเป็นคนที่ดีมากเชียวล่ะ ถ้าได้เจอสักครั้งข้าคงเข้าใจที่เจ้าพูดนะแจจุง”ยูชอนอมยิ้มกับท่าทางที่แจจุงเล่าถึง ‘จ้าว’ อย่างไม่ปิดบังความชื่นชม ช่างแตกต่างจาก ‘จ้าว’ อีกคนที่ชอบยั่วโมโหและลามกนั่นเสียเหลือเกิน ไม่มีทางที่จะเป็นคนๆเดียวกันไปได้แน่นอน
.
.
.
“เอ่อ จ้าวครับ ..... หาจนทั่วแล้วครับแต่ว่าไม่พบเชลยของจ้าวเลย”
“............. ไม่เป็นไร”ใบหน้าเรียบเฉยที่ดูดุดันฉายแววครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูด “พรุ่งนี้ให้คนเข้าไปในเมสติโซไม่ต้องให้เอิกเกริกมากนัก แค่สี่ห้าคนก็พอตอนนี้พวกเจ้าก็ไปพักผ่อนได้แล้ว”
“ครับจ้าว .....”
“ดื้อจริงๆเลยนะยูชอน ยิ่งเจ้ารู้เกี่ยวกับตัวข้ามากเท่าไหร่เจ้าก็ยิ่งหนีไปจากข้าไม่ได้มากเท่านั้น ความดื้อรั้นของเจ้าทำให้เป็นเหตุขึ้นมาซะแล้วเชลยของข้า ......”
.
.
.
สายของวันต่อมายูชอนก็ออกมานอกกระโจมพร้อมกับแจจุง มือหนาของคนแปลกหน้าถือวิสาสะจับมือยูชอนไปตามทางเนื่องด้วยเหตุผล “กลัวหลงทาง” ของแจจุง ยูชอนจึงปล่อยเลยตามเลย ขาเรียวก้าวตามแจจุงไปในสถานที่ต่างๆในเมืองอย่างใคร่รู้สายตาก็คอยสอดส่องสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างสนใจ ที่นี่แปลกตาจากที่อื่นๆที่ยูชอนเคยเห็นมาจริงๆโดยเฉพาะผู้คนที่มีเลือดผสม ยิ่งมองไปทางใดก็ยิ่งรู้สึกถึงเสน่ห์อะไรบางอย่างถึงแม้ภาษาการพูดคุยส่วนมากที่ได้ยินจะเป็นภาษาพื้นเมืองที่เป็นเครื่องยืนยันได้ว่าเขายังอยู่ในประเทศที่เคยอาศัยอยู่แต่ใบหน้าของคนต่างๆนั้นทำให้เขาหลงคิดได้เลยว่ากำลังอยู่ในต่างแดนที่มีคนจากทั่วทุกมุมโลกมารวมตัวกัน
“แปลกใช่ไหมล่ะ แปลกแต่เจ้าก็รู้สึกคุ้นเคย”แจจุงหันมาพูดกับยูชอน
“..................”ยูชอนไม่ตอบแต่กลับคิดตามที่แจจุงพูด
แปลก ..... คงหมายถึงสถานที่ๆแปลกตา
คุ้นเคย ..... คงหมายถึงผู้คนที่นี่ ที่มีเลือดผสมอย่างตัวเขาเองดังนั้นจึงรู้สึกคุ้นเคย ไม่ทำให้รู้สึกแปลกแยกราวกับตัวประหลาด
“อ่า ..... ถึงแล้วล่ะนี่ไงลานคำร้องเวลาคนที่นี่มีปัญหาอะไรก็จะมาที่ลานนี้แล้วไปเขียนคำร้องให้ผู้รับคำร้อง คำร้องไหนที่รุนแรงมากที่สุดจะถูกรับพิจารณาและตัดสินก่อนไล่ลงไปเป็นคำร้องที่ระดับความรุนแรงลดลง ไปเขียนคำร้องสิยูชอน เอ ..... วันนี้ชักธงสีแดงแหะโชคดีสุดๆเลยล่ะยูชอน”แจจุงพูดจบก็ยิ้มกว้างแล้วตบไหล่ยูชอนสองสามทีเล่นเอายูชอนนิ่วหน้าเลยทีเดียว
“โชคดีอะไร ......”
“ก็ถ้าชักธงขาวก็เป็นสถานการณ์ปกติ แต่ถ้าชักธงแดงแปลว่าวันนี้จ้าวจะมารับคำร้องและตัดสินด้วยตัวเอง ถึงว่าล่ะวันนี้ผู้คนคับคั่งจริงๆยังไงก็รีบเข้าไปเขียนคำร้องเร็ว โชคดีจริงๆมาได้แค่สองวันก็จะได้เจอจ้าวเลยหลังจากนี้ก็ต้องไปรายงานตัวกับผู้รักษาด่านนะเพราะเมืองนี้มีกฎถ้าเข้ามาในเมืองก็ต้องรายงานตัวว่าเป็นใคร”แจจุงอธิบายร่ายยาวยูชอนก็พยักหน้ารับหงึกๆ
“เขียนชื่อสิยูชอน ....... แล้วก็เขียนคำร้องว่ากำลังตามหาพ่อแม่ที่หลงทางกันในเมสติโซ อันที่จริงนะวันนี้พ่อแม่ยูชอนก็น่าจะมาที่ลานนี้เวลาที่จ้าวรับคำร้องยูชอนก็คงตามหาพ่อแม่ได้เร็วขึ้น”
มือเรียวกำด้ามปากกาขนนกอย่างใช้ความคิด ถ้ายื่นคำร้องเท็จแล้วถูกจับได้จะเป็นยังไงนะ ...... ใบหน้าหวานฉายแววกังวลก่อนจะถูกแจจุงเร่งยิกๆบอกว่ามีคนต่อคิวรอเขียนคำร้องเยอะเลย ฮือ ..... ช่างเถอะคงไม่มีใครรู้หรอกว่าเป็นคำร้องเท็จน่ะ
“ท่านซามีร์จ้าวจะเข้ารับคำร้องตอนไหนหรอ”แจจุงเอ่ยถามกับผู้รับคำร้องอย่างสนิทสนมทำให้ยูชอนแอบเหล่มองเล็กน้อย
“ไม่นานหรอกเดี๋ยวจ้าวก็จะมาแล้วเห็นว่ามีเรื่องจะประกาศก็เลยมารับคำร้องด้วยตัวเอง”
“ช่วงนี้จ้าวยุ่งมากหรอท่านซามีร์ได้ข่าวว่าจ้าวเข้าวังบ่อยๆ”
“ก็ยุ่งนั่นแหละแต่เหมือนช่วงนี้จะใส่ใจหมู่บ้านเขตนอกเป็นพิเศษ ทั้งรีบไปกลับจากวังแล้วมาพักที่กระโจมเขตนอกบ่อยๆไม่รู้ว่ามีอะไรน่าสนใจ แต่ได้ข่าวมาว่าจ้าวติดหญิงงามล่ะ ว่ากันว่างามน่าหลงใหลแถมยังพยศจนจ้าวต้องคอยกำราบ ข้าว่า ...... อีกไม่นานคงจะมีงานมงคลเร็วๆนี้เตรียมตัวกันไว้ได้เลย ฮ่าฮ่า”
“งั้นหรือ!!! ไม่น่าเชื่อว่าจะมีผู้หญิงทำให้จ้าวสนอกสนใจได้ขนาดนี้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆข้าก็ร่วมยินดีกับจ้าวด้วยท่านจะได้มีความสุขเสียที”แจจุงพูดไปก็ยิ้มไป ดูหลงใหลและชื่นชมในตัวจ้าวมากทีเดียว
“ว่าแต่ ..... นี่เมียแกหรอแจจุง งามจนต้องเหลียวหลังจริงๆถึงว่าล่ะข้าเห็นไอ้พวกอาโซมันเมียงมองมาที่เมียเจ้าบ่อยๆ รีบๆประกาศซะล่ะว่านางเป็นคนของเจ้าไม่งั้นจะโดนหมาคาบไปนะ ฮ่าฮ่า อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
“บ้าน่าท่าน >//< นี่ผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง แต่ก็น่ารักจนข้าเองเข้าใจผิดในทีแรกเหมือนกัน”แจจุงพูดพร้อมกับหน้าแดงระเรื่อขึ้นทันตา
“อะแฮ่ม ...... เขียนเสร็จแล้วให้ทำไงต่อล่ะ”ยูชอนขัดขึ้นอย่างหงุดหงิดเล็กน้อยเนื่องจากบทสนทนาเมื่อกี้ตัวเขาเองได้ยินเต็มสองหูเชียวล่ะ
“ฮ่าฮ่า มาส่งที่ข้านี่ล่ะเจ้าชื่ออะไร .....”ใบหน้าของคนรับคำร้องมีแววหยอกเอินอะไรบางอย่างที่ยูชอนรู้สึกหงุดหงิดใจ อาจเพราะคำพูดเมื่อกี้ที่มันสะกิดต่อมโมโหกระมัง ได้ยินมาแต่เล็กจนโตยิ่งทำให้รู้สึกไม่พอใจได้ง่ายๆ
“ข้าชื่อยูชอน”น้ำเสียงที่ตอบไปติดจะโอหังไม่น้อยแต่ซามีร์กลับยิ้มชอบอกชอบใจชวนให้ยูชอนหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก
“ชื่อช่างเพราะเข้ากับใบหน้าเจ้าเหลือเกิน”
“แต่นิสัยข้าไม่เข้ากับทั้งหน้าตาแต่และชื่อหรอกนะ”ยูชอนจ้องเขม็งไปที่ซามีร์เพื่อให้รับรู้ว่าไม่ชอบที่ถูกมองว่าเป็นเหมือนผู้หญิง
“งั้นหรือ ..... เอาเถอะอย่างไรข้าจะรีบเอาคำร้องของยูชอนให้จ้าวพิจารณาแล้วกัน”น้ำเสียงก็ยังดูน่าโมโหอยู่ดี ยูชอนจึงรีบสะบัดหน้าหนีแล้วเดินย้อนกลับไปทางที่เดินมาโดยที่มีแจจุงเดินตามมาติดๆ
“ไม่พอใจอะไรหรอยูชอน .......”แจจุงจับข้อมือยูชอนไว้เพื่อรั้งไม่ให้เดินไปมั่วๆเพราะแรงอารมณ์
“ข้าไม่ชอบให้ใครมาทำกับข้าเหมือนเป็นผู้หญิง!!!”ใบหน้าของยูชอนหันขวับกลับมาพร้อมกับสะบัดข้อมือที่แจจุงจับกุมไว้ออก ใบหน้าขาวแดงระเรื่อน่ามองแต่เพราะกำลังโกรธแจจุงเลยไม่เผลอทำหน้าเคลิ้มอะไรไป
“อย่างนี้นี่เอง ..... แต่มันก็ช่วยไม่ได้หรอกเพราะหน้าของยูชอนน่ะหวานแถมรูปร่างก็ดูเพรียวไม่ได้บึกบึนเหมือนชายอกสามศอกทั่วๆไปนี่ ทีแรกข้าเองก็นึกว่าเจ้าเป็นหญิงงาม ฮ่าฮ่า”แจจุงหัวเราะเมื่อนึกถึงครั้งแรกที่เจอกัน ไม่ใช่ตอนที่ยูชอนรั้งเขาไว้เพื่อถามชื่อหมู่บ้านหรอกแต่แจจุงเห็นก่อนหน้านั้นก็เลยแกล้งทำเป็นเดินผ่านเพื่อที่จะได้มองให้ชัดมากขึ้นและก็ดันโชคดีที่ยูชอนเรียกเขาไว้ได้ตรงจังหวะ จึงได้มีโอกาสสำรวจคนตรงหน้า ถึงจะเสียดายที่เป็นผู้ชายแต่ที่เมสติโซนี่ก็ไม่มีกฎหมายห้ามชายรักชายเสียหน่อยดังนั้นก็ไม่ได้ผิดอะไรใช่ไหมล่ะ
“บอกไว้ก่อนนะแจจุง ...... ข้าไม่ชอบที่ใครจะมาคิดบ้าๆกับข้าแล้วอย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้า”ยูชอนข่มน้ำเสียงนุ่มนวลของตนให้ดูน่ากลัวแต่แจจุงกลับต้องกลั้นยิ้มแทบตายแล้วแสร้งทำเป็นพยักหน้าหงึกหงัก
.
.
.
“หนีมาได้แค่นี้เองหรือเชลยของข้า ...... ไม่เจอไม้แข็งเจ้าก็คงไม่รู้สึกสินะ”เสียงทรงอำนาจเอ่ยขึ้นในมุมหนึ่งของกระโจมที่ไม่ค่อยมีใครสังเกตมากนัก
“ให้เข้าไปจับตัวเลยไหมครับจ้าว”การีมคนสนิทเอ่ยถามเมื่อเห็นเชลยที่ถูกจับตัวไปกำลังยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย
“ไม่ต้องหรอกมีเรื่องสนุกให้ทำมากกว่าเข้าไปไล่จับคนดื้ออย่างนั้นตรงๆ ......... การีมให้ซามีร์ประกาศออกไปว่าข้าจะขึ้นรับคำร้องในอีกหนึ่งชั่วโมง”
“แล้วระหว่างนี้จ้าวจะทำอะไรครับ ทานอาหารสักหน่อยไม่ดีกว่าหรือจ้าวยังไม่ได้ทานตั้งแต่เมื่อคืนเลยนะครับ”
“ไม่ล่ะ เตรียมชุดธรรมดาๆให้ข้าสักชุดพร้อมกับผ้าคลุมหน้าด้วย”ถึงการีมจะแปลกใจเล็กน้อยกับคำสั่งแต่ก็พยักหน้ารับคำบัญชาแล้วเดินออกไปจากกระโจมที่อยู่ในเขตลานคำร้อง
.
.
.
TBC
ความคิดเห็น