ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic] 2U :: ม่านทราย

    ลำดับตอนที่ #5 : ม่านทราย :: Part 4

    • อัปเดตล่าสุด 18 ม.ค. 54


    Part 4

    พักนี้ไม่ค่อยได้เจอพี่เลยนะ   มีเรื่องยุ่งหรือ

    ไม่ยุ่งนักหรอกแล้วก็ ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไรเพียงแต่ช่วงนี้รู้สึกมีคนมายุ่งวุ่นวายในส่วนที่ข้าอยู่มากไป

    พี่ก็เลยมาหาผมเพราะเรื่องนี้ .....  มีเรื่องอยากถามหรือขอร้องใช่ไหมล่ะ

    อืม ....... อยากให้เจ้าช่วยปล่อยข่าวลือเกี่ยวกับขบวนเดินทางของนักท่องเที่ยวที่หายสาปสูญเมื่ออาทิตย์ก่อน

    เอ .... ปกติไม่เห็นพี่เคยสนใจนี่   แต่ช่างเถอะ .....  ยังไงเรื่องข่าวลือนั่นจะให้ปล่อยออกไปแนวไหนล่ะ    นักเดินทางหายสาปสูญที่หุบเขาคาโรว์ทั้งขบวนหรือถูกปล้นจากพวกกองโจรทะเลทรายดี

    ............ ขบวนเดินทางทุกคนเสียชีวิตเพราะถูกปล้นฆ่าจากกองโจรทะเลทราย  ไม่ปรากฏผู้รอดชีวิตสักราย  .....  ให้ข่าวเป็นไปในทางนี้

    ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ผมจะจัดการอย่างที่พี่ต้องการทุกอย่าง   แล้ววันนี้จะค้างไหมพระอาทิตย์ก็จะตกดินแล้วกลับไปคงดึกน่าดูเลย

    ไม่ล่ะ    ข้าจะกลับเลย   ชางมิน ......    ถ้าเจ้ามีปัญหาอะไรก็เรียกข้าให้ช่วยได้เสมอแล้วก็ระวังตัวจากราชิดด้วย   นิสัยขี้อิจฉาของมันไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนสักนิด   คงต้องไปแล้วล่ะ .... เมื่อมองไปที่บานหน้าต่างร่างสูงใหญ่กำยำจึงลุกออกจากโซฟาตัวหนาที่นั่งสนทนากับผู้ที่มีศักดิ์ไม่ต่างจากน้องหากแต่ไม่มีใครที่จะยอมรับหรือปฏิบัติต่อร่างสูงให้เท่าเทียมกับฐานะที่ควรจะมี

     ชางมินหรือเจ้าชายชามาห์มองตามแผ่นหลังกำยำของพระภาดา(ลูกพี่ลูกน้อง)จนร่างสูงหายลับไปพร้อมกับที่ทวารไม้ปิดลง     แผ่นหลังที่ดูเข้มแข็งแต่ต้องซ่อนความโดดเดี่ยวและโหยหาความรักไว้   ถึงแม้จะไม่เคยพูดหรือเรียกร้องอะไรให้ใครได้รับรู้   แต่อาจเป็นเพราะชางมินรู้จักคนๆนี้มานานและรู้ด้วยว่าตำแหน่งที่เขายืนอยู่ตรงนี้มันไม่ใช่ที่ๆเขาควรจะยืน     มันควรเป็นที่ของคนที่หันหลังจากไปเมื่อครู่ต่างหาก

    แต่โชคชะตาก็มักจะมาเล่นตลกกับคนเราอยู่บ่อยๆไม่ใช่หรือ  ..........

    .

    .

    .

    ทะเลทรายกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตากำลังอาบทอไปด้วยแสงสีแดงฉานของดวงอาทิตย์บ่งบอกถึงเวลาใกล้ค่ำ    ร่างกำยำบนอาชาสีขาวกำลังควบม้าคู่ใจให้วิ่งเร็วขึ้นเพื่อไปยังที่หมายก่อนจะถึงมื้ออาหารของเชลยแสนดื้อดึงเสียก่อน    ไม่รู้ว่าป่านนี้จะป่วนผู้คนที่หุบเขาไปขนาดไหนแล้ว  นึกแล้วร่างสูงก็รีบกระตุกม้าให้วิ่งทะยานไปตามเส้นทางที่คุ้นชินถึงแม้ตลอดทางจะถูกปกคลุมไปด้วยทะเลทรายก็ตาม

    .

    .

    .

    “นี่ .....  นี่!!!  ข้าเรียกเจ้าน่ะเป็นใบ้รึไง!!!    ข้าคุยกับใครก็ไม่มีคนตอบข้าสักคนหรือว่าเจ้านายพวกเจ้าจะซ่องสุมแต่พวกบ้าใบ้ไว้  เอ้ะ .....  พูดด้วยแล้วยังจะเดินหนีอีกคนที่นี่เป็นอะไรกันไปหมด”เชลยตัวแสบออกมาจากกระโจมในเวลาพลบค่ำด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่านหลังจากวันนี้ทั้งวันยังไม่สามารถทำให้ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของเจ้าแห่งทะเลทรายพูดกับเขาได้สักคน

    “ชิ   ไม่พูดก็ไม่ต้องพูดนะไม่ต้องพูดให้มันได้ตลอดแล้วกัน”ปากอิ่มสวยขมุบขมิบไปมาพร้อมกับบ่นโน้นนี่ไปตลอดทางจนไม่ได้รู้ว่าเดินออกมานอกเส้นทางที่เคยสำรวจ

    ตากลมสวยมองไปรอบๆสถานที่ๆไม่คุ้นชินนักก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเนื่องจากเส้นทางที่จะเดินไปนั้นราวกับจะตรงเข้าไปในหมู่บ้านใดสักแห่ง     ใบหน้าขาวหันมองไปรอบๆก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปยังชุมชนที่ถูกแอบซ่อนไว้

    .

    .

    .

    “เชลยหาย!!!    ทำอีท่าไหนการีม!!!”เสียงทรงอำนาจดูไม่สบอารมณ์หลังจากคนสนิทมาบอกว่าเชลยตัวแสบหายตัวไป

    “ขอโทษครับจ้าวผมสะเพร่าเอง”การีมก้มหน้าลงชิดอกอย่างสำนึกผิด     เจ้าแห่งทะเลทรายเบือนหน้าหนีก่อนจะบอกให้การีมไปป่าวประกาศบอกข้ารับใช้ให้ช่วยกันเร่งตามหา

    ร่างสูงใหญ่ยืนครุ่นคิดอยู่หน้ากระโจมที่เชลยแสนดื้อเคยพัก   ใบหน้าหล่อเข้มมีท่าทางครุ่นคิดและดูน่ากลัวยิ่งเมื่อดวงตาที่ราวกับเหยี่ยวนั้นตวัดมองไปตามเส้นทางต่างๆเล่นเอาผู้คนโดยรอบหลบสายตากันเป็นพัลวัน

    “หรือว่าจะเข้าไป .......” ด้วยความเร็วขายาวๆก็ก้าวฉับๆไปทันที   ใบหน้าที่เรียบเฉยถูกแต้มไปด้วยรอยยิ้มมุมปากที่ไม่สามารถคาดเดาความหมายอะไรได้

    .

    .

    .

    “นี่มัน ..... นี่มันหมู่บ้านชัดๆ  ฮ่าๆๆ   ไอ้โรคจิตนั่นต้องจับเรามาซ่อนไว้ที่เมืองไหนสักเมืองแน่ๆ ......  ว่าแต่มันรัฐไหนกันเนี่ยคนที่นี่ทำไมถึงไม่เหมือนกับที่อื่น .......”ตากลมใสมองผู้คนในหมู่บ้านอย่างแปลกใจเนื่องจากที่นี่ไม่เหมือนกับรัฐอื่นๆในประเทศ   ผู้หญิงก็ไม่ใส่ชุดมิดชิดปกคลุมใบหน้าแถมรูปหน้าของคนในหมู่บ้านนี้ก็ไม่เหมือนชาวทะเลทรายเท่าไรนัก   สีผิวเองก็เช่นกันถึงจะขาวไม่เท่ากับยูชอนแต่ก็ไม่ใช่สีผิวของชาวทะเลทราย   สีผิวที่ทำให้ยูชอน “ต่าง” จากคนอื่นๆและทำให้ยูชอน “แปลก” ไปจากผู้คนรอบข้าง 

    “ต้องเป็นเหมือนเราแน่ๆคนพวกนี้ ......”ตากลมใสหม่นแสงลงเพียงชั่วครู่ก่อนจะส่ายหน้าขับไล่ความคิดนั้นแล้วเดินเข้าไปในส่วนที่น่าจะเป็นแหล่งซื้อขายเนื่องจากมีคนอยู่มากมายทีเดียว

    “เอ่อ .... ขอโทษนะที่นี่คือที่ไหน   คือหมู่บ้านนี้ชื่ออะไร .....”ยูชอนรั้งชายแปลกหน้าที่น่าจะอายุไม่ต่างกันเท่าไหร่ไว้แล้วเอ่ยถาม    ชายคนนั้นมองกลับมาที่ยูชอนอย่างแปลกใจก่อนจะสำรวจยูชอนอย่างไม่คิดจะปิดบัง

    “ที่นี่อยู่ในหุบเขาคาโรว์ในรัฐซามาลแล้วหมู่บ้านเล็กๆที่เจ้าเห็นคนที่นี่ก็เรียกกันว่าเมสติโซ   ......   เจ้ารู้ความหมายของมันใช่ไหม .....??”

    “อื้อ .......  รู้สิ .....”พยักหน้ารับเพื่อบอกให้รู้ว่าเข้าใจความหมาย   ดวงตากลมใสหลุบต่ำลงเพื่อซ่อนความรู้สึกบางอย่างไว้    มือหนาของคนแปลกหน้าลูบลงที่กลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนของยูชอนเบาๆเพื่อเป็นการปลอบโยนหากแต่มือสวยกลับปัดมันออกด้วยสัญชาตญาณ

    “เอ่อ ....  ขอโทษที่เสียมารยาทกับเจ้านะ    ข้าชื่อแจจุงอยู่ที่หมู่บ้านนี้ตั้งแต่จำความได้ถ้าเจ้าเพิ่งเคยมาที่นี่งั้นไปพักที่บ้านข้าก่อนไหม”คนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันเอ่ยชวนยูชอน   ดวงตากลมใสมองคนตรงหน้าอย่างหวาดระแวง

    “............”

    “ข้ารู้ว่ามันแปลกที่คนเพิ่งเจอหน้ากันเอ่ยชวนไปแบบนั้น    แต่ที่นี่ .....  ถ้าเจ้ารู้ความหมายของคำว่า “ต่าง” ก็น่าจะเข้าใจจิตใจของพวกเราดีไม่ใช่หรอว่าการไม่เป็นที่ยอมรับและการโดนดูถูกมันเป็นยังไง     ไว้ใจข้าเถอะ ......”มือขาวของคนแปลกหน้าที่ชื่อแจจุงยื่นออกมาให้ยูชอน    ดวงตากลมใสมองมือขาวๆนั้นอย่างใช้ความคิดจนในตอนท้ายมือเรียวที่ขาวไม่ต่างกันก็ยื่นออกไปรับสัมผัส    แจจุงยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มที่สดใสแล้วจับมือยูชอนให้เดินไปตามทาง

    “แล้วเจ้าชื่ออะไรน่ะ ......”

    “ชื่อยูชอน   บ้านเจ้าอยู่ที่นี่หรอแล้วทำไมถึงเรียกที่นี่ว่าเมสติโซล่ะ”ยูชอนเอ่ยถามอย่างแปลกใจ

    “ความหมายก็แปลตรงตัวนั่นล่ะ  เมสติโซ ก็คือ ลูกครึ่งที่นี่เลยมีแต่พวกเลือดผสมที่พ่อแม่ทิ้งไว้บ้างหรือบางคนพ่อแม่เองก็เป็นเลือดผสมแล้วก็มีลูกน่ะ   คนที่เมสติโซน่ะมีไม่มากหรอกมีไม่ถึงสี่ร้อยคนด้วยซ้ำ     อาจเพราะที่นี่ไม่ใช่เมืองเปิดที่ใครจะเข้ามาได้ง่ายๆด้วยแหละข้าก็เลยรู้จักกับคนที่นี่แทบทุกคนเลยล่ะ   เจ้าน่ะเพิ่งเข้ามาสินะ .....  แล้วมาจากไหนล่ะใครพาเข้ามา   พ่อแม่เจ้ารึไง .....”

    “เอ่อ ...... อื้อ”พยักหน้ารับไว้ก่อนยังไม่รู้จะอธิบายว่าอย่างไรดีจะให้บอกว่าถูกเจ้าแห่งทะเลทรายจับตัวไว้แล้วดันเดินเล่นจนหลงเข้ามาในหมู่บ้านนี้ .......  ที่เป็นเมืองของพวกลูกครึ่ง

    “พ่อแม่เจ้าไปไหนแล้วล่ะ ......  หลงกันหรอ”

    “อื้อ .....  หลงกันนั่นแหละ”พยักหน้ารับอีกครั้งอย่างไม่รู้จะอธิบายยังไง

    “งั้นให้ข้าไปประกาศตามหาให้ไหม   ตอนนี้ไปพักแล้วหาอะไรกินที่บ้านข้าก่อนนี่ก็มืดค่ำแล้วไว้พรุ่งนี้เราค่อยไปที่ลานคำร้องแล้วค่อยให้ท่านซามีร์ช่วยเจ้าดีกว่า”แจจุงเอ่ยทุกอย่างคนเดียวเสร็จสรรพไม่ฟังความเห็นใดๆของยูชอนสักนิดก่อนจะหยุดเท้าลงที่หน้ากระโจมขนาดปานกลางหลังหนึ่ง

    “ถึงแล้วล่ะ .....  นี่แหละบ้านข้า”แจจุงเอ่ยบอกก่อนจะจูงมือยูชอนให้เข้าไปข้างในด้วยกัน

    พอเข้ามาข้างในกระโจมยูชอนก็เห็นว่าข้างในมีข้าวของเครื่องใช้วางเรียงรายไว้ในส่วนต่างๆอย่างเป็นระเบียบพอสมควร    ของทุกอย่างดูจากสภาพแล้วถึงแม้จะเก่าไปบ้างแต่ก็ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีทำให้รู้ว่าคนแปลกหน้าที่ชื่อ “แจจุง” เป็นคนมีระเบียบอยู่พอสมควร    แจจุงเป็นคนผิวขาวมากซึ่งก็ไม่ต่างกับยูชอนใบหน้าก็ดูหล่อเหลาแต่ก็มีบางมุมที่สวยมองแล้วก็ช่างเข้ากันอย่างลงตัวนับว่าเป็นคนที่มีเสน่ห์มากทีเดียว

    “อะน้ำเจ้าอยากได้นมแพะไหม .... ข้าจะอุ่นให้”แจจุงยื่นแก้วน้ำที่ทำจากดินเผาให้ยูชอน 

    “ขอบใจแค่นี้ก็พอแล้ว”มือเรียวขาวยื่นไปรับแก้วน้ำมาดื่ม

    “เจ้าเป็นคนที่ไหนล่ะ??”

    “เอ่อ ..... มาจากรัฐซาฮาร์ลน่ะ”ตากลมใสหลุบต่ำลงพร้อมกับแสร้งยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม

    “งั้นหรอ   เพิ่งเคยมาที่นี่ใช่ไหมล่ะเพราะข้าเพิ่งเคยเห็นหน้าเจ้า”ยูชอนหยักหน้ารับแทนการพูด

    “.........................”

    “อ่า ..... ข้าพูดมากไปหรือเปล่านี่  เดี๋ยวจะหาอะไรให้เจ้ากินนะ”แจจุงพูดจบก็ตรงเข้าไปในโซนที่น่าจะมีไว้เพื่อทำอาหาร   ยูชอนมองตามร่างสูงนั่นอย่างใช้ความคิด ...... แจจุงเป็นคนอัธยาศัยดีทีเดียว  ยิ้มเก่งและก็ดูจะเป็นคนเชื่อคนง่าย   เป็นคนที่น่าคบหาและน่าเข้าใกล้แตกต่างจากเจ้าคนยิ้มยากที่จับตัวเขามาเป็นเชลยจริงๆ   จะว่าไปแล้วป่านนี้จะวุ่นขนาดไหนกันนะคงกำลังตามหาเชลยอย่างเขาอยู่จนหน้าตายียวนนั่นแดงก่ำเพราะโมโหเลยล่ะสิท่า  หึหึ  หรือบางที ..... อาจจะไม่สนใจก็เป็นได้ก็แค่เชลยคนเดียวนี่นา

    คิดได้เท่านั้นใบหน้าของยูชอนก็สลดลงอย่างไม่รู้ตัว   ตากลมใสมองพื้นแล้วเขี่ยเท้าไปมา

    “เสร็จแล้วล่ะมากินได้แล้ว!!!”แจจุงกวักมือเรียกยูชอนให้ไปนั่งที่โต๊ะเล็กๆสำหรับทานอาหาร

    “ที่นี่มีหัวหน้าไหม”ระหว่างกำลังกินอยู่ยูชอนก็เอ่ยถามขึ้น

    “อื้อ  มีสิ ......  ถ้าพรุ่งจ้าวว่างก็จะมารับคำร้องของเจ้าด้วยตัวเองเลยล่ะแต่ว่าช่วงนี้จ้าวไม่ค่อยว่างนักหรอกเห็นว่าต้องเข้าไปในวังบ่อยๆ”

    “หือ ......  หัวหน้าของที่นี่เป็นคนในวังหรอ”ยูชอนถามขึ้นอย่างแปลกใจ

    “อื้อ ......  มีเรื่องซับซ้อนยิ่งกว่านั้นอีกแต่ว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยมีคนรู้หรอก  ต้องปิดเป็นความลับน่ะประวัติของจ้าวมีน้อยคนมากที่จะรู้แต่ข้าก็แอบรู้อะไรมาบ้างเล็กน้อยล่ะ  หึหึ”แจจุงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ออกมาอย่างภูมิใจ    ยูชอนขมวดคิ้วเล็กน้อย จ้าวงั้นหรอ  บังเอิญรึเปล่าที่เรียกเหมือนกับคนๆนั้น ........

    “รู้อะไรมาหรือแจจุง .......”

    “อย่าไปบอกใครล่ะข้าบอกเจ้าคนเดียวเพราะเจ้าน่ารักหรอกนะ”มือหนายื่นมาหยิกแก้มอูมขาวของยูชอนอย่างนึกหมั่นเขี้ยว   หยิกเพียงเบาๆเท่านั้นยูชอนจึงไม่ได้ปัดป้องออกไป

    “...........................”

    “จ้าวน่ะเป็นเลือดผสมเหมือนเราๆนั่นแหละแล้วก็รู้มาว่าจ้าวเกี่ยวข้องอะไรสักอย่างกับเชื้อพระวงศ์ด้วยแต่อันนี้ข้าก็ไม่รู้อะไรมากมาย   อาจเพราะว่าจ้าวเป็นเลือดผสมก็เลยสร้างที่นี่ขึ้นมาเพราะว่าสงสารคนที่เหมือนกันกับท่านล่ะมั้ง     ข้าว่าชีวิตจ้าวเองก็น่าสงสารนะแต่ก็ไม่รู้อะไรมากนักหรอก     คนอื่นๆน่ะกลัวจ้าวเพราะคิดว่าจ้าวโหดร้ายแต่ว่าตั้งแต่ข้าจำความได้จ้าวไม่เคยทิ้งคนในปกครองของจ้าวให้เจอเรื่องเดือดร้อนเลยสักครั้งท่านจะคอยช่วยพวกเราตลอด”

    “ฟังดูเป็นคนที่ดีมากเชียวล่ะ   ถ้าได้เจอสักครั้งข้าคงเข้าใจที่เจ้าพูดนะแจจุง”ยูชอนอมยิ้มกับท่าทางที่แจจุงเล่าถึง จ้าว อย่างไม่ปิดบังความชื่นชม   ช่างแตกต่างจาก จ้าวอีกคนที่ชอบยั่วโมโหและลามกนั่นเสียเหลือเกิน   ไม่มีทางที่จะเป็นคนๆเดียวกันไปได้แน่นอน

    .

    .

    .

    “เอ่อ  จ้าวครับ .....  หาจนทั่วแล้วครับแต่ว่าไม่พบเชลยของจ้าวเลย”

    “.............  ไม่เป็นไร”ใบหน้าเรียบเฉยที่ดูดุดันฉายแววครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูด “พรุ่งนี้ให้คนเข้าไปในเมสติโซไม่ต้องให้เอิกเกริกมากนัก   แค่สี่ห้าคนก็พอตอนนี้พวกเจ้าก็ไปพักผ่อนได้แล้ว”

    “ครับจ้าว .....”

    “ดื้อจริงๆเลยนะยูชอน    ยิ่งเจ้ารู้เกี่ยวกับตัวข้ามากเท่าไหร่เจ้าก็ยิ่งหนีไปจากข้าไม่ได้มากเท่านั้น   ความดื้อรั้นของเจ้าทำให้เป็นเหตุขึ้นมาซะแล้วเชลยของข้า ......”

    .

    .

    .

    สายของวันต่อมายูชอนก็ออกมานอกกระโจมพร้อมกับแจจุง    มือหนาของคนแปลกหน้าถือวิสาสะจับมือยูชอนไปตามทางเนื่องด้วยเหตุผล “กลัวหลงทาง” ของแจจุง   ยูชอนจึงปล่อยเลยตามเลย    ขาเรียวก้าวตามแจจุงไปในสถานที่ต่างๆในเมืองอย่างใคร่รู้สายตาก็คอยสอดส่องสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างสนใจ    ที่นี่แปลกตาจากที่อื่นๆที่ยูชอนเคยเห็นมาจริงๆโดยเฉพาะผู้คนที่มีเลือดผสม  ยิ่งมองไปทางใดก็ยิ่งรู้สึกถึงเสน่ห์อะไรบางอย่างถึงแม้ภาษาการพูดคุยส่วนมากที่ได้ยินจะเป็นภาษาพื้นเมืองที่เป็นเครื่องยืนยันได้ว่าเขายังอยู่ในประเทศที่เคยอาศัยอยู่แต่ใบหน้าของคนต่างๆนั้นทำให้เขาหลงคิดได้เลยว่ากำลังอยู่ในต่างแดนที่มีคนจากทั่วทุกมุมโลกมารวมตัวกัน

    “แปลกใช่ไหมล่ะ   แปลกแต่เจ้าก็รู้สึกคุ้นเคย”แจจุงหันมาพูดกับยูชอน

    “..................”ยูชอนไม่ตอบแต่กลับคิดตามที่แจจุงพูด

    แปลก ..... คงหมายถึงสถานที่ๆแปลกตา

    คุ้นเคย ..... คงหมายถึงผู้คนที่นี่  ที่มีเลือดผสมอย่างตัวเขาเองดังนั้นจึงรู้สึกคุ้นเคย   ไม่ทำให้รู้สึกแปลกแยกราวกับตัวประหลาด

    “อ่า .....  ถึงแล้วล่ะนี่ไงลานคำร้องเวลาคนที่นี่มีปัญหาอะไรก็จะมาที่ลานนี้แล้วไปเขียนคำร้องให้ผู้รับคำร้อง    คำร้องไหนที่รุนแรงมากที่สุดจะถูกรับพิจารณาและตัดสินก่อนไล่ลงไปเป็นคำร้องที่ระดับความรุนแรงลดลง     ไปเขียนคำร้องสิยูชอน   เอ .....  วันนี้ชักธงสีแดงแหะโชคดีสุดๆเลยล่ะยูชอน”แจจุงพูดจบก็ยิ้มกว้างแล้วตบไหล่ยูชอนสองสามทีเล่นเอายูชอนนิ่วหน้าเลยทีเดียว

    “โชคดีอะไร ......”

    “ก็ถ้าชักธงขาวก็เป็นสถานการณ์ปกติ   แต่ถ้าชักธงแดงแปลว่าวันนี้จ้าวจะมารับคำร้องและตัดสินด้วยตัวเอง   ถึงว่าล่ะวันนี้ผู้คนคับคั่งจริงๆยังไงก็รีบเข้าไปเขียนคำร้องเร็ว   โชคดีจริงๆมาได้แค่สองวันก็จะได้เจอจ้าวเลยหลังจากนี้ก็ต้องไปรายงานตัวกับผู้รักษาด่านนะเพราะเมืองนี้มีกฎถ้าเข้ามาในเมืองก็ต้องรายงานตัวว่าเป็นใคร”แจจุงอธิบายร่ายยาวยูชอนก็พยักหน้ารับหงึกๆ

    “เขียนชื่อสิยูชอน .......  แล้วก็เขียนคำร้องว่ากำลังตามหาพ่อแม่ที่หลงทางกันในเมสติโซ   อันที่จริงนะวันนี้พ่อแม่ยูชอนก็น่าจะมาที่ลานนี้เวลาที่จ้าวรับคำร้องยูชอนก็คงตามหาพ่อแม่ได้เร็วขึ้น”

    มือเรียวกำด้ามปากกาขนนกอย่างใช้ความคิด  ถ้ายื่นคำร้องเท็จแล้วถูกจับได้จะเป็นยังไงนะ ......  ใบหน้าหวานฉายแววกังวลก่อนจะถูกแจจุงเร่งยิกๆบอกว่ามีคนต่อคิวรอเขียนคำร้องเยอะเลย   ฮือ .....  ช่างเถอะคงไม่มีใครรู้หรอกว่าเป็นคำร้องเท็จน่ะ

    “ท่านซามีร์จ้าวจะเข้ารับคำร้องตอนไหนหรอ”แจจุงเอ่ยถามกับผู้รับคำร้องอย่างสนิทสนมทำให้ยูชอนแอบเหล่มองเล็กน้อย

    “ไม่นานหรอกเดี๋ยวจ้าวก็จะมาแล้วเห็นว่ามีเรื่องจะประกาศก็เลยมารับคำร้องด้วยตัวเอง”

    “ช่วงนี้จ้าวยุ่งมากหรอท่านซามีร์ได้ข่าวว่าจ้าวเข้าวังบ่อยๆ”

    “ก็ยุ่งนั่นแหละแต่เหมือนช่วงนี้จะใส่ใจหมู่บ้านเขตนอกเป็นพิเศษ   ทั้งรีบไปกลับจากวังแล้วมาพักที่กระโจมเขตนอกบ่อยๆไม่รู้ว่ามีอะไรน่าสนใจ    แต่ได้ข่าวมาว่าจ้าวติดหญิงงามล่ะ   ว่ากันว่างามน่าหลงใหลแถมยังพยศจนจ้าวต้องคอยกำราบ   ข้าว่า ...... อีกไม่นานคงจะมีงานมงคลเร็วๆนี้เตรียมตัวกันไว้ได้เลย   ฮ่าฮ่า”

    “งั้นหรือ!!!   ไม่น่าเชื่อว่าจะมีผู้หญิงทำให้จ้าวสนอกสนใจได้ขนาดนี้     ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆข้าก็ร่วมยินดีกับจ้าวด้วยท่านจะได้มีความสุขเสียที”แจจุงพูดไปก็ยิ้มไป   ดูหลงใหลและชื่นชมในตัวจ้าวมากทีเดียว

    “ว่าแต่ .....  นี่เมียแกหรอแจจุง   งามจนต้องเหลียวหลังจริงๆถึงว่าล่ะข้าเห็นไอ้พวกอาโซมันเมียงมองมาที่เมียเจ้าบ่อยๆ   รีบๆประกาศซะล่ะว่านางเป็นคนของเจ้าไม่งั้นจะโดนหมาคาบไปนะ  ฮ่าฮ่า  อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”

    “บ้าน่าท่าน >//<  นี่ผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง    แต่ก็น่ารักจนข้าเองเข้าใจผิดในทีแรกเหมือนกัน”แจจุงพูดพร้อมกับหน้าแดงระเรื่อขึ้นทันตา

    “อะแฮ่ม ......  เขียนเสร็จแล้วให้ทำไงต่อล่ะ”ยูชอนขัดขึ้นอย่างหงุดหงิดเล็กน้อยเนื่องจากบทสนทนาเมื่อกี้ตัวเขาเองได้ยินเต็มสองหูเชียวล่ะ

    “ฮ่าฮ่า   มาส่งที่ข้านี่ล่ะเจ้าชื่ออะไร .....”ใบหน้าของคนรับคำร้องมีแววหยอกเอินอะไรบางอย่างที่ยูชอนรู้สึกหงุดหงิดใจ   อาจเพราะคำพูดเมื่อกี้ที่มันสะกิดต่อมโมโหกระมัง   ได้ยินมาแต่เล็กจนโตยิ่งทำให้รู้สึกไม่พอใจได้ง่ายๆ

    “ข้าชื่อยูชอน”น้ำเสียงที่ตอบไปติดจะโอหังไม่น้อยแต่ซามีร์กลับยิ้มชอบอกชอบใจชวนให้ยูชอนหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก

    “ชื่อช่างเพราะเข้ากับใบหน้าเจ้าเหลือเกิน”

    “แต่นิสัยข้าไม่เข้ากับทั้งหน้าตาแต่และชื่อหรอกนะ”ยูชอนจ้องเขม็งไปที่ซามีร์เพื่อให้รับรู้ว่าไม่ชอบที่ถูกมองว่าเป็นเหมือนผู้หญิง

    “งั้นหรือ .....  เอาเถอะอย่างไรข้าจะรีบเอาคำร้องของยูชอนให้จ้าวพิจารณาแล้วกัน”น้ำเสียงก็ยังดูน่าโมโหอยู่ดี  ยูชอนจึงรีบสะบัดหน้าหนีแล้วเดินย้อนกลับไปทางที่เดินมาโดยที่มีแจจุงเดินตามมาติดๆ

    “ไม่พอใจอะไรหรอยูชอน .......”แจจุงจับข้อมือยูชอนไว้เพื่อรั้งไม่ให้เดินไปมั่วๆเพราะแรงอารมณ์

    “ข้าไม่ชอบให้ใครมาทำกับข้าเหมือนเป็นผู้หญิง!!!”ใบหน้าของยูชอนหันขวับกลับมาพร้อมกับสะบัดข้อมือที่แจจุงจับกุมไว้ออก   ใบหน้าขาวแดงระเรื่อน่ามองแต่เพราะกำลังโกรธแจจุงเลยไม่เผลอทำหน้าเคลิ้มอะไรไป

    “อย่างนี้นี่เอง .....  แต่มันก็ช่วยไม่ได้หรอกเพราะหน้าของยูชอนน่ะหวานแถมรูปร่างก็ดูเพรียวไม่ได้บึกบึนเหมือนชายอกสามศอกทั่วๆไปนี่    ทีแรกข้าเองก็นึกว่าเจ้าเป็นหญิงงาม   ฮ่าฮ่า”แจจุงหัวเราะเมื่อนึกถึงครั้งแรกที่เจอกัน    ไม่ใช่ตอนที่ยูชอนรั้งเขาไว้เพื่อถามชื่อหมู่บ้านหรอกแต่แจจุงเห็นก่อนหน้านั้นก็เลยแกล้งทำเป็นเดินผ่านเพื่อที่จะได้มองให้ชัดมากขึ้นและก็ดันโชคดีที่ยูชอนเรียกเขาไว้ได้ตรงจังหวะ   จึงได้มีโอกาสสำรวจคนตรงหน้า ถึงจะเสียดายที่เป็นผู้ชายแต่ที่เมสติโซนี่ก็ไม่มีกฎหมายห้ามชายรักชายเสียหน่อยดังนั้นก็ไม่ได้ผิดอะไรใช่ไหมล่ะ

    “บอกไว้ก่อนนะแจจุง ......  ข้าไม่ชอบที่ใครจะมาคิดบ้าๆกับข้าแล้วอย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้า”ยูชอนข่มน้ำเสียงนุ่มนวลของตนให้ดูน่ากลัวแต่แจจุงกลับต้องกลั้นยิ้มแทบตายแล้วแสร้งทำเป็นพยักหน้าหงึกหงัก

    .

    .

    .

    “หนีมาได้แค่นี้เองหรือเชลยของข้า ......  ไม่เจอไม้แข็งเจ้าก็คงไม่รู้สึกสินะ”เสียงทรงอำนาจเอ่ยขึ้นในมุมหนึ่งของกระโจมที่ไม่ค่อยมีใครสังเกตมากนัก

    “ให้เข้าไปจับตัวเลยไหมครับจ้าว”การีมคนสนิทเอ่ยถามเมื่อเห็นเชลยที่ถูกจับตัวไปกำลังยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย

    “ไม่ต้องหรอกมีเรื่องสนุกให้ทำมากกว่าเข้าไปไล่จับคนดื้ออย่างนั้นตรงๆ .........  การีมให้ซามีร์ประกาศออกไปว่าข้าจะขึ้นรับคำร้องในอีกหนึ่งชั่วโมง”

    “แล้วระหว่างนี้จ้าวจะทำอะไรครับ   ทานอาหารสักหน่อยไม่ดีกว่าหรือจ้าวยังไม่ได้ทานตั้งแต่เมื่อคืนเลยนะครับ”

    “ไม่ล่ะ   เตรียมชุดธรรมดาๆให้ข้าสักชุดพร้อมกับผ้าคลุมหน้าด้วย”ถึงการีมจะแปลกใจเล็กน้อยกับคำสั่งแต่ก็พยักหน้ารับคำบัญชาแล้วเดินออกไปจากกระโจมที่อยู่ในเขตลานคำร้อง

    .

    .

    .

    TBC

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×