คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : [Fic] TaoKacha ::〖My Status's เมียแต่ง〗► Chapter 2 ◄
► CHAPTER 2 ◄
‘All the world is a stage’
“บ้าแล้ว!! พ่อพูดอะไรรู้ตัวบ้างไหม!?”เสียงโวยวายดังขึ้นในห้องทำงานของประธานบริษัทแต่เช้าตรู่
“ถ้ามันฝืนแกนักแกก็คิดซะว่าเล่นละครฉากใหญ่อยู่ละกัน”แม้จะเป็นคำกล่าวเรียบๆแต่ใบหน้ามีอายุกลับฉายแววขำขันออกมาให้ลูกชายได้เห็น ชายมีอายุกำลังสนุกที่ได้เห็นลูกชายเต้นพล่านหลังจากที่ตลอดมาตนเองมักจะเป็นฝ่ายต้องเดือดร้อนเพราะความเสเพลของลูกชายคนนี้
“ละครบ้าอะไรล่ะพ่อ! ผู้ชายนะ ผมต้องแต่งงานกับผู้ชาย บ้าไปแล้ว ไม่เอาด้วยหรอก”ส่ายหัวปฏิเสธไม่เอาท่าเดียว
“แต่คนที่แกจะแต่งงานด้วยเป็นถึงลูกชายคนเดียวในเครือ K กรุ๊ปเชียวนะเจ้าเต๋า ฉันไม่ได้ไปเอาพวกโนเนมมาให้แกแต่ง”
“บ้าแล้ว ... บ้าไปแล้ว ... ผมต้องบ้าแน่ๆถ้ายอมแต่งตามที่พ่อบอก!”ร่างสูงขาวเดินเป็นหนูติดจั่นพร้อมกับพูดประโยคเดิมซ้ำๆ
“แกก็ทำตัวบ้าให้ฉันปวดหัวมาตลอดอยู่แล้วนะ”คำพูดเสียดสีของบิดาไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกผิดสักนิด
“ผมไม่แต่ง!”ยังคงยืนยันเสียงหนักแน่นแม้จะทำเป็นร้อยๆครั้งแล้วก็ตาม
“อีก 3 วันก็ถึงวันแต่งงานแล้วอย่ามาพูดมาก ... กลับห้องแกไปโหยหวนคนเดียวฉันจะทำงาน!”ท่านประธานบริษัทเอ่ยปากอย่างรำคาญแล้วโบกมือไล่ลูกชายให้ไสหัวออกไปพร้อมกับก้มหน้าทำเป็นอ่านแฟ้มงานที่เลขาวางเรียงไว้ให้พิจารณา
“พ่อ! ผมไม่ได้ล้อเล่นนะเนี่ยผมจริงจังนะ ผมบอกว่าไม่แต่งไง ยังไงก็ไม่แต่ง”พยายามทำเสียงจริงจังใส่บิดาแต่ในใจนึกหวาดหวั่นเป็นที่สุด
“ออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้เลยเจ้าเต๋า ..... ฉันเป็นพ่อแกนะ ถ้าฉันบังคับแกไม่ก็อย่ามาเรียกฉันว่าพ่อ หยุดทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโตสักที!”ตวาดใส่ลูกชายอย่างนึกรำคาญทำเอาใบหน้าขาวจัดถึงกับผงะค้าง
“ผมทำตัวไม่รู้จักโตตรงไหน ผมรับผิดชอบงานทุกอย่างได้ดีไม่ใช่หรอ .... ผมทำทุกอย่างได้ดีตั้งแต่เด็กๆ กับแค่เรื่องเที่ยวเล่นทำไมพ่อต้องมาบังคับให้ผมแต่งงานด้วย .... พ่อไม่รู้หรอว่าทำไมผมถึงพยายามทำตัวให้สมกับการเป็นผู้ใหญ่ แล้วพ่อยังมาบอกว่าผมไม่รู้จักโต .... พ่อรู้ความคิดผมบ้างไหม ... เคยคิดถึงความรู้สึกผมบ้างไหม!!?”พูดบอกกับบิดาอย่างอดรนทนไม่ไหวจึงได้ทิ้งทิ้งระเบิดคำพูดลงกลางห้องก่อนร่างสูงจะหุนหันก้าวยาวๆออกจากห้องไป
คล้อยหลังลูกชายที่เดินหนีออกไปด้วยความน้อยใจนั้น ใบหน้าที่ขึ้นร่องรอยตามกาลเวลาจึงค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองไล่หลังดวงตาเรียบสนิทมองประตูที่เพิ่งงับปิดลงอย่างยากจะคาดเดาความคิดได้ ..... ปิดแฟ้มที่ไม่ได้อ่านเลยสักอักษรเดียวลงแล้วเอนตัวลงพิงพนักเก้าอี้ทำงาน เปลือกตาค่อยๆปิดลงพร้อมกับเสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
“แกไม่รู้หรอกเจ้าเต๋า .... เพราะฉันเป็นพ่อแกฉันถึงทำกับแกแบบนี้ ฉันรักลูกชายที่เหลือเพียงคนเดียวของฉันมาก ฉันถึงบังคับแกแบบนี้ ....”
คงมีเพียง ‘เวลา’ เท่านั้นที่จะให้คำตอบกับความหวังดีที่ใครบางคนไม่เข้าใจมัน ........
เฟอร์รารี่สีแดงคันหรูขับปราดมาจอดที่หน้าประตูบ้านหลังหนึ่งอย่างรวดเร็วปานความเร็วแสง ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขามาที่นี่ ถึงจะมาครั้งแรกแต่อารมณ์แขกผู้มาเยือนไม่ได้มาด้วยความยินดีอะไรเลย มาเพราะต้องการจะเจรจากับคนที่โดนบังคับให้ต้องแต่งงานด้วยในอีก 3 ข้างหน้าเท่านั้น
ปริ้น ปริ้นนนนน
เสียงแตรรถดังสนั่นอยู่หน้าบ้านทำให้คนงานต้องวิ่งออกมาดูต้นเสียงอย่างสงสัย
“มาหาใครครับ”คนงานผู้ชายที่ท่าทางจะเป็นคนสวนเอ่ยถามแขกผู้มาเยือน
“นี่บ้านของคุณหญิงคนึงนิตย์ใช่ไหม ....”กระจกรถเลื่อนลงเผยให้เห็นใบหน้าขาวจัดของชายหนุ่มที่ท่าทางดูดี
“ใช่ครับแต่ว่าคุณผู้หญิงไม่อยู่ เข้าบริษัทตั้งแต่ช่วงเช้าแล้วครับ”
“แล้วลูกชายเขาอยู่ไหม ....”
“เอ่อ คุณคชาอยู่ครับ ว่าแต่ ...”
“ถ้าอยู่ก็เปิดประตู!”ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรให้มากความกระจกรถถูกเลื่อนขึ้นเป็นการปิดบทสนทนา ใบหน้าขาวจัดมองตรงไปข้างหน้าด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ
รถยนต์คันหรูเคลื่อนเข้ามาจอดอย่างรวดเร็วที่หน้าทางเข้าบ้าน ร่างสูงขาวยืนพิจารณาบริเวณรอบบ้านอยูเพียงครู่เดียวก่อนจะหันไปสั่งคนงานให้พาเข้าไปหาคุณหนูของบ้านหลังนี้อย่างไม่รีรอ ถึงคนงานจะยังงงๆกับแขกผู้มาเยือนแต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี พาเดินไปที่ปีกขวาของบ้านมุ่งตรงไปที่ห้องกระจกใสที่คุณหนูชอบเข้ามานั่งเล่นเปียโนเป็นประจำ
เสียงเปียโนดังชัดขึ้นเรื่อยๆเมื่อก้าวเข้าไปใกล้ห้องๆหนึ่งซึ่งร่างสูงรู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาด ห้องกระจกที่มีม่านโปร่งติดไว้รอบทิศ เมื่อคนงานเปิดประตูเข้าไปก็เผยให้เห็นแผ่นหลังบอบบางของเด็กผู้ชายที่กำลังเล่นเปียโนอยู่ สายลมอ่อนพัดมากระทบเส้นผมดำขลับให้ปลิวไสว ร่างเล็กที่เล่นเปียโนอยู่ไม่ได้รับรู้ถึงการมาของแขกผู้มาเยือนยังคงบรรดาลเสียงเพลงเศร้าต่อไป หากแต่ท่วงทำนองเศร้าๆนั้นทำให้ร่างสูงนึกถึงใครบางคน ห้องกระจกใสนี้ เปียโนสีดำที่ตั้งเด่นตระหง่านกลางห้องนี้ ..... รู้สึกคุ้นตาเหลือเกิน
“คุณหนูครับ มีแขกมาขอพบครับ”คนงานเอ่ยขึ้นทำให้เสียงดนตรีหยุดลง ใบหน้าเรียวเล็กหันกลับมามองแล้วก็ต้องชะงักค้างเมื่อเห็นใครอีกคนยืนอยู่หน้าประตู
“.................”ไร้คำพูดหรือเสียงใดราวกับโลกหยุดชะงัก
“คุณหนูครับ ....”คนงานเรียกอีกครั้ง
“เอ่อ ... แป๊ปนึงนะ ขอฉัน ... อ่า ... เอ่อ ...”คำพูดตะกุกตะกักและท่าทางประหม่าอย่างเห็นได้ชัดของคนร่างเล็กทำให้คนงานมองอย่างแปลกใจ
“ขอฉันคุยกันเป็นการส่วนตัวได้ไหม”ร่างสูงพูดขึ้นเป็นการไล่ให้คนงานออกไปจากห้อง
“เอ่อ ...... เชิญคุณไปนั่งรอที่ห้องรับแขกสักครู่ เดี๋ยวจะตามไปครับ”รีบพูดบอกให้คนงานพาแขกไปรอที่ห้องรับแขกก่อน หากแต่ ...
“ไม่ต้องไปที่อื่นหรอก คุยที่นี่ก็ได้ แต่ขออยู่กันแค่สองคน”หันไปมองหน้าคนงานราวกับจะสื่อว่าออกไปได้แล้ว ดวงตาคู่นั้นทำเอาคนงานยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยอมถอยออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งห้องนี้ไว้ให้เหลือเพียงคนสองคนเท่านั้น
“.................”ท่าทางตกใจของคนร่างเล็กแสดงออกอย่างเด่นชัดทำให้ร่างสูงยกยิ้มหยันออกมาก่อนจะก้าวเดินเข้าไปใกล้
“ไง .... ว่าที่ภรรยาในอนาคต มาทำความรู้จักกันก่อนดีไหม .....”
“...................”ไม่มีคำพูดใดตอบกลับไปทั้งใบหน้าของร่างสูงอีกคนก็ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองด้วยซ้ำ
“รู้ใช่ไหมว่าฉันเป็นใคร ..... ก็ต้องรู้สิ ก็อีกแค่ 3 วันเราต้องเป็นดองกันแล้วนี่ ฉันอยากรู้ว่าทำไมพ่อฉันถึงได้มีความคิดให้ฉันแต่งงานกับผู้ชาย .... นายรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าทำไม ....”สายตาที่มองร่างเล็กเต็มไปด้วยความไม่พอใจ อีกคนก็เอาแต่ก้มหน้ามองพื้น คนมองจึงยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก
“......................”
“เป็นใบ้รึไง! แล้วหัดมองหน้าคนพูดด้วยนะ มารยาททางสังคมแค่นี้นายยังไม่รู้แล้วยังคิดจะมาแต่งงานกับฉัน หวังสูงไปหน่อยมั้ง”ยิ่งเห็นอีกคนไม่ตอบโต้อะไรร่างสูงก็ยิ่งได้ใจพูดจาแดกดันพร้อมกับก้าวเข้าใกล้อย่างคุกคาม มือหนาขาวจัดเชยคางเรียวขึ้นอย่างถือวิสาสะ ดวงตาคมดุมองใบหน้าเรียวเล็กด้วยสายตาบ่งชัดถึงความไม่ชอบและอาจจะถูกเกลียดเข้าให้แล้ว
“.......................”ดวงตาคู่นั้นเอ่อนองไปด้วยน้ำใสๆทำเอาคนมองถึงกับตกใจ ปล่อยมือที่จับคางเรียวเล็กไว้แล้วถอยหลังออกห่าง
“ทะ ทำไมแค่นี้ต้องร้องไห้ด้วย .... ฉันไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย .... ขอโทษ ถ้า ... ถ้าฉันพูดกับนายแรงไป”เอ่ยขอโทษอย่างเงอะงะเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ร่างสูงก้มตัวลงมองใบหน้าเรียวเล็กของอีกคนอย่างสงสัยว่ายังร้องไห้อยู่รึเปล่า แต่ก้มเท่าไหร่ก็ยังมองไม่เห็นจึงจำใจลงนั่งยองๆที่พื้นให้ได้เห็นใบหน้าอีกคนในมุมสูง
“....................”มือเรียวยกขึ้นปาดน้ำใสอย่างลวกๆ
“พูดแค่นี้ทำไมต้องร้องไห้ด้วย นายเป็นเด็กรึไง ....”
“ไม่ใช่สักหน่อย”ประโยคที่ตอบกลับมาทำให้คนฟังโล่งอก นึกว่าต้องแต่งงานกับคนพูดไม่เป็นซะแล้ว
“เข้าเรื่องเลยแล้วกัน .... ฉันจะมาถามว่าทำไมนายถึงยอมแต่งงานกับฉัน หรือว่านายเป็นเกย์ ...!!?”
“ไม่ใช่! .... สักหน่อย ....”
“ก็แล้วทำไมถึงยอมแต่งงานเล่า อย่ามาตอบแต่ไม่ใช่สักหน่อยๆอย่างเดียวสิ”ถามพร้อมกับนั่งขัดสมาธิลงที่พื้นเพราะเหนื่อยกับการนั่งยองๆ ชายหนุ่มในชุดสูทราคาแพงนั่งอยู่บนพื้นเงยหน้าคุยกับคนตัวเล็กที่นั่งบนเก้าอี้เปียโน ลองมองดูแล้วก็ให้ความรู้สึกขัดกันเล็กน้อยจึงทำให้ร่างเล็กหลุดยิ้มขำออกมา
“หัวเราะอะไร นี่นายเป็นเด็กรึไง! เดี๋ยวก็ร้องไห้เดี๋ยวก็ยิ้ม ฉันซีเรียสนะ!”ร่างสูงโวยวายขึ้นมาทันทีพร้อมกับทำหน้าไม่พอใจ ผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วทำท่าฮึดฮัด
“ไม่ได้เป็นเด็กสักหน่อย บรรลุนิติภาวะแล้วด้วย”ตอบกลับมาอย่างนั้นแล้วยืนขึ้นให้ร่างสูงดูเป็นการพิสูจน์ความสูง
“ นี่ยืนแล้วหรอเนี่ย”มองไล่สายตาอย่างพิจารณาแล้วส่ายหัวไปมาทำเอาอีกคนต้องตีหน้ายู่
“แล้วเห็นนั่งอยู่รึไง”เถียงกลับเบาๆแต่อีกคนได้ยินชัดเจน
“พอเริ่มพูดนี่ก็เถียงไฟแลบเลยนะ .... จึ้! เข้าประเด็นเลยดีกว่า”หงุดหงิดในตอนแรกแต่ก็พยายามควบคุมอารมณ์ไว้ ปรับโหมดมาเป็นจริงจังด้วยใบหน้าซีเรียส
“....................”
“ปฏิเสธการแต่งงานที่จะมีขึ้นในไม่ช้านี้ซะ ฉันเองก็จะปฏิเสธเหมือนกัน ...... เข้าใจที่ฉันพูดนะ ..... ยังไงฉันก็รับไม่ได้ที่จะต้องมาแต่งงานกับผู้ชาย ... เอาเป็นว่าตกลงตามนี้”พยายามอธิบายให้อีกคนฟังด้วยใบหน้าจริงจังไม่เห็นด้วย
“.........................”อีกคนก็ได้แต่รับฟังและไม่แสดงสีหน้าตอบรับอะไรไป
“เห้ย! นี่นายเข้าใจที่ฉันพูดไหมเนี่ย พยักหน้าหรือตอบตกลงเซ่ .... ไม่งั้นฉันจะคิดว่านายหลงรักฉันนะถึงได้ให้พ่อมาบังคับให้ฉันแต่งงานด้วยเนี่ย”ทนรอคำตอบจากอีกฝ่ายไม่ไหวตามประสาคนใจร้อน ร่างสูงเลยโพล่งพูดออกไปอย่างนั้น
“คิดอย่างนั้นก็ตามใจเถอะ ....”ไหล่เล็กไหวขึ้นเล็กน้อยโดยที่สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมาให้เห็นเลย
“นี่นายคิดจะตีหน้าตายตอบฉันอย่างนี้นะหรอ หะ!? ยังไงก็ต้องทำตามที่ฉันพูดนะ .... ปฏิเสธไปซะ เข้าใจใช่ไหม ...”เดินตามหลังร่างเล็กที่ตัดสินใจเดินหนีออกมาอย่างรบเร้าจะฟังคำตอบ
“คนพูดด้วยก็ต้องหันหน้ามามองสิ ไม่มีมารยาทจริงๆ เห้ย! ไอ้ตัวเล็ก!!!”โพล่งเรียกอีกคนอย่างโมโหทำให้ขาเรียวที่ก้าวเดินหยุดชะงักทันที
“ฉันมีชื่อนะ .... อย่ามาเรียกคนอื่นว่าไอ้ตัวเล็ก คนมีมารยาทเขาไม่ทำแบบนี้กันหรอก”โดนสวนตอกกลับไปทำเอาร่างสูงหน้าชาไปชั่วแวบหนึ่ง
“นั่นล่ะ .... ฉันพูดกับนายดีๆแล้วมาเดินหนีกันแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนก็เลยเผลอทำเรื่องเสียมารยาทกับนายไง ปกติฉันไม่ใช่คนแบบนี้สักหน่อย”เถียงข้างๆคูๆจนอีกคนต้องส่ายหน้าให้ด้วยความขี้เกียจต่อความยาวสาวความยืด
“กลับไปเถอะถ้าจะมาพูดเรื่องนี้อย่างเดียว ยังไงทางผู้ใหญ่เขาก็จัดการทุกอย่างกันเสร็จหมดแล้ว พวกเราก็แค่เล่นละครไปตามบทที่ได้เท่านั้นเอง”ร่างเล็กพูดบอกโดยที่เดินนำอยู่ข้างหน้า ไม่คิดจะหันมามองคู่สนทนาที่เดินตามต้อยๆอยู่ข้างหลังสักนิด คนแสนใจร้อนและเอาแต่ใจตัวเองเป็นที่หนึ่งเลยไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก
“ให้เล่นละครน่ะฉันพอทำได้หรอกนะ แต่ถ้าถึงต้องแต่งงานกับผู้ชายจริงๆฉันรับไม่ได้ .... แล้วนายคิดว่าพวกเราเป็นใคร ไม่ใช่พวกไก่กาสักหน่อย มีหวังได้ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์แน่”ก้าวยาวๆมายืนตรงหน้าอีกคนเพื่อรั้งไว้ รู้สึกได้ว่าร่างเล็กกำลังหลบหน้าหรือไม่อยากเห็นหน้าเขาอยู่เพราะตลอดมาคนตรงหน้าก็เอาแต่ก้มหน้ามองพื้นไม่ก็เดินหนีไปทางอื่น เห็นได้ชัดว่าพยายามหลบหน้าเขา
“ก็ ....... ก็แค่เล่นละคร .....”และก็เป็นอย่างที่ร่างสูงคิด พอมายืนดักหน้าเพื่อเผชิญหน้า ใบหน้าเรียวเล็กนั่นก็เบนหลบลงไปมองพื้น ราวกับว่าพื้นกระเบื้องนั่นน่ามองกว่าหน้าตาหล่อๆของเขา
“ฉันมาทำข้อตกลงกับนายนะไม่เข้าใจรึไง ...... ยังยืนยันที่จะแต่งงานกับฉันอยู่งั้นหรอ .... เหอะ! นี่นายเป็นเกย์รึไง หลงเสน่ห์ฉันมากนักหรอ!! ฉันบอกไว้เลยนะถ้าคิดว่าการแต่งงานมันจะผูกมัดฉันไว้กับนายได้ นายคิดผิดถนัด!! นรกเป็นยังไงนายจะได้รู้หลังจากแต่งงานกับฉันแน่ๆ ฉันเตือนนายไว้เลย ....”พูดข่มขู่อีกคนด้วยคำพูดและท่าทางที่ไม่เป็นมิตร ใบหน้าขาวดูจริงจังน่ากลัว ก้าวเดินเข้าใกล้ร่างเล็กอย่างคุกคาม ใช้สายตาดุกรีดแทงให้คนถูกมองรู้สึกหวาดกลัว หากแต่ดวงตาของอีกฝ่ายก็พยายามแต่จะมองที่พื้นด้านล่างท่าเดียว
“คชา นนทนันท์ .... นายจำไว้เลยนะว่าการแต่งงานครั้งนี้มันก็คือนรกดีๆของนาย ในเมื่อฉันถูกบังคับให้แต่งงาน .... ฉันก็จะทำให้นายรู้สึกเหมือนตกนรกอย่างที่ฉันกำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้ จำไว้เลย ......”ทิ้งสายตาดูถูกไว้ให้อีกคนได้หวาดหวั่นก่อนจะเดินจากไป เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มขึ้นก่อนจะค่อยๆหายไปโดยที่แขกผู้มาเยือนจากไปแล้ว
“เห้ออออออออ ......”ลับหลังร่างสูง ร่างเล็กก็แทบจะทรุดลงไปนั่งกองที่พื้น โชคดีที่เอนตัวพิงกำแพงได้ทัน มือเรียวเข้ากอบกุมที่หน้าอกตำแหน่งหัวใจ อวัยวะที่ทำหน้าที่สูบฉีดเลือดตอนนี้กำลังทำหน้าที่ของมันอย่างหนัก จังหวะการเต้นของมันราวกับคนเพิ่งวิ่งขึ้นทางหนีไฟได้ 50 ชั้น มันเต้นเร็วและรัวจนเจ้าของนึกว่าจะไม่มีชีวิตรอดจาการเผชิญหน้าเมื่อกี้เสียแล้ว
“เหมือน ..... เหมือนมาก แต่ว่าไม่ใช่ .... ไม่ใช่นะคชา ....”
งานแต่งงานแบบไม่มีพิธีรีตองอะไรมากถูกจัดขึ้นในอีก 3 วันต่อมา นายทะเบียนถูกเชิญมาที่บ้านของคุณหญิงคนึงนิตย์เพื่อให้คนทั้งคู่ได้จดทะเบียนสมรสกันนอกที่ว่าการ ในห้องที่มีทุกคนนั่งอยู่มีนักข่าวไม่กี่สำนักกำลังถ่ายรูปอยู่ ใบหน้าหล่อขาวไม่ได้บ่งบอกถึงความปรีติยินดีใดๆให้เห็นยิ่งสร้างความฉงนให้สื่อไม่น้อยจึงพากันกดรัวชัตเตอร์จนเกิดแสงแฟลชวูบวาบไปทั่วห้องโถงขณะรอฤกษ์ในการจดทะเบียน ใบหน้าเรียวเล็กของอีกฝ่ายก็นิ่งสนิทยากจะขาดเดาได้ว่ากำลังรู้สึกเช่นไรเช่นกัน
“เดี๋ยวนายจะได้รู้ลืมไปเลยว่าความสุขบนโลกนี้มันเป็นยังไง ฉันเตือนนายแล้วนะว่าแต่งกับฉัน .... ไม่มีทางที่นายจะมีความสุขอย่างที่คิดแน่นอน”ร่างสูงพูดบอกอีกฝ่ายรอดไรฟันขณะที่ทั้งคู่นั่งใกล้กันให้นักข่าวถ่ายรูป
“..............”ไม่มีเสียงตอบรับใดๆกลับมาเช่นเดิม ชวนให้อีกฝ่ายคิดว่ากำลังเข้าพิธีกับคนใบ้
“ไม่พูดก็ไม่ต้องพูดให้มันตลอดนะ อย่าให้เห็นว่านายมาเถียงฉันฉอดๆอีก”
“.................”และยังคงเป็นเช่นเดิม ไร้ซึ่งคำพูดหลุดลอยให้ได้ยินยิ่งช่วยเพิ่มความกรุ่นโกรธให้ร่างสูงมากขึ้นเป็นกอง
“หึ่ย .....”เมื่อคู่สนทนาไม่ยอมตอบกลับอะไรมามันก็ไม่ต่างกับเขาพูดคนเดียว ร่างสูงจึงได้แต่ฟึดฟัดอยู่คนเดียวเบาๆก่อนที่จะถึงเวลาจดทะเบียนสมรส แสงแฟลชยิ่งวูบวาบจนสายตาคนทั้งคู่แทบจะพร่าเลือนเมื่อจรดปลายปากกาลงบนกระดาษสีขาวที่เป็นดั่งโซ่ตรวนผูกพันธะให้คนทั้งสองต้องเกี่ยวดองกันอย่างจำใจ ใบหน้าขาวจัดราวกับแบกโลกทั้งใบไว้บนบ่าเมื่อพิธีทุกอย่างสิ้นสุดลง ทางฝ่ายคุณหญิงออกไปส่งนายทะเบียนที่ได้เชิญมาขณะที่ร่างสูงสบสายตากับบิดาที่มองมาอย่างปรามๆในท่าทีของเขา
“จบพิธีแล้วผมขอตัวกลับเลยละกัน สมใจอยากอยากพ่อแล้วนี่ ....”ร่างสูงลุกขึ้นยืนพร้อมกับปลดกระดุมคอเสื้อออกอย่างลวกๆขณะที่พูดแดกดัน
“จะกลับไปคนเดียวได้ยังไง เมียแกเขาจะย้ายเข้าไปอยู่กับแกด้วย ..... รอเขาเก็บของแล้วกลับคอนโดพร้อมกัน”บิดาของร่างสูงเอ่ยปากสั่งอีกครั้งทำเอาคนฟังชักสีหน้าไม่พอใจทันที
“ได้ไงล่ะพ่อ!! ผมก็ยอมแต่งงานให้แล้วไง แล้วทำไมต้องให้เขาย้ายมาอยู่ห้องผมด้วย”
“แล้วคู่แต่งงานที่ไหนเขาแยกกันอยู่หะ ยิ่งช่วงแต่งงานแรกๆนี่ต้องตัวติดกันยังกับตังเม ถ้านักข่าวรู้ว่าแกแยกกันอยู่มีหวังได้ประโคมข่าวใส่สีกันมันแน่”
“แค่นี้ยังไม่มันอีกหรอ พ่อจับผมแต่งงานกับผู้ชายเพราะธุรกิจนี่กอซซิบกันไปอีก 10 ปีเลยเหอะ”
“นินทาเรื่องที่ฉันอยากให้นินทาฉันไม่สนใจหรอกนะ แต่ถ้านินทากันเรื่องที่ฉันไม่ชอบนี่มันไม่สนุกด้วยหรอก!”
“โอยพ่อ จะมากไปแล้วนะ .....เห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องสนุกรึไง”ร่างสูงพูดเสียงดังอย่างหงุดหงิด เป็นการประทะคารมของสองพ่อลูกที่บุคคลที่สามเพิ่งได้เห็นครั้งแรก ใบหน้าเรียวเล็กมองสลับไปมาระหว่างคนทั้งสองอย่างแปลกใจ ถึงจะทะเลาะกันอยู่แต่ไม่ได้รู้สึกว่าทั้งคู่จะเกลียดกันได้เลย อาจเพราะความเป็นพ่อลูกกันด้วยละมั้ง
“เสียงดังอะไรกันหรอคะ”คุณหญิงคนึงนิตย์มารดาของคชาเดินเข้ามาถามขณะเดินไปโอบไหล่ลูกชายคนเดียวของเธอไว้
“ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ก็แค่ปรึกษากันเสียงดังไปหน่อย”ท่านประธาน T กรุ๊ปพูดบอก
“คชาเก็บกระเป๋าเสร็จแล้วใช่ไหม ขึ้นไปเอาลงมาไปลูก”ถูกมารดาสั่งอย่างนั้นร่างเล็กจึงยอมลุกออกไปจากห้อง
“มาให้ฉันดูหน้าใกล้ๆสิ .....”คุณหญิงนั่งลงตรงโซฟาตัวยาวที่นายทะเบียนเคยนั่งแล้วกวักมือเรียกชายหนุ่มที่กลายมาเป็นคู่ชีวิตของลูกชายเธอแล้ว
“................”ร่างสูงยืนเงอะงะอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค้อมศีรษะเข้าไปนั่งใกล้
มือเรียวที่สวมเพชรเม็ดเป้งของคุณหญิงยกขึ้นสัมผัสเรือนหน้าของร่างสูง มองอย่างพิจารณาสังเกตอยู่ครู่หนึ่งจนร่างสูงรู้สึกอึดอัดจึงผละมือออก เบนสายตาไปมองบิดาของคนที่ตนเองสำรวจ
“เหมือนกันมากเลยนะคะ เหมือนจนฉันยังคิดว่าเป็นคนๆเดียวกัน .... ไม่น่าล่ะลูกชายฉันถึงยอมแต่งงานด้วยง่ายๆ”
“จะไม่เหมือนได้ยังไงล่ะครับคุณหญิงก็ในเมื่อพวกเขาเป็นพี่น้องกัน เป็นฝาแฝดที่คลานตามกันมาไม่กี่นาที”
“กำลังพูดเรื่องอะไรกันครับ .....”ร่างสูงโพล่งถามขึ้นเมื่องงกับบทสนทนาของผู้ใหญ่ทั้งสอง
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ .... เต๋า ... ต่อจากนี้ฝากดูแลลูกชายคนเดียวของฉันด้วยนะ เพราะฉันเชื่อว่าเขาเองก็จะดูแลเธอเหมือนกันและคิดว่าคงจะดูแลเธอได้ดีมากด้วย”
“.....................”ร่างสูงไม่กล้ารับปาก ทำเพียงหลุบสายตาลงมองมือที่คุณหญิงประคองจับไว้
“ฉันคงไม่ได้อยู่ไทยไปสักระยะนึงเลยและไม่รู้จะได้กลับมาเมื่อไหร่ ..... สิ่งเดียวที่ฉันเป็นห่วงมากที่สุดคือลูกชายของฉัน ฉันยกเขาให้เธอดูแลแล้ว ฝากด้วยนะ ไม่รักเขาก็คิดเสียว่าเขาเป็นน้องของเธออีกคนหนึ่ง”
“.......................”คำพูดฝากฝังจากผู้ใหญ่ทำให้ร่างสูงต้องเงยหน้ามองคนพูดอย่างสงสัย ทำไมต้องสั่งเสียไว้อย่างน่าห่วงอย่างนี้ด้วย ทำเหมือนจะไม่ได้กลับมาแล้วหรือว่าคำพูดให้พรในวันแต่งงานเขาพูดอย่างนี้กัน ...? ไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้ด้วยสิ
“อย่าห่วงไปเลยคุณหญิง ผมจะช่วยดูแลหนูคชาอีกแรงไม่มีอะไรน่าห่วงเลย”บิดาของร่างสูงเป็นฝ่ายเอ่ยรับปาก
“ยังไงก็ฝากด้วยนะ”พูดอย่างนั้นแล้วมองลึกเข้าไปในดวงตาของเด็กหนุ่ม
“..............”ไม่มีคำพูดใดตอบรับกลับไป สายตาลังเลนั้นทำให้รับรู้ได้ว่าชายหนุ่มไม่กล้าเอ่ยรับปากอะไรไป
“แค่อย่าทำร้ายจิตใจลูกชายฉันก็พอ อยู่กันอย่างเพื่อนหรือพี่น้องก็ได้ ฉันจะไม่ให้อภัยนะถ้าเธอทำร้ายให้เขาร้องไห้เสียใจ”
“ผมจะพยายามครับ”ในที่สุดก็ยอมรับปากเบาๆ
ไม่นานนักร่างเล็กที่ขึ้นไปเอากระเป๋าก็เดินลงมาพร้อมกับเด็กในบ้านที่ช่วยถือของลงมาด้วย ใบหน้าเรียวเล็กนิ่งเรียบอย่างที่เคยเป็นมาเสมอ ร่างสูงได้เห็นแล้วก็ต้องเบือนหน้าหนีอย่างไม่ชอบใจ คิดในใจว่ารับปากคุณหญิงไปแล้วแต่ก็ไม่รู้จะทำได้รึเปล่าแค่หน้าแค่นี้ก็ยังไม่อยากจะมอง จะทนไม่พูดจาร้ายๆใส่ได้นานแค่ไหนก็ไม่รู้ ..... คิดอย่างนั้นขณะเหลือบมองสังเกตไปทั่วบริเวณบ้านสายตาก็ไปสะดุดกับห้องกระจกใสทางปีกขวาที่เคยมาเยือนครั้งก่อนหน้านี้ .... ห้องเปียโน ..... ทำไมถึงคล้ายกันขนาดนี้ .... หรือมันเป็นแค่ความบังเอิญ ในเมื่อที่บ้านของร่างสูงเองก็มีห้องเปียโนเช่นกัน ห้องที่มีกระจกใสรอบล้อมพร้อมกับผ้าม่านโปร่ง .... ถึงแม้ว่าตอนนี้จะไม่ได้เปิดใช้งานมาหลายปีแต่ก็จำได้ดีว่าเคยมีห้องแบบนี้ที่บ้านของเขาเช่นกัน
“ไปกันได้แล้วเจ้าเต๋า พ่อจะไปส่งหนูคชาที่ห้องแกด้วย”บิดาเอ่ยเรียกให้ร่างสูงหันเหความสนใจกลับมา
“.............”ไม่พูดอะไรเพียงแต่ใช้สายตาเหล่ไปที่ใบหน้าเรียวเล็กก่อนจะพยักหน้ารับคำพูดของบิดา
“แม่จะไปอเมริกาเมื่อไหร่ครับ”คชาเอ่ยถามมารดาขณะที่มาส่งอยู่หน้าบ้าน
“ไม่เกินวันสองวันนี้หรอก .... ไม่ต้องห่วงแม่นะคชา แล้วก็พี่หมอเขาจะเรียนจบแล้วนะ อีกไม่นานก็คงได้กลับมาแล้ว แม่จะฝากของฝากมากับพี่เขา”
“ทำไมไม่ให้พี่หมอดูแลแม่ที่โน้นล่ะครับ”
“หมอที่โน้นเก่งๆก็มีเยอะแยะ แม่อยากให้พี่หมอเขามาอยู่ที่นี่คอยดูแลเราอีกคน แม่จะได้สบายใจ .... ไม่ต้องห่วงแม่นะ”ลูบกลุ่มผมดำสนิทของลูกชายอย่างอ่อนโยน
“ต้องกลับมานะครับ .... แม่ต้องกลับมานะ ....”เข้าสวมกอดมารดาไว้แล้วซบหน้าอย่างต้องการไออุ่นจากมารดา
“ดูแลตัวเองดีๆนะคชา ..... เข้มแข็งไว้นะลูก”
“....................”ภาพสองแม่ลูกกอดกันกลมที่หน้าประตูบ้านทำให้ร่างสูงมองอย่างแปลกใจก่อนจะพูดอย่างหมั่นไส้ขึ้นในรถ
“ทำเหมือนจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว สั่งเสียอะไรกันหนักหนาไม่เห็นคนรออยู่รึไง”
“พูดให้มันดีๆหน่อย หนูคชาเขาไม่เคยได้ห่างจากแม่เขา การที่เขาย้ายไปอยู่กับแกคุณหญิงเขาก็ต้องเป็นห่วงเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว รับปากแม่เขาแล้วนะว่าจะดูแลลูกชายเขา อย่าผิดคำพูดเชียวนะเจ้าเต๋า”
“พ่อก็รู้ว่าผมไม่ได้อยากรับปากสักหน่อย ....”
“แต่แกก็รับปากไปแล้ว”เจอบิดาสวนกลับมาอย่างนั้นทำให้ร่างสูงถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายเหลือบมองภาพสองแม่ลูกร่ำลากันแล้วก็ยิ่งหงุดหงิด
ถ้าทั้งโลกนี้เป็นดั่งโรงละครใหญ่อย่างที่วิลเลี่ยมเชกสเปียร์เขียนไว้ในบทกวี ต่อจากนี้โลกก็กำลังจะได้รับชมฉากละครฉากใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยได้มีมาในประวัติศาสตร์ ..... แต่บทละครจะเป็นอย่างไรต่อไปนั้น ..... ติดตามต่อไปก็เดี๋ยวจะได้รู้กันละครับ .... หึหึ
TBC.
ความคิดเห็น