คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ม่านทราย :: Part 1
ทรายยามกลางวันให้ความรู้สึกว่ามันสามารถแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างให้ค่อยๆตายลงตรงหน้าได้ทุกเวลา ทุกย่างก้าวที่เดินอยู่บนเนินทรายร้อนๆนี้ไม่สามารถหยุดการก้าวเดินของขบวนเดินทางได้เลย แสงอาทิตย์ที่ทักทายนักเดินทางกำลังส่องสว่างอยู่ในตำแหน่งที่ตรงกับศีรษะพอดี เหงื่อกาฬมากมายไหลซึมออกมาจากผิวกายแต่ด้วยร่างกายที่ใส่มิดชิดจึงทำให้สามารถรักษาน้ำในร่างกายไว้ได้ เหงื่อที่ชะโลมทั่วร่างกายนี้ไม่ได้มาจากอุณหภูมิที่สูงลิ่วเพียงอย่างเดียวหากแต่ยังเกิดจากความตึงเครียดเมื่อขบวนเดินทาง (ปลอม) กำลังผ่านเข้าเขตหุบเขาคาโรว์ที่ถูกเล่าขานถึงตำนานอันตรายมากมาย
มีเรื่องเล่าขานว่าถ้าขบวนเดินทางใดมีสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลแฝงมาในขบวน กองโจรเหยี่ยวทะเลทรายจะทิ้งหลักฐานถึงการต่อสู้ไว้พร้อมกับการหายสาบสูญของขบวนเดินทางนั้น ก่อนการปรากฏตัวของกองโจรจะมีเหยี่ยวทะเลทรายปรากฏตัวอยู่บนผืนฟ้าส่งเสียงร้องแหลมเป็นสัญญาณเตือนถึงการมา หลังจากนั้นไม่กี่นาทีกองโจรจะปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับการต่อสู้ซึ่งหลังจากนั้นขบวนเดินทางก็จะหายไปอย่างไร้ร่องรอยจะเหลือทิ้งไว้ก็แต่เสียงร้องของเหยี่ยวทะเลทราย ว่ากันว่าหัวหน้ากองโจรเป็นเจ้าของเหยี่ยวทะเลทรายตัวนั้น จึงได้มีชื่อเรียกหัวหน้ากองโจรว่า “เจ้าแห่งทะเลทราย”
อันตรายแค่ไหนขบวนเดินทางที่กำลังเสี่ยงอยู่นี้ต่างรู้ดี หากแต่มันไม่มีหนทางอื่นแล้วที่จะนำ ของ สิ่งนี้ส่งไปให้ถึง เขา ก็ถ้าไปไม่ถึง ..... ชีวิตที่ไร้ค่าของพวกเขาก็คงจบลง และก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น ความอาดูรต่อการจากไปของเขาน่ะหรือ ...... คนพวกนั้นจะยอมเสียน้ำตาให้บ้างหรือเปล่า ?? คงไม่มี ......
เสียงร้องของเหยี่ยวทะเลทรายดังขึ้นทำให้ทุกคนในขบวนเงยหน้าขึ้นมองบนฟ้าทันที แสงแดดจัดจ้านเป็นสิ่งแรกที่ทุกคนมองเห็นก่อนจะหรี่ตาเพื่อปรับสายตาให้ชินก่อนจะมองเห็นสิ่งที่ทุกคนภาวนาว่าคงจะไม่ใช่ แต่ดูเหมือนพระเจ้าจะไม่ฟังคำภาวนานี้เสียแล้ว ถึงจะไม่เคยมีใครเห็นเหยี่ยวทะเลทรายตัวนี้มาก่อน แต่ก็รับรู้ได้ดีว่านี่คือเหยี่ยวของเจ้าทะเลทรายแน่นอน
“ทุกคนคุ้มกัน!!!! คุ้มกันหมายเลขหนึ่ง!!!”เสียงร้องของหัวหน้าขบวนเดินทางตะโกนบอกพร้อมกับนักเดินทาง (ปลอม) หลายคนเข้าคุ้มกันบุคคลที่มีผ้าเนื้อดีคลุมไว้ครึ่งหน้า การอารักขา ของ สิ่งนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับพยายามเดินหน้าต่อไปแม้ว่าจะเป็นการดันทุรังแต่ทุกคนก็ยังหวังที่จะรอดออกไปเพื่อทำสิ่งที่ได้รับมอบหมายมาให้สำเร็จ .....
เสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับทีมอารักขาล้มลงไปทีละคน ทุกสายตากวาดมองไปทุกทางโดยรอบ ไม่มีวี่แววของตัวการในการยิงนี้ ไม่มีอะไรที่บ่งบอกหรือสามารถมองเห็นศัตรูได้ น่ากลัว ..... น่าเกรงขามอย่างที่ได้ยินมา
เสียงปืนสงบลงพร้อมกับนักท่องเที่ยวปลอมที่เหลือชีวิตอยู่แค่ห้าคน มือเรียวกระชับ ของ ที่อยู่ตรงหน้าอกไว้แน่น ดวงตากลมมองรอบๆอย่างระมัดระวัง ถึงจะไม่มีเสียงปืนแล้วแต่ก็เชื่อว่ายังไม่ปลอดภัย ศัตรูที่คุกคามนี้ยากที่จะเข้าใจว่ากำลังต้องการอะไร ฆ่าหน่วยอารักขาพวกนี้ทำไม ‘ตัวเขา’ ก็ไม่มีทางคิดว่ามันจะมาดีและยอมปล่อยพวกเขาไปได้ง่ายๆ
“หมายเลขหนึ่ง ..... ข้าต้องขอโทษที่อารักขาท่านไว้ไม่ได้ ถึง .... ต้องแลกด้วยชีวิต ท่าน .... ต้องนำ ของ นั้นไปให้ถึงมือ เขา นะ อึก .....”หัวหน้าขบวนเดินทางกล่าวก่อนค่อยๆล้มลงหลังจากการคุ้มครอง ของ ไว้ด้วยชีวิต
มือเรียวพยายามจะสัมผัสตัวหัวหน้าการเดินทางแต่ก็ถูกดันให้เดินหน้าหลบหนีการจู่โจมต่อไป ไม่มีเสียงปืน ไม่เสียงร้องของเหยี่ยวทะเลทราย ทำราวกับว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่ได้เกิดขึ้น ก็แค่ฝันไป ..... แต่จะไม่ให้เชื่อได้อย่างไร ในเมื่อขบวนเดินทางเหลืออยู่เพียงแค่สี่คนเท่านั้น เบื้องหลังที่จากมาก็มีร่องรอยของผู้ร่วมเดินทางที่จบชีวิตไปแล้วทั้งที่ไม่มีโอกาสได้เห็นแม้กระทั่งเห็นหน้าของบุคคลที่ปลิดชีพตน
“ท่านต้องไปให้ถึงรัฐซาฮาร์ลนะ .... หมายเลขหนึ่ง ข้าจะช่วยท่านให้สุดกำลังของข้า ข้าสาบาน”มือหนาที่กร้านแดดกร้านลมดึงดันแขนเรียวให้เดินหน้าต่อไป แรงกระชากมากมายทำให้คนโดนดึงต้องก้าวเดินต่อไปแม้จะไร้เรี่ยวแรง คนที่เดินทางมาด้วยเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนตายไปต่อหน้าต่อตาเขามากมายเป็นสิ่งที่ร่างสมส่วนนี้ไม่เคยได้พบเจอมาก่อน
“ท่าน ..... อย่ากลัว อย่าไปคิดถึงมัน ท่านอาสานำตัวท่านมาเอง ต้องทำให้ได้..... ทำให้พวกเขาเห็นสิว่าท่านทำได้ ท่านก็เป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา ทำได้แน่ ข้าเชื่อว่าท่านทำได้”ผู้ร่วมเดินทางคนเดิมบีบมือเรียวอย่างให้กำลังใจ ใบหน้าที่ถูกเรียกสติหันไปมองคนพูดก่อนที่ดวงตากลมใสจะพยักหน้ารับอย่างได้สติแล้วก้าวเดินต่อไปอย่างมุ่งมั่น
เสียงเหยี่ยวร้องขึ้นอีกครั้งเป็นสัญญาณถึงการโจมตีอีกครั้งหนึ่ง เสียงปืนดังสนั่นกัมปนาทไปทั่วดินแดนแห่งผืนทรายแม้ว่าขบวนเดินทางจะเหลือเพียงสี่คน สามคน ..... และสองคนแล้วในตอนนี้ มือเรียวสั่นไหวอย่างตื่นกลัวว่าเมื่อใดจะเป็นคราวของตน สองเท้าหยุดการเคลื่อนไหวทำให้อีกฝีเท้าต้องหยุดก้าวเดินไปด้วย ใบหน้าที่ถูกปิดบังไว้ครึ่งหนึ่งสะบัดไปมาอย่างหวาดกลัว
“ท่าน .... ได้โปรดเชื่อข้านะ ข้าจะปกป้องท่านและ ของ อย่างไม่กลัวตาย ท่านจะปลอดภัย เชื่อข้านะ ... อึก .....”ไม่ทันขาดคำเสียงปืนดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับร่างที่กำลังสัญญากระตุกเฮือกแต่ก็ยังยืนปกป้องอย่างมั่นคง
“ไม่ .... ไม่จริง .... อย่าตาย ..... ฮึก ..... ไม่”เสียงสั่นอย่างหวาดกลัว ตอนนี้ก็ไม่มีใครอีกแล้ว ปีศาจทะเลทรายยังไม่ยอมปรากฏตัวทั้งๆที่คร่าชีวิตผู้คนจนเหลือเขาเพียงคนเดียว ต่อจากนี้คงไม่มีทางอื่นแล้วนอกจากหนทางแห่งความตาย ถ้าอย่างนั้น ..... ขอเห็นใบหน้าปีศาจที่จะมาพรากลมหายใจเขาไปไม่ได้หรือ
“ฮึก ....... เจ้าพวกป่าเถื่อน พวกไร้อารยธรรม พวกเจ้าช่างขี้ขลาดนัก ลอบทำร้ายผู้อื่นไม่ต่างจากหมาลอบกัด ในเมื่อพวกเจ้าจะฆ่าข้าก็โผล่หน้าออกมาสิ เหลือแต่ข้าแล้วคงไม่คิดว่าข้าเพียงคนเดียวพวกเจ้าจะกลัวจนต้องลอบปลิดชีพหรอก นะ พวกคนขลาด .....”ตะโกนออกมาอย่างเหลืออดด้วยความคั่งแค้น แค้นใจ .... ที่ไม่สามารถทำอะไรได้อย่างที่คนพวกนั้นเคยสบประมาทไว้
บนยอดของเนินทรายปรากฏร่างใหญ่ที่กำลังขี่ม้าอยู่ตรงเนินทราย ดวงตากลมใสเพ่งมองก่อนจะเห็นว่าเงาที่เห็นจากที่ไกลออกไปนั้นค่อยๆใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ร่างใหญ่บนม้าสีดำสนิทนั้นสวมชุดกาลาไบยา (เป็นกางเกงขายาว กับเสื้อกรอมเท้า แขนกระบอก) มีผ้าคลุมที่หัวปิดจนเหลือแค่ดวงตาดุดันที่มองมายังร่างสมส่วนเบื้องล่าง
“ฮึ คนขลาดงั้นรึ ....... เจ้าบอกว่าพวกข้าเป็นคนขลาด ฮึฮึ ..... แล้วเจ้าล่ะไม่ขลาดเขลาเลยรึไงที่เข้ามาที่นี่โดยมีจุดประสงค์แอบแฝงแบบนี้ ด้วยการเดินทางมาที่นี่แล้วเจ้าไม่รู้รึไงว่าเขตหุบเขาคาโรว์เป็นของรัฐใดปกครอง”เสียงทรงอำนาจเอ่ยตอบกลับมา
“ข้ารู้ดี ..... แต่การฆ่าคนโดยไม่มีทางสู้แบบนี้มันไม่ใช่หนทางของนักรบที่ดีนี่ พวกเจ้ามันหมาลอบกัดชัดๆ!!!”
“ฮึฮึ เจ้านี่ช่างน่าขันนัก ไม่รู้หรือว่ากำลังพูดอยู่กับใคร ไม่รู้หรือว่าที่แห่งนี้มีกองโจรเหยี่ยวทะเลทรายปกครอง การเข้ามาในที่แห่งนี้โดยเจตนาไม่บริสุทธิ์ใจแล้วถูกลอบฆ่าเช่นนี้มันก็เป็นเรื่องที่ควรเกิดขึ้นแล้ว แถมพวกข้าเองก็ไม่ใช่นักรบที่ดีอะไรยังจะเป็นกองโจรด้วยซ้ำ จะมีเหตุผลอะไรไปฆ่าฟันผู้คนโดยเสี่ยงเอาตัวเองเข้าไปเจ็บตัว หึ”วาจาที่เอ่ยอย่างโหดเหี้ยมดังก้องไปทั่วผืนทราย มือเรียวกำกระชับผ้าที่ตนเองสวมใส่อย่างเคียดแค้น เจ้าโจรห้าร้อยตรงหน้าช่างมีวาจาน่าโมโห การยืดเวลาการตายของเขาคงไม่ได้ผล แต่ก่อนจะตายขอเอาคืนคนตรงหน้าบ้างเถอะ
ร่างสมส่วนก้มลงไปหยิบทรายร้อนๆขึ้นมาแล้วปาทรายใส่หน้าคนที่อยู่บนหลังม้าพร้อมกับผลักร่างสูงใหญ่ที่ไม่ทันระวังตัวให้หล่นจากหลังม้า ร่างสมส่วนติดจะไปทางเพรียวลมรีบโหนตัวขึ้นไปขี่บนหลังม้าพร้อมกับพยายามบังคับให้ม้าวิ่งทะยานไปข้างหน้า แต่ม้าสีดำตัวนี้กลับนิ่งสนิทไม่ขยับขาหรืออะไรก็ตามที่ร่างเพรียวต้องการ
“กล้ามากนะเจ้าน่ะ ว่าแต่พวกข้าป่าเถื่อน เจ้าเองก็ไม่ต่างจากพวกข้าเท่าไหร่หรอก”ร่างสูงใหญ่กระชากข้อมือเพรียวทีเดียวร่างสมส่วนก็ตกลงมานั่งกองอยู่บนพื้นทราย คนที่ตกจากหลังม้าแทบน้ำตาเล็ดจำต้องคลำก้นปอยๆแต่ก็นั่งได้ไม่นานเมื่อร่างสูงใหญ่กระชากมือเรียวมามัดไว้ทั้งข้าง แม้จะขัดขืนแต่ก็สู้แรงคนตัวโตกว่าไม่ได้แถมยิ่งดิ้นก็ยิ่งจะทำให้แรงรัดที่ข้อมือมีมากขึ้น
“จะทำอะไรน่ะ!!! ทำไมเจ้าไม่ฆ่าข้าให้ตายเหมือนที่ทำกับคนอื่นๆ”
“ฮึ .... ตายน่ะ มันไม่ทรมานเท่ากับถูกไต่สวนให้ค่อยๆทรมานแล้วคายความลับออกมาหรอกนะ และข้าก็ยังไม่รู้ว่าเจ้าเข้ามาที่นี่เพื่ออะไร”ใบหน้าที่คลุมด้วยผ้าสีดำไว้ยื่นเข้ามาใกล้ใบหน้ามอมแมมของเชลยอย่างสำรวจ
“ฝันไปเถอะ!!! ข้าไม่มีทางบอกอะไรกับเจ้าทั้งนั้น”ใบหน้ามอมแมมถอยหนีการสำรวจที่ทำให้รู้สึกไม่สู้ดีนัก
“งั้นหรอ ..... ตอนนี้เจ้าไม่บอกแต่ข้าและคนของข้ามีวิธีทำให้เจ้าพูดแล้วกัน ฮึฮึ”เสียงหัวเราะอย่างมั่นใจพร้อมกับเหวี่ยงร่างตนเองขึ้นไปบนอาชาสีดำก่อนจะกระตุกเชือกให้คนด้านร่างรู้สึกตัวว่าต้องขึ้นม้าตามมา
“ไม่!!! ข้าไม่ขึ้นแล้วก็ไม่ไปไหนกับโจรอย่างพวกเจ้าทั้งนั้น ข้ายอมตายที่นี่ดีกว่า”ร่างสมส่วนนั่งแหมะลงไปบนพื้นทราย แม้มือเรียวจะถูกเชือกมัดไว้ก็ยังไม่หมดหนทาง มือเรียวกำทรายอีกครั้งเพื่อเป็นอาวุธป้องกัน
“อย่าใช้วีธีเดิมกับข้าเพราะมันไม่ได้ผล ขึ้นม้ามากับข้าเดี๋ยวนี้นี่ข้าเตือนเจ้าดีๆนะอย่าให้ข้าต้องโมโหจนต้องใช้ความรุนแรง”เสียงเตือนนั้นทุ้มต่ำอย่างน่ากลัว ใบหน้ามอมแมมครุ่นคิดอย่างหนักก่อนจะยอมลุกขึ้นแต่โดยดีแล้วพยายามปีนขึ้นไปบนม้าที่คนตัวสูงใหญ่นั่งอยู่ ร่างสูงใหญ่เห็นท่าทางทุลักทุเลของเชลยเลยเอื้อมมือมาโอบเอวที่คิดว่าจะหนาแต่กลับบางราวกับผู้หญิงให้ขึ้นมานั่งซ้อนอยู่ด้านหน้า มือหนากระตุกม้าเบาๆทีเดียวเจ้าอาชาสีดำก็ออกเดินหน้าทันที
“ข้ามีคำถาม .....”เสียงนุ่มนวลแต่ดูงุนงงของเชลยเอ่ยขึ้น
“............”ไม่มีเสียงตอบกลับมา คนที่นั่งด้านหน้าจึงทำเสียงหงุดหงิดก่อนจะถามโดยไม่รอคำตอบ
“ทำไมตอนข้าจะหนีเมื่อกี้ม้าเจ้าไม่ยอมเดิน”
“ก็ม้าข้ามันมีความคิด ใครเป็นเจ้าของมัน มันก็ให้แต่เจ้าของขี่.....”เสียงที่ตอบมาดูเรียบนิ่งแต่สำหรับคนถามแล้วมันดูกวนอารมณ์เสียเหลือเกินแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ตอนนี้การรอดชีวิตและการรักษา ของ สิ่งนั้นไว้ได้ก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว ถึงต่อจากนี้จะต้องเจอบทลงโทษอะไรในฐานะที่เป็นเชลยก็คิดว่าจะต้องอดทนให้ถึงที่สุด ของ สิ่งนี้ต้องส่งไปให้ถึงมือ เขา
.
.
.
TBC
Me : ยังไงก็ช่วยติชมด้วยนะคะ ส่วนเรื่องไม่เข้าใจตรงไหนก็ขอให้ติดตามค่ะเนื่องจากตอนนี้ยังมีความลับที่ ยังไม่เปิดเผยอยู่ทั้งคู่เลย แหะๆ เมอร์รี่คริสต์มาสช้าไปหน่อยงั้นแฮ้ปปี้นิวเยียร์ล่วงหน้าค่ะ!!
ความคิดเห็น