ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic] 2U :: ม่านทราย

    ลำดับตอนที่ #2 : ม่านทราย :: Part 1

    • อัปเดตล่าสุด 4 ม.ค. 54


    Part 1

    ทรายยามกลางวันให้ความรู้สึกว่ามันสามารถแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างให้ค่อยๆตายลงตรงหน้าได้ทุกเวลา   ทุกย่างก้าวที่เดินอยู่บนเนินทรายร้อนๆนี้ไม่สามารถหยุดการก้าวเดินของขบวนเดินทางได้เลย    แสงอาทิตย์ที่ทักทายนักเดินทางกำลังส่องสว่างอยู่ในตำแหน่งที่ตรงกับศีรษะพอดี   เหงื่อกาฬมากมายไหลซึมออกมาจากผิวกายแต่ด้วยร่างกายที่ใส่มิดชิดจึงทำให้สามารถรักษาน้ำในร่างกายไว้ได้   เหงื่อที่ชะโลมทั่วร่างกายนี้ไม่ได้มาจากอุณหภูมิที่สูงลิ่วเพียงอย่างเดียวหากแต่ยังเกิดจากความตึงเครียดเมื่อขบวนเดินทาง (ปลอม) กำลังผ่านเข้าเขตหุบเขาคาโรว์ที่ถูกเล่าขานถึงตำนานอันตรายมากมาย

    มีเรื่องเล่าขานว่าถ้าขบวนเดินทางใดมีสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลแฝงมาในขบวน    กองโจรเหยี่ยวทะเลทรายจะทิ้งหลักฐานถึงการต่อสู้ไว้พร้อมกับการหายสาบสูญของขบวนเดินทางนั้น    ก่อนการปรากฏตัวของกองโจรจะมีเหยี่ยวทะเลทรายปรากฏตัวอยู่บนผืนฟ้าส่งเสียงร้องแหลมเป็นสัญญาณเตือนถึงการมา   หลังจากนั้นไม่กี่นาทีกองโจรจะปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับการต่อสู้ซึ่งหลังจากนั้นขบวนเดินทางก็จะหายไปอย่างไร้ร่องรอยจะเหลือทิ้งไว้ก็แต่เสียงร้องของเหยี่ยวทะเลทราย   ว่ากันว่าหัวหน้ากองโจรเป็นเจ้าของเหยี่ยวทะเลทรายตัวนั้น   จึงได้มีชื่อเรียกหัวหน้ากองโจรว่า “เจ้าแห่งทะเลทราย”

    อันตรายแค่ไหนขบวนเดินทางที่กำลังเสี่ยงอยู่นี้ต่างรู้ดี   หากแต่มันไม่มีหนทางอื่นแล้วที่จะนำ ของ สิ่งนี้ส่งไปให้ถึง เขา  ก็ถ้าไปไม่ถึง ..... ชีวิตที่ไร้ค่าของพวกเขาก็คงจบลง    และก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น   ความอาดูรต่อการจากไปของเขาน่ะหรือ ...... คนพวกนั้นจะยอมเสียน้ำตาให้บ้างหรือเปล่า ??  คงไม่มี ......

    เสียงร้องของเหยี่ยวทะเลทรายดังขึ้นทำให้ทุกคนในขบวนเงยหน้าขึ้นมองบนฟ้าทันที   แสงแดดจัดจ้านเป็นสิ่งแรกที่ทุกคนมองเห็นก่อนจะหรี่ตาเพื่อปรับสายตาให้ชินก่อนจะมองเห็นสิ่งที่ทุกคนภาวนาว่าคงจะไม่ใช่   แต่ดูเหมือนพระเจ้าจะไม่ฟังคำภาวนานี้เสียแล้ว   ถึงจะไม่เคยมีใครเห็นเหยี่ยวทะเลทรายตัวนี้มาก่อน แต่ก็รับรู้ได้ดีว่านี่คือเหยี่ยวของเจ้าทะเลทรายแน่นอน

    “ทุกคนคุ้มกัน!!!!   คุ้มกันหมายเลขหนึ่ง!!!”เสียงร้องของหัวหน้าขบวนเดินทางตะโกนบอกพร้อมกับนักเดินทาง (ปลอม) หลายคนเข้าคุ้มกันบุคคลที่มีผ้าเนื้อดีคลุมไว้ครึ่งหน้า   การอารักขา ของ สิ่งนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับพยายามเดินหน้าต่อไปแม้ว่าจะเป็นการดันทุรังแต่ทุกคนก็ยังหวังที่จะรอดออกไปเพื่อทำสิ่งที่ได้รับมอบหมายมาให้สำเร็จ  .....

    เสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับทีมอารักขาล้มลงไปทีละคน   ทุกสายตากวาดมองไปทุกทางโดยรอบ  ไม่มีวี่แววของตัวการในการยิงนี้   ไม่มีอะไรที่บ่งบอกหรือสามารถมองเห็นศัตรูได้    น่ากลัว .....  น่าเกรงขามอย่างที่ได้ยินมา

    เสียงปืนสงบลงพร้อมกับนักท่องเที่ยวปลอมที่เหลือชีวิตอยู่แค่ห้าคน    มือเรียวกระชับ ของ ที่อยู่ตรงหน้าอกไว้แน่น   ดวงตากลมมองรอบๆอย่างระมัดระวัง    ถึงจะไม่มีเสียงปืนแล้วแต่ก็เชื่อว่ายังไม่ปลอดภัย   ศัตรูที่คุกคามนี้ยากที่จะเข้าใจว่ากำลังต้องการอะไร  ฆ่าหน่วยอารักขาพวกนี้ทำไม   ตัวเขา ก็ไม่มีทางคิดว่ามันจะมาดีและยอมปล่อยพวกเขาไปได้ง่ายๆ

    “หมายเลขหนึ่ง ..... ข้าต้องขอโทษที่อารักขาท่านไว้ไม่ได้   ถึง .... ต้องแลกด้วยชีวิต  ท่าน .... ต้องนำ ของ นั้นไปให้ถึงมือ เขา นะ  อึก .....”หัวหน้าขบวนเดินทางกล่าวก่อนค่อยๆล้มลงหลังจากการคุ้มครอง ของ ไว้ด้วยชีวิต

    มือเรียวพยายามจะสัมผัสตัวหัวหน้าการเดินทางแต่ก็ถูกดันให้เดินหน้าหลบหนีการจู่โจมต่อไป   ไม่มีเสียงปืน  ไม่เสียงร้องของเหยี่ยวทะเลทราย  ทำราวกับว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่ได้เกิดขึ้น  ก็แค่ฝันไป .....  แต่จะไม่ให้เชื่อได้อย่างไร  ในเมื่อขบวนเดินทางเหลืออยู่เพียงแค่สี่คนเท่านั้น    เบื้องหลังที่จากมาก็มีร่องรอยของผู้ร่วมเดินทางที่จบชีวิตไปแล้วทั้งที่ไม่มีโอกาสได้เห็นแม้กระทั่งเห็นหน้าของบุคคลที่ปลิดชีพตน

    “ท่านต้องไปให้ถึงรัฐซาฮาร์ลนะ ....  หมายเลขหนึ่ง   ข้าจะช่วยท่านให้สุดกำลังของข้า  ข้าสาบาน”มือหนาที่กร้านแดดกร้านลมดึงดันแขนเรียวให้เดินหน้าต่อไป   แรงกระชากมากมายทำให้คนโดนดึงต้องก้าวเดินต่อไปแม้จะไร้เรี่ยวแรง   คนที่เดินทางมาด้วยเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนตายไปต่อหน้าต่อตาเขามากมายเป็นสิ่งที่ร่างสมส่วนนี้ไม่เคยได้พบเจอมาก่อน

    “ท่าน .....  อย่ากลัว  อย่าไปคิดถึงมัน   ท่านอาสานำตัวท่านมาเอง   ต้องทำให้ได้.....  ทำให้พวกเขาเห็นสิว่าท่านทำได้   ท่านก็เป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา  ทำได้แน่  ข้าเชื่อว่าท่านทำได้”ผู้ร่วมเดินทางคนเดิมบีบมือเรียวอย่างให้กำลังใจ   ใบหน้าที่ถูกเรียกสติหันไปมองคนพูดก่อนที่ดวงตากลมใสจะพยักหน้ารับอย่างได้สติแล้วก้าวเดินต่อไปอย่างมุ่งมั่น

    เสียงเหยี่ยวร้องขึ้นอีกครั้งเป็นสัญญาณถึงการโจมตีอีกครั้งหนึ่ง   เสียงปืนดังสนั่นกัมปนาทไปทั่วดินแดนแห่งผืนทรายแม้ว่าขบวนเดินทางจะเหลือเพียงสี่คน   สามคน ..... และสองคนแล้วในตอนนี้   มือเรียวสั่นไหวอย่างตื่นกลัวว่าเมื่อใดจะเป็นคราวของตน    สองเท้าหยุดการเคลื่อนไหวทำให้อีกฝีเท้าต้องหยุดก้าวเดินไปด้วย   ใบหน้าที่ถูกปิดบังไว้ครึ่งหนึ่งสะบัดไปมาอย่างหวาดกลัว

    “ท่าน ....  ได้โปรดเชื่อข้านะ   ข้าจะปกป้องท่านและ ของ อย่างไม่กลัวตาย  ท่านจะปลอดภัย  เชื่อข้านะ ... อึก .....”ไม่ทันขาดคำเสียงปืนดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับร่างที่กำลังสัญญากระตุกเฮือกแต่ก็ยังยืนปกป้องอย่างมั่นคง

    “ไม่ ....  ไม่จริง ....  อย่าตาย .....  ฮึก .....  ไม่”เสียงสั่นอย่างหวาดกลัว   ตอนนี้ก็ไม่มีใครอีกแล้ว   ปีศาจทะเลทรายยังไม่ยอมปรากฏตัวทั้งๆที่คร่าชีวิตผู้คนจนเหลือเขาเพียงคนเดียว   ต่อจากนี้คงไม่มีทางอื่นแล้วนอกจากหนทางแห่งความตาย  ถ้าอย่างนั้น ..... ขอเห็นใบหน้าปีศาจที่จะมาพรากลมหายใจเขาไปไม่ได้หรือ

    “ฮึก ....... เจ้าพวกป่าเถื่อน  พวกไร้อารยธรรม  พวกเจ้าช่างขี้ขลาดนัก  ลอบทำร้ายผู้อื่นไม่ต่างจากหมาลอบกัด   ในเมื่อพวกเจ้าจะฆ่าข้าก็โผล่หน้าออกมาสิ   เหลือแต่ข้าแล้วคงไม่คิดว่าข้าเพียงคนเดียวพวกเจ้าจะกลัวจนต้องลอบปลิดชีพหรอก นะ  พวกคนขลาด .....”ตะโกนออกมาอย่างเหลืออดด้วยความคั่งแค้น  แค้นใจ ....  ที่ไม่สามารถทำอะไรได้อย่างที่คนพวกนั้นเคยสบประมาทไว้

    บนยอดของเนินทรายปรากฏร่างใหญ่ที่กำลังขี่ม้าอยู่ตรงเนินทราย   ดวงตากลมใสเพ่งมองก่อนจะเห็นว่าเงาที่เห็นจากที่ไกลออกไปนั้นค่อยๆใกล้เข้ามาเรื่อยๆ     ร่างใหญ่บนม้าสีดำสนิทนั้นสวมชุดกาลาไบยา (เป็นกางเกงขายาว กับเสื้อกรอมเท้า แขนกระบอก) มีผ้าคลุมที่หัวปิดจนเหลือแค่ดวงตาดุดันที่มองมายังร่างสมส่วนเบื้องล่าง

    “ฮึ  คนขลาดงั้นรึ .......   เจ้าบอกว่าพวกข้าเป็นคนขลาด  ฮึฮึ .....  แล้วเจ้าล่ะไม่ขลาดเขลาเลยรึไงที่เข้ามาที่นี่โดยมีจุดประสงค์แอบแฝงแบบนี้    ด้วยการเดินทางมาที่นี่แล้วเจ้าไม่รู้รึไงว่าเขตหุบเขาคาโรว์เป็นของรัฐใดปกครอง”เสียงทรงอำนาจเอ่ยตอบกลับมา

    “ข้ารู้ดี .....  แต่การฆ่าคนโดยไม่มีทางสู้แบบนี้มันไม่ใช่หนทางของนักรบที่ดีนี่  พวกเจ้ามันหมาลอบกัดชัดๆ!!!

    “ฮึฮึ   เจ้านี่ช่างน่าขันนัก   ไม่รู้หรือว่ากำลังพูดอยู่กับใคร   ไม่รู้หรือว่าที่แห่งนี้มีกองโจรเหยี่ยวทะเลทรายปกครอง  การเข้ามาในที่แห่งนี้โดยเจตนาไม่บริสุทธิ์ใจแล้วถูกลอบฆ่าเช่นนี้มันก็เป็นเรื่องที่ควรเกิดขึ้นแล้ว  แถมพวกข้าเองก็ไม่ใช่นักรบที่ดีอะไรยังจะเป็นกองโจรด้วยซ้ำ  จะมีเหตุผลอะไรไปฆ่าฟันผู้คนโดยเสี่ยงเอาตัวเองเข้าไปเจ็บตัว  หึ”วาจาที่เอ่ยอย่างโหดเหี้ยมดังก้องไปทั่วผืนทราย   มือเรียวกำกระชับผ้าที่ตนเองสวมใส่อย่างเคียดแค้น   เจ้าโจรห้าร้อยตรงหน้าช่างมีวาจาน่าโมโห   การยืดเวลาการตายของเขาคงไม่ได้ผล   แต่ก่อนจะตายขอเอาคืนคนตรงหน้าบ้างเถอะ

    ร่างสมส่วนก้มลงไปหยิบทรายร้อนๆขึ้นมาแล้วปาทรายใส่หน้าคนที่อยู่บนหลังม้าพร้อมกับผลักร่างสูงใหญ่ที่ไม่ทันระวังตัวให้หล่นจากหลังม้า   ร่างสมส่วนติดจะไปทางเพรียวลมรีบโหนตัวขึ้นไปขี่บนหลังม้าพร้อมกับพยายามบังคับให้ม้าวิ่งทะยานไปข้างหน้า   แต่ม้าสีดำตัวนี้กลับนิ่งสนิทไม่ขยับขาหรืออะไรก็ตามที่ร่างเพรียวต้องการ

    “กล้ามากนะเจ้าน่ะ    ว่าแต่พวกข้าป่าเถื่อน  เจ้าเองก็ไม่ต่างจากพวกข้าเท่าไหร่หรอก”ร่างสูงใหญ่กระชากข้อมือเพรียวทีเดียวร่างสมส่วนก็ตกลงมานั่งกองอยู่บนพื้นทราย   คนที่ตกจากหลังม้าแทบน้ำตาเล็ดจำต้องคลำก้นปอยๆแต่ก็นั่งได้ไม่นานเมื่อร่างสูงใหญ่กระชากมือเรียวมามัดไว้ทั้งข้าง  แม้จะขัดขืนแต่ก็สู้แรงคนตัวโตกว่าไม่ได้แถมยิ่งดิ้นก็ยิ่งจะทำให้แรงรัดที่ข้อมือมีมากขึ้น

    “จะทำอะไรน่ะ!!!   ทำไมเจ้าไม่ฆ่าข้าให้ตายเหมือนที่ทำกับคนอื่นๆ”

    “ฮึ ....  ตายน่ะ  มันไม่ทรมานเท่ากับถูกไต่สวนให้ค่อยๆทรมานแล้วคายความลับออกมาหรอกนะ   และข้าก็ยังไม่รู้ว่าเจ้าเข้ามาที่นี่เพื่ออะไร”ใบหน้าที่คลุมด้วยผ้าสีดำไว้ยื่นเข้ามาใกล้ใบหน้ามอมแมมของเชลยอย่างสำรวจ 

    “ฝันไปเถอะ!!!  ข้าไม่มีทางบอกอะไรกับเจ้าทั้งนั้น”ใบหน้ามอมแมมถอยหนีการสำรวจที่ทำให้รู้สึกไม่สู้ดีนัก

    “งั้นหรอ .....  ตอนนี้เจ้าไม่บอกแต่ข้าและคนของข้ามีวิธีทำให้เจ้าพูดแล้วกัน   ฮึฮึ”เสียงหัวเราะอย่างมั่นใจพร้อมกับเหวี่ยงร่างตนเองขึ้นไปบนอาชาสีดำก่อนจะกระตุกเชือกให้คนด้านร่างรู้สึกตัวว่าต้องขึ้นม้าตามมา 

    “ไม่!!!  ข้าไม่ขึ้นแล้วก็ไม่ไปไหนกับโจรอย่างพวกเจ้าทั้งนั้น   ข้ายอมตายที่นี่ดีกว่า”ร่างสมส่วนนั่งแหมะลงไปบนพื้นทราย  แม้มือเรียวจะถูกเชือกมัดไว้ก็ยังไม่หมดหนทาง  มือเรียวกำทรายอีกครั้งเพื่อเป็นอาวุธป้องกัน

    “อย่าใช้วีธีเดิมกับข้าเพราะมันไม่ได้ผล   ขึ้นม้ามากับข้าเดี๋ยวนี้นี่ข้าเตือนเจ้าดีๆนะอย่าให้ข้าต้องโมโหจนต้องใช้ความรุนแรง”เสียงเตือนนั้นทุ้มต่ำอย่างน่ากลัว  ใบหน้ามอมแมมครุ่นคิดอย่างหนักก่อนจะยอมลุกขึ้นแต่โดยดีแล้วพยายามปีนขึ้นไปบนม้าที่คนตัวสูงใหญ่นั่งอยู่    ร่างสูงใหญ่เห็นท่าทางทุลักทุเลของเชลยเลยเอื้อมมือมาโอบเอวที่คิดว่าจะหนาแต่กลับบางราวกับผู้หญิงให้ขึ้นมานั่งซ้อนอยู่ด้านหน้า   มือหนากระตุกม้าเบาๆทีเดียวเจ้าอาชาสีดำก็ออกเดินหน้าทันที

    “ข้ามีคำถาม .....”เสียงนุ่มนวลแต่ดูงุนงงของเชลยเอ่ยขึ้น

    “............”ไม่มีเสียงตอบกลับมา   คนที่นั่งด้านหน้าจึงทำเสียงหงุดหงิดก่อนจะถามโดยไม่รอคำตอบ

    “ทำไมตอนข้าจะหนีเมื่อกี้ม้าเจ้าไม่ยอมเดิน”

    “ก็ม้าข้ามันมีความคิด   ใครเป็นเจ้าของมัน  มันก็ให้แต่เจ้าของขี่.....”เสียงที่ตอบมาดูเรียบนิ่งแต่สำหรับคนถามแล้วมันดูกวนอารมณ์เสียเหลือเกินแต่ก็ทำอะไรไม่ได้

    ตอนนี้การรอดชีวิตและการรักษา ของ สิ่งนั้นไว้ได้ก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว   ถึงต่อจากนี้จะต้องเจอบทลงโทษอะไรในฐานะที่เป็นเชลยก็คิดว่าจะต้องอดทนให้ถึงที่สุด   ของ สิ่งนี้ต้องส่งไปให้ถึงมือ เขา

    .

    .

    .



    TBC



    Me : ยังไงก็ช่วยติชมด้วยนะคะ ส่วนเรื่องไม่เข้าใจตรงไหนก็ขอให้ติดตามค่ะเนื่องจากตอนนี้ยังมีความลับที่ ยังไม่เปิดเผยอยู่ทั้งคู่เลย แหะๆ เมอร์รี่คริสต์มาสช้าไปหน่อยงั้นแฮ้ปปี้นิวเยียร์ล่วงหน้าค่ะ!!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×