คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : เมื่อความเงียบมาเยือน
“พี่คะ เร็วหน่อยสิ สายแล้วนะ” น้ำเสียงหวานใสตะโกนเร่งพี่ดังขึ้นขณะที่เจ้าตัววิ่งมาหยุดที่บันไดคั้นสุดท้าย
“รู้แล้วๆ เร่งอยู่ได้” ต่อพูดขณะวิ่งลงบันไดตามมาติดๆ
“ก็ฉันกลัวไม่ทันนี่นา” ตังเมพูดเสียงอ่อย
“นี่ยัยบ๊อง งานเริ่มกี่โมงฮะ” ต่อถามน้องสาว ฉันชื่อตังเมต่างหากไม่ใช่ยัยบ๊อง ตังเมแอบเถียงพี่ในใจ
“10 โมงเช้า” ตังเมตอบตอบ
“แล้วตอนนี้มันกี่โมง” ต่อถามเสียงเข้ม
“8 โมง 35 นาที 24 วินาที” ตังเมตอบหน้ามุ่ย
“มีเวลาตั้งเยอะกว่างานจะเริ่ม” พูดจบต่อก็เดินมากอดคอน้องสาวสุดที่รักเดินไปที่ห้องอาหารด้วยกัน
“มาแล้วหรอทั้งสองคน มาๆ มากินข้าวกันก่อน กำลังร้อนๆเลย วันนี้แม่ทำของโปรดของต่อกับตังเมด้วยนะ” น้ำเสียงอบอุ่นของคุณดาหลา คุณแม่ของตังเมและเป็นแม่เลี้ยงของต่อดังขึ้นข้างโต๊ะอาหารข้างๆมีป้าอิ่มคอยช่วยจัดโต๊ะ
“ว้าว” สองพี่น้องต่างสายเลือดอุทานขึ้นพร้อมกัน
“มีแต่ของโปรดของลูกๆ แล้วไม่มีของโปรดของคุณพ่อบ้างหรอครับคุณแม่” เสียงคุณเตวิชดังขึ้นข้างๆลูกทั้งสองคน คุณเตวิชซึ้งเป็นคุณพ่อของต่อและเป็นพ่อเลี้ยงของตังเมปรากฏตัวขึ้นในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มกับเสื้อเชิตสีอ่อนเรียกสายตาชื่นชมและสงสัยให้กับลูกทั้งสอง พอหันไปสังเกตการแต่งตัวของแม่ทั้งสองก็พบว่าท่านสวมชุดทำงานไม่ต่างจากคุณพ่อ
“ก็มื้อนี้ดาทำเอาใจลูกๆนี่คะ ไม่ได้ทำเอาใจคุณเต” คุณดาหลาพูด
“อ้าว! ซะงั้น งั้นผมออกไปดื่มกาแฟทานแซมวิดข้างนอกก็ได้” คุณเตวิชพูดเชิงตัดพ้อกะจะให้คุณภรรยาคนสวยง้อ
“ตามสบายนะคะ” คุณดาหลาตอบสามีอย่ารู้ทัน ตังเมกับต่อได้แต่แอบขำกันอยู่สองคน
“โอ๋เอ๋ๆ อย่าเพิ่งงอนกันเลยนะคะ ตังเมว่าเรามาทานข้าวพร้อมกันดีกว่านะ” ตังเมพูด
“นั่นสิครับ คุณพ่อครับอย่าออกไปทานข้างนอกเลยนะสิ้นเปลืองป่าวๆ ทานด้วยกันที่นี้แหละนะครับ” ต่อพูด
“จริงด้วยค่ะคุณพ่อ ดูสิคะของโปรดของตังเมกับพี่ต่อแค่สองคนที่ไหน มีของคุณพ่อด้วยนะคะ ทานด้วยกันนะคะ กับข้าวกำลังร้อนๆ ห๊อมหอมนะคะ” ตังเมเข้าไปอ้อนบ้าง
“อ่ะๆ ก็ได้ เพราะลูกตังเมขอหรอกนะพ่อถึงไม่ไป แต่ไม่รู้ว่าคุณแม่ดาจะยอมให้พ่อร่วมโต๊ะอาหารด้วยไหมนะ” คุณเตวิชพูด ตังเมหันไปมองหน้าต่อเป็นเชิงว่าให้ไปอ้อนคุณแม่และเหมือนต่อเองก็เข้าใจความหมายของน้องสาวเลยเดินเข้าไปกอดคุณดาหลาแล้วซบหน้าลงกับไหล่
“คุณแม่ดาครับ อนุญาตให้คุณพ่อเตทานข้าวกับเรานะครับ คุณแม่ดาคงไม่อยากให้คุณพ่อเตออกไปทานแซมวิดจิบกาแฟข้างนอกหรอกใช่ไหมครับ” ต่ออ้อนอย่างรู้ทัน
“ก็ได้ๆ ขี้อ้อนจริงนะเรา” คุณดาหลาพูดพร้อมกับลูบหัวลูกบุญธรรมอย่างรักใคร่
“เอ่อ ว่าแต่คุณพ่อกับคุณแม่จะไปไหนกันหรอครับ” ต่อถามขึ้นเมื่อทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ประจำของเขา
“พอดีว่าคุณพ่อเราต้องเข้าสัมมนาที่จัดขึ้นในตัวจังหวัดน่ะลูก” คุณดาหลาตอบ ตังเมกับต่อหันมองหน้ากันอย่างรู้ใจก่อนจะหันไปทางคุณพ่อเตของพวกเขา
“คุณพ่อเตขา... คือว่าวันนี้ตังเมกับพี่ต่อจะเข้าไปดูคอนเสิร์ตในตัวเมืองพอดี ตังเมขอติดรถคุณพ่อเตไปด้วยได้ไหมคะ” ตังเมพูดเสียงหวาน เธอจะเรียกชื่อเล่นของพ่อบุญธรรมทุกครั้งที่ต้องการจะอ้อน
“จริงๆแล้วผมกับเมว่าจะเอารถไปเองน่ะแหละครับ แต่พอรู้แบบนี้แล้วเลยคิดว่าทางเดียวกันไปด้วยกันน่าจะประหยัดกว่านะครับคุณพ่อ” ต่อช่วยน้องสาวอ้อนอีกแรง
“เอ้า! ไปก็ไปสิ ไม่ต้องช่วยกันอ้อนนักก็ได้นะพ่อกับแม่ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น” คุณเตวิชพูด
“ขอบคุณมากนะคะคุณพ่อเตสุดหล่อ” ตังเมแกล้งยอ
หลังจากนั้นทุกคนก็ทานข้าวและคุยกันอย่างสนุกสนาน หลังมื้ออาหารเสร็จสิ้น ก็เดินทางออกจากบ้านเพื่อไปร่วมมินิคอนเสิร์ตของนักร้องชื่อดังที่ตังเมชื่นชอบ และเข้าร่วมการสัมมนาเรื่องการแปรรูปผลผลิตเพื่อการส่งออกของคุณเตวิชและคุณดาหลา
“เอ๊ะ! นี่มันจะเก้าโมงครึ่งแล้วนี่นา คุณพ่อขับรถเร็วขึ้นอีกนิดได้ไหมคะ” ตังพูดขึ้นเมื่อมองดูนาฬิกาข้อมือสีหวานของตัวเอง
“จะรีบไปทำไมกันตังเม งานเริ่มตั้งสิบโมง รีบไปก็ได้ยืนรออยู่ดี” ต่อหันไปค้านน้องสาว
“ก็เมอยากไปให้ถึงเร็วๆนี่นาพี่ต่อก็” ตังเมหันไปเถียงพี่ชายเลยโดนพี่ชายสุดหล่อเอากำปั้นทุบหน้าผากเบาๆ
“ว่าแต่งานสัมมนาของคุณพ่อคุณแม่จะเริ่มตอนไหนหรอครับ” ต่อหันไปถามบ้าง
“11โมงจ๊ะ” คุณดาหลาตอบ
“งั้นคุณพ่อเตขับรถไปส่งตังเมกับพี่ต่อที่งานหน่อยนะคะ นะคะๆ” ตังเมหันไปอ้อนคุณพ่อ
“ไม่เอาน่าตังเม เดี๋ยวเราลงที่โรงแรมแล้วนั่งแท็กซี่ไปกันเองก็ได้ ทำไมต้องไปรบกวนคุณพ่อกับคุณแม่ดาด้วย” ต่อปรามน้องสาว
“ก็มันเสียเวลานี่นา กว่าจะรอแท็กซี่ ไหนจะรถติด อากาศก็ร้อนอีก” ตังเมอ้าง
“เอาล่ะๆ เลิกเถียงกันได้แล้วสองพี่น้อง เอาเป็นว่าพ่อจะขับรถไปส่งพวกเราที่งานก่อนแล้วค่อยกลับมาโรงแรมก็แล้วกัน ส่วนตอนกลับก็นั่งแท็กซี่มาลงที่โรงแรมแล้วเราก็กลับบ้านพร้อมกันตกลงไหม” คุณเตวิชถาม
“ตกลงค่ะ” ตังเมตอบรับทันที
“แต่ผมว่ามันเสียเวลาและสิ้นเปลืองพลังงานเกินไปนะครับ โรงแรมที่จัดสัมมนากับสถานที่จัดคอนเสิร์ตก็อยู่ห่างกันตั้งไกล” ต่อแย้งขึ้น พี่ชายคนนี้นิชอบมีปัญหาซะจริงตังเมแอบคิดในใจ
“เอ๊ะ! พี่ต่อนิ คุณพ่อเตบอกว่าจะไปส่งก็ไปส่งสิ จะเถียงทำไมกัน” ตังเมหันไปว่าต่อ แต่นอกจากต่อจะเลิกพูดแล้วยังสายหน้าให้กับความเอาแต่ใจของน้องสาวอีกด้วย ตังเมเลยทำได้เพียงหันหน้าหนีไปมองทางอื่นแทน ไม่อยากมองหน้าพี่ชายนานๆเดี๋ยวจะทะเลาะกันไปซะเปล่า ยังไงซะวันนี้พี่ชายสุดรักก็ใจดีมาดูคอนเสิร์ตเป็นเพื่อนเธอทั้งๆที่พี่เขาไม่ชอบอะไรแบบนี้แถมยังมีนัดสำคัญกับเพื่อนอีก งั้นวันนี้ฉันจะทำตัวดีๆกับพี่ต่อหนึ่งวันแล้วกันตังเมคิด
ตังเมกับต่อเป็นพี่น้องคนละพ่อละแม่กันนิสัยขอทั้งคู่เลยแตกต่างกันมาก แต่ก็โตมาด้วยกัน ตังเมเองก็รักและเคารพต่อมากส่วนต่อเองก็รักเธอมากเช่นกัน แต่ความรักของพวกเขาก็ไม่ได้เกินเลยไปมากกว่าคำว่าพี่น้อง ถึงแม้จะมีคนมองว่าความรักความสนิทสนมที่มีให้กันมันไม่เหมือนพี่ชายกับน้องสาวก็เถอะ ต่อ หรือ นาย ภัทรวิช เป็นลูกที่ติดมากับคุณเตวิช แม่ของเขาทิ้งเขากับพ่อไปแต่งงานใหม่กับเศรษฐีแล้วก็ย้ายไปอยู่ต่างประเทศ ส่วนตังเมก็เป็นลูกติดของคุณดาหลา พ่อของตังเมเป็นชาวประมง ตอนที่เธออายุได้สองขวบพ่อของเธอได้ล่องเรือออกไปหาปลากับเพื่อนบ้านแล้วเกินพายุใหญ่มาพอดี ทำให้เรือที่พ่อของเธอนำออกไปเกิดล่ม ส่วนพ่อของเธอก็หายสาบสูญไป พบแต่ศพของเพื่อนบ้าน ทางการจึงคิดว่าพ่อของตังเมเองก็คงจะตายไปแล้วเหมือนกันเลยหยุดการค้นหา พอตังเมอายุได้สี่ขวบคุณดาหลาก็แต่งงานใหม่กับคุณเตวิชและย้ายมาอยู่ที่จังหวัดนครนายก ที่ไร่เพียงสายลมจนถึงตอนนี้นั่นเอง ตังเมนั่งคิดถึงครั้งแรกต่อไม่กล้ามองหน้าเธอกับแม่เลย เธอกับแม่คุยด้วยต่อก็เอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมพูด อาหารก็ทานน้อยจนทำให้คุณเตวิชกับคุณดาหลาหนักใจกับเรื่องนี้มาก
“คุณพ่อครับระวังนะครับ แถวนี้อันตราย เกิดอุบัติเหตุบ่อยด้วย” อยู่ดีๆต่อก็พูดขึ้นทำให้ตังเมต้องหันไปมองถนนเช่นเดียวกับคุณดาหลาที่ละสายตาจากหนังสือในมือขึ้นมอง แต่แล้วสิ่งที่ทุกคนเห็นแทนทีจะเป็นท้องถนนที่มีรถวิ่งตรงไปอย่างคล่องตัวกลับเป็นรถบรรทุกคันใหญ่ที่น่าจะวิ่งอยู่อีกข้างของเกาะกลางถนนกำลังวิ่งข้ามเกาะกลางถนนมาด้วยความเร็วและพุ่งตรงมาที่รถของพวกเขา คุณเตวิชพยายามเบรกรถและหักพวงมาลัยหลบแต่เหมือนจะหลบไม่พ้น
“คุณพ่อระวังค่ะ!!!!” จบประโยคต่อก็โผเข้ากอดตังเมและดันตัวเธอลงกับเบาะเพื่อใช้ตัวเองเป็นเกาะป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นให้กับน้องสาวสุดที่รักและ...
โครม!!!!!!!!
เสียงรถบรรทุกพุ่งเข้าชนกับเก๋งคันงานดังกระหึ่มไปทั่วอาณาบริเวณโดยรอบ รถที่ตามมาด้านหลังหลายคันจอดดูเหตุการณ์ บางคนก็ลงมาช่วยกันงันเอาคนที่ติดอยู่ด้านในออกมาด้วยความเป็นห่วงจนรถพยาบาลของโรงพยาบาลที่ใกล้ที่เกิดเหตุที่สุดวิ่งมาถึงตามด้วยรถกู้ชีพ รถร่วมกตัญญู และรถตำรวจวิ่งมาจอดเรียงกันและระบายการจราจรที่เริ่มติดขัดมากขึ้นให้เดินรถได้อย่างสะดวก ต่อที่ยังไม่หมดสติถูกช่วยเหลือออกมาเป็นคนแรก ตามด้วยตังเม คุณดาหลา คุณเตวิชตามลำดับ ทุกคนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนที่สุด
โรงพยาบาล
หลังจากอุบัติเหตุเกิดขึ้นและทุกคนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน ต่อก็รู้สึกตัวตื่นมาพบกับความจริงที่โหดร้าย ข้างกายของเขาไม่มีใครเลยนอกจากความว่างเปล่า เขาพยายามหลับตาและลืมมันขึ้นอีกครั้งเพื่อปรับแสงแล้วเขาก็ได้ยินเสียงคนเดินออกมาจากห้องน้ำ ต่อพยายามมองภาพให้ชัดเจนว่าเขาเป็นใครกัน
“คุณใหญ่ ฟื้นแล้วหรอครับ คุณใหญ่ คุณหมอครับคุณหมอคุณใหญ่ฟื้นแล้วครับ” เสียงลุงเข้มพูดด้วยความดีใจดังอยู่ข้างหูของเขา ต่อมองดูรอบๆห้องเพื่อหวังว่าเขาจะเจอคนอื่นบ้างแต่ก็ต้องผิดหวังเพราะนอกจากคนเก่าคนแก่ของไร่แล้วเขาก็ไม่เจอใคร
“ลุงครับ นี่ผมหลับไปนานแค่ไหนครับ ทำไมลุงถึงดีใจขนาดนี้” ต่อถาม
“ไม่นานหรอกครับคุณใหญ่ยังไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง ยังไม่ถือว่านานครับ” ลุงเข้มพูด
“แล้วคุณพ่อคุณแม่กับตังเมละครับลุง” ต่อถาม
“เอ่อ...” ลุงเข้มอึกอักหันมองซ้ายมองขวาเพื่อหลบสายตาคมของเจ้านายและคิดหาวิธีบอกความจริงที่คิดว่าดีที่สุด “คุณหมอมาพอดีเลย ลุงว่าคุณใหญ่ให้หมอตรวจดูอาการก่อนดีกว่านะครับแล้วเดี๋ยวลุงจะเล่าให้ฟัง” ลุงเข้มพูดจบก็ถอยออกไปยืนห่างๆต่อเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนการทำงานของคุณหมอ
“คุณหมอครับ อาการผมเป็นยังไงบ้างครับ” ต่อถามทั้งๆที่ความจริงแล้วเขาก็รู้ตัวดีกว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรมากมาย
“อาการไม่มีอะไรหน้าเป็นห่วงแล้วนะครับ พักอีกสักวันก็กลับบ้านได้แล้วครับ” คุณหมอที่อายุอานามน่าจะแก่กว่าคนไข้สักสี่ห้าปีบอก
“ขอบคุณครับ” ต่อกล่าวขอบคุณคุณหมอหนุ่มตามมารยาทที่คุณแม่ดาของเขาเคยสอนไว้
“ไม่มีอะไรแล้วหมอขอตัวนะครับ” คุณหมอบอกด้วยรอยยิ้ม
“ตามสบายครับ ลุงเข้มส่งคุณหมอทีนะครับ” ต่อหันไปสั่ง ลุงเข้มพยักหน้ารับก่อนจะเดินไปส่งคุณหมอที่หน้าประตูแล้วเดินกลับมานั่งที่โซฟา
“คราวนี้ลุงจะตอบผมได้หรือยังครับว่าคุณพ่อคุณแม่และตังเมอยู่ไหน” ต่อถามซ้ำ
“เอ่อ..คือ คุณใหญ่พร้อมที่จะฟังแล้วจริงๆหรือครับ” ลุงเข้มถาม
“ครับ” เขาตอบ ลุงเข้มถอนหายใจออกมาทีหนึ่งก่อนจะสูดเข้าไปอีกเต็มปอดแล้วหันมามองหน้าเจ้านายหนุ่มด้วยใบหน้าที่แสดงออกถึงความหนักใจ
“คุณใหญ่ครับ คุณใหญ่ต้องสัญญากับลุงก่อนนะครับว่าจะฟังลุงพูดให้จบ จะไม่หุนหันพลันแล่นออกไป” ลุงเข้มพูด ต่อพยักหน้ารับแทนคำตอบแล้วลุงเข้มก็สูดเอาอากาศเข้าไปอีกรอบ “นายผู้ชายกับนายผู้หญิง... ท่านเสียแล้วครับ” เหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุนไปในทันที เหมือนหัวใจของคนฟังจะขาดลงตรงนี้ ทำไมพระเจ้าถึงได้ใจร้ายกับเขาขนาดนี้ ทำไมต้องมาพรากพวกท่านไปจากเขาและน้องด้วย
“แล้วตอนนี้พวกท่านอยู่ไหนครับ” ต่อถามกลับพร้อมกับน้ำตาที่ไม่รู้ไหลมาจากไหนเขารู้เพียงว่าตอนนี้ทั้งร่างกายและหัวใจมันชาดิก จนกระดิกไม่ได้ เจ็บจนแทบจะลืมหายใจ
“ห้องดับจิตครับ” ลุงเข้มตอบด้วยหัวใจที่ปวดร้าว เสียใจไม่แพ้คนตรงหน้า เพราะตัวเขาเองก็ทำงานอยู่ที่ไร้เพียงสายลมมาตั้งแต่สมัยที่คุณโตพ่อของคุณเตวิชเริ่มบุกเบิกเนื้อที่เกือบร้อยไร่เพื่อทำเกษตรจนคุณเตวิชขึ้นมาเป็นเจ้าของไร่อย่างเต็มตัวจนถึงตอนนี้ลุงเข้มและครอบครัวก็ไม่เคยคิดที่จะทิ้งเจ้านายที่เปรียบดั่งเจ้าชีวิตของพวกเขา
“ลุงช่วยพาผมไปหาพวกท่านหน่อยได้ไหมครับ” เจ้านายรุ่นที่สามเอ่ยเสียงเศร้าเคล้าสายน้ำใสที่ไหลออกจากดวงตาไม่ขาด ลุงเข้มทำได้เพียงพยักหน้าให้ก่อนจะเดินเข้าไปพยุงต่อลงจากเตียงเพื่อไปพบบุพการีตามที่เขาขอร้อง
เมื่อเดินลัดเลาะพื้นที่โรงพยาบาลมาจนถึงหน้าห้องดับจิตต่อก็เข้าไปยืนเกาะประตูมองเข้าไปภายในห้องที่ควรจะมีศพที่มีผ้าขาวปิดร่างไว้อย่างเรียบร้อยแต่เหมือนพระเจ้าอยากให้เขาได้พบความจริงที่โหดร้ายทารุณแกล้งให้มีสองร่างบนเตียงที่เรียงอยู่ข้างกันมีผ้าขาวปิดไว้แค่เพียงอก ต่อมองเข้าไปข้างในแล้วไล่สายตามองร่างที่ไร้วิญญาณจนมาพบกับร่างของผู้มีพระคุณของเขาทั้งสองแล้วน้ำตาที่ไหลอยู่แล้วก็ยิ่งไหลอาบสองข้างแก้มมารวมกันที่คางสากก่อนจะล่วงล่นลงสู่พื้น ร่างกายไร้ซึ่งการตอบสนอกใดๆ แข่งขาพาลอ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรงจนแทบยืนไม่ไหว ลุงเข้มมองดูร่างล้ำสันของเจ้านายรุ่นหลานไหวสะท้านเนื่องจากการสะอื้นไห้แล้วก็ต้องเช็ดน้ำตาตามด้วยความสงสารแต่เขากลับช่วยอะไรไม่ได้แม้แต่คำพูดปลอบประโลมยังเค้นหาไม่เจอ จึงทำได้เพียงเดินเข้าไปตบไหล่หนาเพื่อให้กำลังใจ ต่อหันใบหน้าที่เปรอะคราบน้ำตาแห่งความสูญเสียไปมองบุคคลที่เขาเคารพเหมือนญาติผู้ใหญ่เพียงหนึ่งเดียวที่มีอยู่ของเขาก่อนจะสวมกอดคนสูงวัยกว่าเพื่อขอกำลังใจเป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจ หลังจากการร้องไห้อย่างหนักได้ผ่านพ้นไปลุงเข้มได้พาต่อกลับมาพักที่ห้องพักของเขา ก่อนจะขอตัวกลับไปอาบน้ำกลับมาเฝ้าเจ้านาย
หลังจากได้ร้องไห้จนหนำใจแล้วต่อก็ยอมกลับมาพักตามที่ลุงเข้มขอร้อง เขาได้แต่นั่งมองบรรยากาศภายนอก มองฟ้าสีส้มที่แสดงให้เห็นว่าตอนนี้เป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว มองดูนกที่พากันบินกลับรังเพื่อพักผ่อนหลังจากที่เหน็ดเหนื่อยกับการบินหาอาหารมาทั้งวัน แล้วก็ทำให้ต้องมองย้อนกลับไปมองดูตัวเอง ตอนนี้เขาเพิ่งจะอายุ 22 ปี ยังเรียนไม่จบดีด้วยซ้ำ แต่ต้องมาเสียพ่อกับแม่เลี้ยงที่เขารักและเคารพดั่งแม่ผู้ให้กำเนิดไปพร้อมกันทั้งสองคน และทำให้เขาต้องขึ้นมารับภาระหน้าที่ที่ต้องดูแลไร่เพียงสายลมกับฟาร์มแกะพันดาวและคนงานอีกเกือบครึ่งร้อย แต่การทำเกษตรและปศุสัตว์นั้นไม่ยากเกินความสามารถของเขากับน้องสาวอย่างแน่นอน พอคิดถึงน้องสาวเขาตังไม่ได้พบตังเมเลย ไม่รู้ว่าตอนนี้น้องน้อยของเธอเป็นอย่างไรบ้าง
“อ้าว! คุณใหญ่ตื่นแล้วหรือยังไม่นอนครับเนี่ย” เสียงห้าวของดนตรีดังขึ้นเรียกสายตาของเขาให้หันไปมอง
“ดนแกมาก็ดีแล้ว ฉันว่าจะโทร.หาลุงเข้มอยู่พอดี” ต่อพูด
“คุณใหญ่จะโทร.หาลุงเข้มแกทำไมหรอครับ ผมเพิ่งจะสวนกับแกเมื่อกี้เอง” ดนตรีถาม
“ตังเมอยู่ไหน ตั้งแต่ฉันตื่นมาฉันยังไม่เจอหน้าน้องเลย น้องสาวฉันอยู่ไหน” ต่อหันไปถาม ภายในใจภาวนาให้ตังเมปลอดภัย และนอนรักษาตัวแค่อาการบาดเจ็บเล็กน้อยเหมือนกับเขาหรือไม่เป็นอะไรเลยยิ่งดี แต่พอมองหน้าคนถูกถามแล้วพบว่าใบหน้าเริ่มถอดสี ใจเขาก็เริ่มอยู่ไม่เป็นสุข กลัวไปซะทุกอย่าง กลัวว่าน้องน้อยเขาจะหายไปเช่นเดียวกับผู้มีพระคุณทั้งสอง
“นี่ลุงเข้มยังไม่ได้บอกคุณใหญ่หรอครับ ว่าคุณเล็กยังอยู่ในห้องฉุกเฉิน” เหมือนสายฟ้าฟาดลงมากลางใจของเขาอีกครั้งเมื่อรู้ว่าน้องสาวสุดที่รักของเขายังอยู่ในห้องฉุกเฉิน ภายในใจก็เริ่มภาวนาให้น้องน้อยปลอดภัย เพราะถ้าโลกนี้ไม่มีตังเมเขาก็ไม่รู้จะอยู่บนโลกนี้ต่อไปเพื่ออะไร
“ฉันอยากเจอตังเม แกช่วยพาฉันไปหาตังเมหน่อยได้ไหม ฉันต้องการเจอน้องสาวฉัน” ต่อพูดขึ้น
“ผมว่าไว้รอพรุ่งนี้ดีกว่าไหมครับคุณใหญ่ ตอนนี้คุณใหญ่ควรจะพักผ่อนก่อนนะครับ คุณเล็กเธอปลอดภัยแล้วเพียงแต่หมอต้องการให้เธออยู่ในห้องฉุกเฉินเพื่อรอดูอาการเท่านั้นเองครับ” ดนตรีบอกเจ้านายรุ่นพี่ที่มีอายุห่างกับเขาเพียงสองปีด้วยความรักและเคารพดั่งเจ้าชีวิต
"ปลอดภัยแล้วทำไมต้องพักห้องฉุกเฉินวะ" ต่อพูด
"เอาน่าคุณใหญ่ ไว้พรุ่งนี้ผมจะพาไปเอง แต่วันนี้นอนก่อนเถอะนะครับผม" ดนตรีพูดก่อนจะเดินเข้าไปกดตัวเจ้านายที่เคารพให้นอนลงกับเตียงแล้วห่มผ้าให้เสร็จสัพ
"ฉันไม่นอนจนกว่าจะได้เจอตังเม แกเข้าใจมั้ย" ต่อพูดเกือบตะโกน
"โธ่คุณใหญ่คร๊าบ ขอร้องล่ะครับ นอนก่อนเถอะนะครับเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะรีบพาคุณใหญ่ไปหาคุณเล็กทันที แต่ตอนนี้นอนก่อนนะครับ ผมขอร้อง" ดนตรีพูดแทบจะกราบเท้าเจ้านายสุดที่รักให้ยอมทำตาม แต่ดูเหมือนมันจะไม่เป็นผลเอาซะเลย
"ฉันจะไปหาตังเม!" ต่อเน้นเสียงหนัก
"แต่คุณใหญ่ต้องพักผ่อนนะครับ" ดนตรีพูด
"พักทำไมฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย แกก็เห็น" ต่อพูด
"ก็คุณหมอบอกให้คุณใหญ่พักผ่อนเยอะๆนะครับ" ดนตรีอ้าง
"แล้วแต่หมอสิ" ต่อพูด
"ผมไหว้ละครับเจ้านายคร้าบ พักผ่อนก่อนเถอะครับ คุณหนูเล็กเธอไม่ตื่นมาวิ่งหนีคุณใหญ่กลางดึกหรอกครับ" ดนตรีว่า
"ฉันจะไปหาตังเม ฉันจะไปหาน้องสาวฉัน แกได้ยินมั้ย" ต่อพูดเสียงต่ำ
"คร๊าบๆ ได้ยินคร๊าบผม แต่ว่า..." คนอึกอัก
"ฉันไม่เป็นไรแกก็เห็น ขอร้องล่ะดน แกช่วยพาฉันไปหาตังเมทีเถอะ" ต่อขอร้อง ณ เวลานี้เขาคงไม่สามารถหลับตานอนได้เพราะในหัวของเขาเฝ้าแต่เป็นห่วงตังเมจนแทบจะบ้าตาย เขาแค่อยากรู้ว่าน้องสาวเขาเป็นอย่างไรบ้าง แค่อยากเห็นว่าตังเมไม่ได้บาดเจ็บอย่างที่ใครต่อใครบอกกับเขา เพราะนอกจากพ่อกับแม่เลี้ยงที่เขารักมาก ก็มีเพียงตังเมเท่านั้นที่เป็นหัวใจของเขา ฉะนั้นไม่ว่าน้องสาวเขาจะเป็นยังไงจะอยู่ในสภาพไหนเขาก็อยากจะเห็นด้วยตาของตัวเอง
"ไม่ใช่ผมไม่อยากช่วยนะครับคุณใหญ่ แต่ตอนนี้มันหมดเวลาเยี่ยมแล้ว อีกอย่างคุณใหญ่เองก็เหนื่อยมาทั้งวันให้ร่างกายได้พักผ่อนบ้างเถอะนะครับ" ดนตรีเกลี่ยกล่อม
"แต่ฉัน..."
"ผมสัญญาว่าพรุ่งนี้พอคุณใหญ่ตื่นปุ๊บ ไอ้ดนตรีคนนี้จะพาคุณใหญ่ไปหาคุณเล็กทันทีครับ" ดนตรีให้คำสัญญาด้วยรอยยิ้มจริงใจ ต่อมองหน้าลูกน้องก่อนจะพยักหน้าเบาๆเป็นเชิงว่ายอมแพ้แล้วนอนมองออกไปนอกหน้าต่างในใจก็ภาวนาให้ค่ำคืนนี้ผ่านไปโดยเร็ว เพื่อที่เขาจะได้พบหน้าน้องน้อยของเขาเร็วๆ
เช้าวันต่อมา
หลังจากที่ต้องพยายามข่มตาหลับมาตลอดทั้งคืน ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ต่อรอคอยเพราะเขาจะได้เจอน้องสาวของเขาแล้ว ต่อปลุกให้ดนตรีตื่นตั้งแต่หกโมงเช้า
“คุณหมอครับ” ดนตรีเรียก
“อ้าวคนตรี คุณต่อมาเยี่ยมคุณหนูตังเมหรอครับ” หมอเอกทัก
“ครับ ตังเมเป็นไงบ้างครับ” ต่อถาม
“งั้นเดียวผมว่าเราเดินไปคุยไปดีกว่านะครับ” หมอเอกพูด
“เดินไปไหนครับ” ดนตรีถาม
“ตอนนี้หมอย้ายคุณหนูตังเมไปพักที่ห้องพักฟื้นเรียบร้อยแล้วครับ อาการไม่หน้าเป็นห่วง หมอคิดว่าอีกไม่นานก็คงจะฟื้นครับ”
“นานไหมครับหมอ” ต่อถาม
“ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของคุณหนูตังเมครับ หมอให้คำตอบที่แน่ชัดไม่ได้หรอกครับคุณใหญ่” หมอเอกพูด
หลายวันต่อมา
แม้ว่าคุณหมอจะอนุญาตให้ต่อออกจากโรงพยาบาลได้แล้วแต่เขายังคงคลุกอยู่ที่โรงพยาบาลเพื่อดูแลน้องสาวสุดที่รักของเขาที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นในเร็ววัน ถึงแม้เวลาจะผ่านมาเกือบสองอาทิตย์แล้วและตังเมเองก็ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเพียงแค่สมองกระทบกระเทือนจนหมดสติและมีอัตราการเต้นของหัวใจอ่อนเท่านั้นเอง
.....
“แม่ดาจ๋า พ่อเตจ๋า อยู่ไหนกันคะ ช่วยเมด้วยค่ะเมหลงทาง เมอยากกลับไปหาพ่อกับแม่แล้วก็พี่ต่อด้วย พี่ต่อ พี่ต่ออยู่ไหนช่วยเมด้วย เมอยากกลับบ้าน พี่ต่อช่วยเมด้วย” แม้จะพยายามแผดเสียงดังแค่ไหนแต่ก็ดูเหมือนว่าความพยายามของตังเมจะไม่เป็นผล เพราะนอกจากจะไม่มีใครมาช่วยเธอ ยังเหมือนกับว่าเธอเดินหลงเข้าไปลึกยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ภาพที่เห็นตรงหน้ามีเพียงหมอกควันสีขาวปกคลุมอยู่ทั่วทั้งบริเวณ หนาซะจนไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้ในระยะ 1 เมตร ทุกอย่างเงียบสงบ ไม่มีเสียงของสิ่งมีชีวิตใดๆอยู่ ณ บริเวณนั้น มีเพียงทวงทำนองแห่งสายลมที่บรรเลงอย่างแผ่วเบาพัดผ่าน ตังเมทำได้เพียงเดินไปเรื่อยๆจนเจอกับซอกหินที่มีขนาดกว้างพอให้สาวร่างเล็กอย่างเธอหลบเข้าไปพักผ่อนได้ จะด้วยความเหนื่อยล้าหรือสาเหตุใดที่ทำให้ตังเมผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย
ตังเมยังคงตื่นมาเจอกับดินแดนที่แสนจะพิสดารในความคิดของเธอ ตอนกลางวันจะมีเมฆหมอกลงหนาจัด แต่ตกกลางคืนกลับมีฝนตกตลอดทั้งคืนไม่มีเวลาใดที่จะสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ฉายแสงได้เลยไม่ว่าจะเดินไปทางไหน มองไปทางไหนก็ไม่เจอในสิ่งที่ต้องการสักครั้ง ตังเมร้องไห้จนไม่มีน้ำตาที่จะไหล กลัวจนไม่รู้ว่าจะกลัวอะไร เรียกหาบุคคลที่เป็นที่รักทั้งสามจนไม่มีเสียง แต่ก็ยังไม่เจอทางออกจากดินแดนนี้สักที ไม่รู้ว่านานเท่าไรแล้วที่เธอติดอยู่ที่นี่ ไม่รู้ป่านนี้คุณแม่ดา คุณพ่อเต และพี่ต่อของเธอจะเป็นห่วงและออกตามหาให้วุ่นวายแค่ไหนเพราะนี่ก็เป็นเวลาหายวันแล้วที่เธอติดอยู่ในดินแดนประหลาดแห่งนี้
‘ลูกเม เม ตังเมลูก’ น้ำเสียงอ่อนโยนเอื้อนเอ่ยเรียกลูกรักให้ตื่นจากการหลับใหล
‘แม่จ๋า แม่’ ตังเมขานตอบเมื่อได้ยินเสียงบุคคลอันเป็นที่รักแว่วตามสายลมผ่านสายหมอกมาแผ่วเบา
‘ตังเม แม่อยู่ทางนี้ลูก แม่อยู่ทางนี้’
‘แม่อยู่ไหนคะ เมมองไม่เห็นแม่เลยค่ะ’ ตังเมยังคงร้องถามพร้อมกับมองซ้ายแลขวาเพื่อจับทางเสียง ก่อนจะออกเดินตามเสียงแผ่วเบาของผู้เป็นแม่ไปอย่างไร้จุดหมาย
‘แม่อยู่ทางนี้ลูก ตังเม แม่อยู่ทางนี้’ แม้เป็นเพียงเสียงเรียกแผ่วเบา เอื่อยมาตามสายลมแต่ก็ดังพอให้แน่ใจว่านั้นคือเสียงเรียกของบุคคลอันเป็นที่รัก
ตังเมยังคงเดินตามเสียงนั้นไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่านานแค่ไหน นานเท่าไหร่ที่ตังเมเดินตามเสียงนั้นมาแต่ก็ยังไม่มีที่ท่าว่าจะเจอแหล่งกำเนิดสักที เดินจนเริ่มจะเหนื่อย เหนื่อยจนเริ่มเดินไม่ไหว จนในที่สุดตังเมก็มองเห็นแสงรำไรส่องผ่านเมฆหมอกเข้ามา เธอจึงต้องแข็งใจพยายามเดินต่อ เมื่อมาถึงแสงที่ว่านั้นตังเมก็ได้พบกับบุพการีอันเป็นที่รักยิ่งของเธอ
‘แม่...แม่จ๋า เมดีใจจังเลยที่เจอแม่ เมคิดว่าชาตินี้เมจะไม่ได้เจอแม่อีกแล้ว แม่มาหาเมหรอคะ’ ตังเมรั่วคำถามใส่คุณดาหลาที่ยังเอาแต่ยิ้มและสวมกอดลูกสาวด้วยความรัก
'แม่ก็ดีใจจ๊ะที่ได้เจอหนู ตังเมลูกรักของแม่' คุณดาหลาพูดพร้อมกับยกมือขึ้นลูบหัวตังเมด้วยความรักใคร่เอื้อเอ็นดู
'แล้วนี่คนอื่นๆ หายไปไหนคะแม่ พี่ต่อกับพ่อเตล่ะคะ?' ตังเมถามพร้อมกับหันซ้ายแลขวา ชะเง่อคอหา
'ไปกับแม่ เดี๋ยวแม่พาไปหนูไปเจอพ่อเตก่อนแล้วจะพาไปส่งหาพี่ต่อ ดีไหมจ๊ะ' คุณดาหลาถาม
'ค่ะแม่' ตังเมตอบ
แล้วทั้งสองคนก็ออกเดินโดยที่คุณดาหลาเป็นคนนำทางตังเมไปเรื่อยๆไม่รู้ว่าไกลแค่ไหน ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ รู้เพียงว่าทั้งคู่เดินคุยกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยจนมาเจอกับคุณเตวิช ซึ่งกำลังยืนรอทั้งสองคนอยู่ด้วยรอยยิ้ม
'พ่อเต' ตังเมเรียกด้วยความดีใจก่อนจะวิ่งไปสวมกอดบุคคลซึ่งเธอรักและให้ความเคาพรเทียบเท่าพ่อผู้ให้กำเนิด
'ปลอดภัยดีใช่ไหมลูกตังเม' คุณเตวิชถามด้วยความเป็นห่วง
'เมปลอดภัยดีค่ะพ่อเต พ่อเตไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ' ตังเมถามกลับ
'พ่อไม่เป็นไรหรอกลูก เมไม่ต้องเป็นห่วงพ่อกับแม่นะ ต่อไปนี้ไม่มีอะไรจะมาทำอะไรพ่อกับแม่ได้และพ่อกับแม่จะไม่ยอมให้ใครหรืออะไรมาทำอะไรหนูกับพี่ต่อได้เช่นกัน' คุณเตวิชกล่าว แม้ตังเมจะไม่ค่อยเข้าใจในคำพูดของผู้เป็นพ่อสักเท่าไรแต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไรให้มากความเพราะตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าพี่ชายสุดที่รักที่เธอยังไม่ได้เจอหน้านานแค่ไหนไม่อาจรู้ได้
'แล้วพี่ต่อล่ะคะพ่อเต เมนึกว่าพี่ต่อจะอยู่กับพ่อเตซะอีก' ตังเมเอ่ยปากถาม พร้อมกับมองหน้าบุพการีทั้งสองสลับกันไปมาอย่างสงสัย
'พี่ต่อรอหนูอยู่ฝั่งนู้นแน่ะลูก หนูเดินไปหาพี่เขาสิลูก' คุณดาหลาพูด
ความคิดเห็น