ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    365 วัน แห่งความหวัง

    ลำดับตอนที่ #1 : เมื่อความเงียบมาเยือน

    • อัปเดตล่าสุด 9 ก.พ. 58


       1 เมื่อความเงียบมาเยือน

                      “พี่คะ เร็วหน่อยสิ สายแล้วนะ”  น้ำเสียงหวานใสตะโกนเร่งพี่ดังขึ้นขณะที่เจ้าตัววิ่งมาหยุดที่บันไดคั้นสุดท้าย

                      “รู้แล้วๆ เร่งอยู่ได้”  ต่อพูดขณะวิ่งลงบันไดตามมาติดๆ

                     “ก็ฉันกลัวไม่ทันนี่นา”  ตังเมพูดเสียงอ่อย

                      “นี่ยัยบ๊อง งานเริ่มกี่โมงฮะ”  ต่อถามน้องสาว ฉันชื่อตังเมต่างหากไม่ใช่ยัยบ๊อง ตังเมแอบเถียงพี่ในใจ

       “10 โมงเช้า”  ตังเมตอบตอบ

      “แล้วตอนนี้มันกี่โมง”  ต่อถามเสียงเข้ม

      “8 โมง 35 นาที 24 วินาที”  ตังเมตอบหน้ามุ่ย

      “มีเวลาตั้งเยอะกว่างานจะเริ่ม”  พูดจบต่อก็เดินมากอดคอน้องสาวสุดที่รักเดินไปที่ห้องอาหารด้วยกัน

      “มาแล้วหรอทั้งสองคน มาๆ มากินข้าวกันก่อน กำลังร้อนๆเลย วันนี้แม่ทำของโปรดของต่อกับตังเมด้วยนะ”  น้ำเสียงอบอุ่นของคุณดาหลา คุณแม่ของตังเมและเป็นแม่เลี้ยงของต่อดังขึ้นข้างโต๊ะอาหารข้างๆมีป้าอิ่มคอยช่วยจัดโต๊ะ

      “ว้าว”  สองพี่น้องต่างสายเลือดอุทานขึ้นพร้อมกัน

      “มีแต่ของโปรดของลูกๆ แล้วไม่มีของโปรดของคุณพ่อบ้างหรอครับคุณแม่”  เสียงคุณเตวิชดังขึ้นข้างๆลูกทั้งสองคน คุณเตวิชซึ้งเป็นคุณพ่อของต่อและเป็นพ่อเลี้ยงของตังเมปรากฏตัวขึ้นในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มกับเสื้อเชิตสีอ่อนเรียกสายตาชื่นชมและสงสัยให้กับลูกทั้งสอง พอหันไปสังเกตการแต่งตัวของแม่ทั้งสองก็พบว่าท่านสวมชุดทำงานไม่ต่างจากคุณพ่อ

      “ก็มื้อนี้ดาทำเอาใจลูกๆนี่คะ ไม่ได้ทำเอาใจคุณเต”  คุณดาหลาพูด

      “อ้าว!  ซะงั้น งั้นผมออกไปดื่มกาแฟทานแซมวิดข้างนอกก็ได้”  คุณเตวิชพูดเชิงตัดพ้อกะจะให้คุณภรรยาคนสวยง้อ

      “ตามสบายนะคะ”  คุณดาหลาตอบสามีอย่ารู้ทัน ตังเมกับต่อได้แต่แอบขำกันอยู่สองคน

      “โอ๋เอ๋ๆ อย่าเพิ่งงอนกันเลยนะคะ ตังเมว่าเรามาทานข้าวพร้อมกันดีกว่านะ”  ตังเมพูด

     “นั่นสิครับ คุณพ่อครับอย่าออกไปทานข้างนอกเลยนะสิ้นเปลืองป่าวๆ ทานด้วยกันที่นี้แหละนะครับ”  ต่อพูด

      “จริงด้วยค่ะคุณพ่อ ดูสิคะของโปรดของตังเมกับพี่ต่อแค่สองคนที่ไหน มีของคุณพ่อด้วยนะคะ ทานด้วยกันนะคะ กับข้าวกำลังร้อนๆ ห๊อมหอมนะคะ”  ตังเมเข้าไปอ้อนบ้าง

      “อ่ะๆ ก็ได้ เพราะลูกตังเมขอหรอกนะพ่อถึงไม่ไป แต่ไม่รู้ว่าคุณแม่ดาจะยอมให้พ่อร่วมโต๊ะอาหารด้วยไหมนะ”  คุณเตวิชพูด ตังเมหันไปมองหน้าต่อเป็นเชิงว่าให้ไปอ้อนคุณแม่และเหมือนต่อเองก็เข้าใจความหมายของน้องสาวเลยเดินเข้าไปกอดคุณดาหลาแล้วซบหน้าลงกับไหล่

      “คุณแม่ดาครับ อนุญาตให้คุณพ่อเตทานข้าวกับเรานะครับ คุณแม่ดาคงไม่อยากให้คุณพ่อเตออกไปทานแซมวิดจิบกาแฟข้างนอกหรอกใช่ไหมครับ”  ต่ออ้อนอย่างรู้ทัน

      “ก็ได้ๆ ขี้อ้อนจริงนะเรา”  คุณดาหลาพูดพร้อมกับลูบหัวลูกบุญธรรมอย่างรักใคร่

      “เอ่อ ว่าแต่คุณพ่อกับคุณแม่จะไปไหนกันหรอครับ”  ต่อถามขึ้นเมื่อทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ประจำของเขา

      “พอดีว่าคุณพ่อเราต้องเข้าสัมมนาที่จัดขึ้นในตัวจังหวัดน่ะลูก”  คุณดาหลาตอบ ตังเมกับต่อหันมองหน้ากันอย่างรู้ใจก่อนจะหันไปทางคุณพ่อเตของพวกเขา

      “คุณพ่อเตขา... คือว่าวันนี้ตังเมกับพี่ต่อจะเข้าไปดูคอนเสิร์ตในตัวเมืองพอดี ตังเมขอติดรถคุณพ่อเตไปด้วยได้ไหมคะ”  ตังเมพูดเสียงหวาน เธอจะเรียกชื่อเล่นของพ่อบุญธรรมทุกครั้งที่ต้องการจะอ้อน

      “จริงๆแล้วผมกับเมว่าจะเอารถไปเองน่ะแหละครับ แต่พอรู้แบบนี้แล้วเลยคิดว่าทางเดียวกันไปด้วยกันน่าจะประหยัดกว่านะครับคุณพ่อ”  ต่อช่วยน้องสาวอ้อนอีกแรง

      “เอ้า! ไปก็ไปสิ ไม่ต้องช่วยกันอ้อนนักก็ได้นะพ่อกับแม่ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น”  คุณเตวิชพูด

      “ขอบคุณมากนะคะคุณพ่อเตสุดหล่อ”  ตังเมแกล้งยอ

    หลังจากนั้นทุกคนก็ทานข้าวและคุยกันอย่างสนุกสนาน หลังมื้ออาหารเสร็จสิ้น ก็เดินทางออกจากบ้านเพื่อไปร่วมมินิคอนเสิร์ตของนักร้องชื่อดังที่ตังเมชื่นชอบ และเข้าร่วมการสัมมนาเรื่องการแปรรูปผลผลิตเพื่อการส่งออกของคุณเตวิชและคุณดาหลา

      “เอ๊ะ! นี่มันจะเก้าโมงครึ่งแล้วนี่นา คุณพ่อขับรถเร็วขึ้นอีกนิดได้ไหมคะ”  ตังพูดขึ้นเมื่อมองดูนาฬิกาข้อมือสีหวานของตัวเอง

      “จะรีบไปทำไมกันตังเม งานเริ่มตั้งสิบโมง รีบไปก็ได้ยืนรออยู่ดี”  ต่อหันไปค้านน้องสาว

      “ก็เมอยากไปให้ถึงเร็วๆนี่นาพี่ต่อก็”  ตังเมหันไปเถียงพี่ชายเลยโดนพี่ชายสุดหล่อเอากำปั้นทุบหน้าผากเบาๆ

      “ว่าแต่งานสัมมนาของคุณพ่อคุณแม่จะเริ่มตอนไหนหรอครับ”  ต่อหันไปถามบ้าง

      “11โมงจ๊ะ”  คุณดาหลาตอบ

      “งั้นคุณพ่อเตขับรถไปส่งตังเมกับพี่ต่อที่งานหน่อยนะคะ นะคะๆ”  ตังเมหันไปอ้อนคุณพ่อ

      “ไม่เอาน่าตังเม เดี๋ยวเราลงที่โรงแรมแล้วนั่งแท็กซี่ไปกันเองก็ได้ ทำไมต้องไปรบกวนคุณพ่อกับคุณแม่ดาด้วย”  ต่อปรามน้องสาว

      “ก็มันเสียเวลานี่นา กว่าจะรอแท็กซี่ ไหนจะรถติด อากาศก็ร้อนอีก”  ตังเมอ้าง

      “เอาล่ะๆ เลิกเถียงกันได้แล้วสองพี่น้อง เอาเป็นว่าพ่อจะขับรถไปส่งพวกเราที่งานก่อนแล้วค่อยกลับมาโรงแรมก็แล้วกัน ส่วนตอนกลับก็นั่งแท็กซี่มาลงที่โรงแรมแล้วเราก็กลับบ้านพร้อมกันตกลงไหม”  คุณเตวิชถาม

      “ตกลงค่ะ”  ตังเมตอบรับทันที

      “แต่ผมว่ามันเสียเวลาและสิ้นเปลืองพลังงานเกินไปนะครับ โรงแรมที่จัดสัมมนากับสถานที่จัดคอนเสิร์ตก็อยู่ห่างกันตั้งไกล”  ต่อแย้งขึ้น พี่ชายคนนี้นิชอบมีปัญหาซะจริงตังเมแอบคิดในใจ

      “เอ๊ะ! พี่ต่อนิ คุณพ่อเตบอกว่าจะไปส่งก็ไปส่งสิ จะเถียงทำไมกัน”  ตังเมหันไปว่าต่อ แต่นอกจากต่อจะเลิกพูดแล้วยังสายหน้าให้กับความเอาแต่ใจของน้องสาวอีกด้วย ตังเมเลยทำได้เพียงหันหน้าหนีไปมองทางอื่นแทน ไม่อยากมองหน้าพี่ชายนานๆเดี๋ยวจะทะเลาะกันไปซะเปล่า ยังไงซะวันนี้พี่ชายสุดรักก็ใจดีมาดูคอนเสิร์ตเป็นเพื่อนเธอทั้งๆที่พี่เขาไม่ชอบอะไรแบบนี้แถมยังมีนัดสำคัญกับเพื่อนอีก งั้นวันนี้ฉันจะทำตัวดีๆกับพี่ต่อหนึ่งวันแล้วกันตังเมคิด

    ตังเมกับต่อเป็นพี่น้องคนละพ่อละแม่กันนิสัยขอทั้งคู่เลยแตกต่างกันมาก แต่ก็โตมาด้วยกัน ตังเมเองก็รักและเคารพต่อมากส่วนต่อเองก็รักเธอมากเช่นกัน แต่ความรักของพวกเขาก็ไม่ได้เกินเลยไปมากกว่าคำว่าพี่น้อง ถึงแม้จะมีคนมองว่าความรักความสนิทสนมที่มีให้กันมันไม่เหมือนพี่ชายกับน้องสาวก็เถอะ ต่อ หรือ นาย ภัทรวิช เป็นลูกที่ติดมากับคุณเตวิช แม่ของเขาทิ้งเขากับพ่อไปแต่งงานใหม่กับเศรษฐีแล้วก็ย้ายไปอยู่ต่างประเทศ ส่วนตังเมก็เป็นลูกติดของคุณดาหลา พ่อของตังเมเป็นชาวประมง ตอนที่เธออายุได้สองขวบพ่อของเธอได้ล่องเรือออกไปหาปลากับเพื่อนบ้านแล้วเกินพายุใหญ่มาพอดี ทำให้เรือที่พ่อของเธอนำออกไปเกิดล่ม ส่วนพ่อของเธอก็หายสาบสูญไป พบแต่ศพของเพื่อนบ้าน ทางการจึงคิดว่าพ่อของตังเมเองก็คงจะตายไปแล้วเหมือนกันเลยหยุดการค้นหา พอตังเมอายุได้สี่ขวบคุณดาหลาก็แต่งงานใหม่กับคุณเตวิชและย้ายมาอยู่ที่จังหวัดนครนายก ที่ไร่เพียงสายลมจนถึงตอนนี้นั่นเอง ตังเมนั่งคิดถึงครั้งแรกต่อไม่กล้ามองหน้าเธอกับแม่เลย เธอกับแม่คุยด้วยต่อก็เอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมพูด อาหารก็ทานน้อยจนทำให้คุณเตวิชกับคุณดาหลาหนักใจกับเรื่องนี้มาก

      “คุณพ่อครับระวังนะครับ แถวนี้อันตราย เกิดอุบัติเหตุบ่อยด้วย”  อยู่ดีๆต่อก็พูดขึ้นทำให้ตังเมต้องหันไปมองถนนเช่นเดียวกับคุณดาหลาที่ละสายตาจากหนังสือในมือขึ้นมอง แต่แล้วสิ่งที่ทุกคนเห็นแทนทีจะเป็นท้องถนนที่มีรถวิ่งตรงไปอย่างคล่องตัวกลับเป็นรถบรรทุกคันใหญ่ที่น่าจะวิ่งอยู่อีกข้างของเกาะกลางถนนกำลังวิ่งข้ามเกาะกลางถนนมาด้วยความเร็วและพุ่งตรงมาที่รถของพวกเขา คุณเตวิชพยายามเบรกรถและหักพวงมาลัยหลบแต่เหมือนจะหลบไม่พ้น

      “คุณพ่อระวังค่ะ!!!!  จบประโยคต่อก็โผเข้ากอดตังเมและดันตัวเธอลงกับเบาะเพื่อใช้ตัวเองเป็นเกาะป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นให้กับน้องสาวสุดที่รักและ...

    โครม!!!!!!!!

    เสียงรถบรรทุกพุ่งเข้าชนกับเก๋งคันงานดังกระหึ่มไปทั่วอาณาบริเวณโดยรอบ รถที่ตามมาด้านหลังหลายคันจอดดูเหตุการณ์ บางคนก็ลงมาช่วยกันงันเอาคนที่ติดอยู่ด้านในออกมาด้วยความเป็นห่วงจนรถพยาบาลของโรงพยาบาลที่ใกล้ที่เกิดเหตุที่สุดวิ่งมาถึงตามด้วยรถกู้ชีพ รถร่วมกตัญญู และรถตำรวจวิ่งมาจอดเรียงกันและระบายการจราจรที่เริ่มติดขัดมากขึ้นให้เดินรถได้อย่างสะดวก ต่อที่ยังไม่หมดสติถูกช่วยเหลือออกมาเป็นคนแรก ตามด้วยตังเม คุณดาหลา คุณเตวิชตามลำดับ ทุกคนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนที่สุด

     

    โรงพยาบาล

    หลังจากอุบัติเหตุเกิดขึ้นและทุกคนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน ต่อก็รู้สึกตัวตื่นมาพบกับความจริงที่โหดร้าย ข้างกายของเขาไม่มีใครเลยนอกจากความว่างเปล่า เขาพยายามหลับตาและลืมมันขึ้นอีกครั้งเพื่อปรับแสงแล้วเขาก็ได้ยินเสียงคนเดินออกมาจากห้องน้ำ ต่อพยายามมองภาพให้ชัดเจนว่าเขาเป็นใครกัน

      “คุณใหญ่ ฟื้นแล้วหรอครับ คุณใหญ่ คุณหมอครับคุณหมอคุณใหญ่ฟื้นแล้วครับ”  เสียงลุงเข้มพูดด้วยความดีใจดังอยู่ข้างหูของเขา ต่อมองดูรอบๆห้องเพื่อหวังว่าเขาจะเจอคนอื่นบ้างแต่ก็ต้องผิดหวังเพราะนอกจากคนเก่าคนแก่ของไร่แล้วเขาก็ไม่เจอใคร

      “ลุงครับ นี่ผมหลับไปนานแค่ไหนครับ ทำไมลุงถึงดีใจขนาดนี้”  ต่อถาม

      “ไม่นานหรอกครับคุณใหญ่ยังไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง ยังไม่ถือว่านานครับ”  ลุงเข้มพูด

      “แล้วคุณพ่อคุณแม่กับตังเมละครับลุง”  ต่อถาม

      “เอ่อ...”  ลุงเข้มอึกอักหันมองซ้ายมองขวาเพื่อหลบสายตาคมของเจ้านายและคิดหาวิธีบอกความจริงที่คิดว่าดีที่สุด  คุณหมอมาพอดีเลย ลุงว่าคุณใหญ่ให้หมอตรวจดูอาการก่อนดีกว่านะครับแล้วเดี๋ยวลุงจะเล่าให้ฟัง”  ลุงเข้มพูดจบก็ถอยออกไปยืนห่างๆต่อเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนการทำงานของคุณหมอ

      “คุณหมอครับ อาการผมเป็นยังไงบ้างครับ”  ต่อถามทั้งๆที่ความจริงแล้วเขาก็รู้ตัวดีกว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรมากมาย

     “อาการไม่มีอะไรหน้าเป็นห่วงแล้วนะครับ  พักอีกสักวันก็กลับบ้านได้แล้วครับ”  คุณหมอที่อายุอานามน่าจะแก่กว่าคนไข้สักสี่ห้าปีบอก

      “ขอบคุณครับ”  ต่อกล่าวขอบคุณคุณหมอหนุ่มตามมารยาทที่คุณแม่ดาของเขาเคยสอนไว้

      “ไม่มีอะไรแล้วหมอขอตัวนะครับ”  คุณหมอบอกด้วยรอยยิ้ม

      “ตามสบายครับ ลุงเข้มส่งคุณหมอทีนะครับ”  ต่อหันไปสั่ง ลุงเข้มพยักหน้ารับก่อนจะเดินไปส่งคุณหมอที่หน้าประตูแล้วเดินกลับมานั่งที่โซฟา

      “คราวนี้ลุงจะตอบผมได้หรือยังครับว่าคุณพ่อคุณแม่และตังเมอยู่ไหน”  ต่อถามซ้ำ

      “เอ่อ..คือ คุณใหญ่พร้อมที่จะฟังแล้วจริงๆหรือครับ”  ลุงเข้มถาม

      “ครับ”  เขาตอบ ลุงเข้มถอนหายใจออกมาทีหนึ่งก่อนจะสูดเข้าไปอีกเต็มปอดแล้วหันมามองหน้าเจ้านายหนุ่มด้วยใบหน้าที่แสดงออกถึงความหนักใจ

      “คุณใหญ่ครับ คุณใหญ่ต้องสัญญากับลุงก่อนนะครับว่าจะฟังลุงพูดให้จบ จะไม่หุนหันพลันแล่นออกไป”  ลุงเข้มพูด ต่อพยักหน้ารับแทนคำตอบแล้วลุงเข้มก็สูดเอาอากาศเข้าไปอีกรอบ “นายผู้ชายกับนายผู้หญิง... ท่านเสียแล้วครับ”  เหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุนไปในทันที เหมือนหัวใจของคนฟังจะขาดลงตรงนี้ ทำไมพระเจ้าถึงได้ใจร้ายกับเขาขนาดนี้ ทำไมต้องมาพรากพวกท่านไปจากเขาและน้องด้วย

      “แล้วตอนนี้พวกท่านอยู่ไหนครับ”  ต่อถามกลับพร้อมกับน้ำตาที่ไม่รู้ไหลมาจากไหนเขารู้เพียงว่าตอนนี้ทั้งร่างกายและหัวใจมันชาดิก จนกระดิกไม่ได้ เจ็บจนแทบจะลืมหายใจ

      “ห้องดับจิตครับ”  ลุงเข้มตอบด้วยหัวใจที่ปวดร้าว เสียใจไม่แพ้คนตรงหน้า เพราะตัวเขาเองก็ทำงานอยู่ที่ไร้เพียงสายลมมาตั้งแต่สมัยที่คุณโตพ่อของคุณเตวิชเริ่มบุกเบิกเนื้อที่เกือบร้อยไร่เพื่อทำเกษตรจนคุณเตวิชขึ้นมาเป็นเจ้าของไร่อย่างเต็มตัวจนถึงตอนนี้ลุงเข้มและครอบครัวก็ไม่เคยคิดที่จะทิ้งเจ้านายที่เปรียบดั่งเจ้าชีวิตของพวกเขา

      “ลุงช่วยพาผมไปหาพวกท่านหน่อยได้ไหมครับ”  เจ้านายรุ่นที่สามเอ่ยเสียงเศร้าเคล้าสายน้ำใสที่ไหลออกจากดวงตาไม่ขาด ลุงเข้มทำได้เพียงพยักหน้าให้ก่อนจะเดินเข้าไปพยุงต่อลงจากเตียงเพื่อไปพบบุพการีตามที่เขาขอร้อง

    เมื่อเดินลัดเลาะพื้นที่โรงพยาบาลมาจนถึงหน้าห้องดับจิตต่อก็เข้าไปยืนเกาะประตูมองเข้าไปภายในห้องที่ควรจะมีศพที่มีผ้าขาวปิดร่างไว้อย่างเรียบร้อยแต่เหมือนพระเจ้าอยากให้เขาได้พบความจริงที่โหดร้ายทารุณแกล้งให้มีสองร่างบนเตียงที่เรียงอยู่ข้างกันมีผ้าขาวปิดไว้แค่เพียงอก ต่อมองเข้าไปข้างในแล้วไล่สายตามองร่างที่ไร้วิญญาณจนมาพบกับร่างของผู้มีพระคุณของเขาทั้งสองแล้วน้ำตาที่ไหลอยู่แล้วก็ยิ่งไหลอาบสองข้างแก้มมารวมกันที่คางสากก่อนจะล่วงล่นลงสู่พื้น ร่างกายไร้ซึ่งการตอบสนอกใดๆ แข่งขาพาลอ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรงจนแทบยืนไม่ไหว ลุงเข้มมองดูร่างล้ำสันของเจ้านายรุ่นหลานไหวสะท้านเนื่องจากการสะอื้นไห้แล้วก็ต้องเช็ดน้ำตาตามด้วยความสงสารแต่เขากลับช่วยอะไรไม่ได้แม้แต่คำพูดปลอบประโลมยังเค้นหาไม่เจอ จึงทำได้เพียงเดินเข้าไปตบไหล่หนาเพื่อให้กำลังใจ ต่อหันใบหน้าที่เปรอะคราบน้ำตาแห่งความสูญเสียไปมองบุคคลที่เขาเคารพเหมือนญาติผู้ใหญ่เพียงหนึ่งเดียวที่มีอยู่ของเขาก่อนจะสวมกอดคนสูงวัยกว่าเพื่อขอกำลังใจเป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจ หลังจากการร้องไห้อย่างหนักได้ผ่านพ้นไปลุงเข้มได้พาต่อกลับมาพักที่ห้องพักของเขา ก่อนจะขอตัวกลับไปอาบน้ำกลับมาเฝ้าเจ้านาย

    หลังจากได้ร้องไห้จนหนำใจแล้วต่อก็ยอมกลับมาพักตามที่ลุงเข้มขอร้อง เขาได้แต่นั่งมองบรรยากาศภายนอก มองฟ้าสีส้มที่แสดงให้เห็นว่าตอนนี้เป็นเวลาใกล้ค่ำแล้ว มองดูนกที่พากันบินกลับรังเพื่อพักผ่อนหลังจากที่เหน็ดเหนื่อยกับการบินหาอาหารมาทั้งวัน แล้วก็ทำให้ต้องมองย้อนกลับไปมองดูตัวเอง ตอนนี้เขาเพิ่งจะอายุ 22 ปี ยังเรียนไม่จบดีด้วยซ้ำ แต่ต้องมาเสียพ่อกับแม่เลี้ยงที่เขารักและเคารพดั่งแม่ผู้ให้กำเนิดไปพร้อมกันทั้งสองคน และทำให้เขาต้องขึ้นมารับภาระหน้าที่ที่ต้องดูแลไร่เพียงสายลมกับฟาร์มแกะพันดาวและคนงานอีกเกือบครึ่งร้อย แต่การทำเกษตรและปศุสัตว์นั้นไม่ยากเกินความสามารถของเขากับน้องสาวอย่างแน่นอน พอคิดถึงน้องสาวเขาตังไม่ได้พบตังเมเลย ไม่รู้ว่าตอนนี้น้องน้อยของเธอเป็นอย่างไรบ้าง

      “อ้าว! คุณใหญ่ตื่นแล้วหรือยังไม่นอนครับเนี่ย”  เสียงห้าวของดนตรีดังขึ้นเรียกสายตาของเขาให้หันไปมอง

      “ดนแกมาก็ดีแล้ว ฉันว่าจะโทร.หาลุงเข้มอยู่พอดี”  ต่อพูด

      “คุณใหญ่จะโทร.หาลุงเข้มแกทำไมหรอครับ ผมเพิ่งจะสวนกับแกเมื่อกี้เอง”  ดนตรีถาม

      “ตังเมอยู่ไหน ตั้งแต่ฉันตื่นมาฉันยังไม่เจอหน้าน้องเลย น้องสาวฉันอยู่ไหน”  ต่อหันไปถาม ภายในใจภาวนาให้ตังเมปลอดภัย และนอนรักษาตัวแค่อาการบาดเจ็บเล็กน้อยเหมือนกับเขาหรือไม่เป็นอะไรเลยยิ่งดี แต่พอมองหน้าคนถูกถามแล้วพบว่าใบหน้าเริ่มถอดสี ใจเขาก็เริ่มอยู่ไม่เป็นสุข กลัวไปซะทุกอย่าง กลัวว่าน้องน้อยเขาจะหายไปเช่นเดียวกับผู้มีพระคุณทั้งสอง

      “นี่ลุงเข้มยังไม่ได้บอกคุณใหญ่หรอครับ ว่าคุณเล็กยังอยู่ในห้องฉุกเฉิน”  เหมือนสายฟ้าฟาดลงมากลางใจของเขาอีกครั้งเมื่อรู้ว่าน้องสาวสุดที่รักของเขายังอยู่ในห้องฉุกเฉิน ภายในใจก็เริ่มภาวนาให้น้องน้อยปลอดภัย เพราะถ้าโลกนี้ไม่มีตังเมเขาก็ไม่รู้จะอยู่บนโลกนี้ต่อไปเพื่ออะไร

      “ฉันอยากเจอตังเม แกช่วยพาฉันไปหาตังเมหน่อยได้ไหม ฉันต้องการเจอน้องสาวฉัน”  ต่อพูดขึ้น

      “ผมว่าไว้รอพรุ่งนี้ดีกว่าไหมครับคุณใหญ่ ตอนนี้คุณใหญ่ควรจะพักผ่อนก่อนนะครับ คุณเล็กเธอปลอดภัยแล้วเพียงแต่หมอต้องการให้เธออยู่ในห้องฉุกเฉินเพื่อรอดูอาการเท่านั้นเองครับ”  ดนตรีบอกเจ้านายรุ่นพี่ที่มีอายุห่างกับเขาเพียงสองปีด้วยความรักและเคารพดั่งเจ้าชีวิต
             "ปลอดภัยแล้วทำไมต้องพักห้องฉุกเฉินวะ"  ต่อพูด
             "เอาน่าคุณใหญ่ ไว้พรุ่งนี้ผมจะพาไปเอง แต่วันนี้นอนก่อนเถอะนะครับผม"  ดนตรีพูดก่อนจะเดินเข้าไปกดตัวเจ้านายที่เคารพให้นอนลงกับเตียงแล้วห่มผ้าให้เสร็จสัพ
             "ฉันไม่นอนจนกว่าจะได้เจอตังเม แกเข้าใจมั้ย"  ต่อพูดเกือบตะโกน
             "โธ่คุณใหญ่คร๊าบ ขอร้องล่ะครับ นอนก่อนเถอะนะครับเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะรีบพาคุณใหญ่ไปหาคุณเล็กทันที แต่ตอนนี้นอนก่อนนะครับ ผมขอร้อง"  ดนตรีพูดแทบจะกราบเท้าเจ้านายสุดที่รักให้ยอมทำตาม แต่ดูเหมือนมันจะไม่เป็นผลเอาซะเลย
             "ฉันจะไปหาตังเม!"  ต่อเน้นเสียงหนัก
             "แต่คุณใหญ่ต้องพักผ่อนนะครับ"  ดนตรีพูด
             "พักทำไมฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย แกก็เห็น"  ต่อพูด
             "ก็คุณหมอบอกให้คุณใหญ่พักผ่อนเยอะๆนะครับ"  ดนตรีอ้าง
             "แล้วแต่หมอสิ"  ต่อพูด
             "ผมไหว้ละครับเจ้านายคร้าบ พักผ่อนก่อนเถอะครับ คุณหนูเล็กเธอไม่ตื่นมาวิ่งหนีคุณใหญ่กลางดึกหรอกครับ"  ดนตรีว่า
             "ฉันจะไปหาตังเม ฉันจะไปหาน้องสาวฉัน แกได้ยินมั้ย"  ต่อพูดเสียงต่ำ
             "คร๊าบๆ ได้ยินคร๊าบผม แต่ว่า..."  คนอึกอัก
             "ฉันไม่เป็นไรแกก็เห็น ขอร้องล่ะดน แกช่วยพาฉันไปหาตังเมทีเถอะ"  ต่อขอร้อง ณ เวลานี้เขาคงไม่สามารถหลับตานอนได้เพราะในหัวของเขาเฝ้าแต่เป็นห่วงตังเมจนแทบจะบ้าตาย เขาแค่อยากรู้ว่าน้องสาวเขาเป็นอย่างไรบ้าง แค่อยากเห็นว่าตังเมไม่ได้บาดเจ็บอย่างที่ใครต่อใครบอกกับเขา เพราะนอกจากพ่อกับแม่เลี้ยงที่เขารักมาก ก็มีเพียงตังเมเท่านั้นที่เป็นหัวใจของเขา ฉะนั้นไม่ว่าน้องสาวเขาจะเป็นยังไงจะอยู่ในสภาพไหนเขาก็อยากจะเห็นด้วยตาของตัวเอง
              "ไม่ใช่ผมไม่อยากช่วยนะครับคุณใหญ่ แต่ตอนนี้มันหมดเวลาเยี่ยมแล้ว อีกอย่างคุณใหญ่เองก็เหนื่อยมาทั้งวันให้ร่างกายได้พักผ่อนบ้างเถอะนะครับ"  ดนตรีเกลี่ยกล่อม
              "แต่ฉัน..."
              "ผมสัญญาว่าพรุ่งนี้พอคุณใหญ่ตื่นปุ๊บ ไอ้ดนตรีคนนี้จะพาคุณใหญ่ไปหาคุณเล็กทันทีครับ"  ดนตรีให้คำสัญญาด้วยรอยยิ้มจริงใจ ต่อมองหน้าลูกน้องก่อนจะพยักหน้าเบาๆเป็นเชิงว่ายอมแพ้แล้วนอนมองออกไปนอกหน้าต่างในใจก็ภาวนาให้ค่ำคืนนี้ผ่านไปโดยเร็ว เพื่อที่เขาจะได้พบหน้าน้องน้อยของเขาเร็วๆ


            เช้าวันต่อมา 
            หลังจากที่ต้องพยายามข่มตาหลับมาตลอดทั้งคืน ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ต่อรอคอยเพราะเขาจะได้เจอน้องสาวของเขาแล้ว ต่อปลุกให้ดนตรีตื่นตั้งแต่หกโมงเช้า
            
    ดนตรีพาต่อเดินมาหยุดหน้าห้องฉุกเฉินพอดีกับที่คนหมอเจ้าของไข้ของตังเมพร้อมกับบุรุษพยาบาลที่เข็นเตียงผู้ป่วยออกมาจากห้องฉุกเฉิน

      “คุณหมอครับ”  ดนตรีเรียก

      “อ้าวคนตรี คุณต่อมาเยี่ยมคุณหนูตังเมหรอครับ”  หมอเอกทัก

      “ครับ ตังเมเป็นไงบ้างครับ”  ต่อถาม

      “งั้นเดียวผมว่าเราเดินไปคุยไปดีกว่านะครับ”  หมอเอกพูด

      “เดินไปไหนครับ”  ดนตรีถาม

      “ตอนนี้หมอย้ายคุณหนูตังเมไปพักที่ห้องพักฟื้นเรียบร้อยแล้วครับ อาการไม่หน้าเป็นห่วง หมอคิดว่าอีกไม่นานก็คงจะฟื้นครับ”

      “นานไหมครับหมอ”  ต่อถาม

      “ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของคุณหนูตังเมครับ หมอให้คำตอบที่แน่ชัดไม่ได้หรอกครับคุณใหญ่”  หมอเอกพูด
                  
    เมื่อเดินมาถึงห้องพักของตังเมต่อก็แทบจะวิ่งเข้าไปดูอาการของน้องสาวแต่ติดที่ดนตรีขว้าตัวไว้ได้ทัน ต่อเดินไปนั่งลงข้างเตียงมองหน้าน้องสาวสุดที่รักด้วยความคิดถึง ความห่วงใย ต่อมองสำรวจไปทั่วร่างกายของตังเมแต่สิ่งที่เขาพบคือรอยฟกช้ำ เพียงเล็กน้อยและหางคิ้วแตกเพียงจุดเดียว แต่ทำไมน้องน้อยของเขาถึงยังไม่ฟื้นคืนสติสักที

    หลายวันต่อมา

    แม้ว่าคุณหมอจะอนุญาตให้ต่อออกจากโรงพยาบาลได้แล้วแต่เขายังคงคลุกอยู่ที่โรงพยาบาลเพื่อดูแลน้องสาวสุดที่รักของเขาที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นในเร็ววัน ถึงแม้เวลาจะผ่านมาเกือบสองอาทิตย์แล้วและตังเมเองก็ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเพียงแค่สมองกระทบกระเทือนจนหมดสติและมีอัตราการเต้นของหัวใจอ่อนเท่านั้นเอง
                .....

      “แม่ดาจ๋า พ่อเตจ๋า อยู่ไหนกันคะ ช่วยเมด้วยค่ะเมหลงทาง เมอยากกลับไปหาพ่อกับแม่แล้วก็พี่ต่อด้วย พี่ต่อ พี่ต่ออยู่ไหนช่วยเมด้วย เมอยากกลับบ้าน พี่ต่อช่วยเมด้วย”  แม้จะพยายามแผดเสียงดังแค่ไหนแต่ก็ดูเหมือนว่าความพยายามของตังเมจะไม่เป็นผล เพราะนอกจากจะไม่มีใครมาช่วยเธอ ยังเหมือนกับว่าเธอเดินหลงเข้าไปลึกยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ภาพที่เห็นตรงหน้ามีเพียงหมอกควันสีขาวปกคลุมอยู่ทั่วทั้งบริเวณ หนาซะจนไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้ในระยะ 1 เมตร ทุกอย่างเงียบสงบ ไม่มีเสียงของสิ่งมีชีวิตใดๆอยู่ ณ บริเวณนั้น มีเพียงทวงทำนองแห่งสายลมที่บรรเลงอย่างแผ่วเบาพัดผ่าน ตังเมทำได้เพียงเดินไปเรื่อยๆจนเจอกับซอกหินที่มีขนาดกว้างพอให้สาวร่างเล็กอย่างเธอหลบเข้าไปพักผ่อนได้ จะด้วยความเหนื่อยล้าหรือสาเหตุใดที่ทำให้ตังเมผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย

    ตังเมยังคงตื่นมาเจอกับดินแดนที่แสนจะพิสดารในความคิดของเธอ ตอนกลางวันจะมีเมฆหมอกลงหนาจัด แต่ตกกลางคืนกลับมีฝนตกตลอดทั้งคืนไม่มีเวลาใดที่จะสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ฉายแสงได้เลยไม่ว่าจะเดินไปทางไหน มองไปทางไหนก็ไม่เจอในสิ่งที่ต้องการสักครั้ง ตังเมร้องไห้จนไม่มีน้ำตาที่จะไหล กลัวจนไม่รู้ว่าจะกลัวอะไร เรียกหาบุคคลที่เป็นที่รักทั้งสามจนไม่มีเสียง แต่ก็ยังไม่เจอทางออกจากดินแดนนี้สักที ไม่รู้ว่านานเท่าไรแล้วที่เธอติดอยู่ที่นี่ ไม่รู้ป่านนี้คุณแม่ดา คุณพ่อเต และพี่ต่อของเธอจะเป็นห่วงและออกตามหาให้วุ่นวายแค่ไหนเพราะนี่ก็เป็นเวลาหายวันแล้วที่เธอติดอยู่ในดินแดนประหลาดแห่งนี้

      ลูกเม เม ตังเมลูก’  น้ำเสียงอ่อนโยนเอื้อนเอ่ยเรียกลูกรักให้ตื่นจากการหลับใหล

      แม่จ๋า แม่’  ตังเมขานตอบเมื่อได้ยินเสียงบุคคลอันเป็นที่รักแว่วตามสายลมผ่านสายหมอกมาแผ่วเบา

     ตังเม แม่อยู่ทางนี้ลูก แม่อยู่ทางนี้

     ‘แม่อยู่ไหนคะ เมมองไม่เห็นแม่เลยค่ะ’  ตังเมยังคงร้องถามพร้อมกับมองซ้ายแลขวาเพื่อจับทางเสียง ก่อนจะออกเดินตามเสียงแผ่วเบาของผู้เป็นแม่ไปอย่างไร้จุดหมาย

    แม่อยู่ทางนี้ลูก ตังเม แม่อยู่ทางนี้’  แม้เป็นเพียงเสียงเรียกแผ่วเบา เอื่อยมาตามสายลมแต่ก็ดังพอให้แน่ใจว่านั้นคือเสียงเรียกของบุคคลอันเป็นที่รัก

    ตังเมยังคงเดินตามเสียงนั้นไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่านานแค่ไหน นานเท่าไหร่ที่ตังเมเดินตามเสียงนั้นมาแต่ก็ยังไม่มีที่ท่าว่าจะเจอแหล่งกำเนิดสักที เดินจนเริ่มจะเหนื่อย เหนื่อยจนเริ่มเดินไม่ไหว จนในที่สุดตังเมก็มองเห็นแสงรำไรส่องผ่านเมฆหมอกเข้ามา เธอจึงต้องแข็งใจพยายามเดินต่อ เมื่อมาถึงแสงที่ว่านั้นตังเมก็ได้พบกับบุพการีอันเป็นที่รักยิ่งของเธอ

    แม่...แม่จ๋า เมดีใจจังเลยที่เจอแม่ เมคิดว่าชาตินี้เมจะไม่ได้เจอแม่อีกแล้ว แม่มาหาเมหรอคะ  ตังเมรั่วคำถามใส่คุณดาหลาที่ยังเอาแต่ยิ้มและสวมกอดลูกสาวด้วยความรัก
              'แม่ก็ดีใจจ๊ะที่ได้เจอหนู ตังเมลูกรักของแม่'  คุณดาหลาพูดพร้อมกับยกมือขึ้นลูบหัวตังเมด้วยความรักใคร่เอื้อเอ็นดู
                'แล้วนี่คนอื่นๆ หายไปไหนคะแม่ พี่ต่อกับพ่อเตล่ะคะ?'  ตังเมถามพร้อมกับหันซ้ายแลขวา ชะเง่อคอหา
                'ไปกับแม่ เดี๋ยวแม่พาไปหนูไปเจอพ่อเตก่อนแล้วจะพาไปส่งหาพี่ต่อ ดีไหมจ๊ะ'  คุณดาหลาถาม
                'ค่ะแม่'  ตังเมตอบ
             แล้วทั้งสองคนก็ออกเดินโดยที่คุณดาหลาเป็นคนนำทางตังเมไปเรื่อยๆไม่รู้ว่าไกลแค่ไหน ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ รู้เพียงว่าทั้งคู่เดินคุยกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยจนมาเจอกับคุณเตวิช ซึ่งกำลังยืนรอทั้งสองคนอยู่ด้วยรอยยิ้ม
               'พ่อเต'  ตังเมเรียกด้วยความดีใจก่อนจะวิ่งไปสวมกอดบุคคลซึ่งเธอรักและให้ความเคาพรเทียบเท่าพ่อผู้ให้กำเนิด
               'ปลอดภัยดีใช่ไหมลูกตังเม'  คุณเตวิชถามด้วยความเป็นห่วง
               'เมปลอดภัยดีค่ะพ่อเต พ่อเตไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ'  ตังเมถามกลับ
               'พ่อไม่เป็นไรหรอกลูก เมไม่ต้องเป็นห่วงพ่อกับแม่นะ ต่อไปนี้ไม่มีอะไรจะมาทำอะไรพ่อกับแม่ได้และพ่อกับแม่จะไม่ยอมให้ใครหรืออะไรมาทำอะไรหนูกับพี่ต่อได้เช่นกัน'  คุณเตวิชกล่าว  แม้ตังเมจะไม่ค่อยเข้าใจในคำพูดของผู้เป็นพ่อสักเท่าไรแต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไรให้มากความเพราะตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าพี่ชายสุดที่รักที่เธอยังไม่ได้เจอหน้านานแค่ไหนไม่อาจรู้ได้
                'แล้วพี่ต่อล่ะคะพ่อเต เมนึกว่าพี่ต่อจะอยู่กับพ่อเตซะอีก'  ตังเมเอ่ยปากถาม พร้อมกับมองหน้าบุพการีทั้งสองสลับกันไปมาอย่างสงสัย
               'พี่ต่อรอหนูอยู่ฝั่งนู้นแน่ะลูก หนูเดินไปหาพี่เขาสิลูก'  คุณดาหลาพูด

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×