คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : พิมพ์วรีย์...กับชีวิตเรียบง่าย
บ้าน 2 ชั้นขนาดกะทัดรัดสีขาวสะอาดตา ซ่อนตัวอยู่ภายใต้ขอบรั้วไม้สูงเกือบ 2 เมตรที่ล้อมรอบตัวบ้าน สนามหญ้าสีเขียวสดเรียบเสมอกัน บ่งบอกถึงการได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากเจ้าของบ้าน รอบๆสนามหญ้าขนาดไม่ใหญ่นักมีไม้ดอกในกระถางตั้งเรียงรายโอบล้อมสนามอยู่ สีของไม้ดอกเหล่านั้นตัดกันทำให้เกิดให้สีสันสวยงามแก่ผู้พบเห็น ส่วนรอบ ๆ รั้วบ้านก็มีไม้ยืนต้นขนาดใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาไปทั่วบริเวณบ้าน ข้าง ๆตัวบ้านก็เป็นโรงจอดรถขนาดเล็กที่มีรถฮอนด้า CRV สีเขียวขี้ม้าจอดอยู่เพียงคันเดียวเท่านั้น ภายในโรงรถด้านในเป็นที่จัดเก็บอุปกรณ์เกี่ยวกับรถยนต์และเครื่องมือทำสวนซึ่งของทุกอย่างถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบสมกับเป็นบ้านของนายทหารชั้นผู้ใหญ่
กลางสนามหญ้า มีแสงแดดที่ไม่แรงจ้านักส่องผ่านเงาไม้ลงมา ร่างบึกบึนในชุดเสื้อคอกลมแขนสั้นสีเขียวแก่กางเกงขาสั้นสีเขียวเดียวกันแต่ซีดกว่ากำลังก้ม ๆ เงย ๆ ตัดแต่งกิ่งดอกชวนชม สีบานเย็นที่เริ่มจะเลื้อยไปพันกิ่งดอกพุดซ้อนที่อยู่ข้างเคียงให้เข้าที่เข้าทาง ไม่ไกลจากตรงนั้นนัก ก็มีร่างของหญิงสาวในชุดเสื้อคอกลมแขนสั้นสีขาว กางเกงขาสั้นสีกรมท่าสำหรับใส่อยู่บ้าน ยืนรดน้ำต้นการเวกที่ออกดอกสีเหลืองนวลตาส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วบริเวณข้างประตูรั้วบ้านหลังเล็กนี้
“เสร็จรึยังว่ะไอ้เก่ง” เสียงเรียกที่ไม่เบานักดังมากจากร่างสูงใหญ่ที่ยืนตัวตรงอยู่ตรงระเบียงบ้านที่ยืนออกมาจากห้องนั่งเล่น ก่อนจะเดินลงมายังสนามหญ้า
“ดูดี ๆ นะโว้ยอย่าให้ไปพันดอกพุดซ้อนของคุณนายเขา เดี๋ยวเป็นเรื่องแน่” ร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อคอวีลายขวางสีขาว-น้ำเงิน กับกางขาสั้นสีดำสนิทพูดกับร่างบึกบึนที่กำลังแต่งกิ่งดอกชวนชมอยู่
“ครับนาย” ร่างบึกบึนของชายหนุ่มในวัย 30 ปลาย ๆ ตอบรับคำสั่งของชายร่างสูงที่คงมีอายุมากกว่าไม่เกิน12 ปี
“วันนี้ป๊าไม่ออกไปไหนหรอค่ะ” พิมพ์วรีย์เอ่ยปากถามชายร่างสูงที่ยังยืนดูจ่าวิชาญลูกน้องคนสนิทแต่งกิ่งไม้ดอกสุดหวงของเขา
“ไม่ล่ะลูก อยู่บ้านบ้าง เดี๋ยวลูกสาวพ่อจะบ่นว่าจำหน้าพ่อตัวเองไม่ได้” พล ต. พาพลเอ่ยปากล้อลูกสาวคนเล็กที่ชอบไปบ่นกระเง้ากระงอดกับผู้เป็นมารดาว่าบิดาอยู่ไม่ติดบ้านจนเธอแทบจะจำหน้าพ่อตนเองไม่ได้
พิมพ์วรีย์หัวเราะออกมาทันทีที่ได้ฟังประโยคล้อเลียนจากเสธ.พาพล
“โธ่ ป๊า ก็มันจริงนี่นา ทั้งพ่อทั้งพี่ พอกันเลย” พิมพ์วรีย์พูดไปยิ้มไป ในขณะที่มือเรียวยาวของเธอก็เดินถือสายยางรดน้ำต้นไม้ไปเรื่อย ๆจนกระทั่งเสร็จจึงวางมือ
“พิมพ์ เสร็จรึยังลูก มากินขนมเร็ว แม่ทำปอเปี๊ยกสดเอาไว้ ดูสิว่าอร่อยสู้ร้านโปรดของพิมพ์ในตลาดได้มั้ย” เสียงเรียกของคุณจริณลดา ทำให้ทั้งคุณพ่อคุณลูกหันไปตามเสียง ก็เห็นร่างของหญิงสาวในชุดสบาย ๆ สวมผ้ากันเปื้อนที่ไว้สำหรับทำครัวเดินตรงเข้ามาใกล้ ๆ
“เสร็จแล้วค่ะ เดี๋ยวพิมพ์ไปยกเอง แม่กับป๊าไปนั่งรอที่ศาลาได้เลย เดี๋ยวนู๋พิมพ์จัดให้ อิอิ” พิพ์วรีย์พูดพร้อมกับเดินตรงไปยังตัวบ้านโดยมีจ่าวิชาญเดินตามไปด้วย ส่วนคุณจริณลดากับเสธ.พาพลก็พากันเดินตรงไปนั่งรอบุตรสาวยังศาลาไม้ 6 เหลี่ยมทรงยุโรปหลังเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่มุมขวาสุดของรั้วบ้านบนสนามหญ้าสีเขียวขจี
ภายในศาลาก็มีโต๊ะไม้สักทรงกลมขนาดกลางวางอยู่กลางศาลา ส่วนตามเหลี่ยมของศาลาก็มีหมอนอิงทั้งใบเล็กใบใหญ่วางอยู่โดยรอบ รวมไปถึงหมอนสามเหลี่ยมใบค่อนข้างใหญ่ที่เสธ.พาพล กำลังเอนตัวพิงอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน ส่วนคุณจริณลดาก็คอยรับถาดขนมที่ลูกสาวที่ยกมาเสิร์ฟถึงศาลา โดยมีจ่าวิชาญถือเหยือกน้ำลำไยเดินตามหลังมาติด ๆ
“วางไว้บนโต๊ะเลยนะเก่ง เออ ในครัวมีปอเปี๊ยกที่ฉันแบ่งไว้ให้ วางอยู่ในจานนะ เก่งไปหยิบได้เลย ส่วนน้ำลำไยก็อยู่ในตู้เย็นฉันซื้อมาฝากเก่งขวดหนึ่งนะ” คุณจริณลดากล่าวกับลูกน้องคนสนิทของสามีอย่างสนิทสนมเนื่องจาก จ่าวิชาญติดตามเธอและสามีมานานแล้วตั้งแต่ตอนยังประจำอยู่ที่ต่างจังหวัดจนกระทั่งย้ายเข้ามาในกรุงเทพฯ เสธ.พาพลจึงขอตัวจ่าวิชาญให้ย้ายตามมาด้วย เนื่องจากรู้ใจกันทุกอย่าง
“ไอ้เก่ง ไปกินก่อนไปแล้วค่อยมาทำต่อ” เสธ.พาพลกล่าวกับจ่าวิชาญที่กำลังจะเดินเลี่ยงออกไป จ่าวิชาญพยักหน้ารับก่อนจะเดินหายเข้าไปในตัวบ้าน
พิมพ์วรีย์แบ่งปอเปี๊ยกสดใส่จานใบเล็กก่อนจะยื่นส่งให้บิดาของเธอ เสธ.พาพลลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิก่อนจะรับจานปอเปี๊ยกสดจากลูกสาวและแก้วน้ำลำไยจากภรรยา
“รินไปซื้อน้ำลำไยมาจากที่ไหนล่ะเนี่ย” เสธ.พาพลเอ่ยถามภรรยาหลังจากดื่มน้ำลำไยในแก้วไปอึกใหญ่
“วันนั้นไปดิโอฯ กับคุณหญิงนฤมลนะค่ะ เลยแวะซื้อที่ร้านของโครงการส่วนพระองค์ ร้านดอยคำนะค่ะ” คุณจริณลดาตอบพร้อมกับรับจานปอเปี๊ยกสดที่พิมพ์วรีย์ส่งให้
“เห็นอยู่กันพร้อมหน้าอย่างนี้แล้ว อดนึกถึงตาแพทไม่ได้จริง ๆ เลยนะค่ะ” คุณจริณลดาเอ่ยขึ้นมาหลังจากรับประทานของว่างไปได้สักพัก เสธ.พาพลรู้ดีว่าภรรยาของท่านคงจะห่วงใยและคิดถึงลูกชายคนโตที่เดินทางไปฝึกภาคทางทะเลตามแบบฉบับนักเรียนนายเรือทุกปิดภาคการศึกษาในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม ราว ๆ 45 วัน
“อีก 2 อาทิตย์กว่า ๆ เองตาแพทก็กลับมาแล้ว นี่ก็เพิ่งโทรมาเมื่อวันพุธไม่ใช่หรอ” เสธ.พาพลพูดขึ้นมา ในขณะที่พิมพ์วรีย์ก็พยักหน้ารับกับคำพูดของบิดา ก่อนจะนึกไปถึงเพื่อนชายที่กำลังจะสอบเข้าเรียนต่อในโรงเรียนเตรียมทหารในส่วนของโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
“ป๊าค่ะ ข้อสอบเตรียมทหารเนี่ยยากมั้ยค่ะ” พิมพ์วรีย์เอ่ยปากถามบิดาก่อนจะตักปอเปี๊ยกสดเข้าปาก เสธ.พาพลมองลูกสาวคนเล็กด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
“จะว่ายากก็ยาก ง่ายก็ง่าย มันก็ปนๆกันไปนะลูก”
“แล้วทำไมเขาถึงว่ากันว่าเตรียมทหารเข้ายากล่ะค่ะ” พิมพ์วรีย์ยังคงสอบถามในข้อสงสัยของตัวเองกับบิดา
“ก็เพราะคนมาสอบเยอะไงลูก แต่ทางโรงเรียนนะรับน้อยมาก เปอร์เซ็นต์แข่งขันมันเลยสูง คนที่ขยันและตั้งใจจริงเท่านั้นที่จะมีสิทธิได้เข้าไปเป็นหนึ่งในเตรียมทหารนะ” เสธ.พาพลตอบคำถามลูกสาวจอมซักด้วยรอยยิ้ม ในสมองนึกย้อยไปเมื่อตอนตัวเองสอบเข้าเรียนต่อในโรงเรียนเตรียมทหาร
“พิมพ์จำไม่ได้หรอลูก ว่าตอนพี่แพทเขาสอบนะ เขาต้องขยันขนาดไหน” เสธ.พาพลกลัวว่าลูกสาวจะนึกภาพตามที่ตนเองเล่าให้ฟังไม่ออก จึงยกเหตุการณ์ใกล้ตัวมาเป็นตัวอย่าง ซึ่งก็ทำให้พิมพ์วรีย์เข้าใจได้เป็นอย่างดี เธอยังจำได้ถึงตอนที่พัทสรพี่ชายของเธอเตรียมตัวสอบเข้าเรียนต่อเตรียมทหารในส่วนของโรงเรียนนายเรือซึ่งรับน้อยที่สุดใน4เหล่าทัพ (แต่ก็ยังมากกว่าตำรวจน้ำ) พัทสรทุ่มเทเวลาที่มีอยู่ทั้งหมดให้กับการอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนและทำข้อสอบเก่าๆตามแนวทางที่ พล ต. พาพลผู้เป็นบิดาแนะนำ จนกระทั่งสอบติดเป็นนักเรียนเตรียมทหารและนักเรียนนายเรือในวันนี้นั่นเอง
พิมพ์วรีย์อดคิดไม่ได้ว่าสรมุขเพื่อนชายของเธอนั้นจะตั้งใจอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนและทำข้อสอบปีเก่า ๆเหมือนกับพี่ชายของเธอรึเปล่า
ส่วนเสธ.พาพลเมื่อเห็นลูกสาวเงียบไป กลัวว่าจะหมดข้อสงสัยเดี๋ยวอดเล่าเรื่องราวในอดีตของตนเอง (เขาถึงว่าไง คนแก่ชอบเล่าเรื่องอดีตยืนยันเลยว่าจริง) จึงเอ่ยวลีเด็ดที่เหล่านายทหารรู้จักกันเป็นอย่างดีมาเรียกความสนใจจากบุตรสาว
“เส้นทางไปสู่เกียรติศักดิ์ จะประดับด้วยดอกไม้ ไป่มี” ซึ่งประโยคเด็ดนี้เองที่เรียกเอาสติของพิมพ์วรีย์ที่กระเจิดกระเจิงกลับมาจดจ่อที่บิดาของเธออีกครั้ง พิมพ์วรีย์สอบถามเกี่ยวกับที่มาของวลีเด็ดทำให้เสธ.พาพลได้เล่าเรื่องราวในอดีตสมัยที่ท่านเตรียมตัวสอบเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารสมใจ ส่วนคุณจริณลดาเห็นสองพ่อลูกคุยกันอย่างสนุกสนานจึงเลี่ยงเดินกลับเข้าบ้านไปนั่งดูรายการทำอาหารทางทีวีตามภาษาแม่บ้าน
กระทั่งบ่ายคล้อย ที่เสธ.พาพลจะไปเอนหลังแล้วนั่นแหละ พิมพ์วรีย์ถึงได้เดินกลับขึ้นมาในห้องส่วนตัวอีกครั้ง พิมพ์วรีย์หยิบหนังสือนวนิยายเล่มที่เธออ่านทิ้งไว้เมื่อคืนนี้มาอ่านต่อ เวลาผ่านไปได้สักพักโทรศัพท์มือถือของเธอที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือก็แผดเสียงร้องดังขึ้นเป็นเพลงฮิตของนักร้องชาย ป็อปสตาร์ของเอเซีย
พิมพ์วรีย์กดรับโทรศัพท์พร้อมกับส่งเสียงทักทายปลายสายอย่างร่าเริง
“หวัดดีกรีน ว่าไง มีอะไรหรอ”
“เรากังวลเรื่องสอบนะ” สรมุขเอ่ยถึงประเด็นที่โทรมาหาพิมพ์วรีย์อย่างไม่อ้อมค้อมด้วยน้ำเสียงท้อแท้ เพราะก่อนที่เขาจะโทรมาหาเธอนั้น เขาเพิ่งทะเลาะกับผู้พันส่องเกียรติ์ผู้เป็นบิดาด้วยเรื่องที่เขาไม่ตั้งใจอ่านหนังสือสอบ เอาแต่เที่ยวเล่นไปวัน ๆ
“กังวลทำไมล่ะ ถ้ากรีนตั้งใจ ยังไงก็ทำได้อยู่แล้ว” เสียงใส ๆ ของพิมพ์วรีย์ที่กรอกมาตามสาย ทำเอาสรมุขถึงกับชะงัก เนื่องจากมันเป็นประโยคที่แทงใจดำเขาซะเหลือเกิน
ฝ่ายพิมพ์วรีย์ เมื่อไม่ได้ยินอีกฝ่ายตอบอะไรกับมา เธอจึงกล่าวต่อ
“วันนี้เราก็คุยกับป๊าเราอ่ะนะเรื่องสอบเตรียมฯ”
“ป๊าของพิมพ์ ก็เคยเรียนเตรียมทหารหรอ” สรมุขถามพิมพ์วรีย์กลับด้วยความสนใจ
“อืม ป๊าเราบอกว่าถ้าขยันก็ผ่านฉะลุย” พิพ์วรีย์ถามเสียงคำว่า ‘ผ่านฉะลุย’ ได้เห็นภาพจริงๆ
“เฮ้อ” แทนที่สรมุขจะ ‘อิน’ ไปกับสิ่งที่พิมพ์วรีย์พูด เขากับถอดหายใจออกมาอย่างท้อแท้จนพิมพ์วรีย์แปลกใจ
“กรีนไม่ลองคุยกับพ่อล่ะ พ่อกรีนก็เป็นทหารไม่ใช่หรอ ตอนพี่เราสอบ ป๊าก็ติวให้นะ” พิมพ์วรีย์พยายามหาทางออกให้กับเพื่อนเธอซึ่งตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าไม่มีกำลังใจหลงเหลืออยู่เลย
“พ่อเราสอบเตรียมทหารไม่ติดนะ มาเป็นทหารตอนจบ ป.ตรี” สรมุขตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงห่อเหี่ยว จนพิมพ์วรีย์ถึงกับเก้อไปเลยทีเดียว เนื่องจากเผลอไปพูดแทงใจดำเพื่อน ทำให้น้ำเสียงที่ดูห่อเหี่ยวอยู่แล้วดูจะห่อเหี่ยวหนักขึ้น
“พ่อเลยอยากให้เราเข้า จ.ป.ร. ให้ได้”
“แล้วกรีนอยากเป็นทหารเหมือนพ่อรึเปล่าล่ะ” พิมพ์วรีย์ถามกลับทันทีหลังจากสรมุขพูดจบ ความรู้สึกผิดที่พูดไม่คิดของเธอแปรเปลี่ยนเป็นความแปลกใจว่าทำไมพ่อของสรมุขถึงต้องบีบบังคับลูกอย่างนั้นด้วย พี่ชายเธอเอง ป๊าก็ไม่ได้บอกให้เข้าเตรียมทหาร แต่ความที่มันฝังอยู่ในสายเลือด พัทสรจึงเลือกเส้นทางที่เขาอยากเป็นโดยการสอบเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหารในส่วนของกองทัพเรือ โดยมีป๊าเป็นที่ปรึกษา
“เราอยากเป็นตำรวจนะ แต่พ่ออยากให้เราเป็นทหารมากกว่า” สรมุขตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ดีขึ้นกว่าเมื่อตะกี้นี้นิดนึง เขาออกจะแปลกใจในสิ่งที่พิมพ์วรีย์ถามเพราะไม่มีใครสักคนที่ถามเขาอย่างนี้แม้กระทั่งแอน ทุกคนมักจะพูดว่า ‘ก็ดีแล้วหนิเป็นทหาร’ แต่มันไม่ใช่ทางเดินของเขา มันไม่ใช่สิ่งที่เขาชอบ นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งก็ได้ที่เขาต่อต้านการอ่านหนังสือสอบเตรียมทหาร
“ทำไมอย่างนั้นล่ะ เฮ้อ แล้วนี่กรีนได้สมัครของสามพรานไว้รึเปล่า” พิมพ์วรีย์เอ่ยปากถามเพื่อนชายด้วยความรู้สึกหงุดหงิดในหัวใจ ด้วยครอบครัวของเธอไม่เคยมีการบังคับกันแบบนี้เลย
“สมัคร เราสมัครทั้ง 4 เหล่านั่นแหละ” กรีนตอบ
“แต่พ่อเรา...” สรมุขยังพูดไม่ทันจบประโยคดี เสียงใส ๆ ของพิมพ์วรีย์ก็เอ่ยแทรกขึ้นมา
“มันไม่เกี่ยวอะไรกับพ่อกรีนหรอกนะ เชื่อเราเหอะว่าถ้ากรีนสอบติด พ่อกรีนต้องดีใจด้วยแน่นอนไม่ว่าจะเป็นเหล่าทัพไหน ไม่งั้นพ่อกรีนไม่ให้กรีนสมัครสอบทุกเหล่าหรอกจริงมั้ย ที เนี่ยก็อยู่ที่ความพยายามของกรีนแล้วล่ะ”
“อืม” สรมุขรับคำเบา ๆ พร้อมกับคิดตามคำพูดของเพื่อนสาวไปด้วยในเวลาเดียวกัน
“สิ่งที่เรารัก เรามักจะทำได้ดีเสมอ ว่างั้นมั้ยกรีน” พิมพ์วรีย์ทิ้งทวนด้วยคำพูดสั้น ๆ แต่ลึกซึ้งกินใจ
“ขอบใจมากนะพิมพ์” สรมุขกล่าวขอบคุณพิมพ์วรีย์ด้วยน้ำเสียงตื้นตัน ก่อนจะวางสายไป
“สิ่งที่เรารัก เราจะทำได้ดีงั้นหรอ” สรมุขทวนประโยคที่พิมพ์วรีย์พูดกับตัวเอง ก่อนจะหยิบหนังสือแนวข้อสอบเพื่อสอบเข้าเตรียมทหารมานั่งอ่านอย่างตั้งใจ
“งั้นเราก็ต้องทำได้สิ ถ้าเราตั้งใจจริง” สรมุขกล่าวกับตัวเองเบา ๆ
ผู้พันส่องเกียรติ์เห็นลูกชายคนเดียวนั่งอ่านหนังสือโดยที่ท่านไม่ต้องบังคับเคี่ยวเข็ญก็แปลกใจ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นปลื้มใจ ผู้พันส่องเกียรติ์จึงเดินเลยผ่านไปด้วยรอยยิ้ม
สำหรับสรมุขเวลาเพียง 2 อาทิตย์ที่เหลืออยู่จะเพียงพอ สำหรับการเตรียมตัวสอบเข้าเรียนต่อในโรงเรียนเตรียมทหาร ไม่มีใครรู้ได้ แม้กระทั่งตัวเขาเอง
ความคิดเห็น