คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : จุดเริ่มต้นของค.สัมพันธ์
บรรยากาศเวลาพักกลางวันของโรงเรียนมัธยมแห่งนี้ ดูคึกคักและมีชีวิตชีวา ต่างจากในคาบเรียนลิบลับ เด็กนักเรียนชายบางส่วนยึดจองสนามฟุตบอลเพื่อเล่นกีฬาอย่างที่ตนเองถนัด ส่วนข้างสนามฟุตบอลขนาดมาตรฐานที่เขียวขจีไปด้วยหญ้าสดที่ถูกบำรุงไว้อย่างดีแห่งนี้ ก็มี Stand สำหรับเชียร์กีฬาที่มีเด็กนักเรียนชายขึ้นไปนั่งจับจองพื้นที่ด้านบนไว้จนเกือบเต็ม โดยบางคนในมือยังถือจานข้าวอยู่เลย ด้วยกลัวว่าจะอดเล่นเลยต้องรีบไปนั่งเฝ้าสนามไว้ซะก่อน ข้าวนะ กินไปดูไปก็ได้ แต่ถ้าข้ามตาไปแล้วล่ะก็อดเล่นแน่ ๆ
แสงแดดในเวลาเที่ยง ๆ แบบนี้จะเรียกเหงื่อของพวกเขาได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตามบนStand ยังคงมีเสียงเชียร์อย่างเฮฮาดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย เพราะลุ้นระทึกไปกับเกมส์ในสนาม เนื่องจากถ้าทีมที่เล่นอยู่ในสนามทีมใดเสียประตูก่อนก็จะเป็นผู้แพ้และต้องออกมานั่งรอบนStand แล้วให้ทีมที่นั่งรออยู่ลงไปเล่นแทน ส่วนถ้าอยากแก้มือละก็ ต้องรอจนกว่าจะวนมาถึงรอบของตัวเองอีกครั้งนั่นแหละจึงจะได้แก้มือ ซึ่งแน่นอนว่ากว่าจะกลับมาถึงทีมพวกเขาก็คงใกล้เวลาเข้าเรียนแล้วล่ะ
ส่วนรอบ ๆ สนามฟุตบอลอันเขียวขจีแห่งนี้ก็ถูกโอบล้อมไปโดยไม้ยืนต้นนานาพันธุ์ที่มีป้ายชื่อแขวนเอาไว้ให้นักเรียนที่สนใจได้ศึกษา ส่วนใต้ร่มไม้เหล่านั้น ก็มีม้านั่งเรียงรายยาวไปรอบๆสนาม ซึ่งหลังจากนักเรียนรับประทานกลางวันเสร็จแล้ว หากไม่ไปเล่นกีฬา ไม่เข้าไปอ่านหนังสือในห้องสมุดหรือทำกิจกรรมอื่นใด บริเวณตรงนี้ก็มักจะเป็นที่ ๆ พวกเขามารวมตัวกันเสมอ โดยม้านั่งเหล่านี้จะมีกลุ่มนักเรียนชายหญิงมาจับจองจนแทบจะกลายเป็นที่นัดหมายประจำกลุ่ม
เด็กนักเรียนชายกลุ่มใหญ่กำลังนั่งคุยกันอย่างออกรสชาติ ในมือแต่ละคนมีไพ่ยูกิซึ่งเป็นของเล่นยอดฮิตของเด็กนักเรียนชายใน พ.ศ. นี้ถือกันอยู่ทั่วหน้า ยกเว้นเด็กหนุ่มผิวสีแทน ที่ปลีกตัวออกมาจากกลุ่มเพื่อนไปนั่งเหม่อลอยมองออกไปทางสนามฟุตบอลอยู่เพียงคนเดียวที่พื้นหญ้าขอบสนาม
“ เฮ้! ทำอะไรกันอยู่อ่ะ” เสียงดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยนี้ทำเอาวงไพ่ที่กำลังอยู่ในช่วงลุ้นระทึกถึงกับวงแตก แต่ละคนรีบเก็บไพ่ใส่กระเป๋าเสื้ออย่างทุลักทุเล ทำเอาเด็กสาวในชุดนักเรียนมัธยมปลายเจ้าของเสียงถึงกับหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ในขณะที่เพื่อนสาวที่เดินมาด้วยกันก็ต่างประสานเสียงกันหัวเราะอย่างเมามัน ทำเอาหนุ่ม ๆ ต้องหัดไปส่งสายตาโกรธเคืองนั่นแหละ สาว ๆถึงจะหยุดหัวเราะ แต่ก็ใช่ว่าจะเงียบไปซะทีเดียว ยังคงมีเสียงเล็ดลอดออกมาให้เพื่อนหนุ่มที่เริ่มกลับเข้าสู่สภาพปกติต้องหันไปส่งสายตาอาฆาตแค้นเป็นครั้งที่ 2 นั่นแหละถึงจะเงียบเสียงไปจริง ๆ
“พิมพ์มาเงียบ ๆ อย่างนี้ ตกใจหมด” เสียงแก้ตัวอุบอิบดังมาจากชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง โดยที่ผิวขาวเนียนละเอียดจนผู้หญิงอิจฉาของเขาแดงระเรื่อขึ้นมาตรงบริเวณใบหน้า ในขณะที่เจ้าตัวค่อน ๆ ยันตัวเองลุกขึ้นจากพื้น เนื่องจากความตกใจเสียงทักของพิมพ์วรีย์ทำให้นวพจน์ที่กำลังเล่นไพ่อยู่กับเพื่อน ๆ ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว แต่โชคดันไม่เข้าข้าง เพราะดันไปสะดุดขามานั่งล้มลงไปกองกับพื้น เจนจิรา เพื่อนในกลุ่มของพิมพ์หรือพิมพ์วรีย์เดินเข้าไปยืนข้าง ๆ นวพจน์พร้อมกับช่วยปัดฝุ่นที่กางเกงนักเรียนสีกรมท่าของนวพจน์ด้วยท่าทีเขินอาย ซึ่งการกระทำนี้เรียกเสียงแซวอย่างล้อเลียนจากเพื่อน ๆ ในกลุ่มได้เป็นอย่างดี นวพจน์กับเจนจิราซึ่งเขินเสียงแซวของเพื่อน ๆ (หรือจะไปจู๋จี้กันต่อก็ไม่รู้) รีบเดินหนีไปทางอื่นด้วยกัน ซึ่งแน่นอนมีเสียงตะโกนแซวดังตามหลังทั้งคู่ไปจากเพื่อน ๆ ปากสุนัขทั้งหลายทั้งชายและหญิง !!!
ส่วนพิมพ์วรีย์ก็หันหน้ามาขอโทษเพื่อน ๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแหย และน้ำเสียงเอาใจสุดฤทธิ์ ซึ่งหนุ่ม ๆ เองเมื่อได้ฟังคำขอโทษจากปากเพื่อนสาว หนุ่ม ๆ อย่างพวกเขาก็ไม่คิดจะติดใจอะไรอีก เนื่องจากคบหากันมานานกว่า 4 ปีจึงรู้นิสัยใจคอกันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะพิมพ์วรีย์ที่ชอบแกล้งเพื่อน ๆ อย่างสม่ำเสมอ แต่ทุกครั้งก็เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อน ๆ ได้อย่างดี โดยเฉพาะมุกอำว่าเป็นอาจารย์ที่เหมือนจริงมากจนเพื่อนหลงเชื่อกันมาทุกคน แม้จะเล่นเป็น 10 ครั้ง แต่ก็ดูเหมือนว่าทุกครั้ง พวกเขาก็ยังตกหลุมพรางก็ยัยหน้าสวยจอมแสบนี่ทุกทีสิน่า หนุ่ม ๆ หันกลับไปตั้งวงเล่นไพ่ยูกิต่อหลังจากได้ฟังคำขอโทษจากพิมพ์วรีย์ด้วยความสนุกสนาน แต่ก็ไม่วายมีเสียงบ่นปนคาดโทษดังมาจากเด็กหนุ่มผิวดำสนิทที่กำลังจะเป็นผู้ชนะในตาที่แล้ว แต่เพราะการมาถึงที่แปลกพิษดารของพิมพ์วรีย์ทำให้เขาพลาดชัยชนะไปอย่างน่าเสียดาย
พิมพ์วรีย์มองเพื่อน ๆ ที่นั่งเล่นไพ่ด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ก่อนจะกวาดสายตาไปรอบ ๆ ภาพของชายหนุ่มผิวสีแทนที่นั่งกอดเข่ามองไปยังสนามฟุตบอลด้านหน้าด้วยแววตาเหม่อลอย ทำให้พิมพ์วรีย์สะดุดใจ เธอเดินไปสมทบกับเพื่อนสาวที่โต๊ะข้าง ๆ ในขณะที่สายตายังคงไม่ละไปจากภาพชายหนุ่มตรงหน้า
“พิมพ์ ฉันกับจูนจะไปซื้อขนม แกจะไปด้วยกันเปล่า” เสียงเรียกของเพื่อน ดึงสายตาของพิมพ์วรีย์กลับมาจากภาพนั้น ตากลมโตสีน้ำตาลเข้มภายใต้แผ่ขนตายาวงอนแบบตุ๊กตาบาร์บี้มองไปยังเพื่อนที่ยืนรออยู่ ก่อนจะส่ายหน้า แล้วหันกลับไปมองยังจุดเมื่อกี้อีกครั้ง
เขายังนั่งอยู่ตรงนั้น พิมพ์วรีย์ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะทรุดตัวลงนั่งไม่ถึงนาที ทำให้เขียวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถึงกับตกใจในอากัปกิริยาของเพื่อน
“เฮ้ย พิมพ์จะไปไหน” เกตุกนกหรือเขียว เอ่ยปากเรียกเพื่อนที่ทำท่าจะเดินผละไป
“ไปคุยกับกรีน” พิมพ์วรีย์ตอบเพื่อนก่อนจะเดินตรงไปหาชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนพื้นหญ้าขอบสนามฟุตบอลทันทีราวกับว่าถ้ารอช้ากว่านี้อีกสักวินาทีเธออาจจะเปลี่ยนใจก็ได้
“ไปคุยกับกรีนเนี่ยนะ ร้อยวันพันปีไม่เห็นเคยคุยกัน” เกตุกนกพูดกับตัวเองด้วยความแปลกใจ ก่อนจะก้มหน้าก้มตานั่งอ่านหนังสือการ์ตูนในมือต่อไป
พิมพ์วรีย์ทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิบนพื้นสนามหญ้า ไม่ห่างจากสรมุขมากนัก
“นั่งเหม่ออะไรอยู่นะกรีน” เสียงใส ๆ ของพิมพ์วรีย์ปลุกสรมุขให้ตื่นจากผวังค์
“อ้าวพิมพ์เองหรอ มีอะไรกับเรารึเปล่า” กรีนถามเธอกลับด้วยท่าทีเป็นทางการ เนื่องจากเขากับพิมพ์วรีย์นั้นไม่สนิทสนมกันเลย แม้จะเคยอยู่ห้องเดียวกันมาถึง 3 ปีเมื่อตอนอยู่ม.ต้น แต่เขาและเธอแทบไม่เคยคุยกันเลย นอกจากเรื่องเรียนหรือต้องทำงานกลุ่มรวมกันเป็นครั้งคราวเท่านั้นเอง ยิ่งพอขึ้นมาอยู่ม.ปลาย ทั้งเขาและเธอยิ่งห่างเหินกันเข้าไปใหญ่ เพราะความไม่สนิทนั่นเองทำให้เขารู้จักตัวตนของเธอน้อยมากๆ ต่างจากเพื่อนคนอื่นในกลุ่มที่พูดจาเล่นหัวกับพิมพ์วรีย์ได้อย่างดี
“เปล่าหรอก พิมพ์แค่เห็นกรีนหลบมานั่งอยู่คนเดียว ไม่ไปนั่งอยู่กับพวกนั้น เลยจะมาถามว่า กรีนเป็นอะไรรึเปล่า ไม่สบายใจอะไรหรอ ปรึกษาพิมพ์ได้นะ ถ้าพิมพ์ช่วยได้พิมพ์ช่วยเต็มที่เลย” พิมพ์วรีย์เอ่ยออกมา ก่อนจะส่งยิ้มไปให้ชายหนุ่มตรงหน้า
“ก็ไม่ได้มีไรมากหรอก” สรมุขตอบกลับมาก่อนจะเบือนหน้ากลับไปยังสนามฟุตบอล
“มีไม่มากแต่ก็มีถูกไหม ถึงเราจะไม่ซี้กันอ่ะนะ แต่พิมพ์ก็เป็นเพื่อนกรีนนะ เวลาเพื่อนไม่สบายใจ พิมพ์ก็อยากช่วย” พิมพ์วรีย์พูดออกมา ตากลมโตดวงนั้นยังคงมองไปที่สรมุขอย่างแน่วแน่
สรมุขมองกลับมาด้วยกริยาที่ผ่อนคลายมากขึ้น เขาอดที่จะคิดในใจไม่ได้ว่า พิมพ์วรีย์ดูเหมือนจะสนใจทุกอากับกิริยาของเพื่อน ๆ เ ลยทีเดียว ปกติเขาก็เป็นคนนิ่ง ๆ มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว การที่เขาออกมานั่งปลีกวิเวกคนเดียวคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เธอรู้ล่ะว่าเขากำลังไม่สบายใจ
พิมพ์วรีย์เหมือนจะรับรู้ว่าสรมุขกำลังสงสัยอะไร เธอจึงเอ่ยขึ้นมาทามกลางความเงียบนั่น
“คนเราเวลาไม่สบายใจ สายตามันปิดไม่มิดหรอก”
แค่เพียงคำพูดประโยคนี้ของหญิงสาวตรงหน้า ก็ทำให้เขาตัดสินใจเล่าเรื่องราวที่ก่อความไม่สบายให้กับจิตใจของเขาในวันนี้
“สรุปก็คือ กรีนจะไปสอบเตรียมทหาร แต่กลัวสอบไม่ติด" พิมพ์วรีย์เอ่ยออกมาหลังจากนั่งฟังสรมุขเล่าเรื่องราวของตัวเขาให้เธอฟังจนจบ
สรมุขพยักหน้าพร้อมกับรับคำในลำคอเบา ๆ พิมพ์วรีย์จึงเอ่ยต่อ
“แล้ว กรีนได้ไปติวบ้างเปล่าล่ะ”
“ติวสิ” สรมุขเอ่ยรับ ก่อนจะกล่าวเสริมว่า
“เมื่อปีที่แล้วเราก็ไปสอบนะแต่ไม่ติด” สีหน้าของเขาดูหม่นลงเมื่อพูดประโยคหลัง พิมพ์วรีย์สังเกตเห็นจึงตบบ่าสรมุขเบา ๆ เป็นเชิงปลอบประโลม
“ถ้ากรีนเคยสอบ เคยติว ก็น่าจะรู้แนวข้อสอบนะ เขาว่ากันว่าแนวข้อสอบไม่ค่อยเปลี่ยนหรอก” พิมพ์วรีย์พูดอย่างผู้ที่เข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี ทำให้สรมุขดูจะประหลาดใจ
“พิมพ์รู้ได้ไงล่ะ”
“ก็พี่ชายพิมพ์ ก็เรียนเตรียมทหาร แต่ตอนเนี่ยขึ้นเหล่าไปเรียบร้อยแล้ว” พิมพ์วรีย์เอ่ยออกมาด้วยความภาคภูมิใจในตัวพี่ชายคนเก่ง
“จริงดิ พี่ชายพิมพ์เก่งจัง” สรมุขเอ่ยชมอย่างจริงใจ
“ไม่หรอก พี่เราก็ไม่ได้เก่งอะไร เพียงแต่ว่าขยัน ถ้าขยันก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว พี่เราทำข้อสอบเก่าๆเยอะมากเลยนะ”
“หรอ” สรมุขสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับพี่ชายของพิมพ์วรีย์อีกมากมาย ทั้งเรื่องการสอบ การอ่านหนังสือ จนกระทั้งออดเข้าเรียนดังขึ้นพิมพ์วรีย์จึงแยกจาสรมุขเพื่อไปเข้าห้องเรียน
หลังจากที่ได้พูดคุยในวันนั้นแล้วพิมพ์วรีย์กับ สรมุขก็ไม่มีโอกาสได้มานั่งพูดคุยกันอีกเลย เนื่องจากฤดูกาลสอบปลายภาคทึ่ใกล้จะเริ่มต้นขึ้น ทำให้ทั้งสรมุขและพิมพ์วรีย์ไม่มีเวลาว่างพอที่จะมานั่งพูดคุยกันในช่วงพักกลางวันอีกแล้ว เพราะว่าจะต้องไปติดตามงานที่คั่งค้าง หรือไม่อาจารย์บางท่านก็นัดสอบย่อยในช่วงเวลาพักกลางวัน แล้วไหนยังจะต้องอ่านหนังสือเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับวันสอบที่เคลื่อนตัวใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
จนกระทั้งมาถึงวันที่ 2 ของการสอบปลายภาค หลังจากเลิกสอบ พิมพ์วรีย์และสรมุขก็มีโอกาสได้มาพบกันอีกครั้งเนื่องจากพงษ์ชิตเพื่อนของพิมพ์วรีย์และเป็นเพื่อนสนิทของสรมุขด้วยได้ขอร้องให้เธอมาช่วยติววิชาพระพุทธศาสนาที่จะต้องสอบในวันสุดท้าย ซึ่งถือเป็นวิชาปราบเซียน หลังจากติวให้เพื่อน ๆเสร็จพิมพ์วรีย์และสรมุขก็มีโอกาสได้พูดคุยกันอีกครั้งเกี่ยวกับการสอบเข้าเตรียมทหารที่ใกล้เข้ามาทุกที เขาเล่าให้เธอฟังถึงวันรับสมัครสอบที่มีนักเรียนชายไปสมัครมากกว่าปีที่แล้วซะอีก ทำให้เขาเกิดอาการท้อขึ้นมา จึงอยากจะพูดคุยกับพี่ชายของพิมพ์วรีย์ แต่น่าเสียดายที่พี่ชายของเธอซึ่งเป็นนักเรียนเหล่าในส่วนของโรงเรียนนายเรือ เพิ่งจะเดินทางไปฝึกภาคที่ต่างประเทศได้ไม่กี่วัน ทำให้สรมุขออกอาการเสียดาย
“เอางี้ล่ะกันกรีน ถ้าพี่เรากลับมาเราจะโทรไปบอกกรีนล่ะกันนะ เพราะยังไงก็กลับมาก่อนสอบอยู่แล้ว ระหว่างนี้กรีนก็ตั้งใจอ่านหนังสือล่ะ”
“อืม อ่ะนี่เบอร์เรา 06-xxx-xxxx แล้วเบอร์พิมพ์ล่ะ”
“06-xxx-xxxx”
“ถ้ามีอะไรเราโทรไปหานะ”
“ได้เลย สบายมากเพื่อน” พิมพ์วรีย์ตอบรับ ก่อนจะเดินกลับไปรวมกลุ่มกับเพื่อนสาวที่รออยู่
หลังจากการสอบเสร็จสิ้นลงในวันที่ 3 โรงเรียนก็ปิดเทอมทันที โดยมีกำหนดวันรับผลสอบต้นอาทิตย์หน้า พิมพ์วรีย์จึงไม่ได้พบหน้าสรมุขอีกเลยตั้งแต่วันที่ทั้ง 2 คุยกันวันสุดท้าย นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้พิมพ์วรีย์ลืมเรื่องของสรมุขไปสนิทใจ แม้กระทั่งวันที่ต้องมารับผลสอบพิมพ์วรีย์ก็ไม่ได้พบกับสรมุขเนื่องจากฝ่ายชายมารับผลสอบแต่เช้าก่อนจะรีบกับบ้านเพื่อจะไปเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบเตรียมทหาร ซึ่งกำหนดวันสอบนั้นก็ใกล้เข้ามาทุกที ทำให้พิมพ์วรีย์ซึ่งมารับผลสอบในช่วงสายคลาดกับสรมุขไป
หัวค่ำของวันศุกร์สุดสัปดาห์หลังจากวันประกาศ ผลสอบ ขณะที่พิมพ์วรีย์กำลังนั่งเล่น MSN อย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ที่หน้าคอมพิวเตอร์ในห้องนอนส่วนตัวของเธอเอง โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนเตียงนอนของเธอ ก็ส่งเสียงเตือนว่ามีเมสเสจเข้ามา พิมพ์วรีย์จึงละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้า ลุกขึ้นเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนเตียงมากดรับเมสเสจ ซึ่งเมื่อเห็นชื่อที่แสดงขึ้นบนหน้าจอมือถือว่าเป็นผู้ที่ส่งเมสเสจมาหาเธอ พิมพ์วรีย์ก็อดแปลกใจไม่ได้
“พิมพ์ พี่แพทกลับมารึยัง ถ้ากลับมาแล้วติดต่อกลับด้วย...กรีน”
เมสเสจสั้นๆที่ถามถึงพี่ชายของเธอจากนายสรมุขช่างเตือนความจำของพิมพ์วรีย์ได้เป็นอย่างดีถึงเรื่องที่เธอรับปากกับเขาไว้เมื่อก่อนจะปิดเทอม และเธอก็ลืมเลือนมันไปแล้ว ให้มันได้อย่างนี้สินะ ก็เธอมันเป็นพวกสาวความจำสั้นนี่นา ถ้าเรื่องไหนไม่ใช่เรื่องที่เธอใส่ใจแล้วล่ะก็ พิมพ์วรีย์ก็พร้อมจะลืมมันในทันที แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เธอให้ความสำคัญล่ะก็ ต่อให้ผ่านไปอีก10ปี พิมพ์วรีย์คนนี้ก็ไม่มีทางลืม
“ตายแล้วยัยพิมพ์ ดูสิลืมเรื่องกรีนไปซะสนิทเลย” พิมพ์วรีย์พูดกับตัวเอง ในขณะที่เดินไปยังโต๊ะเขียนหนังสือขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ โต๊ะคอมพิวเตอร์สำหรับให้เธอใช้ทบทวนบทเรียนและทำการบ้าน พิมพ์วรีย์พลิกปฏิทินตั้งโต๊ะขนาดไม่ใหญ่นักเพื่อดูวันที่พี่ชายของเธอ ‘พัทสร’ หรือแพทจะเดินทางกลับมาจากฝึกภาคทางทะเล ความจริงเมื่อกลางสัปดาห์พี่ชายของเธอก็โทรศัพท์กลับมาที่บ้านเพื่อสอบถามผลการเรียนของน้องสาวและพูดคุยกับบิดา-มารดา ซึ่งแน่นอนพิมพ์วรีย์ไม่ได้บอกพี่ชายของเธอว่ามีเพื่อนอยากจะคุยด้วย เพราะเธอลืมเรื่องของสรมุขไปเสียสนิทแล้วนั่นเอง พิมพ์วรีย์จึงอดที่จะรู้สึกผิดกับความขี้ลืมของเธอไม่ได้
“โห อีกตั้งเกือบเดือนแน่ะกว่าพี่แพทจะกลับ” พิมพ์วรีย์พูดกับตัวเองก่อนจะวางปฏิทินลงบนโต๊ะหนังสือ
“เดี๋ยวไว้ใกล้ ๆ ค่อยโทรบอกกรีนล่ะกัน” เมื่อคิดได้อย่างนั้น พิมพ์วรีย์ก็กลับมานั่งเล่น MSN ต่ออย่างเมามัน
ในขณะที่สรมุขก็เริ่มเกิดอาการท้อแท้ เขาเริ่มไม่ใส่ใจอ่านหนังสือและมีปากเสียงกับผู้เป็นบิดาบ่อยครั้ง แล้วเมื่อทะเลาะกับผู้เป็นบิดาสรมุขก็จะออกไปนั่งเล่นอยู่บ้านเพื่อนทุกครั้งไป ผู้พันส่องเกียรติมองตามหลังลูกชายไปด้วยหัวใจที่เหนื่อยอ่อนกับความดื้อรั้นของสรมุขบุตรชายคนเดียวที่เขาหวังเสมอว่าจะให้เป็นทหารเดินตามรอยเท้าของเขา แต่ดูเหมือนว่าสรมุขจะไม่ค่อยใส่ใจกับการอ่านหนังสือเท่าที่ควร เมื่อคราวสอบเตรียมทหารครั้งแรกนั้นสรมุขก็พลาดหวังไปแล้วอย่างน่าเสียดาย เขาไม่อยากให้ลูกชายพลาดอีกเป็นครั้งที่สอง แต่ดูจากท่าทางแล้วสรมุขคงไม่อาจเดินไปได้ถึงฝั่งฝัน พันโทส่องเกียรติ์ทอดถอนหายใจกับตัวเองก่อนจะกลับเข้ามานั่งอ่านหนังสือพิมพ์ในห้องรับแขกของบ้านทรงยุโรปหลังใหญ่รอคอยเวลาที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนกลับบ้าน
วันศุกร์ต่อมา พิมพ์วรีย์ที่กำลังเดินเลือกซื้อของกับเพื่อนๆอยู่ในห้างสรรพสินค้ากลางกรุงเทพฯ เธอก็ได้รับเมสเสจข้อความสั้น ๆ เหมือนกับที่เคยได้รับเมื่อสัปดาห์ที่แล้วจากสรมุข พิมพ์วรีย์จึงแยกตัวจากเพื่อนฝูง แล้วกดโทรศัพท์โทรกลับไปหาสรมุขทันที
“ฮัลโหลกรีน นี่พิมพ์นะ” พิมพ์วรีย์กรอกเสียงไปตามโทรศัพท์หลังจากได้ยินเสียงอีกฝ่ายหนึ่งกดรับโทรศัพท์
“อืม ว่าไงพิมพ์ พี่แพทกลับมารึยัง” เสียงทุ้มของสรมุขถามกลับมาอย่างกระตือรือร้นทันทีที่รู้ว่าปลายสายเป็นใคร
“ยังหรอก”พิมพ์วรีย์ตอบกลับไป แต่คงเป็นคำตอบที่ไม่ตรงกับใจของสรมุขเท่าไหร่นัก เพราะเธอได้ยินเสียงเขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ดังลอดมาตามสาย
“กว่าจะกลับมาก็อีกราว ๆ 2 อาทิตย์อ่ะ” พิมพ์วรีย์พูดต่อไปโดยไม่แสดงความสนใจต่อเสียงถอนหายใจของสรมุข
“โห ตั้ง 2 อาทิตย์แน่ะ นานมากเลยนะ”น้ำเสียงของสรมุขที่ตอบกลับมาเจือแววผิดหวังอย่างเปิดเผย ทั้งๆที่เขาเป็นคนนิ่งเงียบและมักจะไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ให้ใครได้เห็น ได้รับรู้ แต่กลับพิมพ์วรีย์เขากลับเปิดเผยเรื่องราวที่กำลังบั่นทอนกำลังใจของเขาให้เธอฟังอย่างเปิดเผยโดยไม่คิดปิดบังไว้
เสียงสัญญาณเตือนว่ามีสายซ้อนดังขึ้นมาที่โทรศัพท์ของสรมุข เขามองเบอร์โทรที่เป็นสายซ้อน เมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ สรมุขก็ยิ้มกับตัวเอง
“ไม่เป็นไรล่ะ ขอบใจมากนะพิมพ์ เราไปอ่านหนังสือต่อและ” สรมุขเอ่ยตัดสายกับพิมพ์วรีย์อย่างรวดเร็วก่อนจะรีบวางสายไปจนเธอยังรู้สึกแปลกใจในอาการของเพื่อนชาย แต่เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นเธอก็เลือนมันไปจากสมอง พิมพ์วรีย์เดินกลับเข้าไปรวมกับกลุ่มเพื่อนที่กำลังเลือกซื้อของอยู่ในร้าน
ส่วนสรมุขเมื่อวางสายจากพิมพ์วรีย์แล้วเขาก็รีบรับสายซ้อนทันที
“สวัสดีจ๊ะแอน เป็นยังไงบ้างอยู่ที่โน่น เหงามั้ย” สรมุขยิงคำถามไปยังปลายสายทันทีด้วยน้ำเสียงหวานอย่างที่พิมพ์วรีย์ได้ยินอาจจะเกิดอาการขนลุกได้ เนื่องจากนึกไม่ถึงว่าเพื่อนชายมาดนิ่งแสนหยิ่งของเธอ จะออดอ้อนออเซาะได้หวานน่ารักขนาดนี้ ซึ่งจุดนี้เองที่เป็นเสน่ห์ของสรมุขที่ทำให้เขาสามารถมัดใจหญิงสาวปลายสายให้ตกหลุมรักเขาได้
แอนเป็นลูกสาวคนเดียวของนักธุรกิจส่งออกชื่อดังของเมืองไทย เธอและเขาพบกันที่ ๆ เรียนกวดวิชาเมื่อ 2 ปีที่แล้ว จนกระทั่งเมื่อกลางปีที่ผ่านมาแอนเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปเรียนต่อไฮสกูลที่ประเทศอังกฤษ แต่ถึงแม้ว่าระยะทางจะห่างกันแค่ไหน แต่แอนก็ยังคงติดต่อมาหาเขาเสมอไม่ห่างกันไปตามระยะทาง
“แอนสบายดีจ๊ะ แล้วก็ไม่ได้เหงาอะไรด้วย” เสียงที่หวานไม่แพ้กันของแอนดังมาตามสาย เสียงที่ประหนึ่งว่าเป็นหยาดฝนโปรยปรายให้ความชุ่มชื่นแก่หัวใจของเขา
แอนและสรมุขยังคงพูดคุยกันในเรื่องต่างๆอีกหลายเรื่องก่อนจะวางสายไป สรมุขดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เขาฮัมเพลงเบาๆก่อนจะเปิดทีวีดู ในขณะที่หนังสือเตรียมสอบเข้าเตรียมทหารในส่วนของโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะโดยที่สรมุขไม่คิดจะเปิดอ่านเลย
ความคิดเห็น