คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ♕ PHARABITIA ♕ :: 7 ::
7
ทำนองจอแจของเสียงดังต่อเนื่องนานนับชั่วโมงหลังจากนามัสทุกระดับชั้นและอาจารย์รวมไปถึงเทียเมอร์รวมตัวกันยังห้องโถงเพื่อรับประทานอาหารเย็น นานแล้วเหมือนกันที่มินทร์และนาวารอให้มิเกลกลับมา เขารู้ว่าเธอเข้มแข็งพอที่จะก้าวข้ามและปล่อยให้มันเป็นแค่ความทรงจำ
กึก.. กึก..
และเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นพร้อมคนมาใหม่ที่ตัดสินใจเผชิญหน้ากับสิ่งที่เกิดขึ้น สายตานับร้อยจ้องมองมาที่เธอ มิเกลหายใจเข้าออกและมองหามินทร์ คนพี่ยิ้มออกมาพร้อมหยดน้ำตาเล็ก ๆ มิเกลไม่เป็นอะไร เธอไม่ได้ร้องไห้หรือแสดงอารมณ์รุนแรง แถมยังดูร่าเริงราวกับได้ชาร์จพลังมาแล้ว
“มิเกล..”
นาวาพูด มินทร์รีบลุกขึ้นและวิ่งเข้าหาเพื่อโผกอด คนสุดท้ายในครอบครัวที่เธอได้รับการเติมเต็ม
“ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” มินทร์ถาม เขาเลื่อนมือร้อน ๆ ขึ้นประคบใบหน้าเธอเบา ๆ
“ไม่เป็นไร ฉันโอเค”
“ดีมาก เข้าไปนั่งกันเถอะ วันนี้อาหารอร่อยมาก”
ยังเอาเรื่องข้าวปลามาล่อเหมือนเดิม มินทร์กุมมือของมิเกลแน่น และมันแน่นพอที่จะทำให้เธอรู้ว่าเขาจะไม่มีวันปล่อยมือ แม้ทุกคนจะพากันกระซิบกระซาบคำไม่น่าฟัง แต่มันกลับเบาบางถ้าให้เทียบกับเสียงของฮาร์ทและลีออยที่ตะโกนมาจากอีกฝัง ที่แห่งนี้.. มิเกลไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว เธอมีกลุ่มเพื่อนที่พร้อมสนับสนุนและอยู่เคียงข้างไม่ไปไหน
“แกเป็นไงบ้าง ฉันเป็นห่วงแทบแย่ ฮาร์ทกับลีออยโกรธมากที่เวนดี้ทำขนาดนั้นอะ”
เมื่อนั่งลงนาวาก็รีบไถ่ถามเพื่อนสาวของตัวเองทันที มิเกลหันหลังกลับไปมองยังโต๊ะของนามัสชั้นปีที่สามก่อนจะหลุดยิ้มเพราะฮาร์ทและลีออยยังไม่หยุดทำท่าทำทางตลก ๆ พวกเขาเป็นห่วงมิเกลไม่ต่างจากมินทร์และนาวา หนำซ้ำยังเป็นเดือดเป็นแค้นแทนอีก
“ไม่ใช่ความผิดเทียเมอร์หรอก” มิเกลว่า
“โห นี่ยังใจเย็นอีกเหรอ?”
นาวาว่าอย่างหัวเสีย เธอเข้าใจว่ามันมีเหตุผลแต่มันก็ไม่ควรให้วีรัสนับสิบเห็นอดีตของเธอ แค่ความจริงที่มินทร์กล่าวมามันก็ทำร้ายมิเกลมากพอแล้ว
“ใครบอกว่าฉันใจเย็น ฉันทำเพื่อแม่กับพ่อต่างหาก”
ไม่ใช่ว่ามิเกลไม่โกรธ เธอโกรธ โมโห และร้อนรุม ๆ อยู่ในอก แต่จะให้ทำยังไงได้ในเมื่อเธอต้องอยู่ที่นี่ สังคมของพาราบิเตียเป็นเช่นนั้นมาตลอดนานนับหลายร้อยปี แม้เซลรันจะพยายามลบทัศนคติเหล่านั้นโดยเป็นราชาคนแรกที่ขึ้นครองราชย์ด้วยมลทินไม่ต่างจากมิเกล แต่เขาก็ไม่สามารถทำลายกำแพงนั้นลงได้
บัลลังก์ของเซลรันสั่นคลอนเสมอ ยิ่งเรื่องราวของซอลเป็นเช่นนั้นเขาก็ยิ่งถูกหมายปอง
“นี่มิเกล ได้ข่าวว่าถูกทิ้ง จริงดิ”
และเสียงของรุ่นพี่ปีสองก็ดังขึ้น พร้อมกับวีที่หันขวับมามองราวกับได้ยินบทสนทนานั้น
“ฉันได้ยินมาว่าพวกเด็กกำพร้าคือจุดต่ำสุดของอมาล่า ไปทำยังไงให้พ่อแม่ทิ้งได้ล่ะ”
“ต้องไร้ค่าขนาดไหนที่แม้แต่พ่อแม่ตัวเองยังรับไม่ได้ ฮ่า ๆ”
รู้สึกเหมือนทั้งตัวเย็นวาบ มิเกลกลืนน้ำลายลงอึกใหญ่ก่อนจะหันกลับไปมองตาต่อตาฟันต่อฟัน เป็นถึงนามัสแต่กลับกล้าพูดในสิ่งที่หยาบคายแบบนั้น ครั้งนี้มิเกลไม่ได้รู้สึกโกรธ แต่เธอกลับเกลียดและอยากฆ่า อยากทำให้คนตรงหน้าไม่แม้แต่จะอ้าปากได้อีก
“หุบปาก”
"ว้าว ดูน่ากลัวจริง แม่ฉันบอกว่ามาครอสกับโมเดียน่ะบ้า ที่รับเด็กที่ไหนก็ไม่รู้มาเลี้ยงทั้งที่ชายแดนอาณาจักรมีทหารวีรัสต้องตายด้วยน้ำมือพวกเกียร์น่าไม่รู้กี่คนต่อกี่คน"
"ฉันไม่ใช่เกียร์น่า"
"ใครบอกว่าเธอเป็นเกียร์น่าล่ะ ฉันยังไม่ได้พูดเลย"
"..."
"เฮ้อ ไอ้สองผัวเมียหน้าโง่นั่น ไม่รู้จริงดิว่ากำลังชักศึกเข้าบ้าน"
“แก.. พูดว่าอะไรนะ”
"ทำไม ฉันล่ะคงได้แต่สมน้ำหน้าถ้าสักวัน.. เธอฆ่าพวกมันด้วยมือของตัวเอง"
ว่าจบ มันก็หัวเราะชอบใจกับกลุ่มเพื่อนของตัวเองที่เห็นดีเห็นงาม
"อ๊าก!"
แต่แล้วเสียงร้องของมันก็ดังขึ้น
มาร์ชลุกขึ้นดีดตัวไปมาพร้อมเลือดทั้งตัวกำลังไหลบ่าออกจากร่าง มิเกลรับคำพูดสกปรกแบบนั้นได้ แต่เธอรับไม่ได้หากมันไปโยงกับมาครอสและโมเดีย
“อ๊าก!! เหี้ย!!”
มาร์ชกระวนกระวาย ไม่ต่างจากกลุ่มเพื่อนรอบข้างที่ยังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เขารู้สึกเหมือนอยากอาเจียนตลอดเวลา มาร์ชพยายามล้วงคอ เขาอยากเอามันออกมา อะไรก็ตามที่กำลังดิ้นอยู่ในอก
“คุณมาร์ช เป็นอะไรหรือเปล่า”
ศาสตราจารย์เดียร์เอ่ยถาม ในตอนนี้ทุกคนต่างหยุดสายตามาที่เขา แน่นอนว่าไม่มีใครเห็นหรือสัมผัสได้ถึงสิ่งที่มาร์ชเจอ มันคือภาพลวงตาของมิเกล และภาพลวงตานั้นสามารถฆ่าเขาได้หากเขายังคิดว่ามันคือความจริง
“ช่วยผมด้วย อีนี่มันทำอะไรก็ไม่รู้!”
มาร์ชชี้หน้ามิเกล เหล่าเทียเมอร์ถึงกับกุมขมับที่ต้นเรื่องไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นเธอ มิเกลหาเหาใส่หัวอีกครั้ง และดูเหมือนว่าครั้งนี้จะร้ายแรงกว่าครั้งอื่น
“อยู่นิ่ง ๆ คุณมาร์ช ส่วนคุณมิเกล หยุดซะ”
เป็นอาร์เอ็มที่ลุกขึ้นก่อนจะใช้เวทของตนเป็นเกราะกำบังให้กับมาร์ช หลังจากนั่งฟังมานานสองนานมันก็เป็นเรื่อง เทียเมอร์ส่วนหนึ่งรู้สึกผิด แต่อีกส่วนก็เลือกที่จะไม่สน เวนดี้ เจโฮป และชูก้ารู้ว่าพวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิด แต่อาร์เอ็ม วี เจเค และโรส พวกเขารู้สึกว่าต้องรับผิดชอบ
"ผมบอกให้หยุดไงคุณมิเกล!"
อาร์เอ็มตะเบ็งเสียง แน่นอนว่าพลังมนตราของมิเกลอ่อนแอเกินกว่าจะสู้เทียเมอร์ลำดับสูงสุดได้แต่เธอก็ยังพยายาม
“คุณมิเกล คุณอยากให้เรื่องมันแย่ไปกว่านี้เหรอ?”
"อ๊าก!! พอสักทีสิวะ!"
"มิเกล หยุดเถอะ พอก่อน.."
เป็นมินทร์ที่ร้องขอ มิเกลหันกลับมามองคนพี่ก่อนจะผ่อนเวทลง เธอหยุด.. ทั้งที่อยากฆ่ามันให้ตายตรงนั้น
"นั่นพ่อกับแม่นะมินทร์.."
ไม่เข้าใจ.. เขาอยู่นิ่ง ๆ แบบนั้นได้ไง
"พอก่อน เชื่อฉันเถอะ"
มินทร์กระซิบ คิดว่าเขาทนไหวงั้นเหรอ? สิ่งที่มาร์ชพูดออกมามันหยาบคายมากก็จริงแต่สถานการณ์ของมิเกลตอนนี้มันต่างออกไป
"ทำไมถึงสร้างแต่เรื่องคุณมิเกล"
อาร์เอ็มต่อว่ามิเกลที่ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ ในตอนนี้เธอไม่ต่างอะไรกับนักโทษที่มีคดีติดตัว สิ่งที่เธอกระทำมันคือการกระโดดลงหน้าผา ไม่มีใครเข้าข้างเธอหรอก สิ่งที่มาร์ชพูดออกมามีคนเห็นด้วยแทบทั้งโรงเรียน
“เขาพูดไม่ดีกับฉันก่อน คุณคิดว่าควรปล่อยไปเหรอ?!”
“แล้วคุณคิดว่าทำแบบนี้มันถูกงั้นเหรอ?”
“...”
ตอบโต้ด้วยความรุนแรง มันก็ไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่มาร์ชกระทำเลยแม้แต่นิด
“ผมขอหักคะแนนทุกวิชาหนึ่งร้อยคะแนน ถ้าความประพฤติไม่ดีขึ้นคุณจะถูกกักบริเวณ เข้าใจนะครับ”
อะไรกัน เธอต้องยอมรับมันเหรอ ทำไมต้องทำในสิ่งที่ไร้สาระแบบนั้น
“ฉันไม่ดะ-”
“เข้าใจไหมครับคุณมาร์ช”
“คะ ครับ?”
อาการของมาร์ชดีขึ้นต่างจากเมื่อครู่เพราะเวทการรักษาของอาร์เอ็ม เขายิ้มเยาะออกมาเมื่อเห็นมิเกลกำลังถูกทำโทษ แต่เป็นเธอซะที่ไหนกัน คนที่ถูกทำโทษควรเป็นเธอจริง ๆ เหรอ?
“อย่าลืมบำเพ็ญประโยชน์สองร้อยชั่วโมงด้วย”
“อะไร.. ผมเหรอ แล้วมันล่ะ ไหนว่าห้ามให้วีรัสใช้เวทในทางที่ผิดไง!!”
มาร์ชลุกขึ้นท้วงเมื่อโรสเองก็เห็นดีเห็นงาม ยังไงเขาก็ไม่ยอม การถูกหักคะแนนมากขนาดนั้นอาจจะส่งผลให้เขาออกจากอากาเธียร์เลยก็ได้ ไหนจะบำเพ็ญประโยชน์ 200 ชั่วโมงอีก ก็เห็นกันอยู่ทั้งโถงอาหารว่ามิเกลเป็นคนทำผิด
“การกระทำเมื่อครู่ของคุณมิเกลมันผิดก็จริง แต่เราลงโทษเธอไม่ได้”
โรสที่ได้ยินเช่นนั้นก็ไม่อยากอยู่เฉย เหล่าเทียเมอร์กำลังชดใช้ในสิ่งที่ทำกับมิเกลเอาไว้ พวกเขาอยากขอโทษแต่ก็ไม่กล้า มันกระดากปากหากจะให้พูดออกไปตรง ๆ น้อยครั้งที่การตัดสินของพวกเขาเป็นเท็จ มันจึงน่าละอายหากจะให้มิเกลจมอยู่กับสิ่งที่พวกเขาได้ก่อเอาไว้
แน่ล่ะ ก็เพราะเทียเมอร์ที่ทำให้มิเกลต้องพบเจอกับคำพูดเหล่านั้น
“ทำไมจะลงโทษไม่ได้ พวกคุณรู้ไหมว่าเมื่อกี้ผมทรมานขนาดไหน!”
“และคุณรู้บ้างไหมว่าไม่ควรพูดแบบนั้นออกมา”
เจเคก็ขอร่วมด้วยอีกแรง
“พวกคุณได้ยินได้ไง.."
"แต่ช่างเถอะ! ผมจะไปสู้อะไรได้ พวกผู้วิเศษทั้งหลาย”
มาร์ชตบโต๊ะเสียงสนั่น เขากระทืบเท้าออกจากโถงอาหารในทันที แต่ก่อนที่แผ่นหลังจะพ้นไป อาร์เอ็มก็ได้เรียกชื่อของเขาขึ้น
“คุณมาร์ช”
“...” เขาหยุดแต่ก็ไม่คิดจะหันไปมอง
“ไม่ว่าจะใครในพาราบิเตีย แม้จะเป็นแค่ทัศนคติที่แสดงออกมา มันก็มีราคาที่ต้องจ่ายเสมอ..”
นามัสทั้งห้องโถงเงียบเสียง มาร์ชเลือกที่จะยิ้มเยาะด้วยความรำคาญก่อนจะเดินออกไป เขาไม่ฟังใครหรอก และไม่คิดที่จะฟังด้วย มาร์ชทั้งหงุดหงิดและอยากฉีกมิเกลเป็นชิ้น ๆ เขาต้องกลายเป็นตัวตลกต่อหน้าทุกคนในอากาเธียร์ ถูกหักคะแนนและถูกทำโทษ ก็แค่พูดหยอกขำ ๆ ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้
“ส่วนคุณมิเกล ห้าสิบคะแนนของทุกวิชา รู้ใช่ไหมว่าคุณมาร์ชเป็นแค่นามัส”
ไม่ใช่แค่มาร์ช แต่มิเกลเองก็สมควรได้รับบทลงโทษ ความโกรธมักทำให้อำนาจวิเศษอยู่เหนือการควบคุม หากเขาตายล่ะ หากมาร์ชทนไม่ไหว เธอต้องการเป็นฆาตกรตั้งแต่อายุสิบแปดรึไง
“ค่ะ ฉันผิดเอง”
“ดี.. ได้เวลาจับฉลากวีรัสสองคู่แรกแล้ว เชิญศาสตราจารย์เซนต์ฮาล์ฟ”
"ไม่เป็นไรนะมิเกล.."
กลับสู่ความสงบ มิเกลหันกลับมองมินทร์ที่ตบไหล่เบา ๆ ส่วนนาวาเองก็เลือกที่จะกุมมือมิเกลเอาไว้เผื่อเธอจะสบายใจขึ้น
"ห้าสิบคะแนน คุ้มนะ.." มิเกลพึมพำ
"คุ้มอะไร?" นาวากระซิบถาม
"เมื่อกี้.. ฉันสะใจมากเลย"
เหมือนได้ปลดปล่อย มิเกลยิ้มออกได้อีกครั้ง สิ่งที่เทียเมอร์ทำเมื่อครู่มัน.. ถูกใจสุด ๆ
สถานการณ์ไปไม่เป็นชั่วขณะหนึ่ง ไม่เคยมีใครเห็นด้านนี้ของอาร์เอ็มมาก่อน แม้แต่อาจารย์ใหญ่ของอากาเธียร์ยังกล้า ๆ กลัว ๆ ถึงเวลาของการประกาศวีรัส 2 คู่แรก ไม่นานนักหลังจากเซนต์ฮาล์ฟขึ้นมาประจำที่ บอลกลมสีลูกกวาดก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพร้อมสำหรับการถูกประกาศ
“จะเริ่มประกาศรายชื่อ ณ บัดนี้ อยู่ในความสงบ”
เซนต์ฮาล์ฟกล่าวขึ้นเรียบ ๆ เพื่อเลี่ยงอารมณ์อึมครึมภายในโถงอาหาร เขาหยิบหนึ่งในรายชื่อขึ้นมา จากวีรัสทั้ง 32 คนและ 4 ชั้นปี ในตอนนี้พวกเขากำลังภาวนาขอให้ตนเป็นหนึ่งในสองคู่แรก ถึงจะมีโอกาสเตรียมตัวน้อยแต่มันก็คุ้มกับการได้แสดงฝีมือให้องค์ราชาและรัชทายาทได้เห็น เจ้าชายซันและราชาเซลรันจะเดินทางมารับชมและเปิดพิธีในวันนั้น ลองคิดดูสิว่ามันเป็นเกียรติขนาดไหน
“คนแรก มาลอน แบนริน่า วีรัสการสังหารปีที่สาม”
และวีรัสคนแรกก็ถูกประกาศนาม เสียงปรบมือดังกำทวนพร้อมด้วยมาลอนที่ยืนขึ้น เขามีรูปร่างที่กำยำและแข็งแกร่ง ดวงตาคู่คมดูเล่ห์เหลี่ยมทะนงตน เขายิ้มมุมปากเป็นเชิงภาคภูมิเมื่อชื่อแรกเป็นของตน ในปีที่แล้วมาลอนแพ้พ่ายให้กับวีรัสผู้ได้ชัยไปเพียงไม่กี่คะแนน ฉะนั้นจึงไม่ต้องเดาว่าใครจะได้เข้ารอบในสัปดาห์นี้
“คนแรกก็มาลอนเลยเหรอ” นาวาพูด
“มาลอนทำไมอะ” มิเกลถามกลับ
“เขาได้ที่สองเมื่อปีที่แล้ว เก่งเรื่องการใช้อาวุธได้ทุกชนิด โบกธงขาวเถอะ สู้ไม่ไหวหรอก” นาวาอธิบายให้กับมิเกลและมินทร์ฟัง
“คนที่สอง กิรัน พลีดิลอย วีรัสการควบคุมปีที่สอง”
และคนที่สองก็ยืนขึ้น เขาดูอ่อนปวกเปียกไม่กระฉับกระเฉงเท่ามาลอน แต่กลับมีดวงตาที่แน่วแน่และเต็มไปด้วยความกระหาย
“แล้วกิรันล่ะ” มินทร์ถามนาวา
“คนนี้ก็น่ากลัว เห็นแบบนี้เขาควบคุมเราได้ทุกอย่าง สิ่งที่สามารถปลดพันธนาการจากเขาได้คือ ห้ามเข้าใกล้เขาน้อยกว่าหนึ่งเมตร”
“แล้วแบบนี้จะชนะได้ไง เมื่อเข้าไปฆ่าไม่ได้” มิเกลถามอีกครั้ง
“นั่นแหละคือสิ่งที่คู่ประลองต้องเตรียมตัว”
“คนที่สาม อานา ฮาร์ปีรัส วีรัสการเวลาปีที่สอง”
หญิงสาวคนแรกยืนขึ้น มิเกลหันไปมองแต่ก็ต้องเบี่ยงสายตาหนีเพราะเธอจ้องกลับมา อานาเป็นวีรัสการเวลาที่มีดีเรื่องความเร็ว ถ้าช้ากว่าแม้แต่วินาทีก็ถึงฆาตได้
“แล้วคนนี้ล่ะ”
“เร็วมาก เร็วเท่าแสง ฆ่าศัตรูในขณะที่เราเผลอหรือไม่ได้ตั้งตัว”
“บ้าไปแล้วแต่ละคน”
“และคนที่สี่.. มิเกล พลีดิลอย ปีหนึ่ง ยังไม่ทราบอำนาจวิเศษ”
และชื่อของมิเกลก็ถูกขานขึ้น มิเกลลุกยืนสักพักก่อนจะทิ้งตัวลงนั่ง แน่นอนว่าสายตาของนามัสทั้งโถงอาหารจับจ้องมาที่เธอ
“ถ้าสู้ได้ก็สู้นะมิเกล ผลการตัดสินแพ้ชนะอยู่ที่ตายกับบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น”
นาวาเอ่ยเตือน ตลอดเวลาที่ผ่านมาทั้งมินทร์และมิเกลถูกห้ามไม่ให้เข้าชมการประลองจนกว่าจะย้ายมาอากาเธียร์ ฉะนั้นทั้งนาวา ลีออย และฮาร์ทจึงเป็นนกพิราบคาบข่าวตลอด การจะชนะได้นั้นศัตรูต้องตายหรือบาดเจ็บกระทั่งไม่สามารถประลองต่อไปได้ นาวาอยากให้มิเกลลองสู้ดูสักตั้ง เพราะเธอไม่อยากให้เพื่อนสาวมีจุดจบแค่ตายกับเกือบตาย
“พวกคุณทั้งสี่คนมีเวลาเตรียมตัวเพียงสี่วัน ในวันประลองราชาเซลรันและเจ้าชายซันจะเข้าร่วมเปิดงานอย่างเช่นทุกปี ผมหวังอย่างยิ่งว่าพวกคุณจะทำมันออกมาได้ดี”
เป็นเหมือนกำลังใจแต่กลับสร้างความกดดันหนัก ๆ เอาไว้ ไม่ใช่แค่เจ้าชายซันกับราชาเซลรัน แต่มันทั้งอาณาจักร ประตูอากาเธียร์จะเปิด ประชากรจะหลั่งไหลเข้าเยี่ยมชม ความสามารถของพวกเขาจะประจักษ์แก่ทั้งแผ่นดินพาราบิเตีย รวมไปถึงผู้คนจากอาณาจักรอื่นที่แวะเวียนมายังพาราบิเตียด้วย
“หากอิ่มจากมื้ออาหารของเราแล้ว เชิญนามัสทุกท่านพักผ่อนตามอัธยาศัยครับ”
เซนต์ฮาล์ฟกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เขาลงจากโพเดียมก่อนจะยื่นรายชื่อของวีรัสที่ถูกรับเลือกให้แก่ชูก้า เขามีหน้าที่อำนวยและควบคุมการประลองในแต่ละครั้ง ซึ่งดูเหมือนครั้งนี้จะเป็นครั้งที่เขาเหนื่อยใจมากที่สุด
มิเกลเจียดมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง และเพียงครู่เดียวที่ชูก้าหันกลับมาปะทะ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นใบหน้าของเขาชัด ๆ เธอเลือกที่จะไม่ละสายตาเพราะความคิดหนัก ๆ ที่อยู่ ๆ ก็โถมเข้ามา เขาเหมือนใครบางคนที่มิเกลเคยรู้จัก และเหมือนจะรู้จักดีกว่าใครด้วย
“เป็นอะไรมิเกล” มินทร์ทักขึ้น
“เปล่า..”
โดยปกติแล้วชูก้าจะไม่มาทานข้าวที่โถงอาหาร เขาต้องกลับไปหาน้องสาววัยห้าขวบที่รออยู่ ชูก้าบอกแบบนั้นเสมอและเลือกที่จะตัดขาดจากผู้อื่น เขาสันโดษ เย็นชาและดุร้าย คนเดียวที่ชูก้าให้ทั้งความอ่อนโยนและอบอุ่นคือน้องสาวที่ไม่มีใครรู้ว่ามีตัวตนอยู่จริง ๆ หรือเปล่า..
“เอาล่ะ มิเกลเหลือเวลาอีกแค่สี่วัน สิ่งที่เธอต้องรู้มีเยอะมาก พรุ่งนี้ในคาบการต่อสู้เพื่อการประลอง พวกฉันว่างพอดี จะเป็นโค้ชให้เอง”
ลีออยจับมือทำสัญญากับมิเกล ถ้าจะมีใครสักคนที่มีประสบการณ์มากพอจะแนะนำทุกขั้นตอนของการประลอง ก็ต้องเป็นสองแฝดผู้มีที่นั่งติดขอบสนามตั้งแต่เริ่มหัดเดิน
“แล้วฉันล่ะ ฉันมีเรียนการต่อสู้ของคุณชูก้าน่ะ”
นาวาว่า เนื่องจากเธอไม่ใช่วีรัสจึงต้องเรียนตามปกติ ยิ่งคาบสุดท้ายเป็นของเทียเมอร์ยิ่งปฏิเสธไม่ได้ที่จะเข้าเรียน
“เธอก็โดดสิ” มินทร์เสนอ
“ไม่ได้หรอก ชูก้านะชูก้า ก็รู้อยู่ว่าเทียเมอร์คนนี้น่ากลัวขนาดไหน ระวังเขาจะเอาดาบมาปาดคอเธอนะ”
ฮาร์ทกวาดนิ้วผ่านลำคอให้นาวาใจเสียเล่น เขาและลีออยเคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว การโดดเรียนคาบของชูก้าไม่ใช่เรื่องที่ควรจะทำ เขาเป็นคนเข้มงวดและต่อต้านสังคม ไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดหรือเห็นใจผู้อื่น มีวีรัสไม่น้อยในแต่ละปีที่ขอตายดีกว่าต้องเผชิญหน้ากับเขา
“พูดให้น่ากลัวทำไมเนี่ย” นาวาตีฮาร์ทไปป๊าบใหญ่ ๆ
“ก็พูดจริง”
“เอาล่ะพอ ๆ ถ้าแบบนั้นเธอก็เข้าเรียนตามปกตินั่นแหละนาวา พอเลิกเรียนค่อยมาก็ได้ พวกฉันคงไม่ไปไหนนอกจากสนามประลองหรอก ถ้าหากไปที่อื่นเดี๋ยวบินไปหา” มินทร์ว่า
“อู้ ~ น่ารักจริง ๆ ”
นาวาเนื้อเต้น เธอรู้อยู่แล้วว่ามินทร์ต้องหาทางออกให้ แม้จะช่วยอะไรไม่ได้แต่ก็ดีกว่าทิ้งเธอเอาไว้ อย่างที่ทราบนาวาไม่สนิทใจกับใครทั้งนั้น นี่ก็สองวันมาแล้วที่เธอย้ายเข้ามาอากาเธียร์ ปัจจุบันแม้เพื่อนร่วมห้องยังแทบไม่ปริปากคุย
“ว่าแต่อันนี้คืออะไรอะ สวยนะ”
และเป็นลีออยที่สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เธอลองเข้าไปดูใกล้ ๆ ก่อนจะต้องอ้าปากค้างเพราะมันคือสิ่งที่ไม่ใช่ว่าใครจะมีง่าย ๆ
“หมากประตูอะ คุณวีให้ฉันใส่มันไว้ เขาจะได้รู้อยู่ตลอดว่าฉันอยู่ที่ไหน”
“อ๋อ.. แล้วทำไมไม่แกะออกล่ะ เธอได้รับการยืนยันแล้วนิ”
“เออ นั่นสิ”
เมื่อได้ยินดังนั้นมิเกลก็พยายามแกะออก
“เดี๋ยว แต่มันมีความหมายที่ดีนะ ใส่ไว้นั่นแหละ”
ฮาร์ทเอ่ยห้าม ถึงจะเป็นหมากประตูแต่ความหมายของเชือกถักนั้นมีความหมายที่ดี ทั้งการไว้ใจ กำลังใจ และเชื่อใจ ยิ่งถ้าได้มันมาจากเทียเมอร์ก็ไม่ต่างอะไรกับได้ของขวัญจากกาเวม
“เอางั้นก็ได้"
“ว่าแต่ ทำไมถึงให้สีแดงล่ะเนี่ย.. เชือกถักมีตั้งหลายสี สีแดงมัน.. แปลก ๆ นะ”
ฮาร์ทว่าขึ้นอย่างฉงน เชือกถักนั้นหลัก ๆ มีความหมายดั่งที่กล่าวมาก แต่วัตถุดิบที่ใช้ย้อมสีสันเองก็บ่งบอกถึงความหมายอีกหลายเชิง อย่างเชือกถักสีแดง ดอกไม้ที่ใช้ก็น่าจะมาจาก ‘ต้นมิเกล’
ความรักและความตาย
เชือกถักสีแดงเป็นสิ่งต้องห้ามในบางอาณาจักรบนแผ่นดินอมาล่า โดยเฉพาะอาณาจักรอัสโมดายที่หมายถึงความตาย ต่างจากของพาราบิเตียที่หมายถึงความรัก
“เขาให้สีอื่นก็ได้ปะ ให้สีแดงมันเหมือนสารภาพรักเลย ฮ่า ๆ” ฮาร์ทว่าพร้อมหลุดขำ
“ไม่มีอะไรหรอก เขาอาจจะหาได้แค่สีแดงไง”
แม้จะรู้สึกแปลกแต่มิเกลก็ไม่ขอคิดอะไรมาก เธอมองเชือกถักตรงหน้าอีกครั้ง อยู่ ๆ ความรู้สึกบางอย่างก็แทรกเข้ามาพร้อมใบหน้าและรอยยิ้มของวี หัวใจของมิเกลเทิ้มทุ้ง พวงแก้มร้อนผ่าวราวกับไฟ
“อะไรเนี่ย หน้าแดงคืออะไร!" และดูเหมือนนาวาจะสังเกตุเห็น
“อะไร ใครหน้าแดง!” มิเกลแย้งขึ้นทันที
“แกนั่นแหละ! นั่นเทียเมอร์นะ หยุดความคิดเลย!”
“ฉันยังไม่ได้คิดอะไรเลย!”
“แล้วหน้าแดงทำไมเล่า!”
“ฉันแค่ร้อนเฉย ๆ เถอะ!”
มิเกลแย้งขึ้นอีกครั้งอย่างเด็ดขาด เธอใช้เชือกถักมัดผมขึ้นลวก ๆ ก่อนจะลุกพรวดขึ้น
“ฉันกลับหอละ บาย!”
ไม่รอให้กลุ่มเพื่อนเอ่ยแซวต่อ เธอโบกมือลาและเดินออกไปจากตรงนั้น
“อย่าเชียวนะมิเกล เทียเมอร์มีความรักไม่ได้นะ!”
“รู้แล้วน่า!”
ความคิดเห็น