ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SVEN] ♕ PHARABITIA :: BLOOD OF HATE #1 ♕ พาราบิเตีย :: โลหิตชังชาด #จักรวาลอมาล่า

    ลำดับตอนที่ #7 : ♕ PHARABITIA ♕ :: 5 ::

    • อัปเดตล่าสุด 3 ส.ค. 67


     

    5

     

    เป็นอีกครั้งที่ตะวันร้อนแรงชวนแสบผิว ร่างเล็กที่กำลังคลุกตัวอยู่บนเตียงนอนค่อย ๆ ลืมตาขึ้นเมื่อสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าไม่ใช่ความว่างเปล่าอย่างเช้าวันก่อน โอเล็ทชันตัวขึ้นอย่างลำบากพลางบิดขี้เกียจและเพ่งมองหญิงสาวที่กำลังนั่งสางผมอยู่ริมหน้าต่าง

    มิเกลตื่นเช้า!

    “ตื่นแล้วเหรอ?” มิเกลถาม

    “อืม แล้วเธอกลับมาเมื่อไหร่” โอเล็ทไม่รับรู้เลยว่ามิเกลกลับมาเมื่อไหร่ เป็นเพราะเธออ่อนเพลียจึงหลับตั้งแต่หัวค่ำ

    “สามทุ่มน่ะ รีบเตรียมตัวได้แล้ว เดี๋ยวจะไปโรงเรียนไม่ทันนะ”

    “เป็นอะไรของเธอเนี่ย อยู่ ๆ ก็ตื่นเช้า แถมยัง..”

    “ไม่รู้สิ ตื่นมาก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าเป็นพิเศษ เมื่อวานฉันไปป่าสีครามมา ได้ช่วยคาวีเผือกด้วยนะ”

    “ป่าสีครามเหรอ!”

    โอเล็ทแทบจะเป็นลมเมื่อได้ยินคำคำนั้น หากศาสตราจารย์คนอื่นรู้เข้าไม่เพียงมิเกลที่จะโดนทำโทษ แต่ยังรวมไปถึงโอเล็ทที่ไม่ดูแลหรือตักเตือนเพื่อนร่วมห้องของตัวเองด้วย

    “จะพูดดังทำไมเนี่ย”

    “แล้วใครบอกให้เธอไปล่ะ” โอเล็ทแผดเสียงดุ

    “ไม่รู้สิ ไม่เห็นมีใครสั่งฉันนะ ฉันไปเอง”

    “ฉันหมายถึง ทำไมเธอถึงไป ในเมื่อกฎก็มีอยู่ว่าห้ามไปยุ่งกับไพรสีคราม ที่นั่นอันตรายมากนะ”

    โอเล็ทตีอกของตัวเองที่ร้อนรุม ๆ ในขณะที่มิเกลไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนอะไร เธอเป็นปีติมาก ๆ ที่สักครั้งในชีวิตได้เหยียบเข้าไปในเขตที่โรงเรียนและอาจารย์ต่างย้ำนักย้ำหนาว่าห้ามเข้าไป

    “ก็ฉันไม่อยากเห็นหน้าเธอ รู้ไหมว่ามันผิดหวังแค่ไหนที่รู้ว่าเธอทำทุกอย่างไปเพื่อจับตามองฉัน”

    “และใครบอกให้เธอมาคาดหวัง ฉันไม่ใช่คนอย่างที่เธอคิดมาตั้งแต่แรกแล้ว”

    เหลือเชื่อเลย..

    “เสียแรงที่เคยปลื้มเธอ..” มิเกลพูดเสียงเบา 

    “เธอไว้ใจใครไม่ได้หรอกนะในอากาเธียร์ แม้แต่คนที่เธอคิดว่าดีนักดีหนา ภายในอาจจะเน่าเฟะไม่เหลือชิ้นดี ส่วนเรื่องเมื่อคืนอย่าไปบอกใครเชียว ถ้าฉันโดนทำโทษหรือโดนหักคะแนนไปด้วย เธอจะต้องรับผิดชอบ”

    และโอเล็ทก็หยิบเสื้อผ้าของตัวเองเดินกระแทกเท้าเข้าห้องน้ำไป มิเกลสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างในตัวของโอเล็ท เธอไม่ใช่คนที่เลวร้ายจากคำพูดเมื่อครู่ โอเล็ทพยายามเตือนมิเกลเป็นนัย ๆ และเธอหวังเหลือเกินว่าสิ่งที่กล่าวมานั้นจะช่วยมิเกลได้

    เธอเป็นคนยังไงกันแน่โอเล็ท?

     

     

    วันนี้โรงเรียนอากาเธียร์ยังคงเอิกเกริกเฉกเช่นเมื่อวาน หลังเสร็จจากคาบยุทธศาสตร์ ก็ถึงเวลาที่วีรัสปีที่หนึ่งจะรวมตัวกันอีกครั้งในคาบวิชาการต่อสู้ด้วยกรินประจำกายและพลังมนตราของตัวเอง มิเกลและมินทร์นัดเจอกันที่ปราการฝังตะวันตก ก่อนจะเดินทางไปยังลานอเนกประสงค์ของปราสาทการสังหารที่ตั้งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

    “หวังว่าจะไม่ตีกันนะ เธอกับเทียเมอร์หกน่ะ”

    มินทร์เอ่ยแซวหลังจากทั้งสองทิ้งตัวลงสู่พื้นที่ถูกปูด้วยหญ้าเบอร์มิวด้า มิเกลยังเป็นกังวลอยู่เล็ก ๆ  เธอกลัวว่าเจเคจะไม่ชอบขี้หน้าเธอจนพาลไปลงกับคะแนน

    “เขาเป็นอาจารย์นะ คงรู้อยู่ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร”

    “วีรัสชั้นปีที่หนึ่ง ทางนี้”

    เจเคปรากฏตัวขึ้นพร้อมด้วยสัตว์ประจำกายของเขาอย่าง พิจิกอสุรา แมงป่องน้ำเงินลำตัวมหึมาที่กำลังวาดสายตามองวีรัสพร้อมส่งเสียงคลื่นต่ำ ๆ ออกมาให้ใจหวิวขนลุกเล่น

    “สวยจัง..” มินทร์พึมพำ

    “ใช่.. สวยมาก”

    มินทร์และมิเกลเข้ามารวมตัวกับวีรัสที่เหลือก่อนจะอ้าปากค้างเพราะกรินวิเศษตรงหน้า พวกเขาไม่สามารถละสายตาออกจากมันได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว รูปลักษณ์ที่ดูน่าหวั่นหวาดกลับโอ่โถงและคลุ้งกรุนไปด้วยพลัง ผิวกายของมันแต้มแต่งลายน้ำเงินตั้งแต่หัวจรดปลายหาง ไม่ต่างจากลูกตาวาวราวกับเหล็กสะท้อน นี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้เห็นกรินประจำกายของเทียเมอร์ ไม่ใช่บ่อย ๆ ที่พวกมันจะปรากฏตัวให้เห็นโดยเฉพาะระยะห่างเพียงคืบลมหายใจ

    “ผมขอแนะนำตัวก่อน ผม เจเค เป็นเทียเมอร์ลำดับที่หก การสังหาร เปิดสอนการต่อสู้ด้วยกรินประจำกายและพลังมนตราของทุกคน คะแนนที่ผมจะให้มาจากคะแนนสอบจำนวนหนึ่งพันคะแนนเท่านั้น ไม่มีคะแนนเก็บ ไม่มีคะแนนจิตพิสัย”

    เจเคเริ่มแนะนำตัวเองและอธิบายหน่วยวัดผล เพียงหางเสียงของหนึ่งพันคะแนนก็ทำให้วีรัสภายในชั้นเรียนเสียวสันหลัง

    “เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา วันนี้ผมจะมาบอกว่ากรินวิเศษสามารถทำอะไรได้บ้าง”

    เจเคใช้สัญลักษณ์มือในการควบคุมแถวของวีรัสฝึกหัดทั้งหมดในที่นี้ พวกเขาเรียงตัวเป็นวงเพื่อให้เจเคและกรินประจำกายก้าวเข้ามายังจุดศูนย์กลาง พิจิกอสุราเคลื่อนตัวมาหยุดอยู่เบื้องหน้า เพียงครู่เดียวลำตัวมหึมานั้นก็หดเล็กลงเหลือเท่าบ่าของอาจารย์ผู้สอน

    “อย่างที่พวกคุณเห็น มันสามารถขยายร่างกายให้ใหญ่หรือเล็กเท่าไหร่ก็ได้ แต่ผมไม่ได้จะมาสอนเรื่องนี้ในคาบเรียนที่พวกคุณยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่านิสัยใจคอที่แท้จริงของกรินประจำกายของตนเองเป็นยังไง”

    “สัตว์วิเศษมีอัธยาศัยที่ต่างกันออกไป ทั้งสงบเรียบร้อย สนุกสนานร่าเริง หรือแม้กระทั่งผยองในตน”

    “และดูเหมือนอำนาจวิเศษจะรู้ดีว่ากรินตนไหนเหมาะสมกับเรามากที่สุด ฉะนั้นพวกมันจึงมีอะไรหลาย ๆ อย่างที่คล้ายกับเรา”

    “ในวันนี้ ผมอยากให้ทุกคนเรียนรู้สัตว์วิเศษของตัวเอง และนำเสนอในแบบของคุณ เพราะคุณไม่ใช่คนเลือกพวกมัน อำนาจกาเวมต่างหากที่เลือก เลือก.. เพื่อที่จะตายแทนคุณ”

    “ผมให้เวลาพวกคุณหนึ่งชั่วโมง แยกย้าย”

    รู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก ทุกคำพูดของเจเคมันทรงพลังมาก เขาแสดงให้เห็นว่านี่คือมิตรที่จะอยู่กับเราไปตลอดสิ้นชีวิน มันไม่ใช่สัตว์เลี้ยงที่จะต้องเรียนรู้ตัวของเรา แต่เราต่างหากที่ต้องเรียนรู้พวกมัน

    “ดีนะที่วันนี้กรินวิเศษของคุณไม่ได้สร้างปัญหาเหมือนเมื่อวาน”

    “แม่ร่วง!”

    มิเกลสะดุ้งจนตัวโยกเมื่ออยู่ ๆ เจเคก็โผล่มาอยู่ด้านหลัง เขากระซิบข้าง ๆ ใบหูพร้อมบ่อยลมร้อน ๆ ออกมา เธอภาวนาเรื่องนั้นตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงเมื่อครู่ที่สติกระเจิง และดูเหมือนมันจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีขนาดที่เรียกแล้วก็ไม่ออกมา

    “มันคงกลัวคุณนั่นแหละค่ะ”

    “กลัวผม? ฮ่า ๆ”

    มันน่าขำตรงไหนเนี่ย? มิเกลหันขวับมองเจเคที่พ่นเสียงหัวเราะออกมา เมื่อกี้เธอไม่ได้เล่นตลกให้เขาดูสักหน่อย

    “ฮ่า ๆ ๆ ตลกอะไรคะ?”

    มิเกลหัวเราะแห้ง เธออยากรู้จริง ๆ ว่าสีหน้าของเธอตอนนี้มันยังจริงจังไม่พอรึไง

    “ดูพูดเข้า ผมเป็นเทียเมอร์นะ”

    ทำตัวเสียมารยาทไปอีกแล้ว

    “ขอโทษนะคะ ฉันลืมตัวน่ะค่ะ”

    แบบนี้ต้องเอาคืนสักหน่อย

    “ไม่เป็นไร ผมจะลืมใส่คะแนนให้คุณบ้างก็แล้วกัน^^”

    “ฮะ..”

    อาจารย์โรงเรียนนี้มันอะไรเนี่ย.. ทำไมถึงได้หักคะแนนกันเป็นว่าเล่น?

     

     

     

    ก๊อก ก๊อก..

    เสียงเคาะประตูบานโตดังขึ้นเบา ๆ ชายหนุ่มที่กำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมเอกสารสำหรับการประลองในวันอาทิตย์เงยใบหน้าขึ้นมอง เขาคลายเวทสีแดงที่เป็นเสมือนกลอนประตูพลางเจียดหางตามองร่างสูงหนึ่งในเทียเมอร์ที่แง้มใบหน้าเข้ามาทักทาย ชูก้าเอนหลังพิงพนักก่อนจะวางปากกาในมือลงและเอ่ยถามธุระ 

    “มีอะไร”

    “เรื่องมิเกล พอมีเวลาให้ข้าปรึกษาสักนิดไหม”

    เรียวนิ้วถูกดีดเป็นสัญญาณพร้อมบานประตูที่กระแทกตัวปิดลง เพียงเขาได้ยินชื่อผู้หญิงคนนี้หน้าอกก็กระเพื่อมไม่เป็นจังหวะ เจโฮปทิ้งตัวนั่งด้านหน้า เอกสารไม่ว่าจะข้อมูลของวีรัสคนไหนกระจายเป็นฝุ่นลอยกลุ่มไปตั้งอยู่อีกโต๊ะที่ว่างอยู่

    “ว่ามา”

    “เมื่อวานข้าเจอนาง และนางก็ทำในสิ่งสิ่งหนึ่งที่ทำให้ข้าแปลกใจ”

    “คราวนี้อะไรอีกล่ะ” 

    แค่น้ำเสียงเจโฮปก็พอเดาได้ว่าชูก้าหน่ายกับเธอขนาดไหน

    "คือ.."

    "..."

    “นางอาจจะเป็นวีรัสการรักษา”

    “ฮะ?!”

    ชูก้าร้องสงสัย เอาอะไรมาพูดว่าคนอย่างเธอคือวีรัสที่ในอนาคตอาจจะได้รับหน้าที่ที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิต ชูก้าจ้องใบหน้าของคนตรงหน้าด้วยสายตาดุ ๆ  เสียเวลาชีวิตไปตั้งหลายนาทีเพื่อมาฟังเรื่องไร้สาระ

    “ข้าพูดจริง ๆ นางรักษาแม่โคได้ ข้าเห็นมากับตา” 

    เจโฮปตบโต๊ะไปที เขารู้ว่ามันเชื่อยาก แต่มันคงไม่ยากไปกว่าการเห็นมากับตาแล้วเลือกที่จะปิดเอาไว้

    “เจ้ากำลังจะบอกอะไร"

    รู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นช้าลง ชูก้าอยากให้เจโฮปพูดมันออกมา สิ่งที่เขากำลังคิด

    “นางโกหกเรา"

    “ฮึ?”

    "นางรู้อยู่แล้วว่าตนเองเป็นวีรัสด้านอะไร แต่นางเลือกที่จะไม่บอก”

    และสิ่งที่เจโฮปว่ามาก็ทำให้ภายในห้องเงียบเชียบลงกว่าเดิม การจะใช้เวทของตนได้นั้นจะต้องได้รับการฝึกฝนระดับหนึ่ง และก่อนจะฝึกฝนจะเริ่มต้นขึ้นเธอจะต้องรู้ก่อนว่าตนมีพลังอำนาจอะไรในมือ มิเกลกำลังหลอกทุกคน และเจโฮปนำเรื่องนี้มาบอกเฉพาะชูก้าเพราะเขาอยากให้เทียเมอร์การสังหารช่วยจับจ้อง

    “เอาง่าย ๆ ก็คือ นางเป็นเกียร์น่า”

    ชูก้าจับใจความได้ดังนั้น แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่ทั้งหมด

    “ข้ารู้สึกว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น อย่าลืมว่าคนอุปการะมิเกลคือมาครอสและโมเดีย”

    “ที่ข้ามาบอกเจ้าก็เพื่อให้เจ้าช่วยเป็นหูเป็นตาอีกแรง”

    “เจ้าช่วยข้าได้ใช่ไหม?”

    ชูก้าเลือกที่จะเงียบ นี่มันไม่ใช่หน้าที่ของเขา คนที่เจโฮปควรไปขอความช่วยเหลือคือโรสและเจเคซึ่งเป็นอัครราชองครักษ์เหมือนกัน 

    “ทำไมต้องเป็นข้าล่ะ” ชูก้าถามขึ้น เขากอดอกเอาไว้แน่นในขณะที่เจโฮปหัวเราะออกมาเบา ๆ

    “ก็เพราะ..”

    “…”

    “เจ้ากล้าที่จะฆ่านาง”

     

     

     

    “คนต่อไป..”

    เมื่อเวลาหมดลงเจเคก็เริ่มให้วีรัสแต่ละคนออกมาแนะนำสัตว์วิเศษของตัวเอง  พวกเขาทั้งหมดนั่งล้อมเป็นวงกลมโดยหากถึงคราวของใครคนนั้นก็จะออกไปยืนตรงกลาง มิเกลเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาของเจเคจ้องมองมาทางเธอ ในมือคือปากกาและกระดาษวัดผลที่พร้อมจดข้อมูลกรินวิเศษของแต่ละคนลงไป

    “เริ่มเลยครับคุณมิเกล”

    “ค่ะ”

    “มันชื่อ ละองไพรพญาค่ะ มีนิสัยที่ทั้งขี้เล่นและสุขุม มีความเป็นผู้นำสูง เด็ดขาดและกล้าหาญ สิ่งที่มันโดดเด่นเป็นพิเศษคือน้ำตาของมัน น้ำตาของเขาละอองนารีสามารถให้กำเนิดสัตว์วิเศษได้หนึ่งตน ประมาณนี้ค่ะ”

    เจเคจรดปลายปากกาขนนกลงบนกระดาษวัดผลครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยใบหน้าขึ้นมองมิเกลที่ยืนนิ่ง

    “แค่นี้เหรอครับ?”

    เท่าที่เคยได้ยินมา ละองไพรพญาทำได้มากกว่านั้น

    “ค่ะ”

    มิเกลเปิดเผยความสามารถของละองไพรพญามากกว่านั้นไม่ได้ ส่วนรากของอำนาจที่มหาศาลนำพามาซึ่งความจริงเกี่ยวกับมิเกลเช่นกัน และมันยังไม่ถึงเวลา ยังไม่ถึงเวลาที่มิเกลจะทำให้ทุกคนรู้ว่าเธอเป็นใคร

    “ผมว่ามันยังน้อยไปสำหรับละองไพรพญา ฉะนั้นผมจะให้การบ้าน”

    เมื่อเห็นว่า 1 ชั่วโมงของมิเกลนั้นสูญเปล่า เจเคจึงอยากให้การบ้านเธอสักหัวข้อเผื่อว่ามันจะทำให้เธอกระตือรือร้นขึ้น มิเกลพยักหน้ารับอย่างไม่อิดออด เธอเองก็ไม่รอด วีรัสทุกคนในที่นี้ต่างได้การบ้านกลับไปทำกันทั้งนั้น

    “หาพลังมนตราของละองไพรพญาอีกหนึ่งข้อ ไม่ยากไปใช่ไหม?”

    ถือว่าง่ายมากหากให้เทียบกับการบ้านของวีรัสคนอื่น ๆ

    “ได้ค่ะ ไม่ยากเลย”

    “ดี คนต่อไป..”

    ถือว่าทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี ค่อยยังชั่วที่เจเคไม่ได้มีอคติกับมิเกลจนทำให้คาบเรียนมาคุ เขาเป็นกันเองและรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร และนั่นทำให้วีรัสคนอื่น ๆ สามารถเข้าหาเธอได้โดยไม่ต้องกังวลถึงอันตราย

    คาบต่อไปคือคาบของเวนดี้ วินาทีที่มิเกลหวั่นหวาดมากที่สุด เธอภาวนาอยู่ในใจเสมอขอให้สิ่งที่อ่างกีดัสอ่านได้ไม่ใช่อดีตที่เธออยากเร้น แต่เป็นอดีตที่ถูกแต้มแต่งขึ้นใหม่อย่างที่ควรจะเป็น

     

     

     

     

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×