คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ♕ PHARABITIA ♕ :: 6 ::
6
เสร็จจากคาบของเจเควีรัสก็ต่อกันที่คาบการพยากรณ์ของเวนดี้ พวกเขาตรงจากปราสาทการสังหารมายังหอกาลเวลา ห้องโถงกว้างพร้อมด้วยสระน้ำขนาดใหญ่ มินทร์และมิเกลเดินเข้ามานั่งด้วยกัน ทิ้งตัวลงเก้าอี้ที่จัดล้อมอ่างกีดัสเอาไว้พร้อมวางสัมภาระของตัวเองลง
ไม่นานนักวีรัสทั้งหมดก็เงียบเสียงเพราะเวนดี้ที่ปรากฏตัว สำหรับการพยากรณ์ หลายคนหลงลืมไปว่าอดีตเองก็สำคัญเช่นกัน มันคือการศึกษาความเป็นมาของบุคคลนั้น ๆ เรียนรู้ตัวตนจากความทรงจำ แม้ว่าในครั้งที่ดวงตายังเปิดไม่สนิทการอ่านอดีตก็สามารถทำให้ช่วงเวลานั้นแจ่มชัดได้
“สวัสดีวีรัสทุกคน ฉันเทียเมอร์สี่ เวนดี้”
“มีใครรู้ไหม ว่าทำไมเราถึงต้องเรียนวิชาพยากรณ์อดีต”
เวนดี้เดินมายืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมเท้าฝ่ามือลงบนโต๊ะ มินทร์และมิเกลนั่งไหล่ผึ่ง เวนดี้เป็นเทียเมอร์ที่เจ้าระเบียบ เด็ดขาด และไม่สนิทใจกับใครง่าย ๆ เธอสันโดษและเข้าถึงยาก มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เธอพร้อมจะช่วยเหลือและเปิดประตูต้อนรับ นั่นก็คือ ไวท์ เวฮาร์ท พ่อของโอเล็ท
“ฉันค่ะ”
และก็เป็นโอเล็ทที่ยกมือขึ้น ทุกสายตาจับจ้องมาที่เธอ รู้สึกว่าการอ่านหนังสือก่อนนอนมีผลดีก็วันนี้
“คุณโอเล็ท.. เชิญค่ะ”
“เพราะทุกคนมีโอกาสมาจากอาณาจักรอื่น ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหนพาราบิเตียไม่เคยปลอดภัย หลายครั้งที่เรามองข้ามใครสักคนโดยผิวเผิน ใครคนนั้นที่เราคิดว่าประสงค์ดี..”
มิเกลพ่นลมสั้น ๆ ออกมา ถ้าจะพูดขนาดนี้เข้ามาตะโกนใส่หน้าเลยเถอะ
“ถูกต้อง.. นั่นคือเหตุผลหลักและเหตุผลสำคัญที่ทำไมเราถึงต้องตื่นตระหนกตลอดเวลาเมื่อใครบางคนดูเหมือนกบฏ หลายต่อหลายครั้งที่พวกมันแฝงตัวเข้ามา มีอำนาจควบคุมสัตว์วิเศษ หรือแม้กระทั่งพลังที่เร้นเอาไว้.. ฉะนั้น คุณมิเกล”
คำพูดเรียบง่ายเหล่านั้นตามมาด้วยรอยยิ้มแคลงใจ คนตรงหน้ากล่าวนามของเธอด้วยเสียงกำชับ กลุ่มเวทขนาดใหญ่เข้าควบคุมมิเกลพร้อมเค้นส่วนผสมสำคัญในร่างกายของเธอ เพียงกะพริบตา ของเหลวกลิ่นสาบคาวก็เริ่มอาบเอิบออกจากดวงตากระทั่งมันเคลื่อนตัวเปื้อนเปอะใบหน้า
“ให้เธอเตรียมตัวหน่อยไม่ได้รึไงครับ!”
มินทร์ตะเบ็งเสียงถาม วีรัสภายในห้องมุ่งมองมิเกลที่ไม่แม้แต่จะขยับตัว เธอนิ่ง แต่แววตากับใบหน้ากลับแสดงถึงความเจ็บปวด เธอกำลังทรมาน นี่เป็นวิธีการอ่านอดีตเพียงอย่างเดียวที่จะเข้าถึงทุกความทรงจำของเธอ ขอเพียงอดทน อดทนเพียงไม่กี่วินาที ถึงจะทนไม่ได้ก็ต้องทน
“อย่ารบกวนสมาธิของฉันคุณมินทร์”
เวนดี้เจียดหางตามองมินทร์ที่พยายามจับมือคนน้องแน่น ๆ ตัวของมิเกลสั่นและเริ่มเย็น หากนานกว่านี้เธออาจจะรับมันไม่ไหว
“พอก่อนเถอะครับ เธอรับมันไม่ไหวแล้ว”
“หุบปากคุณมินทร์..”
“พอก่อนเถอะ ถือว่าผมขอ!”
เธอกำลังจะแย่ และมินทร์ต้องการให้เวนดี้หยุดเพียงเท่านี้ และแน่นอนว่าเวนดี้เลือกที่จะหูทวนลม
“บอกให้พอไง!”
ครืด!
พรึบ!
“เฮือก!”
มิเกลกวาดลมหายใจเข้าแรง ๆ ทันทีที่มินทร์ร่ายอาวุธของตัวเองขึ้นทำลายเวทของเวนดี้ ปลายกรงสาปสนับมุ่งตรงมายังเธอพร้อมก้าวเข้าหา มินทร์เองก็เป็นวีรัสการเวลา เขารู้ขีดจำกัดของอำนาจเวทนี้ดี
“เก็บอาวุธซะคุณมินทร์”
“คุณก็รู้ว่าถ้ามากกว่านี้คุณอาจจะฆ่าเธอได้เลย ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้นิ!”
“พอเถอะมินทร์ ฉันโอเค”
คนพี่หันมองคนน้องที่เอื้อมมือขึ้นมาจับชายเสื้อเอาไว้ แน่นอนว่าวิธีนี้สามารถค่อยเป็นค่อยไปได้ แต่ที่เวนดี้เร่งรัดมันก็เพราะเธอต้องการดูปฏิกิริยาของมิเกลและการต่อเนื่องของผลึกความทรงจำที่ถ่ายออกมา หากร่างกายของมิเกลมีการต่อต้านเล็กน้อยและผลึกความทรงจำเหล่านั้นไม่ต่อเนื่อง นั่นเท่ากับว่าสิ่งที่อ่างกีดัสอ่านอาจจะไม่ใช่ความจริงทั้งหมด
ซึ่งโชดดีของมิเกลที่สิ่งนั้นไม่ได้เกิดขึ้น
“เจ็บตรงไหนไหม หายใจสะดวกรึเปล่า”
มินทร์โน้มตัวลงตรวจดูมิเกลในทันที เวนดี้ไม่รอช้าที่จะตรงมายังอ่างกีดัส ในมือของเธอคือผลึกความทรงจำของมิเกล ต่อจากนี้มีเพียงคำภาวนา วีรัสในห้องต่างเป็นพยานกับภาพที่กำลังฉายอยู่ตรงหน้า และมันกำลังจบลง
วงคลื่นที่กำลังเคลื่อนตัวอยู่เบื้องหน้าดูละเหี่ย
ไม่ต่างจากกลุ่มเรืองสว่างในผลึกแก้ว
เวนดี้ใส่มันลงไป.. ใส่มันลงไปในนั้น
แม้ว่าผลจะเป็นเช่นไรมิเกลก็ต้องยอมรับมัน
พรึบ!
“อุแว้ ~ อุแว้ ~”
ท่ามกลางลมหนาวอ่อน ๆ และกลุ่มใบไม้แห้งที่ปลิดปลิว โมเดียได้ยินเสียง
เสียง.. ที่กำลังเรียกหาใครสักคน
“เด็กน้อย..”
จากใจของผู้เป็นมารดา เธอสอดมือเล็กเข้าอุ้มโอบทารกน้อยที่กำลังร้องหาไออุ่น พวงแก้มนิ่มฝาดระเรื่อราวหยดพั้นซ์ในน้ำนม ไหนจะดวงตาวาวเป็นแสงสะท้อนยามทิวากาล โมเดียยิ้ม ใช้ฝ่ามือลูบศีรษะของเธอเบา ๆ ด้วยความอ่อนโยน
“กลับบ้านกันเถอะนะ..”
ครึบ!
“แม่..”
เป็นไปตามที่ร้องขอ อดีตที่ทุกคนกำลังเห็นอยู่ตอนนี้ไม่ใช่อดีตที่แท้จริงของมิเกล เธอปั้นใบหน้าเรียบ ๆ ไร้ซึ่งพิรุธเพื่อให้เวนดี้ตายใจ ริมฝีปากเอ่ยคำว่าแม่ราวกับกำลังขอบคุณที่ในวันนั้นไม่ทิ้งเธอเอาไว้กับความตาย
“แค่นี้น่ะเหรอ? แล้วทำไมเธอถึงถูกทิ้งล่ะ”
ทุกคนหันขวับมองหนึ่งในวีรัสที่ยิงคำถามขึ้นมา ภาพของอ่างกีดัสแสดงเพียงราวเรื่องที่มินทร์เคยกล่าวบอก มันไม่มีเหตุการณ์ก่อนหน้าที่แสดงให้เห็นว่าทำไมมิเกลถึงได้ไปอยู่ตรงนั้น
“ถ้าอ่างกีดัสต้องการให้เรารู้เพียงเท่านี้ มันก็ช่วยอะไรไม่ได้”
เวนดี้หันมาตอบ เธอไม่ค่อยพอใจกับสิ่งที่ได้เห็นนัก สิ่งที่เทียเมอร์ทำกับมิเกลมันหนักหนาเกินไป เธอคงต้องการอะไรบางอย่างมากกว่าการขอโทษ
“แล้วมันพิสูจน์ได้แล้วเหรอคะว่าเธอคือวีรัส”
ยังไม่จบไม่สิ้น ในเมื่อเรื่องราวมันฉายให้เห็นเพียงเท่านั้น พวกเขาจึงยังไม่มั่นใจเท่าที่ควร
“แค่อ่างกีดัสเห็นมันก็พิสูจน์ได้แล้ว ผลึกวิญญาณจะว่างเปล่าในทันทีหากเลือดที่อยู่ในตัวเธอไม่ใช่เชื้อสายพาราเดียน”
เวนดี้ชันเข่านั่งเทียบกับมิเกลที่กำลังมอมแมม เธอร่ายมนตร์เสกผ้าเช็ดหน้าพร้อมยื่นให้ มิเกลเอื้อมรับก่อนจะใช้มันเช็ดคราบเลือดที่เริ่มแห้งกรังบนใบหน้า
“เมื่อครู่.. ผมขอโทษนะครับ”
เมื่อทำผิดก็ต้องขอโทษ เวนดี้หันมองมินทร์ที่โค้งศีรษะลงหนัก ๆ เธอรู้ว่าเขาทำไปทำไม ใครจะทนเห็นน้องสาวตัวเองทรมานแบบนั้นได้
“ไม่เป็นไร”
เมื่อทุกอย่างกระจ่างเวนดี้ก็ลุกขึ้นพร้อมเคลื่อนตัวมายืนเทียบกลางวงล้อม เธอต้องบอกเรื่องนี้กับเทียเมอร์โดยเฉพาะโรสที่เป็นถึงหัวหน้าองครักษ์ มิเกลจะถูกปลดรายชื่อออกจากผู้ต้องสงสัย และได้เป็นหนึ่งในวีรัส 2 คู่แรกในอาทิตย์นี้ในทันที
“วีรัสปีที่หนึ่งทั้งหมด นับแต่นี้มิเกลคือคนของพาราบิเตีย ได้โปรดกระจายข่าวให้กับผู้คนรอบข้างได้รู้ อย่าแม้แต่จะสร้างข่าวลือใหม่ขึ้น เพราะนั่นหมายถึงความวุ่นวายจะไม่จบไม่สิ้น และคุณคงไม่อยากให้องค์ราชาต้องเป็นพะวง”
“คาบเรียนนี้จะไม่มีการเรียนการสอนเกิดขึ้น ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าพวกคุณคงต้องเตรียมตัว สำหรับวีรัสปีที่หนึ่งฉันหวังว่าพวกคุณจะอธิษฐานอย่างแรงกล้าต่อกาเวม”
“ความสามารถของพวกคุณตอนนี้น่ะ เหมือนลงสนามไปเพื่อตาย”
“แยกย้าย และขอให้โชคดี”
ว่าจบ เวนดี้ก็เดินออกจากห้องไป เสียงรองเท้าส้นสูงของเธอยังดังอยู่ในหูของมิเกล เธอรู้สึกกลัวและเกรงแม้กระทั่งเสียงลมหายใจร้อน ๆ นั่น ภายในของเวนดี้เป็นเหมือนโพรงร้าง ภายนอกที่แสดงออกมาก็ทั้งกระด้างและแข็งทื่อ
“เราไปกันเถอะมิเกล อยากกินอะไรไหม หิวรึเปล่า”
มินทร์ค่อย ๆ ประคองมิเกลขึ้น ไม่ว่าจะเจอเรื่องเลวร้ายมามากแค่ไหนเขาก็ยังใช้ขนมมาล่อมิเกลอยู่ดี
“ฉันอยากไปหาแม่..”
มิเกลตอบกลับ เธออยากไปขอบคุณโมเดีย อยากขอบคุณทุกอย่างที่ทำให้โมเดียเจอเธอในวันนั้น แม้สิ่งที่ถูกฉายออกมาเมื่อครู่มันจะ..
ไม่มีส่วนไหนเป็นจริงเลย
“ได้สิ เหลือเวลาอีกเยอะเลย ไปกัน”
มินทร์คว้ามือของมิเกลขึ้นมากุมเอาไว้แน่น เขาทำท่าเหมือนจะกระพือผืนปีกออกจากตรงนี้แต่กลับถูกร่างเล็กดึงรั้ง มิเกลต้องการไปแค่คนเดียว แค่คนเดียว..
“ฉันขอไปคนเดียวไม่ได้เหรอ?”
มิเกลก้มใบหน้าพูด เธอใช้ผ้าเช็ดหน้าของเวนดี้เช็ดรอยคราบเลือดจนในตอนนี้มันหายไปเกือบหมดแล้ว
“จะไปคนเดียวเหรอ?” แม้ไม่รู้ว่าทำไม แต่มินทร์เลือกที่จะทำตามคำขอของเธอ
“ได้สิ ฝากบอกแม่ด้วยนะว่าฉันคิดถึง”
แน่นอนว่ามินทร์ไม่รู้เหตุผลของมิเกล แต่ในเวลาที่เธอเงียบแบบนี้อะไรก็ห้ามเธอไม่ได้
มิเกลเบี่ยงตัวออกจากมินทร์ เธอสยายปีกขึ้นและบินจากไป ลมหายใจเฮือกใหญ่ของมินทร์ถูกพ่นออกมา ตั้งแต่จำความได้มิเกลก็ตื่นขึ้นมาท่ามกลางดวงตาเอ็นดูของคู่สามีภรรยา โมเดียอิ่มอกทุกครั้งที่ได้จ้องมองลูกสาวน่ารักน่าชัง แม้ว่าเธอจะไม่ใช่ผู้ให้กำเนิดมิเกลก็ตาม
มันซับซ้อนราวกับเขาวงกต หาทางออกไม่เจอ กลับไปทางเข้าก็ไม่ได้ มิเกลบินตรงมายังสตาร์ทัมโฟนเพื่อกลับบ้าน.. อ่างกีดัสในวันนี้ทำให้เธอรู้สึกบางอย่าง ดีแล้วที่มันไม่ได้อ่านอดีตที่แท้จริงของเธอ แต่อีกใจมิเกลก็อยากให้มันอ่านอดีตที่แท้จริงนั้น
เธออยากเห็นมัน..
อยากเห็นจุดเริ่มต้นของตัวเอง..
ลมจากลู่ปีกตีฝุ่นและใบไม้ไหวโคลงเคลง มิเกลทิ้งตัวลงพร้อมก้าวเท้าเข้ามาภายในเขตของบ้าน แต่ก็ต้องชะงักเมื่อมีเสียงคุยคลอเบา ๆ แสดงถึงบุคคลที่สาม
กริ๊ง ๆ
กระดิ่งเหนือประตูขยับสั่น มิเกลมองหามาครอสและโมเดียตามจุดต่าง ๆ ของบ้านโดยเฉพาะห้องรับแขกที่น่าจะมีบุคคลที่สามรออยู่ แน่นอนว่ามิเกลคุ้นหูกับเสียงนั้นเป็นอย่างดี ราวกับเคยเจอเขาที่ไหนมาก่อน
“ทางนี้มิเกล”
และเจ้าของเสียงนั้นก็เอ่ยเรียกให้มิเกลได้รู้ตัว เขาฉีกยิ้มเล็ก ๆ พร้อมด้วยมาครอสและโมเดียที่เป็นฉงนว่าทำไมลูกสาวของตัวเองถึงกลับมาในเวลานี้
“คุณวี..”
“มิเกล.. ลูกกลับมาทำไม”
โมเดียรีบตรงเข้ามาหามิเกลในทันที เป็นเพราะใบหน้าของเธอในตอนนี้ไม่แสดงอารมณ์หรือความรู้สึกใด ๆ ผู้เป็นแม่จึงรีบตรวจดูร่างกายของเธอและพบว่าตรงลำคอและปกเสื้อมีคราบเลือดติดอยู่
“เป็นอะไรไหมลูก เจ็บตรงไหนรึเปล่า แล้วเลือดนี่มันอะไร”
มาครอสลุกพรวดขึ้นมาเมื่อโมเดียถามมิเกลเช่นนั้น แน่นอนว่าสายตาของเธอในตอนนี้ไม่ได้สนใจทั้งสองตรงหน้าเลย ทำไมวีถึงมาอยู่ที่นี่ แล้วเขาคุยอะไรกับมาครอสและโมเดียบ้าง สิ่งที่มิเกลและมินทร์พบเจอในรั้วโรงเรียนทั้งสองได้รับรู้มันรึเปล่า
“คุณมาที่นี่ทำไมคะคุณวี”
มิเกลปลดพันธนาการจากมือเล็กของโมเดียพร้อมตรงเข้าหาวี
“ทำไมพูดห้วน ๆ แบบนั้นล่ะมิเกล ขอโทษเดียวนี้เลยนะ”
มาครอสไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เขารู้ว่ามิเกลดื้อรั้นและไม่ฟังใคร แต่การใช้คำจากับเทียเมอร์เช่นนั้นมันมากไปหน่อย วีหลุดยิ้ม เขารู้ว่ามิเกลกำลังโกรธ เธอไม่ต้องการให้มาครอสและโมเดียรับรู้เรื่องราวของเธอในรั้วอากาเธียร์
“ฉันถามว่ามาที่นี่ทำไม!”
“มิเกล!”
มาครอสตะเบ็งเสียงหยุดกิริยาน่าชังของเธอ ในตอนนี้มิเกลไม่สนใจอะไรทั้งนั้น มันควรจบที่เธอ มาครอสและโมเดียไม่ควรลำบากใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไปด้วย
“เป็นอะไรหรือเปล่าลูก ลูกกลับมาสตาร์ทัมทำไม มีปัญหาที่โรงเรียนเหรอ?” โมเดียถามมิเกลอีกครั้ง น้ำใสเม็ดโต ๆ เอ่อล้นหางตา มิเกลเป็นแบบนี้เสมอ หากเธอโกรธเธอจะร้องไห้ หากเธอเสียใจเธอเลือกที่จะเงียบ
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร..”
มิเกลพ่นลมร้อน ๆ ออกมา เธอพยายามเก็บอารมณ์ที่กำลังปะทุเอาไว้
“ถ้าเปล่าแล้วเลือดนี่มันอะไร โดนทำร้ายมาใช่ไหม?”
แค่น้ำเสียง แค่น้ำเสียงของโมเดียเท่านั้น มิเกลร้องไห้โฮพร้อมโผเข้ากอดหญิงตรงหน้าทันที แม้โมเดียจะไม่ได้คำตอบแต่เธอก็เดาได้ไม่ยากว่ามิเกลต้องเจอกับอะไร มันเป็นสิ่งที่เธอกลัวมาตลอดทั้งชีวิต และในวันนี้ความกลัวนั้นกำลังเป็นจริงไปทีละอย่าง
“เธอถูกสงสัยว่าคือกบฏน่ะครับ”
วีไม่อยากรีรอ ที่เขามาที่นี่ก็เพราะเรื่องนี้ อีกไม่กี่วันเธอจะต้องเข้าร่วมการประลองและนั่นหมายความว่ายังไงมาครอสและโมเดียก็ต้องรู้เรื่องนี้อยู่ดี
“นี่คุณวี!”
นึกว่าจะขี้แยไปตลอดซะอีก มิเกลหันขวับมองวีที่ชันขาขึ้นไขว่ห้าง เธอรู้ว่าตอนนี้มันไม่มีอะไรต้องเสีย แต่อย่างน้อยก็ขอให้เธอได้บอกด้วยตัวของเธอเอง
“หมายความว่าอะไรมิเกล กบฏอะไร”
หัวใจของทั้งมาครอสและโมเดียหล่นไปอยู่ตาตุ่ม ยิ่งเป็นเรื่องทำนองนั้นพวกเขายิ่งหายใจไม่คล่อง แน่นอนว่าความลับยังคงถูกปิดเอาไว้ เรื่องราวของมิเกลมันใหญ่เกินกว่าที่จะมีเทียเมอร์เพียงคนเดียวมาที่นี่
“คือ.. ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ตอนนี้หนูได้รับการยืนยันแล้ว”
“พอดีว่าเธอไม่รู้ว่าอำนาจกาเวมชิ้นไหนสร้างตัวเองขึ้นมา เรื่องเลยบานปลายเพราะมิเกลอาจจะเป็นเกียร์น่า แต่เมื่อครู่เวนดี้ได้อ่านอดีตของเธอผ่านอ่างกีดัสและพบว่ามันตรงตามที่มินทร์ว่ามา โชคดีจริง ๆ ที่คุณโมเดียเจอเธอในวันนั้น”
วีพูดเสริมขึ้นมา มันเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น เขาพยายามเน้นให้มาครอสและโมเดียได้รับรู้ มันจะเป็นประโยชน์ต่อตัวของเธอ เพราะหากมีการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมพวกเขาต้องกล่าวให้ตรงกัน แบบนั้นมิเกลถึงจะรอดพ้นทุกข้อกล่าวหา
“โถ่.. ฉันจะเป็นลม” โมเดียหน้ามืด เธอทุบอกตัวเองก่อนมาครอสเข้ามาประคอง
“ตอนนี้เธอได้รับการยืนยันแล้ว ฉะนั้นในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้เธอจะต้องเป็นวีรัสสองคู่แรกของการประลอง ยังไงก็เตรียมตัวกันด้วยนะครับ”
วีตัวลุก เขาก้าวยาว ๆ เข้าหามิเกลก่อนจะเลื่อนมือหนาขึ้น จังหวะช้า ๆ แต่หนักแน่น เขาเก็บไรผมของเธอก่อนจะใช้เรียวนิ้วเช็ดรอยเลือดที่ติดอยู่บนพวงแก้ม วีทำเหมือนกับว่าเขารู้จักมิเกลเป็นอย่างดี และไม่มีใครรู้จักเธอได้ดีเท่าเขา
“มันก็แค่เริ่มต้น.. มิเกลจะต้องเจอกับอะไรอีกมาก ขอบคุณนะครับที่ทำให้เธอเติบโตมาอย่างดี ตอนนี้ผมคงต้องกลับก่อน”
สัมผัสที่ไม่ได้อ่อนโยนแต่ก็ไม่แข็งกระด้าง มิเกลนิ่ง เธอหยุดหายใจไปขณะเดียวก่อนที่สติจะกลับมา ทำไมวีถึงมีพลังที่ดึงดูดมิเกลมากมายขนาดนี้ สิ่งที่เขาแสดงออกมาไม่มีตรงไหนเลยที่ขัดแย้งกับความรู้สึกจริง ๆ
“จะกลับแล้วเหรอครับ คุณน่าจะอยู่ทานข้าวเย็นก่อน”
มาครอสอยากพูดคุยกับวีให้มากกว่านี้ โดยเฉพาะเรื่องของมิเกลที่มาครอสไม่รู้ว่าเหล่าเทียเมอร์ทราบกันไปถึงไหน แต่แน่นอนว่ามันไม่ได้ วีมีงานที่ต้องทำ เขามาที่นี่เพื่อดักรอเธอและให้กำลังใจก็เท่านั้น
“ไว้โอกาสอื่นก็ได้ครับ ขอตัว”
วีทิ้งท้ายไว้แค่นั้น เขาโค้งศีรษะเคารพมาครอสและโมเดียก่อนจะเบี่ยงข้างหลีกไป เพียงจังหวะที่หางตาละจากร่างสูง หมากประตูก็พาเขาไปจากที่นี่เสียแล้ว มิเกลหันมองหาก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ช่วงเวลาที่เธอรู้สึกเหมือนจะดำดิ่งจะต้องมีเขาคอยเอื้อมคว้าเสมอ มันเป็นเช่นนั้นมาตลอด เป็นเช่นนั้นมาตลอดพันปี
“เจ้าชายซันคะ ฉลากวีรัสสองคู่แรกมาแล้วค่ะ”
เสียงเล็กของบริพารดังขึ้น ซันฉีกยิ้มเล็กน้อยและพยักใบหน้าตอบ เขาคือผู้จับฉลากวีรัส 2 คู่แรกในทุก ๆ อาทิตย์ ลู่ปีกสีดำขลับกระพือเบา ๆ ดวงตามองพิจารณาอาณาจักรจากมุมสูงของปราสาท
“ผมได้ข่าวเรื่องกบฏ ใครกัน..” ซันถาม
“ตอนนี้มีการยืนยันแล้วค่ะ เธอคือหนึ่งในวีรัสสองคู่แรก”
ซันรับฟังอย่างผ่าน ๆ ก่อนจะตรงมายังฉลากที่ถูกเขียนเอาไว้พลางสุ่มหยิบชื่อขึ้นมาอีก 3 ชื่อ
“เธอ.. แปลว่าเป็นผู้หญิงสินะ” ซันพึมพำ เขาคลายม้วนรายชื่อที่ตนหยิบขึ้นมาพลางนึกคิดครู่หนึ่ง
“ใช่ค่ะ ได้ยินมาว่าเป็นลูกสาวของคุณมาครอสและโมเดีย”
“พวกเขามีลูกสาวด้วยเหรอ?”
“เธอเป็นลูกบุญธรรมน่ะค่ะ ได้ยินว่าถูกพบเมื่อสิบแปดปีก่อนแถบป่าทางใต้ของสตาร์ทัมโฟน”
แม้มันจะเกิดขึ้นไม่มากแต่ก็บ่อยครั้ง อย่างที่ว่า บางครั้งพวกเขาก็ผิดพลาด และความผิดพลาดนั้นสร้างบาดแผลที่ยิ่งใหญ่ให้กับตัวเองและคนรอบข้างเสมอ ซันได้รับผลกระทบนั้น เขาเองก็เป็นหนึ่งในความผิดพลาดเช่นกัน
“สิบแปดปีก่อนเหรอ? เป็นไปได้ไหมว่าเธอ -”
“ไม่ค่ะ เธอเป็นวีรัส”
สิ้นคิดเสียจริง น้องสาวของเขาเป็นกาซัส กาซัสที่ไม่มีเวทมนตร์และอำนาจวิเศษ ซอลเกิดมาพร้อมความธรรมดาแต่กลับพ่วงมาด้วยรอยพิษ เธอพรากชีวิตของผู้เป็นแม่ด้วยเสียงร้องไห้ พรากลมหายใจเล็ก ๆ นั้นไปด้วยเลือดที่เปื้อนกาย ซอลคือหนึ่งเดียวของอาณาจักรที่เป็นหนึ่งเดียวกับมลทิน และมลทินนั้นไม่มีทางได้รับการอภัยจากใคร
“นั่นสิ เธอเป็นวีรัส ลืมไปสนิทเลย”
“ฉันไม่อยากพูดแบบนี้หรอกนะคะ แต่ฉันอยากให้ท่านหยุดซะ”
“...”
“เธอตายไปแล้วค่ะ ถึงจะยังอยู่ ก็คิดซะว่าเธอตายไปแล้วเถอะ”
“...”
“เธอจะยังปลอดภัย.. ในความตายนั้นค่ะ”
ใช่ เธอจะยังปลอดภัย ในความตายนั้น..
ซันยอมรับความจริงไม่ได้และเขาไม่มีทางที่จะยอมรับ ความโดดเดี่ยวเรียกหาเขามาโดยตลอด และอีกไม่นานมันจะฉุดเขาลงก้นเหว
อย่าพยายามเลย..
คนรอบตัวกล่าวกับซันเช่นนี้เสมอ อย่าทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ อย่าทำให้ทั้งอาณาจักรต้องลุกเป็นไฟ ถ้าเธอยังมีชีวิตอยู่ก็ขอให้เธอได้มีชีวิตของเธอ การที่ซอลมีตัวตนไม่ต่างอะไรกับแขวนคออยู่บนขื่อตลอดเวลา
แต่ใครจะไปรู้ว่าชะตามักหาเรื่องมาให้แปลกใจอยู่เสมอ อย่างเช่นครานี้ที่ทั้งสองพี่น้องจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง กลับมาเพื่อหักล้างหาใช่เติมต่อ กลับมาเพื่อฆ่าฟันหาใช่ผูกมิตร ชะตาของทั้งซอลซันเป็นเช่นนั้น มันถูกขีด..
ให้เป็นเช่นนั้น
ความคิดเห็น