ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SVEN] ♕ PHARABITIA :: BLOOD OF HATE #1 ♕ พาราบิเตีย :: โลหิตชังชาด #จักรวาลอมาล่า

    ลำดับตอนที่ #5 : ♕ PHARABITIA ♕ :: 3 ::

    • อัปเดตล่าสุด 3 ส.ค. 67


     

    3

     

    “มันคือหมากประตู รับเอาไว้”

    “หมากประตูเหรอคะ?”

    มิเกลชะงักเล็กน้อยก่อนจะเหลือบมองมือหนาที่กุมข้อแขนเอาไว้แน่น เชือกเส้นนี้คือหมากประตู สิ่งที่จะทำให้วีรู้ถึงทุกที่ที่มิเกลไป

    “คุณก็รู้ว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์แบบไหน เก็บเอาไว้กับตัวเสมอล่ะ”

    ว่าจบเขาก็ส่งยิ้มหวาน ๆ ให้กับมิเกลไปที ก่อนจะกระเถิบตัวออกมาเพื่อเป็นเชิงให้มิเกลไปนั่งที่ของตัวเอง

    มิเกลโค้งตัวลงและเดินกระเถิบ ๆ เข้ามานั่งข้าง ๆ มินทร์ที่กำลังหยุดชะงัก เธอเอาตำราขึ้นมาไว้บนโต๊ะแต่ก็ต้องสะดุ้งเพราะอยู่ ๆ มินทร์ก็ขยับพร้อมเพื่อนร่วมห้องที่กลับมาเป็นปกติ 

    “นั่นหน้าผากเหรอ?” และสิ่งที่มินทร์ทักขึ้นหลังจากได้เห็นการรวบผมของคนน้องก็คือแสงที่สว่างกว่าเดิม

    “อยากตายรึไง” 

    “เราจะเริ่มเรียนแล้วนะครับ เปิดตำราหน้าสองร้อยห้าสิบเก้าครับ”

    ตำราปกหนาถูกเปิดด้วยเวทไปยังเนื้อหาที่ต้องเรียนในคาบนี้ อักษรมากมายไร้ซึ่งตำหนิกล่าวทุกความเป็นไปของกาลเวลา ในปีที่ 1 ทุกคนจะได้เรียนพื้นฐานในเเต่ละคาบวิชาด้วยกัน เเต่เมื่อขึ้นปี 2 - 4 พวกเขาจะเเยกกันไป มินทร์จะต้องเรียนเพียงกาลเวลา โอเล็ทจะต้องศึกษาทั้งการสังหารเเละการรักษา จะไม่มีคาบวิชาอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องอีก

    “ใครในนี้เป็นวีรัสกาลเวลาบ้างนะ ยกมือขึ้น” มินทร์และวีรัสอีกคนด้านหน้ายกมือขึ้นเมื่อวีเอ่ยถามถึงพลังที่กาเวมคัดเลือก

    “เอามือลงได้ วิชาของผมจะเรียนเกี่ยวกับการพยากรณ์อนาคตเท่านั้น ส่วนอดีตจะเป็นเทียเมอร์สี่  การทำนายอนาคตของผู้อื่นและตัวเองถือเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความสามารถของพาราเดียนทั่วไป พวกคุณที่เป็นถึงวีรัสจึงถูกคัดเลือกเพื่อที่จะได้ศึกษา”

    “โดยสัญลักษณ์ที่หล่อหลอมจากจิตวิญญาณ มนตราและหยดโลหิต จะเป็นเครื่องพิสูจน์ ฉะนั้นสิ่งที่พวกคุณต้องรู้ในรายวิชานี้เป็นหลักคือ รูปแบบของการทำนายพื้นฐาน เปิดหน้าถัดไป”

    แผ่นกระดาษอีกด้านถูกพลิกอย่างช้า ๆ มิเกลเบิกตากว้างเมื่อเนื้อหาของมันคือรูปแบบการทำนายหลากหลายแบบ ทั้งการอ่านเกสรดอกอัสเมีย ใบไม้จากต้นดิมิเทียส และเถ้ากระดูกจากกรินวิเศษ ทั้งหมดจะถูกผสมเข้ากับโลหิตของผู้ถูกทำนาย และจะปรากฏขึ้นเป็นสัญลักษณ์ทั้ง 66 ภาพตามที่เขียนเอาไว้ในตำรา

    “ในวันนี้จะไม่มีอะไรมาก ผมจะชี้แจงเรื่องคำอธิบายรายวิชา เปิดไปยังหน้าแรกของตำราครับ”

    และคาบนี้ก็ดำเนินไปอย่างยาวนาน มิเกลนั่งหมุนปากกาเล่นเพราะรู้สึกเบื่อ แอบถอนหายใจกับมินทร์และโอเล็ทที่ผลัดกันถามตอบราวกับกำลังชิงความเป็นที่หนึ่ง ไม่เข้าใจว่าในหัวของทั้งสองนั้นทำด้วยอะไร ทำไมถึงเข้าใจในสิ่งที่วีพูดไปซะทุกอย่างทั้งที่มิเกลยังจับใจความไม่ได้

    “วันนี้ก็มีเพียงเท่านี้ มีใครสงสัยอะไรไหม?”

    นี่สินะคือสิ่งที่เรียกว่าช่วงเวลาทอง มิเกลตาโตเมื่อเวลาได้ผ่านมาแล้วถึงสองชั่วโมง เธอใช้มือบีบเอวตัวเองเล็กน้อยก่อนจะหันไปสะกิดมินทร์ที่เหมือนจะยกมือขึ้นถาม

    “จะทำอะไร?!” มิเกลกระซิบ ใบหน้าของเธอพยายามบอกให้มินทร์หยุดความคิดนั้นซะ

    “ถ้าไม่มี ก็แยกย้ายเข้าเรียนในคาบต่อไปได้”

    ไอเย็นสีขาวคลุมตำราและกายของวีให้เลือนหายไป วีรัสภายในห้องเรียนเริ่มส่งเสียงจอแจพร้อมเก็บสัมภาระของตัวเอง มินทร์หันขวับมองคนน้องที่ยิ้มร่าออกมา ทำไมเธอต้องมาขัดด้วยไม่ทราบในเมื่อเขายังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจ

    “ทำอะไรของเธอเนี่ย ฉันยังไม่เข้าใจตรงนี้เลย”

    “จะรู้อะไรนักหนา โง่บ้างก็ไม่มีใครว่านะ”

    เธอเข้าใจมินทร์ว่าทำไมเขาถึงต้องทำขนาดนี้ มาครอสและโมเดียคาดหวังในตัวของมินทร์ หนำซ้ำเขายังมีน้องสาวที่ไม่ได้เรื่องอย่างมิเกล เขาจะต้องเผื่อทุกอย่างเอาไว้เสมอ หากวันไหนที่มิเกลเดือดร้อนมินทร์จะได้มีความรู้ในการช่วยเหลือ

    “เธอก็รู้ว่าฉันทำแบบนี้ทำไม”

    “และฉันก็รู้ว่านายทำเพื่อฉัน”

    ว่าจบคนน้องก็ลุกออกไป มินทร์เป็นทุกอย่างให้มิเกล แต่มิเกลแค่อยากได้พี่ชายของตัวเองกลับมา เธอรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ การเหลวแหลกที่ตนเองสร้างขึ้นมันก็แค่สิ่งจอมปลอม และเธอไม่อยากให้มินทร์ต้องมาเหนื่อยกับการเหลวแหลกอันจอมปลอมของเธอ

    “นายไม่ต้องทำทุกอย่างเพื่อฉันหรอก ฉันอยากได้พี่ชายไม่ใช่แม่อีกคน”

     

     

    เผลอไม่นานเวลาก็เคลื่อนตัวผ่านไปแล้วทั้งวัน หลังจากคาบเรียนวิชาในช่วงเช้าจบลงมินทร์และมิเกลก็ได้พบเจอกันอีกครั้งในวิชาการควบคุมของเทียเมอร์ 7 นี่คงเป็นอาจารย์คนแรกที่ทำให้มิเกลใจชื้นขึ้นบ้าง เธอมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มสม่ำเสมอ กล่าวทักทายวีรัสทุกคนด้วยท่วงทีนุ่มนวลและอ่อนหวาน เรียกได้ว่าทั้งคาบมิเกลเอาแต่จ้องเธอไม่หยุด

    สำหรับคาบเรียนของโรสในวันนี้ เธอกล่าวบอกเพียงคำอธิบายรายวิชารวมไปถึงคะแนนและกะเกณฑ์เฉกเช่นวี เห็นแบบนี้ส่วนมากจะเป็นการปฏิบัติ คะแนนที่ได้จะมาจากการสอบถึง 80% เรียกได้ว่าใบหน้าและท่วงทีอ่อนหวานของเธอขัดกับจิตใจสุด ๆ

     

    ถึงเวลาที่นามัสจะได้ยืดเส้นยืดสาย มินทร์ มิเกล และนาวากำลังนั่งพักผ่อนข้าง ๆ สวน บารอน แหล่งรวมพืชพันธุ์ไม้ประดับและปอดของอากาเธียร์ ที่นี่มีอากาศเย็นสบาย เหมาะแก่การพบปะทำกิจกรรม เมื่อเลิกเรียนทั้งสามคาบในแต่ละวันแล้วนามัสทุกคนจะได้รับอนุญาตให้ใช้ชีวิตตามปกติ ใครมีธุระอะไรสามารถสะสางได้ในเวลานี้

    “มาทำอะไรตรงนี้เนี่ย ตามหาแทบแย่”

    น้ำเสียงคุ้นเคยดังขึ้นพร้อมด้วยเจ้าตัวที่ทิ้งตัวลงม้านั่งข้าง ๆ นาวา วันนี้ฮาร์ทและลีออยมีเคลียร์งานภูมิศาสตร์จึงทำให้เลิกช้า ทั้งสองเดินตามหามินทร์ มิเกล และนาวาจนทั่ว กะว่าจะชวนไปดูอะไรเจ๋ง ๆ สักหน่อย

    “ก็แค่นั่งเล่น มีอะไรกันเหรอ?” นาวาอาสาตอบ

    “มีสิ ตอนนี้นามัสบางกลุ่มคงไปรวมตัวกันที่ลานประลองละ”

    จะเป็นอะไรไหมหากทั้งมินทร์ มิเกล และนาวาเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา บทเรียนที่ยากที่สุดของวิชาการสังหารคือการเป็นหนึ่งเดียวกับกรินวิเศษ วีรัสจะต้องแบ่งจิตวิญญาณของตนออกเป็นสองส่วนและใส่ลงไปในกรินประจำกายของตน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพื่อโกงความตาย หากเมื่อใดที่วีรัสถึงฆาต กรินวิเศษจะกลายเป็นร่างที่สองของวีรัสคนนั้นในทันที

    หลายคนอาจจะยังไม่รู้ กรินวิเศษไม่ได้เกิดมาพร้อมวีรัส เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาพร้อม อำนาจวิเศษจะเรียกหาร่างที่สองจากทั่วทุกสารทิศ หากกรินวิเศษตนใดที่ถูกพ้องต้องใจวีรัสคนนั้น พวกมันจะเดินทางมาหาและก้าวเคียงไปในเส้นทางเดียวกัน

    ในวันนี้ที่สนามประลอง วีรัสชั้นปีที่ 4 จะต้องต่อสู้พร้อมกรินวิเศษเพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองมีศักยภาพมากพอที่จะทำให้กรินวิเศษยอมรับ เมื่อพวกเขาภาคภูมิและยินดี มันจะยอมเปิดรับจิตวิญญาณที่สอง และเป็นหนึ่งเดียวกัน

    “ลานประลอง? มีคนจะสู้กันเหรอ” มินทร์ถาม

    “เปล่า ก็แค่วันนี้วีรัสปีสี่ต้องส่งการบ้าน”

    “แค่ส่งการบ้านแล้วมันทำไม?" มินทร์เอ่ยถามอิีกครั้งอย่างฉงน

    “ไม่บอก ไปกันก่อน เดี๋ยวก็รู้เอง”

    ว่าจบฮาร์ทและลีออยก็เดินนำน้อง ๆ ทั้งสามมาถึงสนามประลอง อัฒจันทร์เบื้องหน้าที่กำลังประจักษ์เต็มไปด้วยกลุ่มคน มิเกลและเพื่อน ๆ ก้าวเข้ามาภายในสนามที่ตอนนี้ถูกคลุมด้วยเวทสีทับทิม ผู้ที่อยู่ภายในจะไม่เห็นผู้คนภายนอกเพื่อลดความประหม่า แต่สำหรับผู้คนภายนอกพวกเขาจะเห็นทุกกระบวนการ โดยเฉพาะวีรัสปีที่ 3 ที่จะต้องกระทำเช่นนี้ในอีกหนึ่งปีข้างหน้า

    “โห ~ ใหญ่โตชะมัด นี่เขาเตรียมสถานที่สำหรับการประลองกันแล้วเหรอ?” นาวาเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นคนงานกำลังจัดแจงทั้งเครื่องประดับประดาและการซ่อมแซมบำรุง

    “อืม นู่นไง คุณเจโฮปคุมอยู่" ฮาร์ทว่าพลางชี้ไปยังหนึ่งในเทียเมอร์ที่กำลังคุมงาน

    "มานี่ ๆ ขึ้นไปดูด้านบนกัน”

    กลางสนามประลองบัดนี้กำลังเต็มไปด้วยกรินวิเศษและวีรัสชั้นปีที่ 4 ทั้งห้าคนเดินเบี่ยงตัวออกจากตรงนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวน จำนวนของนามัสที่ต้องการชมการประลองกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และทุกคนล้วนมาเพื่อให้กำลังใจเพราะมันไม่ง่ายเลยกับการจะให้กรินวิเศษยอมเป็นร่างที่สองของตน

    “ตรงนั้นคือที่นั่งขององค์ราชาสินะ” มิเกลพึมพำ ตอนนี้ทั้งห้าขึ้นอัฒจันทร์มาหยุดอยู่ตรงข้ามกับบัลลังก์ของท่านพอดิบพอดี

    “ใช่ ในวันที่การประลองมาถึง เขาจะนั่งตรงนั้น” ฮาร์ทตอบ

    “ท่านจะมาดูทุกปีเลยรึเปล่า” มินทร์ถามต่อ

    “ก็ทุกปีนะ ท่านจะมาในพิธีเปิดและพิธีปิด” ลีออยตอบกลับอีกครั้ง

    ทั้งราษฎรและนามัสจะได้เจอองค์ราชาและรัชทายาทในวันนั้น พวกท่านจะเป็นประธานทั้งพิธีเปิดและพิธีปิด แน่นอนว่าการประลองของวีรัสจัดขึ้นทุกปี แต่กลับไม่มีสักปีที่มาครอสและโอเดียอนุญาตมินทร์และมิเกลให้เข้าชม สิ่งที่ทั้งสองสงสัยจึงมีเยอะไปหน่อย

    “เดี๋ยว พวกมันเป็นอะไรกันน่ะ”

    และในขณะนั้น ในสนามก็เริ่มโกลาหล 

    "หริ่งทับทิม หยุดเดี๋ยวนี้นะ!" 

    หนึ่งในวีรัสว่าด้วยน้ำเสียงรำคาญเมื่อกรินประจำกายกำลังวิ่งวนบนตัวจนเผลอใช้เล็บบาดผิว

    "คุณมิรา เกิดอะไรขึ้น" 

    เจเคผู้เป็นอาจารย์ในคาบวิชาเอ่ยถาม แต่มันไม่ใช่กลับแค่หริ่งทับทิม

    "ฉลูมาลา ทำอะไรของเจ้าเนี่ย!" 

    กรินประจำกายอีกหนึ่งของวีรัสเองก็เริ่มขยับเนื้อตัวไม่อยู่กับที่

    "นี่! คชาเปลือกไม้!"

    "หยุดนะ ทุยทะเล!"

    “ควบคุมกรินวิเศษของพวกเจ้าซะ อย่าให้มันสำแดงฤทธิ์!”

    เจเคตะโกนบอกวีรัสในสนามให้ควบคุมกรินวิเศษของตนที่กำลังคลุ้มคลั่ง กิริยาของพวกมันกำลังบ่งบอกถึงอะไรบางอย่าง เจเคพยายามวางเวทของตนโดยรอบเพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อผู้อื่น พวกมันกำลังหวาดกลัว และดูเหมือนวีรัสผู้เป็นมิตรเพียงหนึ่งเดียวของกรินวิเศษเหล่านี้ก็ไม่อาจสั่งการมันได้

    โครม!

    ปัก!

    ร่างของวีรัสกระเด็นไปละทิศทาง พลังเวทมหาศาลถูกปลดออกมาสร้างแรงสั่นสะเทือนจนเกิดเป็นรอยร้าวขึ้น เจเครีบหาต้นต่อของกิริยาพวกนี้ทันที แต่แล้วสายตาก็ไปสะดุดกับมิเกลที่กำลังยื่นจ้องมองลงมา

    “เราต้องไปช่วยพวกเขา”

    เมื่อเห็นดังนั้นมินทร์ก็รีบออกคำสั่งให้กลุ่มเพื่อนลงไปช่วยเหลือ แต่เมื่อมิเกลสับเท้าลงจากอัฒจันทร์เธอก็ต้องชะงัก

    ครืด!

    กรินประจำกายตนหนึ่งกระโจนขึ้นจากพื้นดินสร้างฝุ่นกลุ่มใหญ่ มันเคลื่อนตัว ย่างเท้าลงบนอากาศพร้อมส่งคลื่นเสียงทุ้มต่ำออกมา มิเกลปัดฝุ่นตรงหน้าพร้อมมุ่งมองสัตว์วิเศษตัวเมื่อครู่ เขากระดูกสีขาว เรือนผิวดุจเศษพลอย มันคือเขาละอองนารี กรินประจำกายของมิเกล

    “นี่กรินประจำกายของใครเนี่ย!”

    หนึ่งในวีรัสที่ได้รับบาดเจ็บดันตัวเองขึ้นพร้อมตะเบ็งเสียงถาม ไม่มีใครรู้ว่ากรินวิเศษตัวนี้คือสัตว์ประจำกายของใคร รู้เพียงว่ามันกำลังสยบกรินวิเศษตัวอื่น ๆ ด้วยทำนองในลำคอที่เป็นเสมือนคำบัญชา

    “มิเกล นั่นกรินประจำกายของเธอนิ” นาวาหันมองมิเกลที่ยังขมวดคิ้วสงสัย เกิดอะไรขึ้น? แล้วทำไมละอองนารีถึงไปอยู่ตรงนั้น

    “อะไรกันเนี่ย..”

    น้ำเสียงพึมพำของเจเคเบาหวิว กรินประจำกายเหล่านี้ไม่ได้หวาดกลัวแต่มันคือการสรรเสริญ เขาละอองนารีก้าวเท้ามาอยู่เบื้องหน้ากรินวิเศษตัวอื่น ๆ ในสนาม พวกมันโค้งศีรษะลง น้อมตัวและเปล่งเสียงออกมาอีกครั้ง

    “ละองไพรพญา..”

    เจโฮปที่มองดูสถานการณ์อยู่นานกล่าวออกมาเบา ๆ ไม่มีเทียเมอร์คนไหนคิดว่าจะได้เห็นมันกับตาของตัวเอง ละองไพรพญาคือราชินีในคราบของราชา มันคือผู้สร้างและผู้รักษาพนัสสีครามของพาราบิเตีย กรินวิเศษมากมายกำเนิดขึ้นมาด้วยอำนาจของมัน มันเป็นทั้งมารดาของหมู่มวลและบิดาของอารัญศักดิ์สิทธิ์

    “นี่เป็นกรินวิเศษของผู้ใด”

    เจเคเอ่ยถามขึ้นพร้อมเขาละอองนารีที่หันมองมิเกล ไม่ต้องรอให้จบคำถามก็รู้คำตอบ หนำซ้ำยังแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของโดยการเดินเข้ามาอยู่ด้านหลังพร้อมใช้คางเกยบนศีรษะของมิเกลเอาไว้

    “นี่เป็นกรินประจำกายของคุณหรือมิเกล”

    เเละในขณะนั้น เจโฮปก็ปรากฏตัวขึ้นเรียกความสนใจให้กับทุกคน มิเกลเงียบ เธอทำเพียงพยักใบหน้าเพราะกลัวคำแสร้งจะทำให้เรื่องยุ่งกว่านี้

    “คุณแน่ใจไหมว่านี่คือเขาละอองนารี” เจโฮปกล่าวถาม มิเกลหันกลับมาดูกรินวิเศษของตนที่เบี่ยงใบหน้าหนี นามที่แท้จริงของมันไม่ใช่เขาละอองนารี

    “มันบอกฉันมาเช่นนี้ ฉันก็เลยเรียกนางเช่นนั้น” มิเกลตอบ เธอก้มใบหน้าลงท่ามกลางสายตานับร้อยคู่ที่กำลังมุ่งมอง

    “ชื่อของมันไม่ใช่เขาละอองนารี แต่คือละองไพรพญา ราชาและราชินีของพนัสสีคราม คุณทำยังไงให้มันกลายเป็นกรินประจำกายของคุณ”

    เจเคเอ่ยเสริมขึ้นมา เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าร่างที่แท้จริงของมันคืออะไร เขาละอองนารีปรากฏกายขึ้นตั้งแต่มิเกลจำความได้ เธอไม่รู้ว่าอำนาจวิเศษหรืออะไรในตัวเธอที่ทำให้มันสนใจ แต่สิ่งที่เธอรู้มีเพียงสิ่งเดียวคือมันเลือกเธอ ไม่ใช่เธอที่เลือกมัน

    “ฉันไม่รู้..” เธอพึมพำออกมาเบา ๆ แต่มันก็ดังพอที่เจเคและเจโฮปจะได้ยิน

    “คุณรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองบ้างมิเกล”

    น้ำเสียงของเจเคเริ่มเปลี่ยนไป มันเรียบง่ายแต่กลับเต็มไปด้วยแรงกดดัน ยิ่งเธอเป็นแบบนี้ทุกคนก็จะยิ่งสงสัยเธอ มิเกลเป็นวีรัส เป็นลูกสาวของมาครอสและโมเดียซึ่งเป็นขุนนางระดับสูง ทำไมพวกท่านถึงไม่แม้แต่จะเตรียมพร้อมเธอทั้งอำนาจวิเศษของกาเวมและกรินวิเศษตัวนี้

    “ถ้าบอกว่าฉันไม่รู้จักตัวเองเลย.. พวกท่านจะเชื่อฉันไหม”

    และแล้วเขาละอองนารีเบื้องหลังก็แตกระแหง มินทร์พยายามที่จะเข้ามาแทรกกลางเพื่อหยุดทุกอย่างไว้ แต่แล้วมือเล็กของนาวาก็รั้งให้เขาอยู่กับที่ มิเกลจะต้องเผชิญมันด้วยตัวของตัวเองบ้าง มินทร์ไม่สามารถรับทุกอย่างแทนเธอได้

    “ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อแม่ตัวเองเป็นใคร มันคงเลือกฉันเพราะไม่อยากให้ฉันโดดเดี่ยว แต่นี่ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วไม่ใช่รึว่าฉันคือวีรัส”

    มันแน่ชัดขึ้นมาระดับหนึ่งเพราะกรินวิเศษตนนี้กำเนิดขึ้นจากกาเวมของแผ่นดินพาราบิเตีย เธอใช้วิกฤตนี้ให้เป็นโอกาส ถึงมันจะไม่สามารถยืนยันตัวตนของเธอได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม

    “พวกท่านไม่จำเป็นต้องเชื่อฉันในตอนนี้ แต่ได้โปรด.. อย่าใจร้ายกับฉันไปมากกว่านี้เลย..”

    ทุกอย่างเงียบลง.. เงียบในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มิเกลกลั้นใจเพียงชั่วครู่และพูดมันออกไป เธอก้มใบหน้าลง บีบมือของตัวเองแน่นเพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่ได้กลับมาจะเป็นความเมตตาหรือไร้ซึ่งความการุณ เธอรู้จักตัวเองดี และเธอขอสาบานต่อหน้าคนทั้งอาณาจักรว่าตนคือวีรัส

    “ถ้าผมไม่มีวันเชื่อคุณ คุณจะทำยังไง”

    “คะ?”

    ในตอนนี้ เจเคยังฝังใจว่าเธออาจจะเป็นคนจากอัสโมดายแฝงตัวเข้ามา ซึ่งเป้าหมายของเธอคือการเข้าเฝ้าองค์ราชาและเจ้าชายซันหากชนะการประลอง และการที่เธอไม่รู้ว่ากาเวมชิ้นส่วนใดสร้างเธอขึ้นมามันก็อยู่ในแผนการ เพราะหากเธอไม่รู้มันจริง ๆ การประลองในวันแรกจะมีชื่อของเธออยู่ในนั้น

    วีรัสทุกคนที่ไม่รู้อำนาจวิเศษของตนจะถูกอ่านอดีตด้วยอ่างกีดัสเพื่อยืนยันว่าเทือกเถาของตนนั้นหาใช่ขบถ เมื่อความจริงถูกเปิดเผยพวกเขาจะได้เป็นวีรัสสองคู่แรกในการประลองเพื่อค้นหาว่ากาเวมชิ้นใดที่สร้างตนขึ้นมา เป็นเพราะวีรัสทุกคนจะมีวิชาตามความสามารถในทุก ๆ สัปดาห์ หนำซ้ำคู่การประลองจะถูกเรียกจากการจับฉลาก ฉะนั้นหากรอให้ชื่อนั้นเป็นของวีรัสที่ไม่รู้อำนาจ ชั่วโมงเรียนในวิชาตามความสามารถก็อาจจะไม่ครบ

    ฉะนั้น เทียเมอร์จะต้องพิสูจน์ตัวตนของมิเกลในตอนนี้ การประลองจะเป็นเพียงสิ่งเดียวที่จะบอกได้ว่าเธอคือใคร แต่มันกลับยากเหลือเกินที่จะยอมให้มิเกลเป็นหนึ่งในนั้น เพราะหากเธอเข้าไปในการประลองได้ จะไม่มีวิธีใดที่จะนำตัวเธอออกมา และโอกาสที่จะได้เข้าถึงองค์ราชาและรัชทายาทก็จะสูงขึ้น

    และมาในวันนี้ ทุกอย่างก็ยิ่งทำให้เจเคกากบาทตัวใหญ่ ๆ ใส่มิเกล ทำไมละองไพรพญาถึงเลือกที่จะไม่บอกนามที่แท้จริง และอีกอย่างคือการที่พ่อแม่ทิ้งเธอเอาไว้กลางป่า ทำไมพวกท่านถึงทำเช่นนั้นในเมื่อเธอเป็นถึงวีรัส ไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกเขาจะยอมละทิ้งเด็กที่เกิดมาเพื่อเป็นลูกหลานของกาเวม

    จบแล้วมิเกล เธอคือกบฏ

    “คุณไม่จำเป็นต้องเชื่อฉันตลอดชีวิตเลยก็ได้ค่ะ ฉันจะพิสูจน์เอง พิสูจน์ด้วยตัวของฉันเอง” เมื่อตีหน้าเศร้าแล้วไม่ได้ผล ก็ถึงเวลาที่ต้องเอาจริง

    “คุณไม่มีโอกาสที่จะพิสูจน์ตัวด้วยซ้ำ คุณคือกบฏ มิเกล” เจเคเองก็เอาจริง เขายื่นคำขาดจนทำให้นามัสนับร้อยในที่นี้อ้าปากค้างกันไป

    “ข้าว่าอย่าพึ่งตัดสินไปเลยเจเค เรายังมีอ่างกีดัส”

    เจโฮปรีบเข้ามาแทรกกลาง มันเร็วเกินไปที่จะตัดสิน ถึงแม้หลักฐานจะมัดตัวเธอเอาไว้แน่นแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลที่เธอเป็นแบบนี้  ในบางครั้งเทียเมอร์ก็ควรรอ บางอย่างก็จำเป็นต้องใช้เวลา

    “เจโฮป.. ทั้งเจ้าและข้ามีหน้าที่ปกป้องราชวงศ์ลินลีฟทายนะ”

    และสมาชิกอีกคนก็ถูกเปิดเผย โรส เจเค และเจโฮป ทั้งสามคืออัครราชองครักษ์ มีหน้าที่อารักขาและคุ้มครองราชาและราชินีผู้ถูกเลือก หากมีสิ่งที่น่าสงสัยก็ควรจัดการมันให้ถึงที่สุด อย่าลืมเด็ดขาดว่าชีวิตของราชวงศ์และราษฎรต้องมาก่อน

    “ข้ารู้ แต่ดูนางสิ นางบอกจะพิสูจน์มัน ให้โอกาสนางหน่อยเถอะ”

    ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าทำไมถึงต้องทำเช่นนั้น เจเคหันมองมิเกลที่ทำตาปริบ ๆ หากเธอเป็นกบฏที่แฝงตัวเข้ามาจริงมิเกลคงเป็นกบฏที่โง่เขลาที่สุดเท่าที่เจโฮปเคยเจอมา คนอะไรจะวางแผนทุกอย่างเอาไว้ง่ายดายขนาดนั้น

    “นะคะ เห็นสามสี่ห้าคนตรงนี้ไหมคะ พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก ถ้าฉันเป็นกบฏจริง ๆ พวกเขาก็ต้องเป็นเหมือนกัน”

    เหมารวมกันไปหมด อะไรที่ช่วยตัวเองได้ในตอนนี้มิเกลไม่ปฏิเสธที่จะลากเข้ามาเกี่ยว ฮาร์ท นาวา และลีออยพยักหน้าตามมินทร์ทั้งที่ยังงง ๆ กับสถานการณ์ พยานรู้เห็นของมิเกลมีมากพอที่เจเคจะเปลี่ยนใจ และมันก็ได้ผล เจเคกำลังเก็บทุกอย่างไปคิดอีกครั้ง

    “เอาน่า พยานนางก็มี” เจโฮปว่าขึ้น

    “ก็ได้”

    ถ้ามันจะง่ายมันก็ง่าย ไม่นานนักหลังจากเขาเงียบไปเจเคก็ตอบกลับมาว่าได้ มิเกลถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เจโฮปเองก็แทบจะกำหมัดทุบคนข้าง ๆ ที่ว่ายากว่าเย็น

    “แต่มีข้อแม้”

    พรึบ!

    พลองเกล็ดเพลิงปรากฏขึ้นพร้อมฟาดกับอากาศ เจเคใช้ปลายแหลมของมันพาดเอาไว้บนไหล่ของมิเกล ไม่นานนักผิวของพลองก็เริ่มร้อน และมันร้อนพอที่จะแผดอินทรธนูของเธอจนกลายเป็นเขม่า 

    “ถ้าอ่างกีดัสอ่านอดีตของเธอไม่ได้ล่ะก็ ฉันจะตามมาตัดหัวเธอด้วยตัวของฉันเอง”

    และข้อแม้ของเขาก็ทำเอามิเกลตัวสั่น เจเคตวัดหางตามองเจโฮปที่ไม่สามารถขัดอะไรได้ ผู้สังหารกบฏในครั้งนี้คือเจเค เขาได้วางตัวในงานครั้งนี้แล้ว

    “ถ้าเข้าใจแล้วก็แยกย้าย”

    ไหล่ของมิเกลเบาลง เธอมุ่งมองชายหนุ่มที่หันหลังกลับไปสนใจวีรัสในชั้นเรียนของตัวเอง มันอยู่ในใจลึก ๆ อยู่ในความคิดที่ไม่รู้ว่าวันไหนจะได้เอ่ยออกมา  สถานการณ์ในวันนี้ทำให้เธอยิ่งเชื่อในสิ่งที่เคยได้ยิน

    “ไปพักผ่อนเถอะมิเกล อย่าคิดมากล่ะ”

    เจโฮปไม่รู้ว่าควรจะปลอบเธอยังไง เขาทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้นและกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง กระทั่งเมื่อไร้ซึ่งใครก็ตามที่หักห้าม มินทร์ก็รีบเข้ามาตรวจดูน้องสาวที่กำลังนิ่งไม่ไหวติ่งใด ๆ

    นี่คือสังคมของอากาเธียร์สินะ..

    คนของที่นี่อยู่ด้วยความหวาดกลัวและเต็มไปด้วยมลทิน ใบหน้าของมิเกลนิ่งเรียบ เธอไม่แสดงอารมณ์หรือแม้แต่การร้องไห้ พลองเกล็ดเพลิงแผดอินทรธนูและไหล่เสื้อไปจนถึงเนื้อของเธอ มันเจ็บและแสบ หากมิเกลพิสูจน์ได้ว่าตัวเองเป็นวีรัส สิ่งที่เธออยากได้คงไม่ใช่แค่การขอโทษ

     

     

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×