ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SVEN] ♕ PHARABITIA :: BLOOD OF HATE #1 ♕ พาราบิเตีย :: โลหิตชังชาด #จักรวาลอมาล่า

    ลำดับตอนที่ #4 : ♕ PHARABITIA ♕ :: 2 ::

    • อัปเดตล่าสุด 3 ส.ค. 67


     

    2

     

    หากจะมีอะไรสักอย่างที่จะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นก็คงหนีไม่พ้นสารพัดของหวาน มิเกลเดินกระโดดมายังโรงอาหารของอากาเธียร์ที่กำลังเต็มไปด้วยนามัสในช่วงพัก เธอเดินเข้ามาจองโต๊ะ ส่วนมินทร์เบี่ยงตัวไปตักขนมนมเนยที่มิเกลชอบพร้อมเครื่องดื่ม

    “เป็นไงบ้าง!” สะดุ้งจนตัวสั่นยวบเมื่อเสียงตะโกนของเพื่อนสาวดังขึ้นใกล้ ๆ นาวาผลักมิเกลจนหน้าคะมำก่อนจะทิ้งตัวนั่งข้าง ๆ

    “เฮ้อ ~”

    “ถอนหายใจแบบนี้ไม่ดีแน่ ถูกไหม?” นาวาเดาขึ้นมาเล่น ๆ พลางใช้มือทั้งสองจัดเผ้าผมที่กำลังรุงรังให้คนเพื่อนเล็กน้อย

    “ก็ถูก แต่ช่างมันเถอะ”

    มิเกลคว่ำปาก เธอรู้สึกไม่ค่อยดีหากจะมีการอ่านอดีตในรูปแบบที่ต้องเปิดเผย มิเกลไม่อยากให้ใครรู้ภูมิหลังของเธอมากนัก มันเป็นแผลใหญ่ของมิเกล แผลที่ยังเหวอะหวะและไม่มีทีท่าจะหาย 

    “อ้าว!? มาตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย”

    มินทร์ทักเพื่อนสาวที่พึ่งเสร็จจากการโฮมรูมของศาสตราจารย์เพอร์มัวล่า เขาวาง ‘ลิมาลัส’ ของหวานพื้นบ้านสตาร์ทัมโฟนที่มิเกลชอบและเครื่องดื่มอย่างชาหอมลงบนโต๊ะ เห็นแบบนี้นาวาเองก็ตาลุกวาว เธอควรหาอะไรรองท้องบ้างจากตอนเช้าที่ไม่ได้ทานอะไรมา

    “น่ากินจัง ~ เดี๋ยวฉันไปซื้อขนมปัง เอาอะไรอีกไหม?”

    “เธอยังไม่ได้กินมื้อเช้าเหรอ” มิเกลถามพลางตักก้อนนมตรงหน้าเข้าปาก

    “ยังอะ เหลือขนมให้ด้วยนะ” นาวาตอบกลับ เธอรีบวิ่งไปซื้อขนมปังทันทีที่มิเกลพยักหน้ารับ

    “ไม่ค่อยหวานเนอะ”

    “ไม่หวานนี่แหละดี”

    “แต่หอมน้ำตาลนะ”

    “น่าจะเป็นน้ำตาลอ้อย”

    “มิเกลใช่ไหม?”

    มีเสียงแทรกขึ้นให้เรื่องน้ำตาลของสองพี่น้องจบลง มิเกลเงยหน้าขึ้นมองคนเรียกก่อนจะนิ่งไปพักใหญ่ เธอคือโอเล็ท คนที่มิเกลไม่เคยคิดเคยฝันว่าจะเข้ามาทักพร้อมด้วยรอยยิ้ม

    “ชะ.. ใช่”

    “ฉันกับเพื่อนขอนั่งด้วยนะ”

    มิเกลพยักหน้ารับ เธอทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามกับมิเกลพร้อมเพื่อนสาวที่เป็นนามัส มินทร์สะกิดคนน้องให้นั่งหลังตรงเป็นมารยาท รู้สึกเกร็งจนมือไม้สั่น มิเกลชอบโอเล็ทมาก เธอเป็นคนที่เก่งและเพียบพร้อมไปซะทุกอย่างจนบางครั้งมิเกลก็แอบอิจฉา

    “นี่เพื่อนฉัน ไวลีน วีสร่า นามัสปีหนึ่ง ส่วนไวลีน นี่มิเกล นี่มินทร์ เป็นวีรัสของชั้นปีเดียวกับเรา” โอเล็ทเอ่ยแนะนำเพื่อนของเธอ

    “ยินดีที่ได้รู้จักนะไวลีน”

    มิเกลทักทายไวลีนด้วยท่วงทีสดใส ถ้าจำไม่ผิดเธอคือหลานสาวของผู้ครองสตาร์ทัมโฟน ทั้งเธอและโอเล็ทเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ  ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่จะเห็นทั้งสองตัวติดกันตลอด

    “ยินดีที่ได้รู้จัก^^”

    “ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ พอจะว่างไหม”

    มิเกลและมินทร์เงียบพร้อมหุบยิ้ม ทั้งสองวางช้อนลง ใบหน้าของโอเล็ทเปลี่ยนไปราวกับสิ่งที่กำลังจะว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย 

    “ว่างอยู่แล้ว ว่างมาก”

    มิเกลหายใจเข้าลึก ๆ เธอหวังเพียงอย่างเดียวว่าโอเล็ทจะไม่มาตอกย้ำเธอ ทุกคนภายในอาณาจักรต่างขอออกห่างกับใครก็แล้วแต่ที่เกิดมากำพร้า พวกเขามีความเชื่อว่าไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ต้องการทิ้งลูกในอุทรของตัวเอง เว้นก็แต่เด็กคนนั้นเกิดมาพร้อมกาลกิณี

    “เมื่อครู่ไวลีนได้ยินมาว่า เหล่าเทียเมอร์จะอ่านอดีตของเธอผ่านอ่างกีดัส เธอมั่นใจแค่ไหนว่าตัวเองคือพาราเดียน”

    มิเกลขมวดคิ้วแน่น เธอสะอึกเล็กน้อยเพราะสายตาที่ดูเหมือนจะเค้นความจริงออกมาให้ได้ 

    “ฉันเป็นวีรัสจริง ๆ เต็มร้อยเต็มพัน เธอมั่นใจได้” มิเกลเน้นเสียง เธอขอยืนยันว่าเธอคือวีรัส วีรัสแห่งพาราเดียน

    “ฉันดีใจที่เธอพูดคำนี้ออกมานะ พิสูจน์ซะว่าเธอเป็นใคร อย่าให้ใครกล่าวโทษเธอได้”

    มันหลายครั้งแล้วกับสิ่งที่อากาเธียร์กลัว โอเล็ทมาคุยกับมิเกลเพราะไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก อย่างน้อยคนบริสุทธิ์ก็ควรได้รับความยุติธรรม ยังดีที่ผู้รับเลี้ยงมิเกลเป็นมาครอสและโมเดีย หากเธอไม่มีประวัติเรื่องผู้ปกครองเรื่องมันคงแย่กว่านี้

    “ขอบคุณนะ เธอทำให้ฉันชอบเธอมากขึ้นกว่าเก่าอีก” มิเกลยิ้ม ไม่ต่างจากมินทร์ที่หัวเราะออกมาเบา ๆ มิเกลเห็นโอเล็ทเป็นแบบอย่าง และในวันนี้เธอกลับทำให้มิเกลประทับใจเธอเข้าไปใหญ่

    “ชอบฉัน?” โอเล็ทชี้มาที่ตัวเอง

    “เธอน่ะทั้งเรียนเก่งแล้วก็ใจดี ขอบคุณนะที่มาบอก ฉันจะพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นเอง”

    ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้ รู้สึกเหมือนดวงตาของโอเล็ทและมิเกลจะหวานกว่าขนมตรงหน้าซะอีก

    “ฉันไปก่อนนะ แล้วเจอกันที่หอ”

    เมื่อเสร็จเรื่องก็ถึงเวลาที่โอเล็ทและไวลีนต้องจะแยกตัวออกมา โอเล็ทเป็นคนดีมาก ๆ ในแบบที่มิเกลไม่คาดคิดมาก่อน หน้าที่ของเธอต่อจากนี้คือทำยังไงก็ได้ให้มันถูกต้อง เธอจะพิสูจน์ตัวเองและอยู่ในอากาเธียร์ต่อให้ได้

     

     

    หลังจากการพักระหว่างคาบผ่านไป นามัสชั้นปีที่หนึ่งก็ถูกเรียกรวมยังปราสาทด้านปีกขวาของราชวังลินลีฟทาย ทั้งหมดเข้าแถวเรียงหน้ากระดานแยกชายหญิงเพื่อจับฉลากหาเพื่อนร่วมห้อง หอนอนของนามัสจะแบ่งออกเป็น 4 ปราสาทเรียงตามลำดับแต่ละชั้นปี ห้องของสุภาพบุรุษจะอยู่ฝั่งขวา ส่วนสุภาพสตรีจะอยู่ฝั่งซ้าย ไม่แยกนามัสและวีรัส รวมถึงภายใน 1 ห้องจะประจำอยู่เพียง 2 คน เท่านั้น

    “เอาล่ะทุกคน สำหรับวีรัสเมื่อครู่ที่แยกไป ฉันชื่อเพอร์มัวร์ล่า เป็นอาจารย์ภาควิชายุทธศาสตร์ เบื้องหน้าของพวกคุณ คือปราสาทของชั้นปีที่หนึ่ง มีอัศวะเวหาศของเทียเมอร์เจ็ดเป็นกรินประจำปราสาท"

    "กฎของเรามีอยู่ไม่มาก เมื่อถึงเวลานอนก็ควรนอน ถ้าถึงเวลาตื่นก็ควรตื่น เราไม่อนุญาตให้นามัสไม่ว่าชายหรือหญิงออกนอกปราสาทหลังสองทุ่มตรง หากทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับกฎที่เราตั้งเอาไว้ พวกคุณถือว่าก้าวขาออกจากอากาเธียร์ครึ่งหนึ่งแล้ว”

    น้ำเสียงของหญิงวัยกลางคนเอ่ยกะเกณฑ์ให้ฟังกันอย่างกระจ่าง นาวาจับมือมิเกลแน่นเพราะต้องการอยู่ด้วยกัน การมีเพื่อนร่วมห้องที่ไม่สนิทหรือพึ่งรู้จักกันมันเป็นอะไรที่แย่มาก ๆ มิเกลไม่เท่าไหร่แต่สำหรับนาวามันไม่ได้จริง ๆ

    “และเพื่อเป็นการเท่าเทียม เราจึงมีการจับฉลากเพื่อนร่วมห้องโดยแยกชายและหญิงเอาไว้ก่อนแล้ว ฉันจะเอ่ยเรียกเป็นคู่และหมายเลขห้อง เมื่อได้ยินก็ออกมาเอากุญแจ เครื่องแบบและสัมภาระของพวกคุณอยู่ในห้องเรียบร้อย เริ่มด้วย..”

    รายชื่อของนามัสทั้ง 120 คนโดยประมาณถูกเรียกขึ้นสลับชายหญิง มิเกลและนาวาลุ้นจนตัวโก่งเมื่อทราบว่าทางอากาเธียร์ได้มีการจับคู่เพื่อนร่วมห้องเอาไว้ก่อนหน้าเพื่อไม่ให้เป็นการยุ่งยากและวุ่นวาย นาวาน้ำตาซึมทันทีที่เพอร์มัวล่าพูดออกมาแบบนั้น สิ่งที่คิดมันมักจะไม่เกิดขึ้นเสมอ

    “ห้องที่ยี่สิบสองฝั่งบุรุษ มินทร์ พลีดิลอย ไบร์ท ฮีเดียร์” และแล้ว เพื่อนชายหนึ่งเดียวของกลุ่มก็ถูกขานชื่อเป็นที่เรียบร้อย มินทร์โบกมือลาสองสาวพลางก้าวนำออกมาหยิบกุญแจพร้อมด้วยนามัสจากสตาร์ทัมฮิม

    “ห้องที่ยี่สิบสามฝั่งสตรี นาวา ไอตัส ไวลีน วีสร่า ”

    ได้แต่มองหน้ากันด้วยความเศร้า นาวายู่ใบหน้าไปทีที่เพื่อนร่วมห้องของเธอไม่ใช่เพื่อนสนิทอย่างมิเกล แต่กลับกลายเป็นไวลีนที่ยังไม่รู้จักกัน นาวากระเถิบตัวเองออกจากแถวพลางโบกมือลาคนเพื่อนอย่างอิดออด เห็นแบบนี้รู้สึกเอ็นดูเธอขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

    ชายเเละหญิงอีกมากถูกขานนามและได้เข้าสู่ปราสาทไปแล้วนับสิบคู่ แต่นั่นกลับไม่มีชื่อของมิเกลเลยแม้แต่แว่วหู เธอมองดูเพื่อนชั้นเดียวกันพลางนึกคิดว่าคนคนนั้นจะเป็นใคร ก่อนที่สายตาไปหยุดอยู่กับโอเล็ทที่กำลังยืนนิ่ง

    โอเล็ทงั้นเหรอ?

    “ห้องที่สามสิบเอ็ดฝั่งสตรี มิเกล พลีดิลอย โอเล็ท เวฮาร์ท”

    ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง มิเกลหัวเราะแห้งออกมากับเหมาะเจาะนี้ก่อนะก้าวเท้าเดินตามโอเล็ทออกมา

    “คุณนี่เองที่เทียเมอร์ฝากเอาไว้”

    น้ำเสียงเชิงเจียดคำกระแทกเข้าหน้าของมิเกลทันทีที่เธอมาหยุดอยู่เบื้องหน้าเพอร์มัวล่า ไม่น่าเชื่อว่าข่าวของเธอถึงหูคณาจารย์คนอื่น ๆ ได้เร็วขนาดนี้

    “ฝากด้วยนะคะคุณโอเล็ท ถ้ามีอะไรผิดปกติสามารถรายงานฉันได้ทันที”

    ทุกสายตาของนามัสคนอื่น ๆ ที่ยังไม่ถูกขานนามเป็นไปในทางเดียวกัน อีกไม่นานเรื่องของมิเกลจะสะพัดมาสู่นักเรียนของอากาเธียร์ จะมีสายตาอีกนับร้อยนับพันจับจ้องมาที่มิเกล กระทั่งสุดท้ายกับท้ายที่สุด แม้แต่จังหวะการหายใจเธอเหล่าเทียเมอร์ก็คงรับรู้

    “ค่ะ” 

    โอเล็ทตอบกลับและรับกุญแจในมือของเพอร์มัวล่าก่อนจะเดินนำมิเกลเข้าหอพัก แม้จะรู้สึกตะขิดตะขวงกับสิ่งที่คนรอบข้างกระทำแต่เธอก็เข้าใจ มันไม่ได้หนักหนาอะไร หากการอดีตผ่านอ่างกีดัสผ่านไปได้ทุกอย่างก็จะจบ

    ไม่นานทั้งสองก็มาหยุดอยู่เบื้องหน้าห้องสามสิบเอ็ด มิเกลเปิดประตูบานโตเข้ามาภายในก่อนจะต้องอ้าปากค้าง ห้องขนาดกว้างพร้อมต้นไม้ประดับ โคมกระดาษและเตียงนุ่ม โซฟาหนังรวมไปถึงพรมหนา โอเล็ทตรงไปยังเตียงทั้งสองก่อนจะขมวดคิ้ว สีหน้าของเธอดูไม่ดีนักราวกับมีบางอย่างไม่ถูกใจ

    “ฉันขอเตียงนี้นะ พอดีไม่สบายบ่อยเลยไม่ค่อยถูกกับหน้าต่าง” โอเล็ทนั่งลงบนเตียงพร้อมปักหมุด มิเกลยิ้มร่าก่อนจะพยักหัวงึก ๆ เป็นอันตกลง เธอเป็นคนขี้ร้อน การได้นอนใกล้หน้าต่างถึงเป็นอะไรที่โชคดีที่สุด

    “อ้อ แล้วเรื่องทำความสะอาด ผลัดกันทำวันเว้นวันนะ”

    “อืม! ตามนั้น”

    “ปกติแล้วเธอนอนกรนไหม แล้วเปิดไฟตอนนอนรึเปล่า”

    “จริง ๆ มันก็นิดหน่อยเวลานอนผิดท่า ส่วนเรื่องไฟฉันไม่เปิด”

    โอเล็ทซักถามมิเกลให้สบายใจ เธอโตมาในวัง ทุกวันของเธอไม่ได้เหมือนมิเกล ในขณะที่เด็กคนอื่นวิ่งเล่นโอเล็ทจะต้องเรียนเรื่องมารยาท ในขณะที่เด็กคนอื่นมีอิสระโอเล็ทต้องเคร่งครัดในกฎระเบียบ มิเกลเข้าใจเรื่องนี้ดี เธอจึงไม่ขัดอะไรหากโอเล็ทมีเรื่องจุกจิกอยู่ตลอดเวลา

    “โอเค.. ถ้างั้นฉันฝากตัวกับเธอด้วยนะ”

    โอเล็ทลุกขึ้น มือเล็กเอื้อมมาเบื้องหน้าพร้อมรอยยิ้มอีกครั้ง มิเกลมองดูการกระทำขอเธออย่างฉงน จะมีใครดีเท่าคนตรงหน้านี้อีก โอเล็ทเป็นคนที่สมบูรณ์แบบมากในสายตาของมิเกล และคงไม่มีใครสมบูรณ์แบบเท่านี้อีกแล้ว

    “เช่นกัน..”

     

     

     

    หลังเสร็จจากการตระเตรียมข้าวของ เหล่านามัสทุกระดับชั้นก็เข้าร่วมการรับประทานอาหารมื้อเย็นกับเหล่าคณาจารย์ก่อนจะแยกย้ายกันพักผ่อน มิเกลยอมรับว่าประหม่า แสงสว่างจากภายนอกนั้นทำมิเกลคิดถึงโมเดียกับมาครอส อยากรู้เสียจริงว่าทั้งสองท่านกำลังทำอะไรอยู่ หากให้เดาตอนนี้คงเข้านอนกันแล้ว

    กริ้ง ๆ

    “เจ้าเองก็นอนไม่หลับสินะ”

    พรืบ!!

    ประกายแสงสีขาวโพลนฉายวาบเพียงชั่วกะพริบตา มิเกลหันขวับมองตามเสียงกระดิ่งเล็ก ๆ ที่กำลังกระซิบ ก่อนจะพบเป็นกรินประจำกายของตนที่ดูเหมือนจะรู้ดีว่ามิเกลกำลังตื่นเต้นกับวันพรุ่งนี้ขนาดไหน

    เขาละอองนารี สัตว์วิเศษผู้เป็นเพื่อนตายของมิเกล ลำตัวคล้ายเม็ดแสงฟุ้งเป็นละอองเกาะกลุ่มอยู่บนเรือนหนังสีหิมะ เขากระดูกของมันแตกแขนงเป็นพุ่มใหญ่ สง่างามและน่าเสน่หา มิเกลใช้มือทั้งสองข้างประคองใบหน้าของมันที่เข้ามาคลอเคลีย ก่อนที่เจ้ากรินวิเศษจะทิ้งตัวลงข้าง ๆ พร้อมอิงมิเกลกลับอีกที

    “ข้าหวังว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันที่ดี”

    ลมหายใจของมิเกลเปลี่ยนเป็นไอ ค่ำคืนที่พระจันทร์หลับใหล ลมหนาวเองก็ดูจะเฉียวฉุน มิเกลมองดูโอเล็ทที่กำลังหลับปุ๋ย มันคงเป็นเรื่องปกติสำหรับเธอในการตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตในอากาเธียร์ แต่สำหรับมิเกลมันไม่ใช่ ในวันพรุ่งนี้อาจจะกลายเป็นวันที่เธอเกลียดที่สุด

     

     

     

    ดูเหมือนแสงแดดในวันนี้จะทำสงครามกับร่างเล็กในโปงผ้าห่ม เธอพยายามหันตัวหนีจากช่องสว่างที่ลอดเล็ดเข้ามาแต่ก็ไม่พ้น อากาศเย็น ๆ ของอากาเธียร์ทำให้มิเกลรู้สึกขี้เกียจ แม้จะรู้ดีว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะถึงคาบเรียนของหนึ่งในเทียเมอร์แต่ก็ไม่กระตือรือร้น

    “มิเกล"

    "มิเกล"

    "มิเกล!”

    “ใครเรียกแต่เช้าเลยเนี่ย อร้าย!”

    เสียงร้องดังสนั่น มิเกลม้วนตัวบิดขี้เกียจแต่ก็พลาดตกเตียงจนหน้าคะมำ เธอลืมตามองเจ้าของเสียงเมื่อครู่ที่อยู่ในชุดเครื่องแบบพร้อมสำหรับการเรียนในวันนี้ หากให้เดาตอนนี้คงสายมากแล้ว

    “สายแล้วเหรอ?” มิเกลเสียงค่อย เธออ่านสีหน้าโอเล็ทก็รู้ว่ากำลังโดนดุ

    “ใช่ สายมากแล้วด้วย อีกไม่กี่นาทีจะเข้าเรียนแล้วนะ รีบ ๆ หน่อย” หญิงสาวตรงหน้าต่อว่าไปที มิเกลรีบลุกขึ้นและจัดการพับผ้าห่มของตัวเองให้เรียบร้อย

    “ขอบคุณนะที่ปลุกฉัน”

    “ไม่เป็นไร เจอกันที่หอกาลเวลา”

    มิเกลรีบวิ่งผ่านน้ำด้วยความเร็วแสง แต่สุดท้ายก็ต้องมาเสียเวลากับเครื่องแบบที่ไม่รู้ว่าใส่ยังไง หนังสือที่ยังไม่ได้จัดตามตารางสอน รองเท้าที่เชือกผูกหาย และยางมัดผมที่ลืมไว้สักที่ในห้อง  

    ก๊อก ก๊อก!

    “ใคร?”

    “เราเอง นาวา มินทร์”

    เสียงหวานจากด้านนอกตอบรับ ทั้งมินทร์และนาวารออยู่ที่ห้องนั่งเล่นของปราสาทนานสองนาน เพียงแค่ห้านาทีที่มิเกลสายก็รู้ได้ทันทีว่าคนคนนี้ยังไม่ตื่น

    “เข้ามาเลย”

    “นี่เธอจะช้าตลอดแบบนี้ไม่ได้นะ คาบแรกของเธอกับฉันเรียนกับเทียเมอร์กาลเวลาด้วย”

    เมื่อประตูห้องถูกเปิดออกมินทร์ก็รีบบ่นมิเกลในทันที เธอเหลวแหลกขนาดนี้ได้ยังไง แม้วันเปิดเทอมวันแรกก็ดูเหมือนจะพังไม่เป็นท่า

    “ขอโทษได้ไหมล่ะ ขอโทษได้ไหม”

    “ไม่ให้อภัยได้ไหมล่ะ ไม่ให้อภัยได้ไหม”

    ไม่มีอะไรจะแก้ตัว มิเกลน้อมรับข้อกล่าวหาทั้งหมด ถึงปากจะบอกแบบนั้นแต่มินทร์ก็รีบเข้ามาติดอินทรธนูให้กับมิเกลในทันที ส่วนนาวาก็ตรงเข้ามายังโต๊ะทำงานเพื่อจัดกระเป๋าใส่ตำราและอุปกรณ์การเรียนให้กับเธอ เรียกได้ว่าแค่เช้าวันแรกมิเกลก็เป็นหนี้มินทร์และนาวาก้อนโต

    ยังดีผ่านพ้นช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้ มินทร์และมิเกลต้องโบกมือลานาวาที่ต้องเข้าเรียนกับนามัสคนอื่น ๆ ทั้งสองกระพือลู่ปีกตรงมายังหอคอยกาลเวลาในทันที หากให้เดาในตอนนี้เธอคงโดนหักคะแนนไปแล้วไม่ต่ำกว่าสิบ

    ปราการน้ำแข็งสูงเบื้องหน้าทำเอามิเกลหวั่นใจ สองพี่น้องผ่อนแรงทิ้งตัวลงมายังระเบียงกว้าง มิเกลแอบมองมินทร์ที่หายใจเข้าลึก ๆ เขาเองก็รู้สึกประหม่าไม่ต่างจากเธอ หัวใจด้านในมันกระทุ้งหนักจนแทบจะทะลุออกมา

    “ขออนุญาตครับ..”

    น้ำเสียงนุ่มเบาดังขึ้นพอให้บุรุษผู้เป็นอาจารย์ได้ยิน มินทร์และมิเกลก้าวเข้ามาภายในห้องโถงใหญ่พลางโค้งตัวทำความเคารพ วีเจียดหางตามองทั้งสองเล็กน้อย เสียงฝีเท้าของเขาดังสนั่นท่ามกลางความเงียบงัน ก่อนที่จังหวะคำว่าคำจาจะทำให้มินทร์และมิเกลต้องรีบแก้ต่างสถานการณ์

    “ไม่รู้รึไง ว่านี่คาบเรียนอะไร?”

    “รู้ครับ เราสองคนสาย ขอโทษจริง ๆ ครับ” มินทร์กล่าว สายตาจรดพื้น

    “คุณมิเกลล่ะครับ?”

    “คะ..คือ ฉันผิดเองค่ะ ฉันทำให้มินทร์ต้องสาย เป็นความผิดฉันเองค่ะ” มิเกลกลืนน้ำลายลงอึกใหญ่ แค่ชื่อของตัวเองออกมาจากปากของคนตรงหน้าตัวก็สั่นไปหมด 

    “ผมขอหักคะแนนคุณสองคนยี่สิบคะแนน เชิญเข้าไปนั่งครับ”

    มิเกลเผลอพ่นลมร้อนออกจากอกแรง ๆ เมื่อคนตัวสูงอนุญาต เธอก้าวตามมินทร์ช้า ๆ เพื่อกลับไปนั่งยังโต๊ะแก้วที่ว่างอยู่ แต่ยังไม่ทันได้ขยับ มือหนาของวีก็เลื่อนขึ้นหยุดมิเกลเอาไว้

    “คะ?”

    มิเกลทำได้แค่ชูเครื่องหมายคำถาม แต่ในขณะที่เธอกำลังกลั้นหายใจเพราะกลัวจะโดนดุอีก ลมกลุ่มหนึ่งก็พุ่งตัวเข้ามาหากระทั่งเอกสารบนโต๊ะปลิวว่อน กระดาษกองนั้นที่ควรจะพลิ้วไหวตามแรงลมหยุดชะงัก วีกำลังหยุดเวลา และเขาหยุดมันเพื่อมอบบางอย่างให้กับมิเกล

    “ควรรวบผมให้เรียบร้อยนะ”

    เขาพูดออกมาเบา ๆ  มือหนานั้นเลื่อนขึ้นมายังเรือนผมที่กำลังปล่อยยาว วีพยายามรวบมันเพื่อให้เหมาะสมตามกฎระเบียบ แต่..

    "คุณใช้เชือกถักไม่ได้นะคะ"

    มิเกลแย้งขึ้นในทันทีเมื่อเห็นสิ่งที่วีเสกขึ้นมา มันคือเชือกถักตามความเชื่อของอมาล่า เส้นด้ายที่คดเคี้ยวเกลียวกลมแสดงถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและยากที่จะตัดขาด ความหมายของมันคือการผูกมัดหากนำไปให้ผู้อื่น  

    "แล้วทำไมฉันถึงใช้ไม่ได้" เขาถามกลับ ไม่สนและไม่ฟัง

    "คุณก็รู้ว่าความหมายของมันคืออะไร" 

    ในเมื่อเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา มิเกลจึงเลือกที่จะแกะมันออก แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรวีก็คว้าทั้งแขนเอาไว้ 

    "อย่า.." 

    "..."

    "มันคือหมากประตู รับเอาไว้"

     

     

     

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×