ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SVEN] ♕ PHARABITIA :: BLOOD OF HATE #1 ♕ พาราบิเตีย :: โลหิตชังชาด #จักรวาลอมาล่า

    ลำดับตอนที่ #12 : ♕ PHARABITIA ♕ :: 10 ::

    • อัปเดตล่าสุด 4 ส.ค. 67


     

    10

     

    “ฉันรู้ว่าเธอจะทำอะไร ถ้าไม่อยากตายก็อยู่นิ่ง ๆ”

    มิเกลพยักหน้ารับในทันที เขาค่อย ๆ ปล่อยเธอออกจากพันธนาการก่อนจะใช้มือหนาจับที่ข้อแขนและออกแรงให้มิเกลลุกขึ้น คนตรงหน้านี้เป็นคนของอัสโมดายอย่างแน่นอน เพียงแต่เขามาทำอะไรที่นี่..

    “คุณเป็นเกียร์น่า ถ้ามีคนเห็นคุณ พวกเขาจะฆ่าคุณ”

    ดูเหมือนเขาจะไม่มีจุดประสงค์ร้ายแก่เธอ มิเกลมองชายหนุ่มที่ยืนนิ่ง เขาดูไม่หวาดกลัวหรือเกรงสายตาของมิเกลเลย เมื่อใดที่คนจากอัสโมดายเหยียบเท้าก้าวเข้าสู่พาราบิเตีย ผู้นั้นจะต้องโดนโทษประหารและทรมานจนสิ้นลม

    “แปลกมาก”

    “แปลกอะไร” แต่แทนที่เขาจะสนใจคำของมิเกลสักนิด กลับไม่สน

    “เป็นคนอื่นคงวิ่งหนีไปบอกคนอื่นให้มาช่วยแล้ว เธอเป็นพาราเดียนคนแรกที่เห็นฉันแต่กลับไม่กลัวอะไรเลย”

    ‘อัสโมดาย’

    ขึ้นชื่อว่าเป็นอาณาจักรแห่งอสุรกาย มนุษย์ที่ถูกเลี้ยงดูมาด้วยความโหดร้ายและการฆ่าไร้ซึ่งความการุณ ทุกอย่างมืดมนและถูกคลุมด้วยหมอกหนาทึบ ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะใช้อากาศร่วมกับพวกเขา ว่ากันว่าหากกล้าย่างกรายเข้าไปที่นั่น จะไม่มีใครได้กลับมาอีกเลย

    “ฉันไม่กลัวคุณหรอก ถ้าคุณคิดจะฆ่าฉันคุณทำไปนานแล้ว ว่าแต่.. ทำไมคุณหน้าเหมือนคุณวีจัง”

    มิเกลเปลี่ยนเรื่อง คงเป็นคนเดียวจริง ๆ ที่กล้าถามกล้าตอบกับคนจากอัสโมดายแบบนี้

    “ไม่จำเป็นต้องรู้”

    “เอ้า!”

    “ฉันชื่อ เวนมัท เธอล่ะชื่ออะไร”

    มิเกลตรวจสอบดูทุกตารางนิ้วของร่างกายคนตรงหน้าที่ถึงขั้นแนะนำตัวเองให้มิเกลรู้จัก

    “ฉันชื่อมิเกล ว่าแต่ คุณมาที่นี่ทำไม มาฆ่าเจ้าชายซันเหรอ?”

    มิเกลขมวดคิ้วใหญ่กล่าวโทษคนตรงหน้า คนจากอัสโมดายไม่ว่าใครต่างมีหน้าที่เพียงเท่านี้ เข้ามาหวังได้ปลิดชีพองค์ราชาและรัชทายาท ส่วนเพื่ออะไรนี่ยังเป็นที่ถกเถียงเพราะพวกเขาไม่เคยปริปากบอกและยอมตายหากถูกจับได้

    “มาตามหาสิ่งสำคัญ และพากลับบ้าน..”

    เขาพูดเพียงแค่นั้น ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป แต่ก็ทำให้รู้ว่าสิ่งที่ปรารถนาไม่ใช่ชีวิตของเจ้าฟ้ากษัตริย์

    “อ๋อ.. งั้นก็ขอให้เจอนะ ฉันต้องไปแล้วเดี๋ยวปราสาทจะปิด”

    มิเกลโบกมือลาพร้อมอวยพรให้เขาตามหาสิ่งนั้นเจอ เธอลองคิดอยู่สักพักว่าอะไรทำให้เวนมัทเหมือนวีได้ขนาดนี้ จนนึกขึ้นได้ว่าเกียร์น่าสามารถปลอมกายเข้ามาเป็นหนึ่งในวีรัสได้ นับประสาอะไรกับการปลอมกายเป็นหนึ่งในเทียเมอร์ เกียร์น่าก็คงทำได้เหมือนกัน

    “อืม แต่เดี๋ยวก่อน” และในขณะที่มิเกลกำลังกระพือลู่ปีกบินกลับปราสาท เวนมัทก็รั้งเธอไว้

    “ว่า”

    “อย่าบอกใครว่าเจอฉัน ได้ไหม?”

    เสียงของเขาค่อยเบา

    “ไม่บอกหรอก สบายใจได้^^”

    พูดจบมิเกลก็กลางปีกและทะยานขึ้นสู่แผ่นฟ้าพร้อมผ้าเช็ดหน้าในมือที่กำเอาไว้แน่น เวนมัทมองคนตัวเล็กที่ไกลออกไปเรื่อย ๆ คิดกังวลอยู่เล็กน้อยว่าเธอจะบอกเรื่องนี้กับทหารไม่ก็เทียเมอร์ หากมีใครรู้เข้า จะต้องออกตามหาทั่วอาณาจักรอย่างแน่นอน

     

     

     

    เมื่อมาถึงมิเกลก็ทิ้งตัวลงหน้าปราสาทพร้อมก้าวขาเข้าไปภายใน นามัสปีหนึ่งเริ่มทยอยเข้านอนกันแล้ว ห้องนั่งเล่นชั้นล่างเงียบเหงา ส่วนห้องทานอาหารก็ปล่อยว่างไร้เงาคน ยังดีที่มิเกลมาทันเวลา คะแนนรายวิชาของเธอในตอนนี้จึงยังไม่หายไปไหน

    “อะแฮ่ม”

    แต่ในขณะนั้นเอง เสียงกระแอมกระไอของเพื่อนสาวก็ดังขึ้น นาวายืนเท้าเอวอยู่ข้างบันไดรอมิเกลเพราะความเป็นห่วง

    “สงสัยจังว่าใครเป็นคนให้ คุณมิเกลถึงต้องออกไปเอากลางดึกแบบนี้”

    เธอพูดเสียงแข็ง สายตาดุ ๆ มองมิเกลตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะไปสะดุดกับผ้าเช็ดหน้าสีทองที่ขอบข้างทอลายลูกไม้ แค่เห็นผ่าน ๆ ก็พอจินตนาการถึงเจ้าของได้ไม่ยาก

    “เอามานี่”

    และนาวาก็แย่งจากมือมิเกลมาตรวจสอบดู กลิ่นหอมอ่อน เนื้อผิวลื่นราวกับถักขึ้นจากไหมราคาแพง นี่ต้องเป็นของใครสักคนที่ทำงานอยู่ในราชวัง ถึงได้มีเงินซื้อผ้าเช็ดหน้าราคาเป็นสิบกะรัตแบบนี้

    “ก็ว่าทำไมต้องออกไปเอากลางดึก ใครให้มาเนี่ย!”

    “ฉันก็ไม่รู้ชื่อเขาเหมือนกัน แต่เขาเป็นบรรณารักษ์ห้องสมุดหลวง ฉันเจอเขาก่อนคาบที่แกเรียนกับชูก้าอะ”

    “หล่อไหม?”

    มันต้องเป็นคำถามนี้ จังหวะนี้ต้องเป็นคำถามนี้เท่านั้น

    “ก็ดี ไหล่กว้างดี”

    “แหมมมมม เขาให้ผ้าเช็ดหน้าแกเพราะอะไร ตามประเพณีน่ะเหรอ?”

    “ใช่ เขาเชียร์ฉัน”

    ยิ่งพูดก็ยิ่งเขิน มิเกลตัวบิดและพยายามเก็บอาการของตัวเอง แต่ก็ไม่สามารถหลบใบหน้าแดง ๆ และดวงตาวาวเป็นชุ่มเป็นฉ่ำนั้นได้

    “สุดยอด เเล้วจะได้เจอเขาอีกไหม!”

    “วันประลองน่าจะเจอนะ เขาน่าจะมาดู”

    “จะบอกว่าเขามาดูแกว่างั้น”

    “เปล่าซะหน่อย ง่วงละ ฉันกลับห้องก่อนน้า”

    มิเกลหมุนตัวพร้อมฉวยผ้าเช็ดหน้าคืน เธอกระโดดดึ๋ง ๆ และวิ่งขึ้นชั้นบนไป นาวาทำเพียงอมยิ้มไม่พูดอะไรต่อ จ้องมองเพื่อนสาวที่นาน ๆ ครั้งจะแสดงกิริยากระดากอายออกหน้าออกตา สงสัยไม่หายว่าใครกันที่ไปสะดุดตามิเกลเข้า ดูจากท่าทีแล้วต้องไม่ใช่คนธรรมดา

     

     

    สองวันผ่านไปอย่างน่าตกใจ มิเกลฝึกซ้อมทุกวันแต่ก็โดนมินทร์อัดจนน่วม ในทีแรกเธอคิดว่าง่ายแต่กลับยากและหนักข้อ ยิ่งมิเกลเก่งขึ้นมากเท่าไหร่มินทร์ก็จะยิ่งนำหน้าเธอไปอีกขั้น ราวกับเขาคนนี้ไม่มีจุดสิ้นสุดของการต่อสู้

    ส่วนผู้ชายคนนั้นที่ชื่อเวนมัท มิเกลปิดเรื่องเงียบและไม่คิดที่จะบอกใคร เหตุผลคงไม่อยากให้มันกลายเป็นเรื่องใหญ่ หนำซ้ำยังไม่ได้ข่าวจากวงในว่าเกิดอะไรกับเจ้าชายซัน เขาคงเข้ามาหาสิ่งสำคัญอย่างว่าจริง ๆ

    ค่ำคืนอันเงียบเหงา แม้อีกไม่นานปราสาทก็จะปิดแต่สามเพื่อนสนิทยังคงนั่งแลกเปลี่ยนบทสนทนาเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนหลับ หากตื่นขึ้นจากนิทราของเช้าวันพรุ่งนี้มิเกลจะต้องพบกับโลกแห่งความเป็นจริงที่จะเปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดกาล อำนาจของพลังที่ถูกนวดคลึงอย่างเบามือ มันจะเอ็นดูเด็กน้อยคนนี้ และบรรเลงทำนองอ่อนหวานให้กับผู้คนได้รู้อย่างทั่วกัน

    “เวลาผ่านไปโคตรเร็วเลยเนอะ พรุ่งนี้ก็ถึงเวลาตายของมิเกลละ ฮ่า ๆ” มินทร์พูดติดตลกพลางยกดื่มน้ำชาในแก้วจนหมด

    “ไม่ตายหรอกน่า เท่าที่ซ้อมมาฉันเก่งอยู่นะ” มิเกลตอบ

    “เก่งมาก เห็นมินทร์ล้มได้ตลอดอะ”

    มิเกลตวัดสายตามองนาวาที่ระอากับความอวยตัวเองของเธอ ถึงมินทร์จะสามารถล้มได้ตลอดแต่มิเกลก็มีวิธีเอาตัวรอดที่คนอื่น ๆ คงคิดไม่ถึง การวิ่งหนีและเบี่ยงหนี อย่างน้อยถ้าการประลองกินเวลามากเกินไป มิเกลอาจจะได้เปรียบเรื่องการทำคะแนน

    หลังจากนั่งโม้กันไม่นานศาสตราจารย์เพอร์มัวล่าก็ไล่ให้ทั้งสามขึ้นนอน คืนที่ม่านราตรีเหน็บหนาว เสียงแมลงกลางคืนและวงจันทร์อร่ามตาดูเปลี่ยวซึม แสงสว่างของดวงดาวในวันนี้หรี่ริบ เปลวไสวของมันกำลังต่อสู้กับน้ำแข็งอากาศ มิเกลเข้านอนพร้อมด้วยนามัสคนอื่น ๆ แววตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองเธอผ่านทางหน้าต่าง

    เวนมัท..

    เขาคือเวนมัท

     

     

     

     

    SUNDAY

    06:02 AM

    ตึง! ตึง! ตึง!

    “มิเกลตื่น! มิเกล!”

    เสียงกลองขนาดใหญ่ดังเป็นกังวาน คนตัวเล็กที่กำลังวุ่นวายอยู่ในความฝันไร้สาระสะดุ้งโหยงเพราะเสียงตะโกนของโอเล็ท มิเกลหรี่ดวงตามองคนเพื่อนที่ชะโงกมองทางหน้าต่างในเวลาที่พระอาทิตย์ยังพยายามปีนขึ้นขอบฟ้า เธอดูตระหนก เรียวขาก้าวเข้ามาเขย่าคนตัวเล็กอีกครั้งจนมิเกลรู้สึกหงุดหงิด

    “อะไรของเธอเนี่ย เกิดอะไรขึ้น” มิเกลพูดอย่างเมาขี้ตา

    “อากาเธียร์เปิดประตูแล้ว เธอต้องไปเตรียมตัวแล้วนะ” มิเกลหูผึ่ง ใบหน้าสนใจใคร่รู้ เธอชันตัวขึ้นและรีบเข้าห้องน้ำไป

    “เร็วเลยมิเกล เดี๋ยวเทียเมอร์หกจะมาตามเธอแล้ว”

    โอเล็ทขอให้มิเกลเร่งมือ วีรัสทั้งสี่คนจะได้พี่เลี้ยงคือเทียเมอร์ทั้งสี่ท่าน ชูก้ารับผิดชอบมาลอน เจโฮปรับผิดชอบกิรัน เวนดี้รับผิดชอบอานา และเจเคที่ได้รับหน้าที่พิเศษดูแลมิเกล เทียเมอร์ทั้งสี่จะเป็นคนเตรียมพร้อมให้กับผู้เข้าแข่งขัน และแนะนำรวมไปถึงดูแลก่อนการประลอง

    “เทียเมอร์หก? คุณเจเคน่ะเหรอ”

    “ใช่ รีบ ๆ เลย”

    06:30 AM

    ก๊อก ก๊อก!

    หลังจากล้างหน้าแปรงฟันโอเล็ทก็บอกให้มิเกลสวมชุดลำลองธรรมดาไปก่อนเพราะยังต้องไปเปลี่ยนเป็นเครื่องแบบการประลองที่ห้องเก็บตัว เพียงไม่นานห้องก็ถูกเคาะด้วยเทียเมอร์ผู้ดูแล มิเกลเปิดประตูต้อนรับเจเคที่เดินเข้ามาภายในห้อง เขาจับแขนของเธอเอาไว้ก่อนจะดีดเรียวนิ้วและหายไปจากตรงนั้น

    มิเกลและเจเคข้ามหมอกจาง ๆ มายังห้องประชุมที่มีกิรัน อานา และมาลอนรออยู่ เทียเมอร์ผู้ดูแลของพวกเขายืนอยู่ด้านหลัง ใบหน้าคร่ำเคร่งหันขวับมามองหญิงสาวที่ยิ้มเจื่อน มิเกลทิ้งตัวนั่งข้าง ๆ หุบขา หุบเข่า เม้มริมฝีปากด้วยความเกรง

    “วันนี้พร้อมนะ ฉันจะเป็นพี่เลี้ยงเธอ มีอะไรถามได้ ถ้าไม่ไหวก็บอก”

    “ค่ะ”

    เจเคโน้มตัวลงมากระซิบมิเกลข้างใบหูจากด้านหลัง มิเกลพยักศีรษะเบา ๆ พร้อมส่งยิ้มให้กับเขา เพียงไม่นาน ศาสตราจารย์เซนต์ฮาร์ฟก็เข้ามาพร้อมด้วยศาสตราจารย์เดียร์และอาร์เอ็ม

    “เวลาผ่านไปเร็วจริง ๆ เมื่อครู่อาร์เอ็มได้จับฉลากแล้วเรียบร้อย มาลอนเจอกับอานา และกิรันเจอกับมิเกล เริ่มการประลองแปดนาฬิกา เชิญทุกคนไปเตรียมตัว”

    มิเกลหันมองกิรันอัตโนมัติ เขานิ่งและดูท่าจะวางมาดพอสมควร สิ้นจากคำของศาสตราจารย์เซนต์ฮาร์ฟชูก้าก็พามาลอนออกไป พร้อมด้วยเวนดี้ที่ให้อะไรบางอย่างกับอานา และเจโฮปที่แยกตัวเจรจากับกิรัน

    เพียงครู่เดียว เจเคก็ใช้พลังเทเลพอร์ตมายังโซนเก็บตัวที่แบ่งเป็นห้อง ๆ ให้กับนักประลองทั้งสี่คน ภายในจะเต็มไปด้วยเวทของพี่เลี้ยงที่ควบคุมและวอร์มร่างกายของผู้เข้าแข่งขัน มิเกลเปลี่ยนเครื่องแบบเป็นชุดสำหรับการประลองโดยเฉพาะ เสื้อและกางเกงรัดรูปสีดำ ทั้งส่วนแขนและขายาวปิดคลุมทุกส่วน เป็นเพราะการประลองจะต้องเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ฉะนั้นเครื่องแต่งกายจึงต้องไม่มีส่วนไหนเป็นอุปสรรค

     

     

    ตึง! ตึง! ตึง!

    ราษฎรเริ่มหลั่งไหลเข้าสู่อากาเธียร์ ทั้งลุงป้าน้าอาลูกเด็กเล็กแดง ทหารของอาณาจักรยืนต้อนรับพร้อมจัดระเบียบให้กับทุกคน เป็นอีกวันที่อากาเธียร์ดูเอิกเกริก เสียงกลองยังคงรำพันอื้ออึง สองข้างทางไม่ว่าซ้ายหรือขวาคือผ้าไหมถูกจับกลีบประดับสวยงาม ไม่ต่างจากภายในสนามที่ผูกธงแต่งสีสัน ด้วยความที่ด้านนอกมีหาบเร่ขายขนมและอาหาร กลุ่มเพื่อนทั้งนาวา มินทร์ ฮาร์ทและลีออยจึงนัดกันมาที่นี่ หาอะไรรองท้องพลางรอมาครอสและโมเดียที่กำลังมาถึงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า

    “เดี๋ยวฉันจะเอาขนมไปให้มิเกลนะ ถ้าพ่อกับแม่มาก็พาพวกท่านไปนั่งก็แล้วกัน”

    “อืม ได้ ๆ”

    มินทร์เอ่ยบอกกับกลุ่มเพื่อน เขาจะไปดูมิเกลที่ห้องเตรียมตัวเสียหน่อย เห็นว่าเจเคเรียกตัวไปตั้งแต่เช้าคงยังไม่ได้ทานอะไร

     

     

    ไม่ว่าจะผ่านไปกี่วันซันก็ยังคงจำใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นได้ อานา คือชื่อที่ซันคิดว่าใช่เธอ เขาตื่นขึ้นมาเลือกเครื่องแต่งกายและรอพร้อมสำหรับการเป็นแขกคนสำคัญในวันนี้ เขาคือผู้เปิดพิธีรวมไปถึงสักขีพยาน เป็นครั้งแรกของการประลองที่ซันรู้สึกกระสับกระส่าย แค่รู้ว่าจะได้เจอเธอมือไม้ก็สั่นไปหมด

    สำหรับการเดินทางเซลรันและซันจะใช้หมากประตูของวีเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ฉะนั้นทั้งสองจึงมีช่วงให้รับประทานอาหารเช้าโดยไม่จำเป็นต้องรีบร้อน เป็นอีกครั้งในรอบเดือนที่ซันได้ร่วมโต๊ะกับพ่อของตัวเอง เซลรันกำลังป่วยหนัก อาร์เอ็มบอกว่าไม่สามารถยื้อเวลาให้ห่างออกไปได้หากมันมาถึง นี่จึงเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้ออกจากปราสาทชมประเพณีที่สืบทอดกันมาของพาราบิเตีย

    “ซัน..”

    และน้ำเสียงแหบแห้งของชายตรงหน้าก็ดังขึ้น ซันเงยใบหน้ามองผู้เป็นพ่อที่ยังไม่ยอมทานอะไร

    “ครับ”

    “พ่อว่าวันนี้พ่อคงไม่ไหว อาจจะไปกับลูกไม่ได้”

     เมื่อวานเซลรันรับปาก แต่ในวันนี้อาการเจ็บหน้าอกกำเริบอีกครั้ง ซันคงจะต้องไปดูการประลองเพียงลำพัง

    “ไม่เป็นไรครับ ท่านพ่อพักผ่อนเถอะ”

    “ถ้าอย่างนั้นพ่อจะให้ไวท์ไปด้วย ได้ยินเรื่องกบฏคนหนึ่ง อาเขาจะได้ช่วยลูกได้”

    ซันตวัดสายตาขึ้นมองไวท์โดยอัตโนมัติ คุณอาที่ไม่ค่อยถูกต้องพ้องชะตา ไวท์ เวฮาร์ทหรือพ่อของโอเล็ท เขาคือน้องชายคนเดียวของเซลรันและที่ปรึกษาที่ดีที่สุดขององค์ราชา ซันเองก็ยังต้องอยู่ในโอวาทของไวท์ เขาจะกลายเป็นองคมนตรีพิเศษให้กับซันในวันข้างหน้าหากเซลรันสวรรคต

    “แต่เธอได้รับการยืนยันแล้วว่าไม่ใช่กบฏ ไม่จำเป็นรบกวน9hv'คุณอาหรอกครับ” 

    ซันอธิบาย เขาไม่เป็นตัวเองสักเท่าไหร่หากต้องอยู่ในสายตาของไวท์ หนำซ้ำกบฏคนนั้นก็ได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นวีรัส

    “ซัน ไม่ใช่แค่เด็กคนนั้นแต่ยังรวมไปถึงคนอื่น ๆ ด้วย วันนี้ประตูเปิด เราไม่รู้เลยว่าใครจะเข้ามาในอากาเธียร์บ้าง”

    ใช่.. และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมอากาเธียร์ถึงมีช่วงเวลาในการเปิดปิดประตูเมือง เพราะคนรอบข้างของพวกเขามีโอกาสมาจากอัสโมดายได้ทุกเมื่อ และยิ่งเป็นวันนี้ วันที่มีรัชทายาทและเจ้าปกครองเข้าร่วมชมพิธี มันยิ่งเสี่ยงอันตราย

    “ก็ได้ครับ”

     

     

    ก๊อก ก๊อก!

    เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆ มินทร์แง้มตามองมิเกลที่กำลังอยู่ในสมาธิ ข้าง ๆ ในโหลแก้วใบใสคือส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณ ซึ่งอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าอาร์เอ็มจะมารับมันไป

    มีขั้นตอนหลายขั้นก่อนการแข่งขันจะเริ่มต้นขึ้น เทียเมอร์พี่เลี้ยงมีสิทธิ์ทำอย่างไรก็ได้ให้วีรัสในปกครองของตัวเองชนะ ซึ่งเจเคเลือกที่จะใช้สมุนไพรวิเศษช่วยทำให้ร่างกายของมิเกลอดทนต่อการโจมตี เธอจะไม่ล้มหรือเสียหลักง่าย ฤทธิ์ของมันจะช่วยรักษาบาดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ และเพิ่มกำลังวังชา

    “มาหาน้องเหรอ?”

    เจเคทักมินทร์ที่เดินเข้ามาภายใน เขาทำเพียงพยักศีรษะก่อนที่มิเกลจะลืมตาขึ้นและก้าวออกจากเวทสีแดงของเจเค

    “ฉันก็นึกว่านายจะไม่มาซะอีก” เธอตรงเข้ามาหาคนพี่ในทันที

    “มาสิ วันนี้ทำให้เต็มที่นะ พ่อกับแม่ก็มาดู ฉันเชื่อว่าเธอทำได้”

    มินทร์ใช้เรียวนิ้วเกลี่ยไรผมของคนน้องให้พ้นปรกหน้า ไม่อยากเชื่อว่าวันนี้จะมาถึง มินทร์นอนไม่หลับทั้งคืนเพราะมัวแต่เป็นพะวง มิเกลจะทำได้ไหม จะเจ็บหรือเปล่า เขาเป็นห่วงน้องสาวคนนี้ หากลงแข่งแทนมิเกลได้มินทร์ก็จะทำ

    “เชื่อในตัวฉันหน่อยสิ” มิเกลเองก็ประหม่าอย่างบอกไม่ถูก พอได้เจอกับมินทร์แล้วรู้สึกดีขึ้นเยอะ

    “ฉันเชื่อในตัวเธอตลอดแหละ มากอดหน่อยมา”

    และมิเกลก็โผเข้ากอดมินทร์จมอก เธอกระชับอ้อมแขนแน่น ๆ มินทร์ลูบเรือนผมพร้อมตบบ่ามิเกลเบา ๆ เขาภาวนาเพียงว่าวันนี้จะเป็นไปได้ด้วยดี

    “ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวผมจะดูแลน้องคุณเอง”

    เจเคเอ่ยบอกให้มินทร์เบาใจ

    “รบกวนด้วยนะครับ นี่ขนมที่ชอบ กินซะจะได้มีแรง” มินทร์เอ่ยรบกวนก่อนจะยื่นให้ขนมให้กับมิเกล

    “อืม”

    “งั้นผมขอตัวนะครับ”

    และเขาก็เดินออกจากห้องไป

     

     

    08:00 AM

    “และก็ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอย ยินดีต้อนรับเข้าสู่การประลองรอบแรกของปี ในวันนี้เราได้รับเกียรติจากเจ้าชายซันในการเปิดพิธี ขอให้ทุกคนยืนขึ้นด้วยครับ”

    เมื่อถึงเวลาอันเป็นมงคล ราษฎรทุกหมู่เหล่าก็ยืนขึ้นเป็นการต้อนรับเจ้าชายซันที่เดินผ่านหมากประตูของวีออกมา หินแกร่งที่ประทับลายมือปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ซันกวาดสายตามองทั่วทั้งสนาม ผู้คนต่างเงียบและส่งรอยยิ้มกลับมา ก่อนที่เขาจะกล่าววาจาน่าฟังสักเล็กน้อย

    “เป็นอีกครั้งที่ผมได้มายืนตรงจุดนี้ รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกที่ประเพณีของเรายังคงสืบต่อกันมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด”

    “การประลอง คือการวัดความสามารถของวีรัสฝึกหัดและถวายจิตวิญญาณอีกครึ่งให้กับกาเวม ผมหวังว่าทั้งสี่จะทำมันออกมาได้ดี และภาคภูมิในผลที่ได้รับ”

    “อย่าได้กดดันตัวเองว่าต้องทำมันให้ได้ สำหรับความพยายามของพวกคุณ ผมมองเห็นมันเสมอ”

    “ขอบคุณ และขอให้สนุกกับวันนี้ครับ”

    ว่าจบ ซันก็ทาบฝ่ามือลงบนโขดหิน มันขึ้นประกายสีน้ำเงินและแพร่อานุภาพไปทั่วสนามประลอง ผู้คนปรบมือ ส่งเสียงโห่ร้องก้องกำทวน การประลองได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว..

    ซันเดินเข้ามานั่งพร้อมไวท์ที่ประกบข้าง เทียเมอร์ทั้งอาร์เอ็ม วี และโรสนั่งอยู่เบื้องล่างเป็นกรรมการเก็บคะแนน อย่างที่เคยกล่าว หากการประลองกินเวลานาน เทียเมอร์ที่มีหน้าที่นอกเหนือจากการเป็นพี่เลี้ยงจะเป็นผู้ลงคะแนนเพื่อตัดสิน

    “เอาล่ะครับ เสร็จไปกับพิธีเปิดของเรา มาพบกับผม ไค เพเซีย นามัสชั้นปีที่สี่ครับ”

    “และฉันไอม์ พอทิส นามัสชั้นปีที่สามค่ะ”

    “วันนี้อากาศดีพอสมควรเลยนะครับ มาพบกับผู้เข้าแข่งขันของเราทั้งสี่กันเลยดีกว่า”

    ถึงเวลาที่ทั้งสี่จะต้องงปรากฏตัวเสียที มาลอน กิรัน อานา และมิเกลยืนประจำอยู่ทั้งสี่ทิศ รอประกาศชื่อและก้าวออกไป

    “มิเกลอยู่ไหนอะมินทร์”

    โมเดียเอ่ยถามลูกชายของตัวเองที่นั่งข้าง ๆ  มินทร์พามาครอสและโมเดียมานั่งด้านหน้าสุด สามารถเห็นผู้เข้าแข่งขันได้ชัดเจน

    “ตรงนั้นแม่ เดี๋ยวน้องจะเดินออกมา” มินทร์ชี้นิ้วให้ดู

    “มิเกลจะไม่เจ็บใช่ไหม แม่กลัวมิเกลเป็นอะไรไป” โมเดียเป็นพะวง เธอกลัวว่ามิเกลจะสู้ไม่ได้

    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะน้า มิเกลเก่งมาก พวกหนูเชื่อว่ามิเกลต้องชนะ” 

    นาวาเอ่ยตอบ กลุ่มเพื่อนของมิเกลอยู่กับเธอแทบจะตลอดเวลา ฉะนั้นจึงรู้ดีว่าพัฒนาการของมิเกลไปถึงไหน

    ตัดมาทางด้านของซัน ตอนนี้เขาเองก็ตื่นเต้นจนนั่งไม่ติดเก้าอี้ หนำซ้ำยังเป็นกังวลเล็ก ๆ ว่าเธอจะรู้สึกอย่างไรหากทราบว่าแท้จริงเขาไม่ใช่บรรณารักษ์อย่างที่เคยกล่าว

    “คนแรกของเรา คุณ มาลอน แบนริน่า วีรัสการสังหารชั้นปีที่สาม”

    “วู้ววว!!”

    “เย่!!!”

    เสียงตะโกนดังกระหึ่ม มาลอนเดินออกมาตรงกลางสนามพลางโค้งศีรษะทำความเคารพเจ้าชายซัน

    “คนที่สอง คุณ กิรัน พลีดิลอย วีรัสการควบคุมชั้นปีที่สอง”

    ตามด้วยกิรัน ที่เสียงเชียร์นั้นไม่แพ้กันเลย

    “คนที่สาม คุณ อานา ฮาร์ปีรัส วีรัสการเวลาชั้นปีที่สอง”

    เมื่อชื่อนี้ดังขึ้นซันก็จับตามองหวังว่าจะเป็นหญิงสาวที่ตนต้องการเจอ แต่เมื่อเธอเดินออกมา ทุกอย่างกลับไม่ใช่อย่างที่คิด

    “นี่ไม่ใช่เธอ”

    อานาไม่ใช่เธอ ถ้าอย่างนั้น..

    “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็น...”

    “และคนสุดท้าย มิเกล พลีดิลอย วีรัสชั้นปีที่หนึ่ง”

    “เธอคือมิเกล..”

    ซันพูดออกมาเบา ๆ หญิงสาวคนนั้น หญิงสาวที่เป็นกบฏคนนั้น..

    “นั่นเขา”

    มิเกลเดินออกไปตรงกลางพร้อมเงยใบหน้าขึ้นมองเจ้าชายซันเพื่อทำความเคารพ แต่นั่นกลับทำให้ร่างกายนิ่งงันเมื่อชายหนุ่มที่บอกว่าตัวเองเป็นบรรณารักษ์แท้จริงคือกษัตริย์คนต่อไปของพาราบิเตีย..

    มีเพียงเสียงปรบมือจากกลุ่มเพื่อนและครอบครัวของมิเกล แน่นอน ถึงจะมีการยืนยันแล้วแต่เธอก็ยังเป็นจุดต่ำสุดของพาราบิเตียอยู่ดี

    “ซึ่งการแข่งขันครั้งนี้ คุณมาลอนเจอกับคุณอานา และคุณกิรันเจอกับคุณมิเกล คู่แรกของเราจะเริ่มต้น เชิญคุณกิรันและคุณมิเกลประจำที่ค่ะ”

    มาลอนกับอานาแยกตัวออกไปทิ้งไว้เพียงมิเกลและกิรัน สนามกว้างรูปวงรี ปลายโค้งถูกทาด้วยสีแดงเป็นวงกลม ทั้งสองแยกกันยืนประจำที่ ควันสีขาวจาง ๆ ปรากฏขึ้นพร้อมลมเย็น ๆ มันกำลังเริ่มต้นขึ้น และจะเริ่มต้นขึ้นด้วยดี

    มิเกลนิ่งงัน มุ่งมองกิรันที่สร้างเวทขึ้นจากปลายนิ้วของตัวเอง อาวุธประจำกายอย่างทวนเขี้ยวพยัคฆ์ลอดตัวผ่านแผ่นหลังปรากฏยังฝ่ามือหนา เขากำมันเอาไว้แน่นพลางกระตุกรอยยิ้มเย้ยหยัน กิรันมั่นใจมากว่าต้องชนะมิเกล ซึ่งแน่นอนว่าเธอจะไม่ให้ในสิ่งที่เขาต้องการ

    “หากพร้อมแล้ว..”

    มิเกลใช้ผืนปีกต้านลมพร้อมลอยเด่นขึ้น กระแสแสงหล่อตัวเคลื่อนผ่านแขนทั้งสองข้าง มือเล็กกำโซ่กระดูกเอาไว้แน่น

    “การแข่งขัน เริ่มต้น ณ บัดนี้!”

    เตร่!!!

    ทวนยาวพุ่งตัวเข้าหามิเกลทันทีเมื่อสิ้นเสียง มิเกลมองตามพลางขยับตัวหนี เธอกระพือผืนปีกขึ้น ตีตัวออกห่างและใช้ภาพลวงตาสร้างกำแพงขนาดใหญ่ขึ้นมา

    กิรันจะเป็นเพียงคนเดียวที่มองเห็น เขาเสียหลักและมุ่งมองอิฐมหาศาลที่ก่อตัวขึ้นเบื้องหน้า ดวงตาคมพยายามมองหาหญิงสาวที่เคลื่อนตัวมาอยู่ด้านหลัง

    “เอาล่ะครับ ตอนนี้คุณกิรันนิ่งไปเลย ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น” ไครายงานสถานการณ์ ซึ่งนั่นทำให้กิรันรู้ทันทีว่านี่เป็นเพียงภาพลวงตา

    “นี่ไม่ใช่ของจริง”

    กิรันพึมพำก่อนจะหันหลังเพราะสัมผัสได้ถึงเสียงโลหะเคลื่อนขยับ โซ่กระดูกกรวดตัวเข้าหาเขาแต่กิรันก็รู้ทันและเบี่ยงตัวหนี น่าเสียดายที่ปลายแหลมของมันเฉือนใบหน้าของเขาเพียงเล็กน้อย

    “กล้าทำฉันงั้นเหรอ..”

    กิรันใช้ทวนยาวตัดโซ่ของมิเกลและกรูเกรียวเข้าหาพร้อมใช้พลังควบคุม แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้นเมื่อมิเกลพยายามเลี่ยงและใช้การโจมตีจากระยะไกล โซ่กระดูกยาวหลายไมล์ปัดกิรันกระเด็นหลายต่อหลายครั้ง ไหนจะส่วนปลายที่แหลมคมสร้างบาดแผลให้กับเขาพอสมควร เป็นเพราะกิรันประมาทและเชื่อในปากต่อปากเรื่องความสามารถของเธอ ทำให้เขาไม่ได้เตรียมตัวให้ดีกว่านี้

    “ตอนนี้กิรันเสียท่าให้กับมิเกลตลอดเลยนะครับ เกิดอะไรขึ้นครับเนี่ย”

     

    “ทำไมกิรันดูอ่อนหัดแบบนั้นล่ะ”

    โรสกระซิบถามวีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กิรันไม่สามารถเอาชนะมิเกลได้เลย เห็นแบบนี้เธอเคลื่อนไหวเร็วและมีแรงค่อนข้างมาก หากเป็นเพราะสมุนไพรของเจเคก็คงไม่ใช่

    “ใช่ ดูอ่อนหัดมาก”

    โรสหันขวับมองวีที่คิดเหมือนกัน

    “ทำไมล่ะ คนที่ควรอ่อนหัดแบบนั้นควรเป็นมิเกลสิ”

    โรสตั้งคำถามขึ้นมาอีกครั้ง

    “กิรันไม่ได้อ่อนหัดหรอก..”

    “ฮึ? เจ้ามหายความว่าไง” โรสขมวดคิ้ว

    “มิเกลแค่เหนือกว่า”

    และเป็นอาร์เอ็มที่ตอบคำถามนั้น..

     

    “ไอ้กบฏ! ตายห่าไปสักทีสิวะ!”

    แต่ในขณะนั้น 

    เสียงตะโกนกล่าวว่าของกลุ่มคนดังขึ้น มิเกลหันขวับมองและพลั้งมือจากกิรัน เป็นวินาทีที่ทำให้เขาเข้าประชิดและใช้พลังควบคุมคนตรงหน้าซะ

    “ไม่นะ”

    มินทร์อุทานอย่างใจหาย ไม่ต่างจากวีและซันที่ลุกพรวด

    ร่างกายมันเกร็งไปหมด ดวงตาของมิเกลขุ่นมัว เธอนิ่งไป เสียสติและไม่สามารถกำกับร่างกายได้ ถึงเวลาที่กิรันจะเอาคืน และเอาคืนอย่างสาสม

    ฉึก!

    พลัก!

    กิรันใช้พลังกระแทกตัวของมิเกลแรง ๆ แต่ไม่ให้ออกจากรัศมี เขาพรมมัดลงบนใบหน้าของมิเกลจนเธอลงไปนอนกับพื้น ก่อนจะง้างทวนยาวและลงมือ

    “ตายซะ..”

    ฉึก!!!

    “มิเกล!!”

    มินทร์เบิกตากว้าง มาครอสและโมเดียลุกขึ้นมองพร้อมร่างกายที่สั่นไปหมด ซันเดินลงจากบัลลังก์มุ่งมองคนตัวเล็กที่ถูกปลิดชีพด้วยทวนด้ามยาว กิรันลุกขึ้นและเคลื่อนตัวออกห่าง หากนับ 1 ถึง 10 แล้วมิเกลยังไม่ลุก นั่นถือว่าเธอแพ้ในทันที

    “เอาล่ะครับคุณมิเกลล้มไปแล้ว นับหนึ่ง”

    “ไม่นะมิเกล มันต้องไม่ใช่แบบนี้”

    มินทร์รีบวิ่งเข้ามาอีกฝั่งหนึ่งของสนาม เขาก้มตัวลงและพยายามใช้เสียงปลุกมิเกลให้ตื่น

    “มิเกล!!! เธอจะตายไม่ได้นะ!!”

    “สอง สาม สี่..”

    “เธอแพ้เหรอเนี่ย”  ซันพูดออกมาเบาๆ หัวใจของเขาเต้นช้าลง

    “ห้า..”

    “ลุกสิมิเกล” นาวาพึมพำ เธอสวดภาวนาต่อกาเวมไปพลาง

    “หก..”

    “ลุกสิมิเกล เธอต้องทำได้..” เจเคเองก็ลุ้นจนตัวโก่งอยู่ข้างสนาม

    “เจ็ด..”

    “แปด..”

    “เก้า..”

    “เดี๋ยวนะ”

    ลีออยสะกิดนาวาที่กระพุ่มมือร้องขอให้ฟ้าเห็นใจ มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับมิเกล..

    “โอ้ไม่..”

    เธอลุกขึ้นมา

    “มิเกล..”

    มินทร์ยิ้มแก้มแตกเมื่อมิเกลค่อย ๆ ชันตัวเองขึ้น แผลของเธอปรากฏประกายบางอย่าง มันตีตัวเป็นวงน้ำกระจายออก ค่อย ๆ รักษาบาดแผลทั้งใบหน้า ลำตัว และรอยแทงจากทวน แน่นอนว่ากิรันเดินห่างออกไปมากแล้ว ทำให้เขาไม่สามารถควบคุมมิเกลได้อีก

    “วีรัสการรักษา"

    “ฮะ? วีรัสการรักษางั้นเหรอ?”

    “หมายความอะไรวีรัสการรักษา”

    โรสกล่าวขึ้น ผู้คนโดยรอบบริเวณต่างเอ่ยอย่างฉงนพลางพุ่งสายตามาทางมิเกลแต่เพียงผู้เดียว

     "เธอเป็นวีรัสการรักษา มิเกลเป็นวีรัสการรักษา!!”


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×