ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SVEN] ♕ PHARABITIA :: BLOOD OF HATE #1 ♕ พาราบิเตีย :: โลหิตชังชาด #จักรวาลอมาล่า

    ลำดับตอนที่ #11 : ♕ PHARABITIA ♕ :: 9 ::

    • อัปเดตล่าสุด 3 ส.ค. 67


     

    9

     

    “เตรียม”

    “พร้อม”

    “จู่โจม”

    พรึบ!

    ไม่ทันได้ตั้งตัว มิเกลร่ายโซ่กระดูกขึ้นปัดคมดาบที่กรวดตัวเข้ามา ชูก้าโจมตีอีกครั้งด้วยการรัวจังหวะดาบเป็นฉาก ๆ เธอหอบเอาอากาศเข้าปอด พยายามตวัดอาวุธตรงหน้าแต่ก็ต้องพลาดท่าเพราะความเร็วที่อยู่เหนือเธอทุกอย่าง

    “พอก่อนค่ะพอก่อน!”

    มิเกลกระโดดออกห่างเมื่อไม่สามารถสู้ได้ เธอร้องห้ามด้วยมือทั้งสองข้างก่อนที่ชูก้าจะผ่อนแรงลง

    “มันคือการโจมตีโดยไม่เว้นระยะให้ศัตรูโจมตีกลับ หากพวกคุณเร็วพอฝ่ายตรงข้ามจะไม่สามารถรับคมดาบได้ทั้งหมด ”

     อยากสบถออกมาดัง ๆ กับความเท่ระเบิดของคนตรงหน้า เมื่อครู่คือหนึ่งในกระบวนท่าที่นามัสต้องทำให้ได้ในเทอมแรก มิเกลร้องอ๋อก่อนจะลองปรับท่วงทีให้เข้ากับโซกระดูกของตนเอง แน่นอนว่ามันไม่ค่อยเข้าท่า การเรียนการสอนของนามัสและวีรัสต่างกันออกไป ในคาบเรียนของมิเกลเธอจะได้ใช้กระบวนท่าที่เหมาะกับอาวุธของตนเอง

    “อีกรอบ เตรียม”

    “เดี๋ยวก่อนค่ะ ขอหายใจเข้าออกก่อน”

    ถึงจะเป็นคำขอที่โคตรไร้ประโยชน์แต่ชูก้าก็ยอม ถ้าในสงครามจริง ๆ ไม่มีใครมานั่งให้โอกาสหายใจหรอกนะ

    “พร้อมแล้วค่ะ” มิเกลเอ่ยบอก

    “เตรียม”

    “พร้อม”

    “จู่โจม”

    หนักแน่น เขาลงดาบอย่างหนักแน่นเพื่อตัดเส้นโลหะของมิเกลให้ขาดสะบั้น เธอถอยหนีก่อนจะใช้โซ่อีกปีกรัดพันธนาการของดาบชูก้าเอาไว้ แต่แล้วก็ต้องจุกไปตาม ๆ กันเมื่อสิ่งที่เขาทำคือการถีบท้องน้อยของมิเกลแรง ๆ

    “มิเกล!”

    มินทร์ตะโกนขึ้นเมื่อเห็นว่าสีหน้าของมิเกลเริ่มอมเขียว เธอพยายามพยุงร่างขึ้นก่อนจะตั้งท่ารับการโจมตีอีกครั้ง

    “ไม่เป็นไร ฉันยังไหว”

    “อีกรอบ”

    “อ๊า!!”

    “หลบ!!”

    “อ๊า!!”

    หากให้เดานี่ไม่ใช่การสาธิตที่มิเกลเข้าใจ ถ้าเธอตั้งรับไม่ทันชูก้าจะเอ่ยขึ้นมาเสียงดัง ๆ ให้มิเกลรู้ตัว เธอเอาแต่ถอยหลังและเบี่ยงตัวหลบ ไม่แม้แต่จะใช้อาวุธของตัวเองจู่โจมกลับทั้งที่มีจังหวะมากมาย

    “พอก่อน!!!”

    “ก้าวขาดี ๆ !”

    “พอแล้ว ๆ อร้าย!”

    “มิเกล!!”

    จบกัน..

    เธอสะดุดขาของตัวเอง สะดุดขั้นที่ว่าทั้งตัวล้มหลังทิ่มพื้น อยู่ ๆ ก็รู้สึกเจ็บและปวด ศีรษะของเธอกระแทกก้อนหิน ภาพตรงหน้าเริ่มเลือนลาง เปลือกตาหนัก ๆ ปิดลงในที่สุด 

    “พาเธอไปห้องพยาบาล”

    ทุกคาบเรียนของชูก้าที่จะต้องมีนักเรียนประสบอุบัติเหตุเสมอ มินทร์ ฮาร์ท และลีออยรีบเข้ามาแบกร่างของมิเกลไปปราสาทการรักษาในทันที อยู่ ๆ คำพูดของเจโฮปก็ทวนเข้ามา เขาขอให้ชูก้าจับตาดูมิเกลเอาไว้ และนั่นคือสาเหตุที่เขาเรียกมิเกลเป็นคู่สาธิต

     เจโฮปคงคิดไปเอง

    สิ่งที่ชูก้าได้จากมิเกลไม่มีอะไรน่าสงสัยนอกจากความเงอะงะและปวกเปียก

    “คาบวิชาการต่อสู้มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นกัน อย่างที่พวกคุณเห็น ความตายอยู่ใกล้พวกคุณกว่าที่คิด”

    "ถ้าตั้งใจได้ก็ตั้งใจ เพราะเทียเมอร์เองก็ยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งของเกียร์น่า"

    ชูก้าทิ้งท้ายให้กับนามัสในชั้นเรียนของตนแค่นั้น

     

     

     

     

     

    “อื้อ..”

    รู้สึกชาที่ฝ่ามือ มันร้อนและชุ่มไปด้วยเหงื่อ ลมเย็นจากนอกปราสาทกำลังทำให้มิเกลตื่น เปลือกตาของเธอเปิดขึ้นช้า ๆ แอบสะดุ้งเล็กน้อยกับใบหน้าที่กำลังล้อมเป็นวงอยู่รอบเตียง มิเกลหันซ้ายขวาเพื่อตรวจดูว่าที่นี่ที่ไหน และคำตอบก็มีเพียงหนึ่งเดียวจากชะตากรรมเมื่อครู่

    “ที่นี่.. ห้องพยาบาลเหรอ?”

    “ใช่ เป็นไงบ้าง”

    มินทร์ถาม มิเกลดันตัวขึ้นก่อนจะเลื่อนมือจับท้ายทอยที่รู้สึกปวด ดีที่ไม่มีเลือดไหลหรือเป็นอะไรไปมากกว่านี้ แน่นอนว่ามิเกลสามารถรักษาอาการเจ็บปวดนี้ได้ด้วยตัวเอง แต่ในครั้งนี้เวทของกาเวมกลับใช้การไม่ได้

    “เจ็บน่ะสิ โคตรปวด..”

    “ตื่นแล้วเหรอ?”

    มิเกลตอบมินทร์ไป แต่ก็ต้องชะงักกับเสียงของชูก้าที่ดังมาจากอีกฝั่งของเตียง

    “อ่าว ไม่ไปสอนเหรอคะ”

    “ฉันสอนเสร็จแล้ว”

    เขาพูด และก็เงียบไป

    “ขอโทษนะคะ ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่เป็นแบบนี้”

    มิเกลอมลมเอาไว้ที่แก้ม เธอก้มใบหน้าลงพลางใช้เรียวนิ้วเขี่ยผ้าห่มของตัวเอง เขาน่าจะเลือกมินทร์หรือใครก็ได้ที่ไม่ใช่เธอ ถ้าเป็นคนอื่นการสาธิตคงไม่สะดุด และนามัสในชั้นเรียนก็สามารถเรียนรู้การต่อสู้ได้มากกว่านี้

    “ที่ฉันให้เธอเป็นคู่สาธิตก็เพราะฉันคือผู้อำนวยและควบคุมการประลอง ฉันต้องรู้ว่าเธอเคลื่อนไหวยังไง ต่อสู้แบบไหน เวลาลงสนามเธอจะได้ไม่ต้องเสียเปรียบ”

    ชูก้าบอกเหตุผลว่าทำไมต้องเป็นเธอ ทั้งการเคลื่อนไหวและการโจมตีของวีรัสแต่ละคนไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ถ้าการประลองกินเวลานานพวกเขาจะจับเวลา คะแนนคือผู้ตัดสินไม่ใช่ความตาย และนั่นหมายความว่าการทราบถึงพื้นฐานการต่อสู้ของคนคนนั้น จะทำให้การเขียนคะแนนง่ายขึ้น

    “อ๋อ ขอบคุณมากเลยนะคะ” มิเกลส่งยิ้มกลับ รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเหตุผลของชูก้าเป็นเช่นนั้น

    “แต่เท่าที่ฉันดู ฉันว่าเธอไม่น่ารอด”

    “คะ?”

    “ฝีมือเธอตอนนี้ ได้เปรียบไปก็ไม่ชนะหรอก”

    อะไรกัน คำพูดรุนแรงแบบนี้กล้าเอ่ยมันออกมาได้ไง เขาควรให้กำลังใจเธอสิ ไม่เป็นไรนะ แค่นี้ก็เก่งแล้ว แต่คงลืมไปว่าชูก้าคือเทียเมอร์การสังหาร เขาเป็นอาจารย์มาแล้วไม่ต่ำกว่าร้อยปี มองแค่หางตาก็น่าจะรู้ว่ามิเกลน่ะ 

    ไม่ ได้ เรื่อง!

    “มันแย่ขนาดนั้นเหรอคะ” มิเกลเสียงสั่น 

    “ใช่ เธอควรไปคิดถึงวิธีตายยังไงให้ไม่น่าเกลียดจะดีกว่า”

    พรืด!

    ถึงกับขึงตาขมึงตึงมุ่งมอง มิเกลกัดฟันกรอดเมื่ออยู่ ๆ กลุ่มเพื่อนทั้งห้าก็หัวเราะพรืดออกมา ชูก้าลุกขึ้น เขาปั้นหน้าไร้วิญญาณออกจากห้องพยาบาลเพื่อกลับปราสาท ถ้าจะดูถูกกันขนาดนี้คงถึงเวลาที่มิเกลต้องเอาจริง

    แน่นอน มันเป็นการแสดง เธอทำเช่นนั้นก็เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามวางใจ การเตรียมตัวจะสั้นลง พวกเขาประมาทมากขึ้น ยิ่งถ้ามีปากต่อปากบอกว่าเธออ่อนหัด มันก็ยิ่งทำให้เธอได้เปรียบ

    มิเกลหลุดยิ้ม เธอมองแผ่นหลังของชูก้าที่ห่างออกไป ท่ามกลางเสียงหัวเราะจากมุกตลกปลอม ๆ ของชูก้า เขาได้หันกลับมามองเธออีกครั้ง และอย่างที่เคยว่ามา ชูก้าเหมือนใครบางคนที่มิเกลรู้จัก ใครคนนั้นที่สำคัญกับมิเกลมาก ๆ

     

     

    จะว่าความวุ่นวายเกิดขึ้นทุกครั้งที่มิเกลหายใจก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าจริง ร่างเล็กในชุดนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่นๆ เธอนอนเอาเป็นเอาตายเพราะทั้งอาทิตย์นี้แทบจะไม่มีเวลาได้พักผ่อน มันโกลาหลไปหมด ความคิดมากมายทั้งดีและไม่ดีกำลังทำให้มิเกลเครียด และเพราะความเครียดที่ติดต่อกันมาหลายวันทำให้วันนี้เธอฝันร้าย

    “วี..”

    ฝันถึงเขา.

    “วี..”

    มันเวียนเล่นซ้ำราวบทเพลง ภาพของชายที่ในมือคือธนูแก้ว ร่างสูงโปร่ง ผิวขาวราวหิมะ ริมฝีปากแดงของเขากล่าวคำออกมาไม่เป็นภาษา ฟังดูระคายหูไม่เป็นจังหวะ รอยเท้าที่สร้างตราบนเกล็ดน้ำแข็งหนาห่างออกไปเรื่อย ๆ หยดน้ำรินติดแผ่นแก้มพร้อมปล่อยโฮออกมากลางดึก

    “อย่าทำอะไรฉันเลย.. ”

    และเขาก็หันกลับมา..

    “อย่า.. ขอร้องล่ะ”

    “ฉันไม่ไปไหนหรอก..”

    แต่ในขณะนั้นเอง กลับมีสุ้มเสียงเบาบางดังขึ้นพร้อมลมหายใจร้อนที่กำลังรดไปตามใบหน้าของเธอ มิเกลขยับตัวพลางลืมเปลือกตาขึ้นช้า ๆ ก่อนจะพบเป็นชายหนุ่มที่กำลังนั่งจ้องไม่วางตาอยู่ตรงหน้า

    “คุณวี!”

    “ชู่ว! อย่าเสียงดัง”

     มิเกลไม่รู้ว่าควรทำตามที่เขาบอกหรือไม่ แต่ก็เงียบเสียงแต่โดยดี

    “คุณมาทำอะไรที่นี่” 

    มิเกลกระซิบถาม เธอเหลือบมองโอเล็ทที่นอนอยู่อีกฝั่งเล็กน้อย ร่างเล็กยังเงียบ ไม่มีทีท่าจะตื่นหรือละเมอ

    “ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน หมากประตูของฉันคงต้องการให้ฉันมาปลอบเธอมั้ง”

    มิเกลชันตัวขึ้นนั่งดี ๆ เช่นเดียวกับวีที่ทิ้งตัวลงข้าง ๆ  ไม่รู้ว่าเหตุผลอะไรที่หมากประตูปลุกวีขึ้นมากลางดึกแบบนี้ คงทนไม่ได้กับเสียงร้องไห้ของมิเกลล่ะมั้ง

    “ปลอบ? ปลอบอะไรคะ”

    “ก็เธอร้องไห้ ฝันร้ายเหรอ?”

    เขาถามด้วยเสียงนุ่ม จังหวะหวานหูไม่กระด้าง วีตื่นก็เพราะเสียงของมิเกล ไม่ใช่แค่ร้องไห้ แต่เธอเรียกชื่อของเขาขึ้นมาด้วย

    “ค่ะ ฉันฝันแบบนี้มาหลายวันแล้ว”

    “มีฉันอยู่ในนั้นด้วยเหรอ”

    มิเกลเลือกที่จะหันมองใบหน้าของวีที่กำลังสะท้อนแสงจากโคมนอกหน้าต่าง แปลกมากที่ทำไมถึงต้องฝันถึงเขา แม้ภาพในความทรงจำจะเลือนราง ขมุกขมัวไม่ชัดเจน แต่มิเกลก็มั่นใจว่านั่นคือวี คนตรงหน้านี้..

    “ค่ะ..”

    “ฝันว่าอะไร?”

    “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ช่างมันเถอะ”

    "..."

    “…”

    ทั้งสองเลือกที่ตะเงียบใส่กันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่วีจะเริ่มเล่าความฝันของตนเองบ้าง

    “มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ฉันฝันร้ายจนร้องไห้ออกมา คือความฝันที่ฉันจำเป็นต้องฆ่าเด็กคนหนึ่ง สายตาของเธอในตอนนั้น มันเหมือนเสียงที่เธอพูดเมื่อกี้.. อย่าทำอะไรฉันเลย..”

    “...”

    “แต่ตอนนี้เธอตายไปแล้ว”

    “คุณฆ่าเธอเพราะอะไร..”

    “...”

    “...”

    “... เธอเป็นกบฏ”

    “เด็กน่ะเหรอ?”

    “เหลือเชื่อใช่ไหมล่ะ นั่นทำให้ฉันต้องสร้างหมากประตูติดตัวกับเธอ เพื่อพิสูจน์ว่าเธอไม่ใช่อย่างที่ใครต่อใครกล่าวหา ฉันไม่อยากให้จุดจบขอเธอเป็นเหมือนเด็กคนนั้น ยิ่งฉันมองเธอฉันก็ยิ่งรู้สึกผิด”

    บทสนทนาดำเนินต่อไปช้า ๆ เงียบ ๆ และเรื่อย ๆ ไม่รู้ทำไมเวลาอยู่ใกล้มิเกลแล้วรู้สึกถึงพลังบวกมหาศาล อยู่ ๆ เธอก็ยิ้ม ตาหยีจนวีเผลอยิ้มตาม

    “อย่าว่าฉันเลยนะคะ ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันคงโกรธและเกลียดคุณมาก ถึงไม่รู้เหตุผลก็เถอะ”

    “ยังดีที่มันเป็นแค่ฝัน ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา คงจบไม่สวยเท่าไหร่ ฮ่า ๆ”

    มิเกลพูดติดตลก เธอไม่อยากให้สถานการณ์ตึงจนเกินไป ดูจากแววตาและน้ำเสียงของวีแล้ว เขาเองก็คงเจ็บปวด

    “นั่นสิ.. ยังดีที่มันเป็นแค่ฝัน”

    “อย่าเครียดเลยค่ะ ให้ฉันเครียดคนเดียวก็พอ”

    นานแล้วเหมือนกันที่วีเก็บตัวเงียบจากเรื่องนี้ แต่ในค่ำคืนที่ทุกอย่างดูมืดมิดไปหมด มิเกลกลับเป็นจุดสว่างเล็ก ๆ ที่ส่องเป็นแสงราวอาทิตย์ เธอพูดติดตลกอีกครั้ง และในครั้งนี้เธอได้ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ๆ

    “เล่าให้ฉันฟังได้นะ เผื่อมันจะเบาขึ้น”

    “ไม่เล่าคุณก็น่าจะรู้ ยังไม่ถึงอาทิตย์ฉันก่อเรื่องไปเป็นสิบ โดนหักคะแนนอีกเป็นล้าน พ่อกับแม่น่าจะผิดหวัง”

    ไม่ใช่ความลับอะไรกับสิ่งที่ทำให้มิเกลคิดมาก เธอต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่อดีตทิ้งเอาไว้ให้ จะสลัดออกก็ไม่ได้ ปล่อยไปก็เป็นปัญหา เธอเหนื่อยมาก ๆ ในสองสามวันที่ผ่านมา เหนื่อยแม้กระทั่งน้ำตายังไม่อยู่เคียงข้างเธอ

    อยากร้องไห้ เธออยากร้องไห้มาก ๆ แต่มันร้องไม่ออก..

    “พวกเขาไม่ผิดหวังหรอก..”

    “...” วีปลอบใจใครไม่เป็น แต่เขาอยากให้มิเกลเชื่อในตัวเองผ่านตัวของเขา

    “เธอจะทำได้ดีกว่านี้ เหมือนที่เธอเติบโตมาอย่างดี”

    มิเกลจะทำมันได้ดีกว่านี้ เหมือนที่เธอเติบโตมาอย่างดี

    และเขาก็ยิ้มให้เธอ ยิ้มด้วยความจริงสุดหัวใจที่มี วีรู้จักมิเกลมานานมาก มันเป็นความฝันอย่างที่เคยว่ามา การผูกมัด เชือกถักสีแดง และหมากประตู วีให้มันทั้งหมดกับมิเกล ให้มันทั้งหมดเพื่ออยู่เคียงข้างเธอตลอดเวลา

    “อืมม..”

    “!”

    “มิเกล..”

    โอเล็ทว่า เธอเลื่อนมือขึ้นขยี้ตาเล็กน้อย

    เพียงเสี้ยวเวลาเดียวที่โอเล็ทรู้สึกตัว มิเกลเบิกตากว้างก่อนจะลุกขึ้นกางแผ่นปีกบังวีเอาไว้ อะไรกัน อยู่ ๆ ก็ตื่น เมื่อครู่ยังไม่เห็นอะไรใช่ไหม?

    “ว่า มีอะไร ตื่นทำไมเนี่ย”

    เลิ่กลั่ก เลิ่กลั่กไปหมด

    “ปิดหน้าต่างได้ไหม โคมด้านนอกสว่างเกินไป ฉันนอนไม่หลับ”

    ก็แค่โคมจากปราสาทอื่นส่องเข้ามาภายในห้อง โอเล็ทคลุมโปงก่อนจะขยับตัวหนีจากแสงสลัว ๆ มิเกลถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยังดีที่เธอไม่สงสัยว่าทำไมมิเกลถึงตื่นขึ้นมายืนกางปีกข้างเตียงตัวเอง

    “ฉันว่าคุณไปกะ-”

    มิเกลเอี้ยวคอกลับมาบอกวี แต่หารู้ไม่ว่าเขาใช้หมากประตูกลับไปแล้ว

    “อ่าว กลับไปแล้วเหรอ..”

    แอบเสียดายเล็ก ๆ เพราะเขาคุยสนุกกว่าที่คิด แท้จริงมันควรเป็นสิ่งที่พิเศษมาก ๆ สำหรับเธอ ไม่เคยมีเทียเมอร์คนไหนข้ามห้วงสถานที่มานั่งคุยกับนามัสนานสองนานขนาดนี้ ทั้งประโยคและคำพูด วีเอ่ยออกมาอย่างเรียบง่ายและเป็นกันเอง มันทำให้มิเกลสบายใจ ถึงไม่มากแต่ก็ไม่น้อย

    ถึงเวลาพักผ่อนอีกครั้ง มิเกลทิ้งตัวลงบนเตียง เธอห่มผ้าและเริ่มหลับตา แน่นอนว่าวียังไม่หายไปไหน เขายังอยู่แถวนั้น บริเวณที่พอจะมองเห็นเธอ..

    “ขอให้ไม่ฝันถึงฉันอีกนะ.. มิเกล”

     

     

    วันต่อมาที่แสนจะสบาย คงเป็นโชคดีของวีรัสที่วันนี้เทียเมอร์ประชุมกันทั้งวัน ทำให้มิเกลและมินทร์ไม่ได้เข้าคาบของเจโฮปและชูก้า พอเลิกเรียนกลุ่มเพื่อนก็รวมตัวกันที่สวนบารอน หวังว่าวันนี้จะได้ฝึกการต่อสู้พื้นฐานกับมินทร์พร้อมกฎกติกาที่ฮาร์ทและลีออยรู้ดี

    “เรื่องแรกที่มิเกลควรรู้ คือจะมีการจับฉลากเลือกคู่ประลองในวันนั้นก่อนการแข่งขันประมาณหนึ่งชั่วโมงได้ ฉะนั้นเธอจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับทั้งสามคน มาลอน กิรัน และอานา” ฮาร์ทว่าขึ้น

    “อย่างที่รู้กันดี เธอจะชนะฝ่ายตรงข้ามได้ก็ต่อเมื่อทำให้เขาสลบหรือตายเท่านั้น ถ้าการประลองกินเวลานานเกินไป พวกเขาจะนับถอยหลังสิบนาที โดยจะเริ่มนับคะแนนในสิบนาทีนั้น” ลีออยเสริม

    “ถ้าตายนี่ จะตายจริงเหรอ” นาวาถามขึ้น

    “ไม่ ๆ ก่อนการประลองทุกคนจะแบ่งจิตวิญญาณอีกครึ่งให้กับอาร์เอ็ม หากตายก็เหมือนไม่ตาย อาร์เอ็มจะเป็นคนจัดการทุกอย่างเอง”

    ฮาร์ทอธิบาย เกิดขึ้นไม่มากแต่ก็ใช่ว่าจะไม่เกิด หลายครั้งที่มีวีรัสพลั้งมือทำให้คู่ต่อสู้ถึงกับชีวิต อาร์เอ็มจะเข้ามาคืนชีพโดยจิตวิญาณที่เเบ่งออกเป็นสองส่วนก่อนการประลอง เก็บเอาไว้ที่ตัวเองครึ่งหนึ่ง และเก็บเอาไว้ที่อาร์เอ็มอีกครึ่งหนึ่ง

    “อ๋อออออ”

    “จากที่ฉันลองหาจุดอ่อนของทั้งสามคนแล้ว สรุปได้ว่า"

    "กิรัน เธอต้องห้ามเข้าใกล้เขามากกว่าหนึ่งเมตร ต้องโจมตีระยะไกล เขาจะพยายามเข้ามาประชิดตัวเพื่อควบคุมเธอ ฉะนั้น เธอต้องถอยห่างอยู่ตลอดเวลา”

    “ส่วนอานา เธอเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่สูงมาก สิ่งที่เธอเห็นจะช้าไปหมดในขณะที่เราสัมผัสได้แค่ลมที่อยู่รอบตัวเธอ ภาพลวงตาของมิเกลน่าจะช่วยได้ ทำให้มันเร็วเท่าอานา หรือเหนือกว่า”

    “และคนสุดท้าย มาลอน เป็นเพราะเขาคือวีรัสการสังหารจึงชำนาญเรื่องการใช้อาวุธ ฉะนั้นอาวุธจึงเป็นหัวใจของมาลอน หากทำลายอาวุธได้ ก็ทำลายเขาได้เช่นกัน”

    ด้วยความที่มินทร์เห็นจุดอ่อนของทุกสิ่งมีชีวิต ทำให้เขาสามารถอ่านค่าพลังและวิธีการต่อสู้เพียงเพ่งสมาธิ มิเกลดูเป็นกังวลอยู่ไม่น้อยเพราะทั้งสามคนมีประสบการณ์ แต่เธอก็ไม่คิดที่จะยอมแพ้แม้ฝีมือจะยังเทียบเด็กหัดเดินไม่ได้

    “โอเค มาเริ่มซ้อมกันเถอะ”

    ต้องลองตั้งใจดูสักครั้ง!

    ตั้งแต่เลิกเรียนจนอาทิตย์เริ่มอัสดง มิเกลได้เรียนรู้เกี่ยวกับอาวุธของตัวเองมากขึ้น นอกจากจะสามารถควบคุมได้ตามใจนึก เส้นโซ่นี้ยังมีความยาวหลายไมล์ รับน้ำหนักได้หลายตันและมีความแข็งแรงเท่าเทียบเพชรหิน

    มินทร์สอนหลักการยืนยังไงให้ไม่เสียหลักง่าย อ่านท่วงทีของคู่ต่อสู้รวมไปถึงกลยุทธ์เด็ด ๆ เห็นแบบนี้มิเกลหัวเร็วพอสมควร เพียงบอกก็จับทางและลงมือทำได้ แต่เพราะอยากค่อยไปค่อยไป หลังจากฝึกซ้อมกันได้ไม่กี่ชั่วโมง มิเกลก็ขอพักและลากกลุ่มเพื่อนของเธอมาที่..

    06 : 33 PM

    “อันนี้อร่อย ลองกินดู”

    “ขอบคุณฮะะ”

    เสียงจอแจดังขึ้นต่อเนื่องเมื่อถึงเวลาที่ทุกคนต้องมารวมตัวกันที่ห้องโถงอาหาร มิเกลขอพักการฝึกซ้อมไปก่อนเพราะอาหารตรงหน้าที่วันนี้เป็นคิวของแม่ครัวจากสตาร์ทัมโฟน หนึ่งในนั้นมีรสมือของโมเดียที่รับผิดชอบขนมประจำสตาร์ทัมด้วย พึ่งฝึกมาเหนื่อย ๆ ได้ทานอาหารฝีมือของแม่แล้วรู้สึกกระชุ่มกระชวยอย่างบอกไม่ถูก

    “เอาล่ะนักเรียนทุกคน ฟังทางนี้หน่อย” และเสียงทุ้มของอาจารย์ใหญ่เซนต์ฮาร์ฟก็เรียกให้ทุกคนต้องหันหน้ามามอง

    “ในปีนี้อาณาจักรมัลกาลาเซีย จะเป็นอีกหนึ่งอาณาจักรสำหรับการประลองของวีรัส เราได้รับคำยืนยันจากเจ้าชายคริสบิโน่แล้ว”

    “จริงเหรอ!!”

    “เย่!!”

    เสียงปรบมือและจังหวะโห่ร้องดังสนั่น เป็นข่าวดีที่สุดเท่าที่มีมา

    “อาณาจักรมัลกาลาเซียเหรอ? ทำไมถึงดีใจกันล่ะ” มินทร์เป็นฝ่ายถามนาวาที่ดีใจออกนอกหน้า

    “ก็ปีที่แล้วราชาของที่นั่นทรงเสด็จสวรรคต จึงต้องปฏิเสธการอำนวยสถานที่”

    “เมื่อการประลองของวีรัสเหลือเพียงสี่คนสุดท้าย เราจะไปยังอาณาจักรเพื่อนบ้านเพื่อผ่านบททดสอบทั้งสาม พื้นดิน ลำน้ำ และอากาศ”

    “ทุกคนจะได้ไปเที่ยว ได้ชิมอาหารพื้นเมือง เล่นเครื่องเล่น ได้เห็นเจ้าหญิงและเจ้าชายจากอาณาจักรอื่น แถมยังเป็นการกระชับมิตรอีก อาทิตย์นั้นทั้งอาทิตย์ฮาร์ทกับลีออยบอกว่าสนุกจนลืมหายใจเลย”

    ฟังจากที่นาวาเล่า ก็ไม่ต้องจินตนาการอะไรให้มากความ

    “น่าสนุกจัง!” มิเกลตื่นเต้นใหญ่

    “สนุกมากเลยแหละ วันนี้ที่เทียเมอร์ประชุมกันทั้งวันก็คงเป็นเพราะเรื่องนี้” 

    นาวาลองสันนิษฐาน ซึ่งมันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เทียเมอร์จะเป็นคนเตรียมงานและดูแลนามัสรวมไปถึงคนในอาณาจักรที่เดินทางไปที่นั่น ทำให้ต้องแบ่งหน้าที่เพื่อไม่ให้มีอะไรตกหล่นจนโกลาหลเหมือนหลายปีที่แล้ว

    “ฉันรู้ว่าทุกคนดีใจ ถือเป็นข่าวดีมาก ๆ หากทานกันอิ่มหนำสำราญ ก็ทยอยกันกลับปราสาทได้ พักผ่อนให้เต็มที่สำหรับวันพรุ่งนี้..”

    หลังจากรับประทานอาหารกันจนพุงพลุ้ยก็ถึงเวลากลับปราสาท ก่อนแยกจากห้องโถงใหญ่อาจารย์เพอร์มัวล่าได้เรียกประชุมเรื่องความสะอาดภายในปราสาทโดยเฉพาะหอชาย จึงทำให้นามัสปีหนึ่งเสียเวลาไปกับการนั่งฟังและแบ่งเวรกระทั่งเวลาเลยเถิดไปถึงกลางดึก

    “นี่มิเกล เมื่อหลายวันก่อนเธอได้เข้าไปที่ห้องพยาบาลหรือเปล่า” โอเล็ทรีบวิ่งมาหามิเกลหลังจากเพอร์มัวล่าปล่อยให้ทุกคนเป็นอิสระ

    “อืม เข้าไปอยู่ มีอะไรเหรอ”

    “พยาบาลที่นั่นบอกว่าเธอลืมผ้าเช็ดหน้าน่ะ พรุ่งนี้ไปเอาด้วยนะ” โอเล็ทว่า เธอพูดแค่นั้นก่อนจะเดินขึ้นปราสาทไป

    “ผ้าเช็ดหน้าอะไร มีคนให้เธอเพิ่มเหรอ?” นาวาเอ่ยถาม

    “ใช่ มีคนให้เพิ่มมา ทำไงดีอะ” มิเกลกุมขมับ เธอไม่ได้สังเกตเลยว่าทำมันหาย

    “ไม่เป็นไรหรอก ไปเอาวันพรุ่งนี้ก็ได้”

    “ไม่ได้!”

    เธอค้านขึ้นมาอย่างเด็ดขาด นั่นคือผ้าเช็ดหน้าของคนคนนั้น กำลังใจและเป้าหมายของมิเกล

    “นี่ มันดึกแล้วนะ เธอจะไปเอาตอนนี้เหรอ!?” 

    นาวารู้ว่ามิเกลจะทำอะไร อีกไม่กี่ชั่วโมงประตูก็จะปิด และนั่นหมายความว่าถ้ามิเกลมาช้าแม้แต่วินาทีเดียวอาจจะต้องโดนหักคะแนนอีก

    “เอาน่า เธอขึ้นปราสาทก่อนเลย เดี๋ยวฉันมา” แต่ใครจะไปห้ามคนอย่างมิเกลได้

    “ไม่เอา ไม่ไป หยุดเลย!”

    “เดี๋ยวมา ๆ”

    และมิเกลก็ใช้แรงทั้งหมดกระพือปีกตรงมายังห้องพยาบาลใกล้กับปราสาทของอาร์เอ็ม ที่นี่มืดมากเพราะเทียเมอร์ยังรวมตัวกันอยู่ที่โถงอาหาร แสงไฟเพียงหรี่ริบจากโคมระย้าเป็นถนนนำทางให้กับเธอ มิเกลไม่รอช้าที่จะบุกเข้าไปเอาผ้าเช็ดหน้ากลับมา แม้ว่ารอบข้างจะทำเอาขนลุกแต่ก็ต้องใจกล้าเข้าไว้

    ขึ้นชื่อว่าห้องพยาบาล มันต้องมีเรื่องราวน่ากลัวหลงเหลืออยู่แล้ว

    “พยาบาลน่าจะเก็บเอาไว้” มิเกลพึมพำ รอบข้างดูเงียบและวังเวงพิกล 

    “นี่ไง..” และสุดท้ายก็เจอ มันยังคงอยู่ในสภาพดี

    “อยู่ที่นี่หนาวจะตายเนอะ กลับปราสาทกันนะ”

    เสร็จจากธุระเธอก็รีบย้ายสังขารออกจากที่แห่งนี้ บรรยากาศแสนน่ากลัวทำเอามิเกลอดคิดไม่ได้ว่าจะมีอะไรพุ่งออกมา เธอปิดประตู หันหลังให้กับปราสาทพร้อมเดินหน้า แต่ในขณะนั้น..

    เเกรก

    “!?”

    มีเสียงเหยียบใบไม้ดังขึ้นจากภายในป่า บริเวณห้องพยาบาลและปราสาทของอาร์เอ็มติดกับไพรสีคราม ถ้าโชคดีก็คงเป็นเพียงสัตว์ป่าตัวเล็ก ๆ แต่ถ้าโชคร้ายคงหนีไม่พ้นขาลเหมันต์ที่ชอบป้วนเปี้ยนอยู่รอบ ๆ โรงเรียน

    “อ๊ะ!!!”

    เเละก็ต้องหงายหลังล้มลงกับพื้น เมื่อมีอะไรบางอย่างบินมากระแทกตัวของเธอด้วยความเร็ว

    “อะไรเนี่ย!! อ่าว”

    มิเกลหันหลังมาตวาดเพราะคิดว่าเป็นวีรัสที่ไม่ดูตาม้าตาเรือ ขนาดตัวไม่ใช่นกเเละสามารถบินได้ แต่ใครจะไปรู้ว่ามันคือคนที่มิเกลไม่คาดคิด

    “คุณวี?”

    คนตรงหน้าคือวี แต่เมื่อลองมองตั้งแต่หัวจรดเท้ากลับไม่มีตรงไหนเหมือนเขาเลยนอกจากใบหน้า ดวงตาวาวสีแดงก่ำ ผืนปีกดำขลับเข้มเป็นถ่าน บนศีรษะของเขาคือเขากระดูก สิ่งเดียวที่แสดงถึงความต่างระหว่างทั้งสองอาณาจักร มิเกลกลืนน้ำลายลงอึกใหญ่ ความคิดในตอนนี้มันบ้าเอามาก ๆ แต่ถ้าไม่ใช่ก็เหมือนกำลังโกหกตัวเอง

    “อัสโมดาย”

    ใช่ เขาคือเกียร์น่า

    “กะ- อุ๊บ!!”

    อยากร้องตะโกนให้เสียงดัง ๆ แต่ก็ต้องตัวแข็งทื่อเมื่อเขาเลือกที่จะพุ่งตัวเข้ามาใช้มือปิดปากของมิเกลเอาไว้ แสงสว่างจากโคมรอบข้างยิ่งทำให้มิเกลมั่นใจว่านี่คือวี เพียงแต่ภายนอกของเขาดูเปลี่ยนไปก็เท่านั้น

    “เงียบ..”

    เขาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ ราวหินปั้น

    “ฉันรู้ว่าเธอจะทำอะไร ถ้าไม่อยากตายก็อยู่นิ่ง ๆ”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×