ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SVEN] ♕ PHARABITIA :: BLOOD OF HATE #1 ♕ พาราบิเตีย :: โลหิตชังชาด #จักรวาลอมาล่า

    ลำดับตอนที่ #10 : ♕ PHARABITIA ♕ :: 8 ::

    • อัปเดตล่าสุด 3 ส.ค. 67


     

    8

     

    แสงแดดอ่อน ๆ ลอดตัวผ่านกำแพงม่านหนาเข้ามาภายในห้อง มิเกลกะพริบตาถี่ก่อนจะดิ้นเป็นเจ้าเข้าเพราะเสียงบ่นของเพื่อนร่วมห้อง มิเกลขมึงตามอง จ้องโอเล็ทในชุดเครื่องแบบที่กำลังเก็บเตียงและจัดข้าวของ เมื่อวานเธอต้องกลับไปทานอาหารค่ำกับไวท์พ่อของเธอ กว่าจะได้กลับหอมิเกลก็ชิงหลับไปก่อนเสียแล้ว

    “นี่มิเกล ตื่นได้แล้ว” และเป็นโอเล็ทที่เข้ามาเรียกมิเกลดั่งเช่นทุกวัน

    “ฉันตื่นแล้วน่า นี่กี่โมงแล้วอะ”

    “หกโมงครึ่ง รีบอาบน้ำซะ จะได้ทันข้าวเช้า”

    ยังดีที่วันนี้มิเกลตื่นได้ทันเวลาอาหารเช้า ปกติแล้วในทุก ๆ วันนามัสจะทานมื้อแรกที่ปราสาทประจำระดับชั้นของตัวเอง 

    “ตื่นเช้าอีกละ ไม่เบื่อบ้างเหรอ?” 

    มิเกลลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะสาวผมขึ้นพร้อมใช้เชือกถักที่วีให้มารวบมัดอย่างลวก ๆ

    “ฉันไม่ใช่เธอนะ เออแล้วก็..”

    “?”

    “ฉันขอโทษ ยังไงก็พยายามเข้าล่ะ การประลองน่ะ”

    สิ้นจากเสียงโอเล็ทก็ถือตำราและเดินออกจากห้องไป เธอเคยพูดทำร้ายจิตใจหนำซ้ำยังเข้าหาเพื่อจับตามอง เมื่อวานนี้อ่างกีดัสได้ที่แสดงความจริงออกมาแล้ว มันทำให้โอเล็ทรู้สึกผิดและอยากจะขอโทษ

    “มาแปลกแหะ”

     

     

    เสียงช้อนส้อมขูดเขียนเซรามิกดังระคายหู มิเกลลงมาด้านล่างก่อนจะพบเป็นมินทร์และนาวาที่นั่งรออยู่พร้อมอาหารเช้ากลิ่นหอมกรุ่น

    “วันนี้ตื่นเช้าเว้ย” มินทร์แกล้งแซว

    “คนเรามันก็ต้องเปลี่ยนแปลงกันบ้าง”

    “จ้า อะนี่”

    มิเกลนั่งลงก่อนจะฉีกยิ้มกว้างเพราะมันคือผ้าเช็ดหน้าตามธรรมเนียมของอากาเธียร์ นี่เป็นเสมือนกำลังใจผ่านทางคนคนนั้น ซึ่งถ้าให้ลองนับลวก ๆ มันก็น่าจะพอถึงสิบ

    “ฉันนับได้ยี่สิบสองคน มีโอเล็ทในนี้ด้วย” นาวาว่า

    “พูดจริงเหรอเนี่ย..”

    “ใช่ ส่วนใหญ่เป็นนามัสชั้นเดียวกับเรา” 

    มิเกลยิ้มแฉ่ง น้ำตาของเธอหยดลงโต๊ะไปหนึ่งหยด มีความเชื่อว่าการให้ผ้าเช็ดหน้าคือลางร้าย แต่สำหรับพาราบิเตียมันมีความหมายไปในทางที่ดี การเช็ดน้ำตาที่ว่านั้นไม่ใช่จากการเสียใจ แต่เป็นเพราะดีใจมากจนร้องไห้ออกมาต่างหาก

    “มีใครบ้างอะ รู้ปะ” มิเกลถาม

    “ไม่มีใครรู้หรอก เพราะจะไม่มีใครแสดงตัว” นาวาว่า

    “ทำไมอะ แล้วแบบนี้ฉันจะขอบคุณพวกเขายังไง”

    “แกไม่จำเป็นต้องขอบคุณ มันเป็นประเพณี ทุกคนที่ลงประลองจะเป็นแบบนี้กันทุกคนแหละ ขึ้นอยู่กับว่าจะมากหรือน้อย” นาวาอธิบาย

    “แล้วอย่างฉันนี่.. มากหรือน้อยล่ะ”

    “ก็.. น้อยอยู่”

    ใช้ มันเป็นสถิติที่ต่ำที่สุดเท่าที่มีมา คนที่ให้ผ้าเช็ดหน้านี้ไม่ใช่เพียงคอยเป็นกำลังใจให้ แต่ยังรวมไปถึงการพนันและให้เพราะคิดว่าคนนี้แหละที่จะพ่ายแพ้ ความหมายในทางที่ดีเปลี่ยนไปตามยุคสมัย ผ้าเช็ดหน้าที่มิเกลได้อาจจะเป็นไปในแบบที่สองซะมากกว่า

    “เฮ้อ ~ ดีใจฟรีเลย ฮ่า ๆ” มิเกลยิ้ม แต่มันกลับเป็นยิ้มที่ดูไม่สดใสเหมือนอย่างเมื่อครู่

    “เดี๋ยว.. แต่อย่างน้อยหกอันนี้เชียร์เธอยู่นะ”

    มินทร์หยิบผ้าเช็ดหน้าที่บ่งบอกถึงตัวตนของทั้งหกคนออกมา มินทร์ นาวา ฮาร์ท ลีออย มาครอส และโมเดีย มันจะเป็นผ้าเช็ดหน้าที่จะคอยเช็ดทั้งน้ำตาจากความเสียใจและน้ำตาจากความปีติ 

    “ขอบคุณนะ^^”

    “แค่นี้เอง รีบกินกันเถอะ เย็นหมดแล้ว”

     

     

    ถือว่าน่าเบื่อพอสมควรกับวันพุธ เวลาผ่านไปทั้งวันกระทั่งถึงคาบเรียนที่สอง คาบเรียนนี้นาวาต้องแยกไปเรียนรัฐศาสตร์ส่วนมินทร์แยกไปเรียนวิชาตามความสามารถ แน่นอนว่ามิเกลเองก็ต้องเรียนวิชานี้เหมือนกัน แต่เพราะยังไม่ทราบว่าตนเป็นวีรัสด้านอะไร สิ่งที่มิเกลทำได้ในตอนนี้จึงมีเพียงการออกมาเดินเตร่ที่สวนบารอนฆ่าเวลา

    วิ๊ง ๆ

    และในขณะนั้นเขาละอองนารีก็ปรากฏตัวขึ้น มันคลอเคลียพลางเดินวนรอบ ๆ เธอมองตามมันก่อนที่เจ้ากวางน้อยจะเดินหน้าผูกมิตรกับอะไรบางอย่าง มันคือนกยูงสีทองอร่ามวาวราวหิ่งห้อยนับพัน เขาละอองนารีกระทืบเท้าเล่นสนุกเช่นเดียวกับเจ้านกยูงที่รำแพนหางกรีดกราย ก่อนที่เจ้าของสัตว์วิเศษอย่างชายหนุ่มร่างหนาจะปรากฏตัวขึ้นด้านหลัง

    “มันเล่นกันน่ะ”

    มิเกลสะดุ้งโหยงก่อนจะขยับตัวออกห่าง เธอหันขวับมองต้นเสียงก่อนจะนิ่งไปพักใหญ่

    "สุดยอด.."

    "ฮึ?"

    ได้แต่อ้าปากค้างกับรูปโฉมงดงามราวงานศิลป์บนผ้าใบ เรือนผมสีทอง ดวงตาวาวใสสีมรกต มิเกลกะพริบดวงตาถี่ ๆ เผื่อว่าตัวเองจะฝัน มือเล็กเลื่อนขึ้นจับเนินอกซ้ายที่อยู่ ๆ ก็หน่วงหนัก

    “คะ?”

    “สัตว์วิเศษของเจ้ากับข้า มันดูเหมือนจะสนิทกัน”

    ซันเดินเข้ามายืนเทียบกับมิเกล ร่างสูงและกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากตัวของเขายิ่งทำให้ทั้งหัวล่อนจ้อน เขาหล่อมาก หล่อมากจริง ๆ

    “อ่า ใช่”

    “เธออยู่ปีอะไร?”

    คนตัวสูงหันกลับมามอง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่มิเกลเงยใบหน้าขึ้นปะทะพอดี

    “ปีหนึ่งค่ะ”

    “แล้วไม่มีเรียนเหรอ?”

    “คาบนี้ว่างน่ะค่ะ”

    “อะไรนะ..”

    ซันย่อตัวลงเพื่อฟังมิเกลให้ชัด ๆ ระยะห่างของทั้งคู่ประชิดแนบเนื้อ เรือนขนตายาวฟุ้งของเขาสะกดเวลาครู่หนึ่งให้เต็มไปด้วยกลีบดอกไม้และแสงไฟสลัว ตั้งแต่เกิดมามิเกลยังไม่เคยเจอผู้ชายคนไหนที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้มาก่อน เขาคือคนแรก และดูเหมือนจะเป็นคนเดียว

    “คาบนี้ฉันว่างน่ะ เลยมาเดินเล่น”

    “อ๋อ”

    “คุณคงทำงานอยู่ในวังสินะคะ ดูจากเครื่องแต่งกาย..”

    มิเกลพิจารณาซันตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาดูภูมิฐานและโอ่โถง หากให้เดาคงเป็นหนึ่งในขุนนาง

    “ใช่ ผมเป็นบรรณารักษ์ห้องสมุดหลวงน่ะ”

    “อ๋อ.. ต้องเหนื่อยแน่เลย ฉันได้ยินมาว่าที่นั่นงานเยอะมาก”

    “ใช่ครับ มันเหนื่อยมาก"

    “…”

    “ผมเลยออกมาอู้งานไง”

    “อ๋อ ฮ่า ๆ”

    เสียงหัวเราะของมิเกลดังขึ้นไม่ต่างจากจังหวะหายใจขบขันของซัน กรินวิเศษของทั้งสองพักหายใจและเดินเข้ามาคลอเคลียเจ้าของราวกับกำลังอ้อนขออาหาร เจ้านกยูงผลักร่างของซันให้เข้าใกล้มิเกลมากขึ้น ก่อนที่ระยะห่างนั้นจะไม่มีที่ให้ลมได้แทรกอีกต่อไป

    “!”

    “เจ้าพวกนี้”

    “ฉันว่าฉันไปก่อนดีกว่าค่ะ เดี๋ยวจะต้องฝึกซ้อมสำหรับการประลองในอาทิตย์นี้แล้ว”

    มิเกลเลี่ยงสัมผัสโดยการเบี่ยงตัวเองออกไปอีกทาง ซันเองก็เห็นว่าท่าไม่ดีก็รีบเรียกเก็บกรินวิเศษของตัวเองก่อนมันจะสร้างเรื่องไปมากกว่านี้ 

    “ผมจะได้เจอคุณอีกไหม” ซันเอ่ยถาม มิเกลเองก็เรียกเก็บละอองนารีเช่นกัน

    “วันประลองค่ะ.. วันประลองคุณจะได้เจอฉัน”

    “ที่ไหนล่ะ”

    “ในสนามเลย”

    “คุณเป็นหนึ่งในผู้ประลอง?”

    “ใช่ค่ะ ฉันเป็นหนึ่งในนั้น”

    “งั้นเดี๋ยว..”

    ซันเอ่ยดักเอาไว้ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าของตัวเองขึ้นมา เรือนไหมสีทองพร้อมปลายขอบลูกไม้ทั้งสี่ด้าน มิเกลรับมาก่อนจะไปสะดุดกับตัวอักษรที่ถูกสลักเอาไว้ ชื่อของใครคนนั้น คนที่ซันอยากเจอมาทั้งชีวิต

    ‘ซอล’

    “ผมพกแต่ผ้าเช็ดหน้าของน้องสาว ผมให้คุณ ขอให้ชนะการประลองนะ”

    มิเกลนิ่ง ทั้งที่เจอกับแค่ไม่กี่นาทีเนี่ยนะ..

    “ขอบคุณนะคะ^^”

    “ด้วยความยินดี^^”

     

     

     

     

     

    “เจ้าชายซัน วันนี้มีทานอาหารเย็นกับเจ้าชายจากมัลกาลาเซีย เจ้าต้องเตรียมตัวแล้วนะ”

    องครักษ์ประจำกายของซันเข้ามาบอกสารของเย็นวันนี้ให้เขาได้ทราบทั้งที่เท้าพึ่งก้าวเข้ามาภายในปราสาท ท่วงทีเก้อเขินของซันไม่ได้รับฟัง ไมโค เลยแม้แต่นิด แถมยังไม่ยินดียินร้ายกับการกลับมาของสหายที่ไปทำเรื่องทางราชการต่างเมืองมานานหลายสัปดาห์

    “เตรียมตัวอะไร”

    “นี่เจโฮปไม่ได้แจ้งเจ้าเหรอ?”

    “แจ้งแล้วมั้ง”

    ซันทิ้งตัวนั่งยังโซฟานุ่มพลางจินตนาการว่าตนกำลังขึ้นขี่ปุยเมฆกับหญิงสาวคนเมื่อครู่ ใบหน้าหวาน น้ำเสียงลื่นหู ซันยิ้ม.. ยิ้มในแบบที่ไม่เคยยิ้มมาก่อน

    “ซัน! ฟังข้าหน่อยได้ไหม” ไมโคเริ่มแผดเสียง

    “อะไรล่ะ”

    “ฟัง แค่ฟังข้า”

    “ข้าก็ฟังอยู่ ว่าแต่ เจ้าพอจำรายชื่อของคนที่จะเข้าประลองวันสัปดาห์นี้ได้ไหม” 

    ไม่ได้ ยังคุยเรื่องงานตอนนี้ไม่ได้ ซันไม่มีสมาธิเพราะเรื่องของเธอมันตีวนอยู่ในหัว เขาต้องรู้ก่อนว่าเธอเป็นใคร

    “ได้ ทำไม”

    “มีใครบ้าง”

    “มาลอน กิรัน อานา และมิเกล”

    ซันพยายามคิดว่านามของใครสมควรเป็นเธอ มาลอนและกิรันเป็นผู้ชาย ส่วนผู้หญิงมีเพียงอานาและมิเกล คิดแล้วอยากย้อนเวลากลับไป ทำไมถึงไม่คิดที่จะถามชื่อของเธอ

    “อานาเหรอ?”

    “ทำไม เจ้าไปเจอใครมา”

    “ข้าเหมือน.. เจอส่วนเติมเต็มของข้า นางอายุเท่าน้องสาวของข้าเลย แต่ข้าไม่รู้ว่านางชื่ออะไร รู้เพียงนางคือหนึ่งในวีรัสที่จะเข้าร่วมการประลองใสัปดาห์นี้”

    “เจ้าคิดถึงซอลอีกแล้วเหรอ นางตายไปแล้วนะ”

    “ข้ารู้ แต่มีอะไรหลายๆ อย่างที่เหมือนซอลจนข้าตกใจ ดวงตาของเธอ.. เหมือนซอลมาก”

    “แต่ซอลตายไปแล้ว.. และซอลเป็นแค่กาซัส เธอไม่มีผืนปีก ไม่มีอำนาจวิเศษ เข้าใจที่ข้าต้องการจะบอกไหม”

    “ข้าก็แค่คิดถึงนาง มันผิดขนาดนั้นเลยเหรอ?” ซันว่าขึ้นอย่างมีน้ำโห

    “ทำไมเจ้าถึงผูกพันกับนางมากขนาดนี้เนี่ย นางมีชีวิตอยู่ไม่กี่วันหลังจากเกิดด้วยซ้ำ”

    ไมโครู้ว่าไม่ควรพูดแบบนี้ แต่ถ้าเขาได้ยินมาไม่ผิดเมื่อวานซอลก็คุยกับบริพารเรื่องนี้เหมือนกัน

    “ก็นาง.. เป็นน้องสาวข้านิ”

    “...”

    “ข้าแค่ยอมรับไม่ได้.. ที่ท่านพ่อทำเช่นนั้น”

     

    “ท่านพ่อ อย่าทำน้องเลยนะผมขอร้อง..”

    “เราเสียแม่ไปแล้ว อย่าให้ต้องเสียน้องไปอีกคนเลย..”

    ตั้งแต่ความตายพรากซันจากมารดา เขาก็ทิ้งความหวังเอาไว้ที่พ่อและน้องสาวของตัวเอง แต่ใครจะไปรู้ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังความตายของซอลไม่ได้มีแค่ความกลัวของเซลรันและราษฎรพาราเดียน แต่ยังรวมไปถึงความบาดหมางที่เมื่อครั้งอดีตที่กำลังซ่อมต่อรอยลิขิตมาจนถึงปัจจุบัน

    “ฟังพ่อนะซัน พ่อจำเป็นต้องทำแบบนี้ แล้วเจ้าเมื่อเติบโตขึ้น ได้โปรดตามหาน้อง..”

    “ตามหาน้อง.. แปลว่าอะไร”

    “น้องจะยังอยู่เสมอ เจ้ารู้แค่ว่าน้องสาวของเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่เสมอก็พอ”

    ซันไม่รู้ว่าเซลรันหมายถึงอะไร ซอลยังอยู่หรือเธอตายไปแล้ว รู้แค่ว่าในตอนนี้.. แม้แต่เซลรันเองก็ไม่รู้ชะตากรรมของเธอ

    “ตามหาน้อง ตามหาน้องให้เจอ และพาน้องสาวของเจ้ากลับมา”

     

    ซันไม่ใช่แค่คิดถึงและหวยหาซอล แต่เขารู้ว่าซอลยังมีชีวิตอยู่ เซลรันบอกให้เขาตามหาน้องสาวของตนและพาเธอกลับมาทั้งที่มันไม่ง่ายขนาดนั้น ผู้คนต่างบอกให้เขาลืมเธอไปซะ เพราะการลืมและให้ตัวตนว่าเธอตายไปแล้ว คือสิ่งเดียวที่จะทำให้เธอปลอดภัย

    เธอจะปลอดภัย ในความตายนั้น

     

     

    และเวลาที่เดินทางมาถึงคาบสุดท้ายของวันนี้ มิเกลทิ้งเวลาไปกับการมานั่งรอกลุ่มเพื่อนที่สนามประลองเผื่อว่า มาลอน กิรัน และอานา จะเดินทางมาซ้อมอยู่ส่วนใดส่วนหนึ่งของที่นี่

    “มาแล้วจ้า”

    และเสียงของลีออยก็ดังขึ้นพร้อมฮาร์ทและมินทร์ น่าเสียดายที่นาวาติดเรียนในคาบนี้ จึงไม่สามารถมาช่วยซ้อมได้

    “นาวาล่ะ”

    “อยู่นั่นไง”

    มินทร์ชี้ไปยังกลุ่มคนที่กำลังรวมตัวอยู่กลางสนาม นามัสปีหนึ่งห้องสอง เกือบลืมไปเลยว่าคาบที่สามนี้นาวาเรียนกับชูก้า เป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับนักเรียนของอากาเธียร์ ทุกคนจะต้องใช้ดาบและธนูให้ชำนาญ เพียงแต่ไม่มีการประลองอย่างวีรัส

    “พรุ่งนี้เราเรียนกับเขาใช่ไหม เทียเมอร์สามน่ะ” มิเกลกระซิบถามมินทร์

    “ใช่ คาบสุดท้าย”

    กึก!

    สิ้นจากเสียง มิเกลก็ปะทะเข้ากับแรงดึงดูดมหาศาลที่กำลัง..

    “มิเกล.. เป็นอะไร” ฮาร์ทสะกิด

    “หูอื้อน่ะ—”

    พลิ้ว!

    และในขณะนั้นเอง ปลายหางตาก็สะดุดเข้ากับวัตถุที่พุ่งตัวเข้ามาด้วยความเร็ว มิเกลเบี่ยงตัวหลีกทันก่อนจะพบเป็นศรธนูของชูก้าที่ยิงขึ้นมา

    “อะไรน่ะ!”

    “มิเกล มานี่!”

    และเป็นนาวาที่เอ่ยเรียกมิเกลเสียงดัง ๆ จากสนามอีกฝั่ง

    “นาวาเรียกเธอทำไมอะ” ลีออยถาม

    “มานี่เร็ว!”

    เมื่อเห็นดังนั้นทั้งสี่ก็ลงมายังด้านล่างในทันที ศรธนูเมื่อครู่มันคือการเรียกให้รู้ตัว แม้จะดูอุกอาจไปหน่อยแต่ก็ได้ผลดีเลยทีเดียว

    “ทางนี้คุณมิเกล”

    ชูก้าขยับซ้ายเล็กน้อยให้มิเกลมายืนอยู่ตรงกลาง มินทร์ ฮาร์ท และลีออยก็เช่นกัน แต่กลับถูกดักเอาไว้ก่อน

    “พวกคุณสามคนไม่เกี่ยว อยู่ตรงนั้นแหละ”

    “มีอะไรเหรอคะ?”

    ฟิ้ง!!

    “ผมแค่อยากได้วีรัสมาสาธิต”

    เขาก็แค่อยากได้วีรัสมาสาธิต

    "สาธิต.. ดีเลยค่ะ!"

    มิเกลเงียบคิดไปพักหนึ่ง อะไรจะเหมาะเจาะขนาดนี้ ชูก้าเป็นเทียเมอร์การสังหาร เขารู้วิธีใช้อาวุธพร้อมกระบวนท่าหมดทุกรูปแบบ ไหน ๆ วันนี้ก็มาที่นี่เพื่อทดสอบความสามารถของตัวเองแล้ว มีเทียเมอร์เป็นคนติวให้งานน่าจะง่ายขึ้นเยอะ

    "ดีอะไรครับ" ชูก้าส่งสายตาดุ ๆ มาเมื่อเห็นว่ามิเกลเริ่มเสียงดัง

    "เปล่าค่ะ"

    "แม้ว่าพวกคุณจะเป็นนามัสแต่การป้องกันตัวก็เป็นสิ่งสำคัญ สำหรับวันนี้ผมจะไม่สอน แต่จะลองต่อสู้คร่าวๆ ให้พวกคุณได้เห็น ถ้าจดจำกระบวนท่าได้ก็ทำ เข้าใจนะครับ"

    คนตัวสูงกล่าวบอกนามัสในชั้นเรียนของตนเอง รู้สึกตื่นเต้นจนหัวใจจะทะลุออกมา ชูก้าใช้เวทร่ายดาบยาวขึ้นหนึ่งเล่ม เขาจะใช้อาวุธพื้นฐานในการต่อสู้ครั้งนี้ มันไม่ซับซ้อนและง่ายต่อการเรียนรู้ บทศึกษาของนามัสส่วนมากค่อนไปในทางการป้องกันตัว การปะทะกับศัตรูไม่ว่าจะอะไรก็ตามพวกเขาควรหลีกเลี่ยง ถ้าสถานการณ์ไม่บีบบังคับอย่าได้จับอาวุธจะดีกว่า

    "คุณมิเกลถอยหลังห้าก้าวครับ"

    มิเกลทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย เธอพร้อมมาก จะคุกดินปีนโคลนขอให้ได้สั่ง เธอไม่อยากตายในสนาม สิ่งที่มิเกลคิดตลอดคืนไม่ใช่การเอาชนะคู่ต่อสู้ แต่คือจะทำยังไงให้หน้าตอนตายทุเรศน้อยลง

    "เตรียม"

    "พร้อม"

    "จู่โจม"

    พรึบ!

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×