คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ชีวิตที่ถูกกำหนด
"แม่ครับ พายยังไม่ทันได้หายใจเลยนะ เพิ่งเรียนเทควันโดไปเมื่อกี้นี่เอง" ผมบ่นกระปอดกระแปดอยู่บนโซฟาตัวยาวโดยมีแม่ยืนคิ้วขมวดอยู่ฝั่งตรงข้าม
"งั้นรีบหายใจซะ เสร็จแล้วมารอในห้องเปียโนเลยนะ แม่กับพ่อจะไปงานเลี้ยงบ้านคุณอรพิน เสร็จแล้วมาเล่นกับน้องให้ด้วยนะ ระหว่างที่พายเรียนอยู่แม่จะให้น้องอยู่กับพี่เลี้ยงไปก่อน"
แม่พูดยาวเหยียดจนผมแทบฟังไม่ทัน จากนั้นคุณเธอก็หันหลังสะบัดพัดเดินออกไปขึ้นรถที่มารอรับเหมือนเช่นเคย ส่วนผมที่เพิ่งหายหอบก็ต้องไปรอครูที่ห้องเปียโนก่อนเวลา10นาที โดยกิจวัตรประจำวันของผมเป็นแบบนี้ทุกวันและไม่มีทางที่จะฝืนกฎได้ ดังนั้นเวลาเที่ยวเล่นของผมจึงไม่มีเหมือนเด็ก ม.ปลายคนอื่นเขา
ก๊อกๆ!
"นี่ครูนะคุณพาย"
"เข้ามาเลยครับ"
"หวัดดีครับ เล่นถึงหน้าไหนแล้วครับ"
"เหลือหน้าสุดท้าย" ผมหยิบหังสือดนตรีเล่มหนาขึ้นมาแล้วแกว่งหน้าที่เหลือไปมาให้ครูได้เห็น ก่อนที่จะกระแทกมันลงกับชั้นวางหนังสือบนเปียโน
"ซ้อมๆไปนะ มีอะไรไม่เข้าใจถามครูได้ ตอนนี้ครูจะไปเข้าห้องน้ำก่อน"
"คร้าบ ไปที่ชอบๆนะ"
ปัง!
ผมล่ะเบื่อกับชีวิตแบบนี้จริงๆ สงสัยจังเลยว่าพ่อกับไม่กลัวลูกเป็นโรคซึมเศร้าเลยรึไงนะ เพราะแต่ละคนนั้นถูกกำหนดชีวิตเอาไว้หมดแล้ว ผมถูกเอาดีในเรื่องดนตรีและกีฬาสากล น้องพอสเอาดีด้านศิลปะ ซึ่งแม้เจ้าตัวตอนนี้จะอยู่แค่ ม.3 แต่ถูกจับเรียนของ ป.ตรี น้องเพลย์ฝาแฝดของน้องพอสเอาดีด้านภาษาและการคำนวน แกเรียนทั้งภาษาเกาหลี อิตาลี่ อังกฤษ จีน เสปนแทบไม่หวาดไม่ไหว เรื่องคำนวนแกนั้นเข้าขั้นอัจฉริยะก็ว่าได้ เพราะถูกจับเรียนคณิตของ ป.4ตอนอนุบาล3 และน้องสาวคนสุดท้องที่อายุเพียง11ปี เอาดีทางด้านการเขียนนวนิยายกับบทละคร เจ้าตัวถูกหมกอยู่ในห้องให้แต่งนิยายออกมาเป็นเล่มๆ มีนักวิจารณ์นิยายประจำตัวว่าดีตรงไหน ควรแก้ไขตรงไหน ตั้งแต่ผมจำความได้ ไม่เคยเห็นใครในบ้านที่ได้ออกไปข้างนอกเลยสักคน จะมีก็แต่พ่อและแม่ที่ออกไปเข้าสังคมอยู่บ่อยๆ
“มาแล้วคร้าบคุณพาย มีอะไรจะถามครูรึเปล่า”
“ไม่อ่ะ เล่นได้แล้วครับ” ว่าแล้วผมก็ลงมอบรรเลงเพลงที่ง่ายแสนง่าย(สำหรับผม)จนทำให้คุณครูที่ยืนอยู่ยิ้มกว้างแล้วปรบมือให้
“เยี่ยมมากเลยนี่ ท่าทางคุณพายจะเอาดีได้ด้านนี้จริงๆด้วย”
“เล่นได้แล้วเลิกเรียนได้ป่ะ”
“โอ้ คิดว่าไม่ได้ครับ เพราะผมเตรียมหนังสือดนตรีเล่มใหม่มาให้แล้ว เล่นจากหน้า1-13นะครับ”
“เฮ้อ~ เออๆ” ผมรีบคว้าหนังสือดนตรีจากครูมาแล้วเรียนรู้ตัวโน๊ตใหม่อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบรรเลงเพลงแรกขึ้นมา ทำเอาครูยิ้มกว้างตัวแทบละลาย ไม่รู้ว่าเจ้าเพลงที่ผมเล่นเนี่ยมันเคลิบเคลิ้มถึงขนาดนั้นเลยรึไง
“ทำไมคุณอัจฉริยะด้านดนตรีอย่างงี้ครับ! ครูว่านะ ครูแทบไม่ได้สอนเลยด้วยซ้ำ” ไม่ได้สอนอะไรเลยต่างหากล่ะ
“ครูครับ ผมไปดื่มน้ำนะเดี๋ยวมา”
“ครับ”
ปังงง
“เฮ้อ~ แมร่ง!!! เกลียดชีวิตโว้ยยยย!!!!” ผมเดินออกมาไกลจากห้องดนตรีพอควรแล้วเริ่มปลดปล่อยอารมณ์คล้ายเก็บกดมานานหลายปี เฮ้ย! เจ้าพอสกับพาสมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ
“ก๊าก! พายมันทำท่าอุบาทว์ๆให้เห็นอีกแล้วล่ะพาส”
“ฮุๆๆ พาย นายเก็บกดขนาดนี้เลยเหรอ” เจ้าน้องพวกนี้ไม่เคยเรียกผมว่าพี่สักทีเลยสิน้า ซึ่งผมก็ไม่โต้ตอบน้องทั้งสองเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา แต่คราวนี้ผมมองใส่เจ้าสองแสบนั่นอย่างเย็นๆ เหมือนอยากจกตับไตไส้พุงมาเขมือบยังไงยังงั้น ทำให้เจ้าสองตัวนั้นถึงกับวิ่งหางจุกตูดไปคนละทิศคนละทาง ผมว่านะ...ตอนนี้ขอตัวไปพักดีกว่า
. . .
“เฮ้ย! ไม่จริงน่า นี่พาย พายจริงๆเหรอ”
“หนีมา” วันนี้ที่จริงแล้วเป็นวันเกิดเพื่อนผู้หญิงที่โรงเรียน เธอชื่อลินดา เป็นผู้หญิงที่ผมแอบชอบคนหนึ่ง เธอมีหน้าตาน่ารัก ดวงตาคมสวยเหมือนถูกกรีดตามาแต่เธอตาสวยมาตั้งแต่เกิดแล้ว ทั้งนี้ผมจึงหลงรักเธอด้วยเสน่ห์ของดวงตาคู่สวย
“กรี๊ดด! ดีใจจัง!”
“เฮ้ยๆ ทำไรน่ะ” ผมรีบท้วงยัยลินดาที่วิ่งมากอดผมอย่างออกหน้าออกตากว่าใคร ทำให้เพื่อนๆที่มาร่วมงานถึงกับกรี๊ดลั่น
“ของขวัญ”
“เห็นแก่ของนี่นา รู้งี้ไม่มาดีกว่า” ผมเบ้หน้าแล้วทำท่าจะเดินหนีแต่ลินดาก็รั้ง(รัดคอ)ผมไว้ซะก่อน
“เออ! กรูอยากได้ของขวัญนี่นา แกไม่ให้ก็ได้ แต่...อย่าไปได้ป่ะ”
“หือ?”
“ฮึ้ย...เค้าจะไปกินข้าวแร้ว อยากไปไหนก็ไปน่า”
“ฮึๆ เธอนี่น้า”
“ลินดาๆ! มาแล้ว”
“โจอี้ > 0 <” ลินดาวิ่งเข้าไปกอดเพื่อนที่มาอีกเช่นเคย จริงสินะ ยัยนี่มันอยู่ต่างประเทศบ่อย การกอดจึงกลายเป็นการทักทายไปซะอย่างนั้น ผมว่าการเข้าใกล้ยัยลินดานี่คงยากมาก เพราะเพื่อนชายของเธอเยอะเหลือเกิน เยอะเสียยิ่งกว่าเพื่อนผู้หญิงอีก แล้วแถมผู้ชายก็มีแต่คนหมายปองยัยนี่ทั้งนั้น การเป็นคนพิเศษของเธอจึงยากกว่าที่คิด
“เราเอานี่มาให้” โจอี้ที่เพิ่งมาเมื่อครู่หยิบกล่องสีแดงเล็กๆออกมา ถ้าให้เดาก็แหวนแหงๆ ก็บ้านโจอี้เป็นร้านขายทองนี่นา ผมก็มีเงิน เยอะกว่าโจอี้ด้วยซ้ำ แต่พ่อกับแม่ให้ออกนอกบ้านซะที่ไหนล่ะ จันทร์-ศุกร์เท่านั้นที่จะได้เห็นเดือนเห็นตะวัน
“กรี๊ด! อะไรอ่ะโจอี้ กล่องน่ารักจัง”
“แกะดูเอา” ดูท่าลินดาจะถูกใจของที่โจอี้นำมาให้มากทีเดียว เพราะนั่นมันคือแหวนเพชรเม็ดโตเท่าไข่ห่าน ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นแหวนที่ลินดาบ่นทั้งวันว่าอยากได้ๆหลังที่โจอี้เคยเอามาอวดที่โรงเรียน
“กรี๊ดดด!!! รักโจอี้ที่สุด” ยัยนั่นกระโดดกอดโจอี้อีกที เพื่อไม่ให้ช้ำใจไปมากกว่านี้ผมจึงเบือนหน้าแล้วเดินหนีไปทางอื่น แล้วสวาปามค็อกเทลเสียขวดหนึ่งออกอาการเวียนนิดหน่อยตามประสาคนเพิ่งเคยดื่ม
“เฮ้พาย มาได้ไง” นั่นยัยแว่นเอ๋อ(มายด์)นี่นา คนอย่างยัยนี่ก็ถูกชวนมางานวันเกิดลินดาเหมือนกันเหรอ ที่ผมทำท่าไม่ถูกชะตากับมายด์นี่ก็ใช่ว่าผมรังเกียจเธอที่เธอใส่แว่นนะ มายด์ก็น่ารัก ผิวขาว ยิ้มสวยด้วย เรียนก็เก่ง แต่ผมไม่ชอบเธอก็ตรงที่เธอสลัดรักผมตอน ม.3อ่ะดิ(ซะงั้น) ตอน ม.3 เธอไม่ใส่แว่นอ่ะ แต่พอการเรียนเธออ่อนก็เลยต้องอ่านหนังสือมากๆ เลยได้ใส่แว่นเงี้ย ฮึ ตนนี้ผมไม่ง้อแล้วล่ะ ผมจะรักลินดาคนเดียว
“หนีมา”
“แม่ไม่ว่าอ่ะ พ่อแกก็ยิ่งดุๆไม่ใช่เหรอ”
“ไม่อยู่ ไปงานเลี้ยง”
“อืม...ตอนนี้เธอคงโดดเรียนเปียโนมางั้นสิ”
“เธอรู้?”
“ ^ _____ ^” มายด์ยิ้มกว้างเผยให้เห็นฟันขาวๆเรียงกันสวย “นี่ตารางการเรียนของเธอ” เหวย! มายด์มันมีตารางเรียนพิเศษของผมได้ไงเนี่ย!
“เธอ...เอาอะไรมาให้ลินดา” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง แต่มันยิ่งแย่ลงกว่าเดิมเนื่องจากยัยมายด์เอื้อมหน้ามาใกล้ๆหูผมทำเอาขนลุกซ่านไปทั่วทั้งตัว
“ฉันเอา บลายธ์มาให้”
“เอ้อ ไม่เห็นต้องกระซิบเลยนี่” ผมรีบถอยหลังออกไปสักเมตร
“ก็ไม่เซอร์ไพรซ์น่ะสิ เราไปอ่านหนังสือก่อนนะ ที่บ้านลินดามีหนังหนังสือเยอะแยะเลย”
“ชิ่ว” ผมพูดเบาๆแถบจะอยู่ในลำคอก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่ว่านะ ผมคงต้องปลงเรื่องที่จะเอาลินดาแล้วล่ะ ก็ชีวิตของผม...ถูกกำหนดไว้หมดแล้ว
“ไงจ๊ะพาย ไหงมานั่งซึมแบบนี้”
“ลิน...ดา” ดวงตาทั้งสองข้างของผมเริ่งเจือจางนิดๆ สงสัยฤทธ์ของค็อกเทลจะเริ่มออก ไม่ได้นะห้ามหลับ
“เฮ้ย! ตาบ้า!! นี่กินค็อกเทลเหรอ!”
“เกิดอะไรขึ้น”
“โจอี้...ก็เจ้าพายน่ะสิเล่นดื่มไปซะขวดใหญ่”
“ลิน..ดา”
“ถ้าจะเสียสติ แล้วทำไมพร่ำหาแต่เธอล่ะลินดา”
“ไปรู้มั้ยล่ะ ช่วยยกพายไปนอนที่ห้องฉันก่อนสิ ไว้ได้สติแล้วรีบปลุกเลยนะ”
“อื้อ” ผมไม่รู้ว่าตอนนี้อะไรเป็นอะไร รู้แต่ว่า เหมือนผมกำลังสลบไสลอยู่ภายใต้อ้อมแขนอันอบอุ่นที่พาผมวิ่งไปวางบนเตียง จากนั้น...ก็บรรยายอะไรไม่ถูกอีก
. . .
“ลิน...ดา...เฮ้ย!!!” ผมรีบตื่นขึ้นโดยไม่ทันดูว่าเป็นห้องของใครเพราะสิ่งแรกที่ผมทำคือดูนาฬิกาข้อมือของตัวเอง
เดี๋ยวนะ...ผมดูผิดหรือเปล่า “ส..ส...ส...สองทุ่ม!!!!!”
“ใครตายๆๆๆ” ลินดารีบวิ่งเข้ามาในห้องแล้วดันตัวผมลงไปนอนอีก “เป็นบ้าเหรอวะ ตะโกนลั่นบ้านอยู่ได้”
“นี่บ้านแก...”
“เออ!” แล้วอ้อมแขนที่อบอุ่นนั่นล่ะ...เท่าที่จำได้ก็ แหม~ ลินดาช่างแข็งแรงเหลือเกิน “โจอี้มันอุส่าต์แบกแกมาไว้นะเว้ย รีบกลับบ้านเลยงานเลี้ยงเลิกแล้ว”
“โจอี้อุ้มฉัน!!!”
“เออๆ ฝันดี”
ปัง!!
แว้ก! ผมอยากจะระเบิด สมองแทบแตกแล้ว ไรวะ โจอี้อุ้ม = [] = เดี๋ยวก่อน สิ่งที่ควรกังวลไม่ใช่เรื่องนี้นี่นา แต่มัน!!!
. . . . .
“จะ แก้ ตัว ยัง ไง!!!” แม่ตวาดเสียงดังทำเอาผมต้องหลับตาปี๋ เจ้าน้องชายตัวแสบก็ยืนแลบลิ้นปลิ้นตาอยู่ด้านหลัง ทำเอาผมอยากกระโจนเข้าไปจกตับไตไส้พุงมันซะเดี๋ยวนั้น ส่วนน้องเพลงสุดที่รักก็ได้แต่มองผมตาละห้อยราวกับผมจะถูกส่งไปนรกยังไงยังงั้น ว่าแล้วแม่ก็เริ่มร่ายต่อ “แล้วนี่ไม่ใช่แค่โดดเรียนธรรมดานะ! แกยังหนีออกจากบ้านแล้วก็ดื่มไปตั้งขวด!! ทั้งที่แกไม่เคยดื่มเนี่ยนะ!!!”
“ขอโทษครับ..” ผมบ่นงึมงำซ้ำไปซ้ำมาพลางเอาเท้าเขี่ยพื้นอย่างเบื่อๆและอยากจะระเบิดเต็มทน
“จะให้จัดการยังไงกับแกดี” คราวนี้พ่อเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง โดยมีไม้บรรทัดเหล็กด้ามยาวคู่กายแกว่งไปมาท่ามกลางอากาศ “เราอุส่าต์เลี้ยงดู ให้ทุกอย่างที่แกต้องการ ปลูกฝังแกในสิ่งที่ดีๆ แล้วนี่มาฉีกหน้าตระกูลจนพัง!!!”
“...”
“ -_-++”
“แล้วพ่อล่ะ!!เคยถามผมแล้วเหรอว่าสิ่งที่พ่อให้มาผมเคยบอกว่าชอบมั้ย!!!!!” ผมปัดไม้ออกจากมือพ่อหล่นดังเคร้งแล้ววิ่งขึ้นห้องทำเอาพ่อแม่และน้องชายถึงกับอึ้ง พราะตั้งแต่ยังแบเบาะจนโต ลูกชายคนนี้ไม่เคยเถียงพ่อกับแม่เลยแม้แต่แอะเดียว แต่แล้วผมก็เชื่อว่า วันนี้มันต้องเกิดขึ้นสักวัน เพราะคนก็คือคนวันยังค่ำ น้ำตาของลูกผู้ชายที่พ่อพร่ำสอนว่าเป็นคนขี้ขลาดก็เริ่มไหลรินออกมา ทั้งที่ตลอดชีวิตนี้ผมยังไม่เคยร้องเลยสักแอะ ไม่ว่าจะโดนฉีดยาหรือถูกสลัดรัก แต่ตอนนี้มันจนปัญญาที่จะสู้ต่อไปแล้ว ปัญหาทุกอย่างมันเข้ามารุมเร้าผม จนผมอยากจะกระโจนออกนอกหน้าต่างแล้วบอกว่า ลาก่อนนะครับ เต็มทน
ก๊อกๆ!
“พี่ขา...เปิดประตูให้หนูหน่อย”
“ใคร...เพลงเหรอ”
“ค่ะพี่ เปิดให้หน่อยสิ” และแล้วคำพูดที่อ่อนโยนและนุ่มนวลของน้องสาวก็ทำให้ผมยิ้มออกแล้วเดินไปเปิดประตูแต่โดยดี
“เพลง...”
“พี่ขา!”
“อื้อ...เป็นไรน่ะ ร้องทำไม” น้องเพลงรีบกระโจนเข้ามากอดผมทันทีที่เปิดประตูออก แต่ที่สังเกตแว่วๆ คือ น้องเพลงร้องไห้...
“พี่พาย เพลงขอโทษนะ”
“เฮ้ย น้องไม่ผิดซะหน่อย” ผมจูงมือน้องเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูก่อนจะนั่งลงบนเตียงข้างๆน้อง
“เพลงช่วยพี่ไม่ได้...ฮึก...”
“โอ๋ๆ มีเพลงอยู่พี่ก็สบายใจแล้วล่ะ” ผมดึงร่างเล็กๆของน้องเข้าไปกอดอย่างทะนุถนอมแล้วเอสผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาให้ “ลูกผู้หญิงร้องไห้ไม่เก่งรู้มั้ย”
“อือ พี่พาย...อย่ากรธคุณพ่อกับคุณแม่นะ”
“...”
“สัญญากับเพลงได้มั้ย” นิ้วก้อยของน้องที่ยื่นเข้ามาทำให้ผมอยากจะร้องไออกมาเดี๋ยวนั้น ก็พี่...โกรธอยู่นี่นา
“...”
“สัญญาสิ”
“...อื้อ สัญญา”
“เพลงว่าพ่อกับแม่คงจะเข้าใจพี่นะ”
. . .
และหลังวันที่เกิดเหตุการ์ณนั้น ผมก็รู้สึกอยากขอบพระคุณคุณน้องเพลงเป็นอย่างมาก นอกจากช่วยปลอบใจผมแล้ว ยังทำให้ครอบครัวเรากลับมาเป็นเหมือนเดิม ไม่สิ...ไม่เหมือนเดิมแล้ว
“พาย!!! พ๊ายยยยย!!!!”
“แม่ครับ ลินดามาแล้ว”
“อื้อๆ เดินทางระวังๆล่ะ” ผมวิ่งเข้าไปหอมซ้ายหอมขวาแม่ที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ นี่ลินดามารับผมไปโรงเรียนด้วย ดีใจเป็นบ้า เพราะเรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิตผมเลยแม้แต่ครั้งเดียว แล้วคำของน้องเพลงก็ทำเอาผมจำขึ้นใจ
“ ถ้าพี่ยังเอาชีวิตพี่มาเป็นของพี่ไม่ได้ ก็อย่าได้หวังสิ่งอื่นเลยค่ะ “
ความคิดเห็น