ตอนที่ 8 : Chapter 07 :: พฤติกรรมน่าสงสัย (100%)
Chapter 7
พฤติกรรมน่าสงสัย
สัมผัสหนักๆ จากฝ่ามือหยาบกร้านที่ลูบอยู่บนแผ่นหลัง ไม่ได้ช่วยให้ผมหายใจสะดวกขึ้น ตรงกันข้ามมันกลับทำให้หัวใจของผมเต้นแรงและหายใจติดขัดกว่าเดิม จนลืมไปชั่วขณะว่ากำลังสำลักอยู่ ยิ่งร่างกายกำยำเข้ามาเบียดชิดก็ยิ่งทำให้ผมจินตนาการเตลิดเปิดเปิงไปไกล…
พี่เมฆคงไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองหุ่นดีแค่ไหน รูปร่างแบบนี้เป็นนายแบบได้สบาย ไหนจะผิวสีแทนเข้มเนียนสม่ำเสมอไปทั้งตัวนั่นอีก
“โกรธพี่เหรอ”
เหลือบมองกล้ามหน้าอกกับซิกแพ็กซ์แข็งๆ ที่แนบอยู่บนแขนตัวเองแล้ว ผมก็ต้องก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิม
“เปล่า วาแค่...เคืองตา” ด้วยไม่รู้จะอธิบายยังไง ผมเลยหาข้ออ้างบังหน้า แล้วแกล้งยกมือขยี้ตาให้ดูน่าเชื่อถือ
“ไหนให้พี่ดูหน่อย...อย่าขยี้ตาสิ” พี่เมฆไม่พูดเปล่า มือหนึ่งคว้าข้อมือของผมไว้ดึงห่างออกจากตา อีกมือก็จับปลายคางบังคับให้เงยหน้าขึ้น
...แบบนี้ทำเอาหัวใจเต้นแรงกว่าเดิมอีก
“ค...แค่ผงเข้าตา ดีขึ้นแล้ว” แหงนมองใบหน้าหล่อคมคายในระยะประชิดได้แค่เสี้ยววินาที ผมก็ต้องรีบหลุบตาต่ำ จ้องน้ำใสในลำคลองแทน
“อืม ตาไม่แดง คงไม่เป็นไร”
“.....”
บอกว่าไม่เป็นไร แต่พี่เมฆยังไม่ยอมปล่อยมือออกเสียที จนผมนึกแปลกใจเลยแอบเหลือบมอง...สายตาคมกริบกำลังจ้องตอบ ไม่ใช่ที่ดวงตาของผม แต่เป็นริมฝีปาก ก่อนที่ปลายนิ้วหัวแม่มือหนาหยาบจะแตะมันและลูบไล้อย่างแผ่วเบา
“อันตรายจริงๆ”
“อ...อะไรอันตรายครับ?”
“วาไง...อันตรายไปทั้งตัว”
ฝ่ามือข้างนั้นเลื่อนมาประคองใบหน้าผม ส่วนมืออีกข้างวางนาบอยู่เหนือสะโพกเพียงเล็กน้อย ลูบเบาๆ ชวนให้ใจหวิวชอบกล...ไม่รู้เลยว่ามันไปวางอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วไม่รู้ด้วยว่าผมควรขยับตัวทางไหนหรือพูดอะไร ตอนนี้หูตาอื้อลายไปหมด ทำได้เพียงยืนนิ่งมองใบหน้าคมคายเคลื่อนเข้ามาใกล้มากขึ้น...มากขึ้น ก่อนที่ปลายจมูกโด่งจะเฉียดผ่านแก้มผมไป แม้จะแผ่วเบาแต่ร่างกายของผมกลับร้อนรุ่มเพียงเพราะลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดลงมา
“ฝนเริ่มตกหนักแล้ว รีบอาบน้ำเถอะ”
เสียงทุ้มต่ำกระซิบบอก ก่อนที่อีกฝ่ายจะผละห่าง ทำตัวปกติราวกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เรากลับมาที่กระท่อม ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า และเข้านอน...
ทุกอย่างไม่ต่างจากคืนแรกที่ผมนอนค้างที่นี่ พวกเรานอนเบียดกันบนฟูกในกระท่อมเล็กแคบ รอบด้านมืดทึบ ได้ยินเสียงสายฝนกระทบหลังคาใบจาก ดังปนเปกับเสียงร้องระงมของอึ่งอ้างและแมลง
ผมพลิกตัวนอนตะแคง หันหน้าเข้าหาคนตัวโตข้างๆ ที่กำลังหลับตาพริ้ม มองหน้าอีกฝ่ายแล้วได้แต่นึกสงสัย...การกระทำพวกนั้นมีความหมายหรือแค่ผมคิดมากไป? แต่คนเราเวลาแอบชอบใครก็มักคิดเข้าข้างตัวเองกันทั้งนั้น ถ้าพี่เมฆชอบผมจริงเขาคงจูบผมไปแล้ว และคงไม่ทำตัวปกติได้ขนาดนี้
พี่เมฆคงไม่ชอบผู้ชายหรอก พี่เขาก็แค่เอ็นดูผมเหมือนน้องชายคนหนึ่ง
นอนนิ่งมองหน้าคมคายนั่นอยู่นานจนหาคำตอบให้ตัวเองได้ ผมก็พลิกตัวจะกลับมานอนหงาย แต่กลับถูกท่อนแขนแข็งแรงวางพาดลงบนเอว ก่อนที่ฝ่ามือหนักๆ จะดันแผ่นหลังของผมให้ขยับเข้าแนบชิดกับร่างกำยำ...แนบชิดจนทุกส่วนในร่างกายบดเบียดเข้าหากัน
“นอนได้แล้ว”
เสียงทุ้มต่ำนั้นพูดเหมือนละเมอ ฝ่ามือหนาหยาบลูบไปมาอยู่บนแผ่นหลัง แต่เพราะชายเสื้อร่นขึ้น ฝ่ามือข้างนั้นจึงสัมผัสลงบนผิวกายโดยตรง ทำให้ผมรู้สึกปั่นป่วนในท้องขึ้นมา
“พี่เมฆ...” ผมเอ่ยเรียกเบาๆ อยากจะปราม แต่ไม่รู้ควรบอกยังไง พอขยับจะผละห่างกลับถูกดึงไปกอดไว้ทั้งตัว ทำให้ร่างกายของเราแนบชิดกันมากกว่าเดิม
“นอน” พี่เขากระซิบบอกอีกครั้ง แล้วกดจูบลงบนหน้าผากผม เป็นภาษากายง่ายๆ ที่สามารถสั่งให้ผมหยุดขยับ ยอมนอนแน่นิ่งอยู่ในอ้อมกอดนั้น ปล่อยให้อีกฝ่ายลูบไล้เอาตามแต่ใจจนผล็อยหลับไปทั้งที่ยังมีคำถามค้างคาอยู่ในหัว
ผู้ชายสองคนที่คบหากันอย่างพี่น้อง ทำอะไรแบบนี้ต่อกันถือเป็นเรื่องปกติ?
[Special Part: Make]
เช้าวันต่อมา
หลังจากผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็พาวาไปที่บ้าน น้องชวนให้ผมอยู่กินมื้อเช้าด้วย ซึ่งแน่นอน ฝนทิพย์อนุญาต ส่วนน้าอาทิตย์ได้ยินว่าไปทำงานต่างจังหวัด อีกหลายวันกว่าจะกลับ
เพิ่งจะนั่งคุยกันได้ไม่กี่ประโยค วาก็ปลีกตัวขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ทิ้งให้ผมอยู่กับฝนทิพย์ตามลำพังในห้องนั่งเล่น
ท่าทางของฝนทิพย์วันนี้ต่างจากที่เจอกันครั้งแรก เธอดูเป็นปกติมากขึ้น ทำราวกับพวกเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แสดงละครตบตาได้แนบเนียน...การกระทำพวกนั้นทำให้ผมยิ่งเกลียดเธอ
“เมฆชอบกินอะไร น้าจะได้ให้แม่บ้านทำเพิ่ม”
ผมมองหน้าคนพูดที่นั่งอยู่ข้างๆ บนโซฟายาวตัวเดียวกัน ใบหน้าสวยใสไร้รอยเหี่ยวย่น กับรอยยิ้มบางดูใจดีราวกับนางฟ้าทำให้ผมรู้สึกขยะแขยง นึกอยากกระชากออกมาดูนัก ว่าภายใต้หน้ากากที่เธอสร้างขึ้น มีความเลวร้ายอะไรซ่อนอยู่
“ตอนเด็กๆ ผมลำบากมามาก แค่น้ำมันหมูคลุกข้าวกินยังอร่อย ไม่ต้องยุ่งยากทำกับข้าวเพิ่มหรอก”
รอยยิ้มบนใบหน้าฝนทิพย์จางลง...ยิ่งมองผมก็ยิ่งรู้สึกว่าวายุดูคล้ายเธอมากจริงๆ แต่ทำไมกันนะ ผมถึงไม่ได้เกลียดน้องไปด้วย บางทีผมคงยังหลงเหลือความรักให้ฝนทิพย์อยู่บ้าง ปฏิเสธไม่ได้ว่าในความทรงจำ เธอเคยเป็น ‘แม่’ ที่ดีคนหนึ่ง ซึ่งอาจเพราะแบบนั้น ผมจึงถูกชะตากับวาตั้งแต่แรกเจอ และผมได้มอบเศษเสี้ยวความรักในใจให้วาจนหมด เหลือไว้แต่ความเกลียดชังต่อฝนทิพย์
“ขอโทษ” จู่ๆ ฝนทิพย์ก็พูดคำนั้นออกมาหลังจากนิ่งเงียบไปพักใหญ่
“คำขอโทษลบล้างความผิดที่คุณทำไว้ไม่ได้หรอกฝนทิพย์” ผมตอบเธอด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่นขึ้น ถ้าเธอมีความละอายอยู่บ้าง เธอจะไม่กล้าขอให้ผมอภัยด้วยคำพูดง่ายๆ เพียงคำเดียว
“อืม น้ารู้...ต้องใช้ชีวิตตัวคนเดียว เมฆคงรู้สึกโดดเดี่ยวมาตลอด เป็นธรรมดาที่เมฆจะโกรธน้ามากขนาดนี้”
ด้วยคำพูดและแววตาสงสารของของฝนทิพย์ ผมรู้สึกราวกับถูกเหยียดหยาม...ไม่ว่าตอนนี้ผมจะมีชีวิตที่ดีแค่ไหน แต่ในสายตาเธอ ผมยังคงดูน่าสมเพช
ฝนทิพย์สะกิดแผลในใจของผมจนได้เลือด เธอไม่ควรไปแตะต้องรอยแผลนั้น แผลที่เธอเป็นคนทำเอาไว้กับมือตัวเอง!
“ใช่ ผมรู้สึกโดดเดี่ยว แต่ต่อจากนี้คงไม่แล้ว ผมมีน้องชายแล้วนิ” ผมยกยิ้ม โน้มตัวเข้าไปใกล้เธอมากขึ้น ก่อนจะนาบฝ่ามือหยาบกร้านลงบนใบหน้าสวยหวาน ไล้ปลายนิ้วโป้งแผ่วเบาบนผิวเนียนเรียบเต่งตึง “ขอบคุณนะ ที่ใช้หน้าตาสวยๆ ของคุณจับผู้ชายดีๆ มาเป็นสามี แล้วปั้นน้องชายน่ารักมาให้ผม…”
อีกฝ่ายมองสบตาผมอย่างนิ่งงัน หัวคิ้วของเธอขมวดเข้าหากันเล็กน้อย สีหน้าดูกังวลใจ “เมฆคงไม่คิดจะทำร้ายน้องใช่ไหม?”
ทำร้าย? นี่เธอคิดอะไรอยู่ หาว่าผมยังเป็นเด็กแปดขวบที่นึกอิจฉาน้องเพราะโดนแย่งความรักไปน่ะเหรอ
“อย่าห่วงเลย วาเป็นเด็กน่ารัก ผมรังแกน้องไม่ลงหรอก”
...มีแต่อยากจะแย่งมาเป็นของตัวเอง
[End Make’s Part]
ผมมองเงาสะท้อนของตัวเองบนกระจกบานเลื่อนหน้าตู้เสื้อผ้า ใช้ปลายนิ้วลูบลงบนรอยจ้ำแดงสองรอยบนลำคอกับหน้าอกด้วยความสงสัย ดูไม่เหมือนผื่นแพ้และไม่ได้รู้สึกคันคะเยอ อาจจะโดนแมลงกัดล่ะมั้ง
หาคำตอบให้ตัวเองได้แล้ว ผมก็เลือกเอาเสื้อยืดสีขาวดูสบายๆ ในตู้มาสวม แล้วรีบเดินออกจากห้อง ลงบันไดไปหาคนที่รออยู่ชั้นล่าง
“เธอคงไม่คิดทำร้ายน้องใช่ไหม?”
เสียงพูดคุยที่ดังแว่วมาจากห้องนั่งเล่น เร่งให้ผมสาวเท้าเข้าไปใกล้มากขึ้น ก่อนจะต้องหยุดชะงัก ยืนแข็งทื่อกับภาพที่เห็น
พี่เมฆกับแม่...ทำไมถึงนั่งใกล้กันขนาดนั้น ทำไมพี่เขาถึงกล้าจับหน้าแม่ ลูบไล้มันราวกับหวงแหน เขากำลังทำบ้าอะไร! แม่ผมอายุสี่สิบสอง พี่เมฆเพิ่งจะยี่สิบหก อายุห่างกันตั้งเท่าไหร่ ที่สำคัญนั่นแม่ผมนะ!
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!
“อย่าห่วงเลย วาเป็นเด็กน่ารัก ผมรังแกน้องไม่ลงหรอก”
ก่อนที่ผมจะตะโกนด่าทอออกไป น้ำเสียงทุ้มต่ำก็ดังขัดขึ้น ดึงให้ผมได้สติ พยายามควบคุมอารมณ์ตัวเอง บอกตัวเองให้สงบลงแล้วหยิบไอโฟนในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาแนบหู แสร้งทำเป็นคุยกับใครสักคน
“อ่อครับ กำลังจะกินครับ”
ผมสาวเท้าไปที่ประตูกระจก ผลักมันเปิดออก ก่อนจะเดินเข้าไปในเรือนเพาะชำซึ่งใช้ผนังกระจกด้านหนึ่งร่วมกับห้องนั่งเล่น คล้ายตู้โชว์ขนาดยักษ์ที่มีต้นไม้นานาพันธุ์อยู่ด้านใน แกล้งเดินดูต้นไม้เรื่อยเปื่อย ทำเป็นหยิบบัวรดน้ำมารด พร้อมกับคุยโทรศัพท์กับลมฟ้าอากาศอยู่เกือบสองนาที จึงเดินออกมาจากห้องนั้น ไปหาคนทั้งสองที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวเดียวกัน
“แม่บ้านตั้งโต๊ะรึยังครับ วาหิวแล้ว” ผมบอกแม่ แล้วทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้าม แสร้งก้มหน้าเล่นมือถือด้วยท่าทีไม่สนใจเพื่อบดบังสีหน้าตัวเอง
“น่าจะเรียบร้อยแล้วล่ะ” แม่ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วผุดลุกจากโซฟา ผมกับพี่เมฆจึงลุกตาม แต่ตอนที่แม่กำลังจะเดินผ่านหน้าผมไป จู่ๆ ก็ชะงักเท้า ขมวดคิ้วมองมาที่คอของผม “คอไปโดนอะไรมาครับ”
“หือ...” หยุดคิดเล็กน้อยผมก็ตอบปัดๆ ไปว่า “แมลงกัดมั้งครับ ไม่รู้ตัวเหมือนกัน”
“กินข้าวเสร็จทายาด้วยล่ะ” แม่ยื่นนิ้วมาแตะๆ ตรงรอยนั่นอยู่ครู่หนึ่ง “ในป่ามีแมลงเยอะ คราวหลังไปนอนบ้านพี่เมฆอีกก็พกสเปรย์กันแมลงไปด้วยนะครับ”
“ครับ”
เห็นผมว่าง่ายแม่จึงยิ้มพอใจ แล้วเดินนำพวกเราไปทางห้องกินข้าว ส่วนผมที่เดินตามอยู่ด้านหลัง แอบเหลือบมองผู้ชายตัวสูงข้างๆ สีหน้าพี่เขาเคร่งขรึมกว่าปกติ ไม่รู้ว่าอารมณ์ไม่ดีเพราะถูกขัดจังหวะ หรือกลัวจะมีคนเห็นฉากเมื่อกี้เข้ากันแน่
ขณะก้าวเท้าไปข้างหน้า ผมได้แต่คิดวนไปวนมาอยู่เรื่องนั้น สงสัยว่าแม่กับพี่เมฆกำลังปิดบังความลับอะไรเอาไว้ และผมควรทำยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
Pie2Na
วาอย่าคิดไปเองจนเอาไปพาลโกรธพี่เมฆนา
ไว้เจอกันตอนหน้า รออ่านคอมเม้นอยู่นา
ขอบคุณครับ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

5555555555 รอน้าาาาาาา