ตอนที่ 6 : Chapter 05 :: อยากครอบครอง (100%)
Chapter 5
อยากครอบครอง
[Special Part: Make]
ความจริงแล้วผมไม่ได้บังเอิญขับรถผ่านหน้าโรงเรียนวา ผมไปเพื่อดักเจอน้อง ทั้งที่ตอนแรกผมขยำกระดาษโน้ตที่วาจดเบอร์โทรไว้ให้ทิ้ง และตั้งใจจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับครอบครัวนั้นอีก แต่ผมกลับทนนิ่งเฉยไม่ไหว
ผมยืนอยู่ริมฟุตพาทตอนที่วาโดนเพื่อนรุมแกล้ง ไม่ได้เข้าไปช่วยเพราะอยากรู้ว่าน้องจะแก้ปัญหายังไง ซึ่งวาก็ทำได้ดี ไม่หัวร้อนไปท้าตีท้าต่อยใครทั้งที่ตัวเองสู้ไม่ไหว แต่ก็ไม่ยอมโดนรังแกง่ายๆ เสียอย่าง...น้องมักเผลอมองคนอื่นอย่างดูถูก
วาคงไม่รู้ตัวเลยว่าใช้สายตาแบบไหนมองเด็กตัวโตที่ชื่อ ‘ต้น’ แล้วน้องก็ใช้สายตาแบบเดียวกันตอนให้มือถือกับผม
ผู้หญิงคนนั้นเลี้ยงลูกมายังไงกันนะ นั่นคือสิ่งที่ผมสงสัยจนต้องหาข้ออ้างพาตัวเองเข้ามาในบ้านสองชั้นหลังใหญ่ตกแต่งหรูหรา มองลูกชายของเธอแล้วได้แต่หาเหตุผลให้ตัวเองว่าทำไมถึงสนใจเด็กคนนี้นัก
บางทีผมอาจจะกำลังรู้สึกโดดเดี่ยวเลยขวนขวายหาครอบครัว ตอนที่รู้ว่าวาคือ ‘น้องชายต่างพ่อ’ ผมทั้งโมโหและอิจฉา...โมโหที่ผู้หญิงเห็นแก่ตัวคนนั้นทิ้งผมไป อิจฉาที่เธอสามารถสร้างครอบครัวใหม่แสนอบอุ่น แต่ขณะเดียวกันผมกลับลบภาพวาออกจากหัวไม่ได้เลย เอาแต่นึกถึงน้องตลอดเวลา
ลึกๆ แล้วผมคง ‘อยากได้’ วามาเป็นน้องชายตัวเองจริงๆ เพราะวาคือครอบครัวเพียงคนเดียวที่ผมมี
แน่นอน...ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ เธอไม่ได้เป็นแม้แต่มนุษย์ในสายตาของผม
“ห้องน้ำอยู่ทางนั้นครับ เดินตรงไปแล้วเลี้ยวซ้าย” วาที่ยืนอยู่ข้างๆ ชี้บอกทาง แต่ยังไม่ทันที่ผมจะก้าวเท้าไปไหน เสียงเรียกทักทายหวานหูก็ดังมากจากบันไดทางขึ้นชั้นสอง
“ทำไมกลับช้าจังวา แล้วนั่นพาใครมาด้วย”
ผมเหลียวไปมอง ผู้หญิงสวยจัดในชุดกระโปรงแขนกุดสีครีมกำลังเดินลงมา เมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ลูกของเธอคือใคร ใบหน้าที่เคยยิ้มสดใสก็เผือดสีลงเล็กน้อย แต่เพียงแวบเดียวริมฝีปากได้รูปกลับโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มบางอีกครั้ง สองขาเรียวยาวก้าวมาทางพวกเราอย่างไม่รีบร้อน
“พี่เมฆที่มาส่งวาเมื่อวันก่อนไงครับ”
“อ้อ จ่ะ” ฝนทิพย์จ้องหน้าผมอยู่ครู่ใหญ่จนวาเริ่มมองพวกเราสองคนอย่างสงสัย เธอจึงเสหลบตา “แล้วนี่หิวกันรึยัง อีกครึ่งชั่วโมงกับข้าวก็เสร็จแล้ว เมฆอยู่กินข้าวเย็นด้วยกันเลยสิ”
“วากับพี่เมฆกินมาจากข้างนอกแล้วครับ”
“พี่ยังไม่อิ่ม” ผมบอกด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย ถ้าฝนทิพย์กล้าชวนทั้งที่ทำเป็นไม่รู้จักผม ผมก็กล้ารับ
วาแหงนหน้ามองผมด้วยสีหน้าแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้พูดขัด “งั้น...ขอพุดดิ้งให้วาแล้วกันครับ วายังอิ่มอยู่ อยากกินพวกของหวานมากกว่า”
“อืม พาพี่เขาไปนั่งรอที่ห้องรับแขกสิ เดี๋ยวแม่บอกแม่บ้านให้ยกน้ำยกขนมไปให้”
นั่งคุยกับวาอยู่ในห้องรับแขกไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แม่บ้านก็มาเรียกพวกเราไปกินมื้อเย็น กับข้าวมากมายบนโต๊ะกระจกสี่เหลี่ยมตัวยาวทำให้ผมยิ้มมุมปากอย่างเยาะหยัน
ฝนทิพย์รั้งให้ผมอยู่ที่นี่ต่อ เพื่ออยากอวดว่าตัวเองมีชีวิตที่ดีขึ้นแค่ไหนหลังจากทิ้งพวกเราไป?
ผมนั่งลงตรงข้ามฝนทิพย์ สามีรูปหล่อที่เพิ่งกลับมาจากทำงานนั่งอยู่ข้างๆ เธอ เขาส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ผมกับวา บทสนทนาง่ายๆ บนโต๊ะอาหารเริ่มขึ้น ฝนทิพย์ยิ้ม หัวเราะ ถามไถ่ลูกชายถึงการเรียนวันนี้ พูดคุยทักทายผมอย่างเป็นกันเองราวกับในอดีตไม่เคยทำเรื่องต่ำช้าเอาไว้
...ยิ่งเธอดูมีความสุขมากเท่าไหร่ ผมกลับรู้สึกอิจฉาจนนึกอยากให้รอยยิ้มของเธอจางหายไป แล้วจู่ๆ ความคิดหนึ่งก็โผล่ขึ้นในหัว...ถ้าผมแย่งความสุขของเธอมาล่ะ?
ผมมองไปที่วา น้องกำลังตักพุดดิ้งในจานเข้าปาก รอยยิ้มที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักปรากฏขึ้นบนใบหน้าหวานๆ นั่น เมื่อฝนทิพย์พยายามป้อนมะละกอให้ ทั้งที่โดนลูกชายสายหน้าปฏิเสธเป็นครั้งที่ห้า
“มะละกอมีประโยชน์นะวา กินหน่อยสิ”
“คุณอย่าบังคับลูกเลย เดี๋ยววาโตก็กินได้เอง”
“ใช่ครับ” วาพยักหน้าหงึกหงัก ท่าทางน่ารักเสียจนไม่น่าเชื่อว่าน้องอายุสิบเจ็ดแล้ว เป็นมุมที่ผมยังไม่เคยเห็นและอยากเห็นบ่อยขึ้น
“ไม่อยากกินมะละกอก็กินฝรั่งสิ อร่อยดี” ผมใช้ส้อมจิ้มฝรั่ง ยื่นไปจ่อตรงปากน้อง
“.....” คนโดนป้อนเอาแต่ส่ายหน้าและย่นคอหนี ทำให้ผมเผลอใช้สายตาดุๆ ด้วยความเคยชิน ซึ่งนั่นทำให้วายอมอ้าปากกัดฝรั่งชิ้นนั้นกินคำเล็ก เคี้ยวไปพลางคิ้วสีน้ำตาลเข้มก็ย่นเข้าหากันอย่างไม่ชอบใจ
“ดูเมฆจะเข้ากับน้องได้ดีนะคุณ คุณป้อนตั้งนานลูกไม่เห็นยอมกิน”
ผมยิ้มรับกับคำพูดนั้น ก่อนจะหันไปมองฝนทิพย์ “พี่ชายกับน้องชายต้องเข้ากันได้ดีกว่าแม่กับลูกชายอยู่แล้ว ว่าไหมครับ”
“อืม พูดก็ถูก ลูกชายชอบดื้อกับแม่นักล่ะ” น้าอาทิตย์หัวเราะอย่างเห็นเป็นเรื่องขำ แต่ถ้าเขารู้ว่าผมจริงจังกับคำพูดนั่นมากแค่ไหนก็คงขำไม่ออก
คงไม่มีพ่อแม่ที่ไหนดีใจถ้าโดนแย่งลูกไปหรอกมั้ง...นี่ผมควรขอบคุณฝนทิพย์รึเปล่า ที่คลอดน้องชายของผมออกมาได้น่ารักขนาดนี้
[End Make’s Part]
สายตาดุๆ ของพี่เมฆมักทำให้ผมเกรงจนเผลอทำตามสิ่งที่เขาต้องการอยู่บ่อยๆ อย่างบนโต๊ะอาหาร ทั้งที่ผมไม่ชอบกินผลไม้ แต่ผมก็อ้าปากกัดฝรั่งชิ้นนั้นเข้าไปจนได้
ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า...ผมรู้สึกว่าพี่เมฆค่อนข้างแปลก บางครั้งก็ดูเป็นผู้ชายติดดินธรรมดาที่อบอุ่นใจดี แต่บางครั้งกลับน่ากลัว ทั้งสายตา คำพูด ท่าทาง ดูน่ายำเกรง มีอำนาจทำให้คนคล้อยตาม เหมือนว่าเขาจะเคยชินกับการออกคำสั่งมากกว่าฟังคนอื่น
“ขี่รถระวังๆ นะครับ” ผมบอกกับคนตัวสูงกว่าที่กำลังนั่งคร่อมอยู่บนบิ๊กไบค์สีดำแดง
พวกเรานั่งพูดคุยกันต่อหลังกินมื้อเย็นเสร็จ โดยเฉพาะพี่เมฆกับพ่อที่คุยกันถูกคอถึงเรื่องธุรกิจ พืชพันธ์ทางการเกษตร ต่างๆ นานาจนลากยาวเป็นชั่วโมง กว่าผมจะพาตัวแขกออกมาส่งหน้าประตูบ้านได้ฟ้าก็มืดสนิทแล้ว
แต่ก็แปลก...พ่อกับแม่ดูจะชอบพี่เมฆ และยอมให้ผมสนิทสนมกับพี่เขาโดยไม่ซักถามประวัติอีกฝ่ายก่อน ทั้งที่พี่เมฆอายุแก่กว่าผมหลายปี และหน้าตา การแต่งตัวดูไม่น่าไว้วางใจ (หน้าดุกว่านี้อีกนิด ยามที่แบงค์อาจไม่ยอมเปิดประตูให้) ยิ่งกว่านั้น...ท่าทีระหว่างแม่กับพี่เมฆก็ไม่เหมือนคนที่เพิ่งรู้จักกัน
“อืม” มือหนาสากเอื้อมมาที่หัวผม แต่เพราะผมไม่ชินกับการให้คนอื่นลูบหัวนอกจากพ่อ เลยเอนหลบตามสัญชาตญาณ แต่สุดท้ายก็โดนฝ่ามือหนักๆ วางแหมะลงบนนั้นอยู่ดี “วาก็รีบนอนล่ะ จะได้สูงไวๆ” เจ้าของมือพูดพลางขยี้หัวผมเบาๆ
“.....”
“เข้าบ้านสิ” เขาดึงมือกลับไปจับแฮนด์รถ
ผมเม้มปาก ก้มมองมือข้างนั้นอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับเข้าบ้าน พอปิดประตูและลงล็อกเรียบร้อยแล้ว ถึงได้ยินเสียงรถขี่ออกไป
น่าเสียดายที่ประตูเล็กสำหรับเดินเข้าออก ไม่มีรูให้มองลอดออกไปได้ ผมจึงไม่เห็นว่าพี่เมฆกำลังทำสีหน้ายังไง...จะรู้สึกเสียดายที่เราต้องบอกลากันอย่างที่ผมกำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้ไหม
ตอนนั่งรอกินมื้อเย็นในห้องนั่งเล่น ผมสอนวิธีใช้ไอโฟนให้พี่เมฆแล้ว และสมัครไลน์ใหม่ให้ด้วย พี่เขาจะใช้เป็นรึเปล่านะ ถึงบ้านแล้วจะไลน์บอกผมไหม หรือผมควรไลน์ถามเขาก่อนดี?
ขณะเดินกลับเข้าบ้าน ก้าวขึ้นบันไดไปยังห้องนอน ทำนู่นนี่ตามปกติ จนกระทั่งล้มตัวลงบนเตียง ในหัวของผมยังมีแต่เรื่องพี่เมฆผุดเข้ามาเต็มไปหมด มองนาฬิกาอีกทีถึงรู้ว่าตอนนี้สี่ทุ่มกว่าแล้ว
หยิบมือถือขึ้นมาดูรอบที่เท่าไหร่เกินจะนับ ก็ยังไม่เห็นมีข้อความจากพี่เมฆส่งมา เลยได้แต่จ้องมองไอโฟนในมืออย่างเลื่อนลอย สมาร์ทโฟนเครื่องนี้เป็นรุ่นเดียวกับที่ให้พี่เมฆไป ต่างกันแค่เครื่องของผมเป็นสีแดงขาว แต่ของพี่เมฆเป็นสีดำ ถ้าผมซื้อเคสมาใส่คู่กันดีไหมนะ?
บ้าแล้ว...นี่ผมคิดเพ้อเจ้ออะไรอยู่วะเนี่ย ฟุ้งซ่านชะมัด
ในตอนที่ผมกำลังจะวางไอโฟนไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียง เพื่อจะได้เข้านอนสักที ก็มีแถบข้อความเด้งขึ้นมาบนหน้าจอ
PCould : พี่มีงานด่วน พรุ่งนี้ต้องไปต่างจังหวัดแต่เช้า คงไม่ได้เจอเราสักพัก
อ่านข้อความนั้นแล้ว จากที่ยิ้มดีใจในตอนแรกที่พี่เมฆส่งข้อความมา กลายเป็นรู้สึกหดหู่แทน
Wind Vayu : ไปกี่วันครับ
PCould : น่าจะสักหนึ่งอาทิตย์
Wind Vayu : นานจัง...
PCould : ถ้างานเสร็จเร็วพี่จะรีบกลับ
PCould : ดึกแล้ว รีบนอน
Wind Vayu : ยังไม่ง่วงเลย
สถานะข้อความขึ้นว่า ‘อ่านแล้ว’ ตั้งแต่ผมเพิ่งกดส่งไป แต่รอแล้วรออีกคนอ่านก็ไม่ตอบกลับสักที ผมจึงส่งสติ๊กเกอร์ถามว่า ‘ทำอะไรอยู่’ ไปอีกรอบ คราวนี้พี่เมฆตอบมาทันที สั้นๆ ได้ใจความ
PCould : นอน
ใครนอน? เขากำลังบอกว่าตัวเองนอนอยู่หรือสั่งให้ผมนอน? แต่ผมคิดว่าน่าจะเป็นอย่างหลัง เลยถ่ายรูปตัวเองนอนหลับ (ปลอมๆ) อยู่บนเตียงส่งไป ก่อนจะวางมือถือไว้ที่โต๊ะ ปิดโคมไฟ แล้วหลับตาลง แม้ว่าจะยังไม่รู้สึกง่วงก็ตาม
Pie2Na
วาอย่าใจอ่อน เดี๋ยวไปรักเขาหมดใจแล้วจะน้ำตาเช็ดหัวเข่านา T^T
เรื่องนี้เราจะมุ้งมิ้งในช่วงแรก ทรมานนายเอกตอนกลาง
แล้วเอาคืนพระเอกกันช่วงหลังนะ >_< จัดไปให้เต็มเหนี่ยว 5 5 5 5
ขอโทษที่หายไปนานน้า ไปวัด+ไปปาร์ตี้กับเพื่อนมา จะพยายามมาให้ได้ทุกวันน้อ กำลังใจและคอมเม้นก็มีผลต่อความถี่นะ 5 5 5 5
พรุ่งนี้ถ้าว่างๆ จะแวะเข้ามาตอบเม้นน้า
ขอบคุณจ้า
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

271 ความคิดเห็น
-
#267 - Rain Mist - (จากตอนที่ 6)วันที่ 19 เมษายน 2561 / 01:29น้องวาาาา อย่าไปชอบมัน นั่นมันคนใจร้าย#2670
-
#70 Noey_CHP (จากตอนที่ 6)วันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 / 23:25วาชอบพี่เมฆแล้ว พี่ก็อย่าใจร้ายกับน้องมากนะ#700
-
#41 luzia atiria (จากตอนที่ 6)วันที่ 17 ตุลาคม 2560 / 00:41อ่อออ เป็นพี่นี่เอง ไม่นึกว่าจะเป็นพี่555555#410
-
#24 foreverkyungsoo (จากตอนที่ 6)วันที่ 30 กันยายน 2560 / 20:28รอรอรอรอรอรอน้า#240
-
#22 หนู (จากตอนที่ 6)วันที่ 30 กันยายน 2560 / 00:08ชอบชื่อไอดีไลน์ น่ารักดีค่ะ 😊#220
-
#21 DESIMO-SAMA (จากตอนที่ 6)วันที่ 29 กันยายน 2560 / 23:44คนเขียนแลดูโหดร้าย....แต่ถ้าเป็นจริงจัดพี่เมฆหนักๆนะคะน้องวา หุๆ#210