ตอนที่ 4 : Chapter 03 :: คนในความทรงจำ (100%)
Chapter 3
คนในความทรงจำ
[Special Part: Make]
"จอดตรงบ้านหลังนั้นเลยครับ"
ผมชะลอรถ เลี้ยวเข้าจอดหน้าประตูรั้วสแตนเลสตามที่คนด้านหลังบอก พอคาดเดาได้แต่แรกว่าคือบ้านหลังนี้ เพราะเป็นบ้านใหม่หลังเดียวที่เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อเดือนก่อน ถ้าไม่นับบ้านเรือนไทยที่อยู่ลึกเข้าไปในป่าท้ายหมู่บ้าน บ้านหลังนี้นับว่าใหญ่ที่สุด คาดคะเนด้วยสายตาแล้วน่าจะกินพื้นที่เกือบหกไร่
คนในอำเภอเราส่วนมากทำสวนผลไม้ สวนยาง ฐานะยากจนถึงปานกลาง มีที่ดินว่างก็ใช้ปลูกพืชพันธุ์ไว้ทำเงิน ไม่บ้าบิ่นพอจะเอามากั้นเป็นอาณาเขตบ้าน ปลูกไม้ประดับอย่างไร้ประโยชน์ ส่วนคนที่ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตัวเองก็รับจ้าง ค้าขาย ไม่ได้ร่ำรวยไปกว่าชาวสวน มีบ้างที่ลูกหลานบางครอบครัวย้ายไปอยู่ในตัวเมือง ทำอาชีพอื่นแล้วร่ำรวยขึ้นมา
“พี่เห็นที่ดินตรงนี้ถูกทิ้งร้างไว้หลายปี เพิ่งจะมีคนมาถางป่า สร้างบ้านเมื่อปีก่อน...ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าของที่จะยอมขาย”
“หือ...” วาเหวี่ยงขา ก้าวลงจากรถ ขมวดคิ้วมองหน้าผมอย่างสงสัย “พี่รู้จักเจ้าของที่ดินเหรอครับ”
“ไม่เชิง สังคมชนบท มีข่าวลืออะไรก็รู้กันทั่วถึง”
“อ้อ” น้องพยักหน้าเข้าใจ “งั้นข่าวเรื่องบ้านหลังนี้คงลือกันผิดๆ ถูกๆ เพราะที่ดินผืนนี้เป็นมรดกตกทอดจากยาย ไม่ได้ซื้อมาหรอกครับ”
“.....” คำอธิบายสั้นๆ นั้นทำให้ผมนิ่งอึ้งไปพักใหญ่จนคนพูดขมวดคิ้วนิ่วหน้า มองมาอย่างไม่เข้าใจ ผมจึงพยายามควบคุมสติ ฝืนยิ้มส่งให้ “พี่กลับก่อนแล้วกัน ต้องรีบไปธุระต่อ”
ไม่ใช่หรอก...คงเป็นเรื่องเข้าใจผิด ครอบครัววาน่าจะซื้อที่ดินผืนนี้ทิ้งไว้นานแล้วมากกว่า
“เดี๋ยวสิ” มือเรียวเล็กขาวซีดยื่นมาคว้าแขนผมไว้ ก่อนที่ผมจะบิดคันเร่งขับออกไป “พี่มีเฟสบุ๊กไหม เบอร์โทรก็ได้...เสื้อซักเสร็จแล้วจะได้โทรไปบอก”
มองเสื้อตัวหลวมโคร่งที่น้องใส่อยู่ ผมก็หลุดยิ้มขำเล็กน้อย พอคลำหามือถือในกระเป๋ากางเกงถึงเพิ่งนึกได้ว่าไม่ได้พกมาด้วย เมื่อคืนฝนตกหนัก เลยปิดเครื่องแล้วโยนส่งๆ เข้าไปในตู้เพราะกลัวจะโดนฟ้าผ่าเอา ตอนเช้าก็รีบจนลืมหยิบติดมา
“พี่ไม่ได้พกมือถือมา เอาของเราให้พี่สิ”
“วาทำหายไปแล้วครับ” อีกฝ่ายบอก ก่อนจะเปิดกระเป๋าเป้ ก้มหน้ารื้อหาของในนั้นอยู่พักใหญ่ก็เงยขึ้นมองผม “ปากกาก็ไม่มีด้วย งั้นพี่รอตรงนี้ก่อนได้ไหม เดี๋ยววาเข้าไปหยิบปากกาในบ้านแป๊บนึง”
“ไปโรงเรียนแต่ไม่พกปากกา?”
“.....”
“เข้าไปเอาสิ” ผมบิดกุญแจดับเครื่องยนต์แล้วเหวี่ยงขาลงจากรถ ยืนมองน้องผลักประตูรั้ว เดินเข้าไปในบริเวณบ้าน
เสื้อตัวนั้นเป็นของ ‘พ่อ’ เลยอยากได้คืนก็จริง แต่ถ้าให้วาถอดคืนตรงนี้แล้วเอากลับไปซักเองย่อมได้ ที่เลือกจะรอเพราะอยากมีช่องทางติดต่ออีกฝ่ายไว้มากกว่า ซึ่งถ้าน้องไม่นึกขอเบอร์หรือเฟสบุ๊คผมเอาไว้ ผมก็ตั้งใจจะมาตามทวงถึงหน้าบ้านอยู่แล้ว
ขณะกำลังยืนพิงบิ๊กไบค์มองโน่นนี่เรื่อยเปื่อย มีรถ BMW สีดำมาจอดเทียบหน้าบ้าน เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูรั้วเลื่อนเปิดออกด้วยระบบสั่งการจากรีโมท พอรถคันนั้นแล่นผ่านหน้าผมเข้าไปจอดนิ่งเคียงข้างรถหรูอีกสามคันภายในโรงรถ คนขับผู้ชายกับผู้หญิงอีกคนที่นั่งมาด้วยกันก็เปิดประตูลงมา เดินตรงมาหาผมด้วยสีหน้าสงสัยเต็มที่
“มาหาใครครับ” ผู้ชายรูปร่างสูงโปร่ง ดูอายุราวสามสิบต้นๆ สวมเชิ้ตขาว กางเกงสเล็คเข้ารูป ดูเนี้ยบตั้งแต่ทรงผมจรดปลายเท้า ถามขึ้นเมื่อเดินมาหยุดตรงหน้าผม ข้างๆ กันผู้หญิงสวยจัดในชุดเดรสราคาแพงกำลังส่งยิ้มบางมาให้
“สวัสดีครับ” ผมยืนขึ้นเต็มความสูง ก่อนจะยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสอง ซึ่งอีกฝ่ายก็รีบรับไว้ “กำลังรอวายุไปเอาของอยู่น่ะครับ”
“น้องวาน่ะเหรอ? ไปรู้จักกันได้ไงครับ” ผู้ชายตรงหน้าขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม ไม่แปลกหรอกที่เขาจะสงสัย เพราะผมอายุยี่สิบหกแล้ว หน้าตาคงบอกชัดว่าไม่ใช่เด็กมัธยม
“พอดี...”
“หวัดดีครับพ่อ หวัดดีครับแม่”
พ่อกับแม่? มองหน้าสองสามีภรรยามาดผู้ดีแล้วผมก็อดแปลกใจไม่ได้ วาเรียนมัธยมปลาย อายุคงประมาณสิบหกสิบเจ็ด พ่อกับแม่ของน้องก็น่าจะอายุไม่ต่ำกว่าสี่สิบ แต่สองคนตรงหน้าผมดูอายุราวสามสิบต้นๆ เท่านั้น อาจเป็นธรรมดาของพวกคนเมืองฐานะดี ที่มีเวลาเข้าคลินิกเสริมความงามดูแลตัวเอง
“พี่เมฆ นี่พ่อแม่วาเอง” ไอ้ตัวเล็กที่เพิ่งเดินออกมาจากประตูรั้ว แนะนำผู้ใหญ่ทั้งสองคนให้รู้จักด้วยสีหน้าเรียบเรื่อย ไม่มีท่าทีดีใจเป็นพิเศษที่พ่อแม่กลับบ้าน “พ่อ แม่ นี่พี่เมฆ เมื่อคืนมีปัญหานิดหน่อยวาเลยต้องค้างบ้านพี่เขา เอาไว้เข้าบ้านแล้วจะเล่าให้ฟัง”
“เมฆ?” แม่น้องมองสำรวจใบหน้าผมอย่างละเอียดแล้วเบิ่งตากว้าง แสดงสีหน้าแตกตื่นให้เห็นชั่วแวบหนึ่งก่อนจะพยายามเก็บท่าที
จะว่าไป...ผมก็คุ้นหน้าเธอเหมือนกัน
“คุณฝนคะ”
เสียงที่ดังขึ้นทำให้เราสองคนหลุดจากภวังค์ แล้วหันไปทางคนเรียกพร้อมกัน ตรงประตูรั้วที่ถูกเปิดค้างไว้ แม่บ้านในชุดเรียบง่ายกำลังยืนรออยู่ด้วยท่าทางสำรวม
“.....” คนถูกเรียกเหลือบมองผมด้วยสีหน้ากังวล ก่อนจะหันกลับไปถามแม่บ้าน “มีอะไร”
“เอ่อ...กับข้าวเสร็จแล้วค่ะ ให้ตั้งโต๊ะเลยไหมคะ”
“อืม”
จบบทสนทนาสั้นๆ บรรยากาศก็กลับมากระอักกระอ่วนอีกครั้ง ซึ่งทุกคนรอบด้านคงจะรับรู้ได้ถึงท่าทางแปลกๆ ของเราสองคนจึงพากันนิ่งเงียบ และในขณะที่ผมพยายามนึกให้ออกว่าเคยเจอหน้าผู้หญิงคนนี้ที่ไหน ชื่อหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในความคิด
“ฝน...ฝนทิพย์?”
เจ้าของชื่อหลบสายตา หันไปพูดกับสามีตัวเองด้วยท่าทีที่เห็นได้ชัดว่าผิดปกติ “เข้าบ้านกันดีกว่าค่ะ แดดเริ่มร้อนแล้ว”
“อืม เข้าบ้านกัน” ผู้ชายคนนั้นมองเธอด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใยจนผมรู้สึกแปลกๆ ในอก และก่อนที่อีกฝ่ายจะโอบประคองภรรยาคนสวยเดินเข้าบ้านไป ได้เหลือบมามองผมชั่วครู่หนึ่งพร้อมกับส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาให้
รอยยิ้มที่ราวกับว่าเขารู้เรื่องทุกอย่างดี...
“พี่กับแม่เคยรู้จักกันมาก่อน?” คนลูกที่ยังยืนอยู่กับที่ ขมวดคิ้วเล็กน้อยจนแทบไม่ทันสังเกตเห็น มือเรียวเล็กนั่นยัดกระดาษโน้ตใส่กระเป๋าเสื้อผม “นี่เบอร์วา แต่ยังไงวาขอเบอร์พี่ไว้ด้วยแล้วกัน” พูดพลางล้วงเอาปากกาในกระเป๋ากางเกงยื่นส่งมาพร้อมกับหงายฝ่ามือขาวเนียนให้
“อะไร”
“เบอร์โทรครับ” น้องชี้ลงบนฝ่ามือตัวเองด้วยสีหน้าเรียบเฉยพอๆ กับน้ำเสียง ไม่ได้วางอำนาจออกคำสั่ง แต่กลับดูเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจ “วาลืมหยิบกระดาษมาด้วย”
อยากได้เบอร์ผมขนาดนี้ พอรู้หรอกว่าน้องไม่ได้อยากจะโทรมาถามแค่เรื่องเสื้อ
“อยากรู้อะไรก็ไปถามแม่ตัวเองเอา” ผมบอกปัดแล้วเหวี่ยงขาก้าวขึ้นรถ กดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ ก่อนจะบิดคันเร่งขับออกไปโดยไม่ได้จดเบอร์โทรให้วายุ และไม่สนใจด้วยว่าน้องจะโกรธผมรึเปล่า
[End Make’s Part]
Pie2Na
อะไรยังไงพี่เมฆ โกรธคนนู้นพาลอารมณ์เสียใส่น้องไปด้วย
แล้วงี้จะกลับมาเจอกันยังไง ใครตามใครก่อน ไว้ลุ้นกันตอนน้าน้อ
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นน้า ดีใจมากที่ยังมีคนอ่าน ^^
ไว้ตอนหน้าพายจะรวบรวมคอมเม้นมาตอบเนาะ คืนนี้เพิ่งกลับถึงบ้าน ไม่ไหวแล้ว ลาไปนอนก่อน
ฝันดีครับ ^^
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

271 ความคิดเห็น
-
#265 - Rain Mist - (จากตอนที่ 4)วันที่ 16 เมษายน 2561 / 23:00พาลใส่น้องอีก -พี่#2650
-
#67 Noey_CHP (จากตอนที่ 4)วันที่ 14 พฤศจิกายน 2560 / 22:48อย่าบอกนะว่าฝนเป็นแม่เมฆ#670
-
#15 ลักส์ (จากตอนที่ 4)วันที่ 25 กันยายน 2560 / 22:56พาลไปอีก?#150
-
#14 beahemost7841 (จากตอนที่ 4)วันที่ 24 กันยายน 2560 / 17:18สงสารน้องงง โดนพี่เมฆพาลใส่ซะงั้นน#140
-
#13 DESIMO-SAMA (จากตอนที่ 4)วันที่ 22 กันยายน 2560 / 22:45อย่าพาลสิเมฆโด่ว เดี๋ยววางอลหรอก#130