ตอนที่ 15 : Chapter 14 :: ข้อตกลง (100%)
Chapter 14
ข้อตกลง
“เหรอ...ทีธารกับพ่อยังทำกันตั้งหลายครั้ง ไม่เห็นเป็นไรเลย”
“ว่าไงนะ!” พี่ภูเดินย้อนกลับมาที่เตียง จับไหล่ทั้งสองข้างของผม ก่อนจะก้มหน้าลงมาจนเกือบชิดเพื่อถามย้ำอีกครั้งให้แน่ใจ “เมื่อกี้นายพูดอะไรออกมา”
“ธารกับพ่อมีอะไรกัน ไม่เห็นพ่ออยากจะหนีธารไปแบบพี่ภูเลย”
ในเมื่อจะจากกันแล้ว ต่อให้ถูกเกลียดก็คงไม่เป็นไร ผมก็แค่อยากให้พี่ภูรู้ว่าผมกับพ่อกล้าที่จะทำตามความรู้สึกของตัวเอง ต่างกับพี่ภูที่เลือกที่จะหลีกหนี ฝืนทน เก็บความรู้สึกนั้นไว้
“.....” พี่ภูนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ กว่าเขาจะดึงสติกลับมาได้อีกครั้ง แล้วทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าข้างเดียวตรงหน้าผม เพื่อให้สายตาของเราอยู่ในระดับเดียวกัน “น้าตะวันบังคับนายใช่ไหม”
“.....”
“ไม่ต้องกลัวนะธาร” มือหยาบกร้านทั้งสองข้างเลื่อนขึ้นมาจับใบหน้าของผมไว้ ลูบไล้ปลายนิ้วโป้งลงบนผิวแก้มเหมือนต้องการจะปลอบ “พี่ไม่ยอมให้น้าตะวันทำอะไรธารได้อีก...แค่บอกพี่มาว่าเขาบังคับหรือทำร้ายธารรึเปล่า”
ดูเหมือน...พี่ภูจะตีความหมายทางสีหน้าของผมผิดไป
“เปล่า ธารไม่ได้ถูกบังคับ ธารรักพ่อ”
แววตาที่พี่ภูใช้มองผมมันทั้งสับสน ไม่เข้าใจ และเจ็บปวด...เจ็บเหรอ? บางทีผมอาจจะคิดไปเอง ในเมื่อพี่ภูควรจะเกลียดผมมากกว่า ต่างกับผมที่ในอกมันวูบโหวงไปหมด ไม่รับรู้ความรู้สึกอะไรอีกแล้ว สีหน้าก็คงเฉยชาไม่ต่างจากความรู้สึกข้างใน เพราะตอนนี้ผมรับรู้แค่ว่า...คนที่ผมรัก กำลังจะจากผมไปอีกครั้ง
“...ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว” จู่ๆ พี่ภูก็ผุดลุกขึ้นยืน แล้วช้อนตัวผมขึ้นอุ้มแนบอก “ย้ายไปอยู่กับพี่ที่คอนโด...พี่จะคุยเรื่องนี้กับแม่เอง” พูดจบ พี่ภูก็พาผมเดินดุ่มออกจากห้อง ลงบันไดไปชั้นล่าง เหมือนจะรีบมากเพราะแม้แต่เสื้อก็ลืมหยิบมาสวม โดยที่ผมได้แต่สับสนมึนงงว่าพี่ภูจะทำอะไรกันแน่ จนพี่ภูเดินสวนกับป้าแม่บ้านแล้วหยุดพูดกับป้าคนนั้นนั่นล่ะ ผมถึงได้เข้าใจ
“ป้าครับ ผมกับธารจะย้ายไปอยู่คอนโดวันนี้ ช่วยเก็บกระเป๋าแล้วฝากคนขับรถเอาไปส่งที่คอนโดผมด้วยนะครับ”
3: 45 P.M.
@The Attribute Condominium
ผมสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาอีกทีตอนบ่ายในห้องนอนที่ไม่คุ้นตา ต้องหยุดรวบรวมความคิดอยู่พักใหญ่กว่าจะนึกออกว่าที่นี่น่าจะเป็นคอนโดของพี่ภู ความจำล่าสุดของผมมันสิ้นสุดตรงที่ผมผล็อยหลับไปในรถสปอร์ตของเขา ไม่รู้ตัวสักนิดว่ามาถึงคอนโดตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือขึ้นมาได้ยังไง คงเป็นพี่ภูนั่นล่ะที่อุ้มผมออกมาจากรถ
ผมหยิบผ้าขนหนูเย็นชื้นออกจากหน้าผาก แล้วฝืนตัวลุกขึ้นนั่ง ตอนนี้ไม่รู้สึกมึนหัวแล้ว แต่อาการเจ็บแปลบตรงช่วงล่าง และปวดเมื่อยไปทั้งตัวเหมือนจะหนักกว่าเดิมจนแทบลุกไม่ไหว เลยทำได้แค่กวาดตามองทั่วห้องนอนเพื่อมองหาคนที่พาผมมาที่นี่ แต่ในห้องกว้างขวางกลับมีผมอยู่แค่คนเดียว
“พี่ภู พี่ภูครับ” ตะโกนเรียกด้วยเสียงแหบแห้งอยู่สองสามครั้ง ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดเข้ามาพร้อมกับร่างสูงกำยำของพี่ภูที่เดินมาหยุดลงข้างเตียง
“โทษที พี่ออกไปคุยโทรศัพท์มา...หิวรึเปล่า ยังปวดเมื่อยตัวมากไหม” พี่ภูใช้ฝ่ามือทาบลงบนหน้าผากผม มองสำรวจหน้าตาซีดเซียวของผมด้วยความเป็นห่วง ผิดกับท่าทีห่างเหินที่ผมเห็นจนชินตา ถึงจะยังชอบเก็บสีหน้า ทำตัวเฉยชาเป็นนิสัย แต่ก็ไม่ได้เมินผมเหมือนแต่ก่อน
“นิดหน่อยครับ” ผมบอกปัด เปลี่ยนมาคุยเรื่องที่สำคัญกว่า “พี่ภูพาธารกลับบ้านนะ พ่อไม่ยอมให้ธารมาอยู่ที่นี่แน่ๆ จู่ๆ ย้ายออกมาไม่ขอพ่อก่อน ถ้าพ่อรู้คงโดนดุอีก”
“ต้องยอมสิ เพราะพี่บอกทุกอย่างกับแม่แล้ว แล้วแม่ก็อยากให้ธารอยู่กับพี่ที่นี่”
บอกทุกอย่างกับแม่...เรื่องนั้นก็ด้วยเหรอ?
“บ...บอกอะไร พี่ภูบอกอะไรแม่บ้าง” ผมละล่ำละลักถามเสียงสั่น
“เรื่องธารกับพ่อ” พี่ภูทรุดตัวลงนั่งบนเตียงข้างๆ ผม ก่อนจะพูดต่อ “...ที่จริงแม่อยากให้ธารไปเรียนต่อที่อเมริกาเดือนหน้าเลย แต่คงรู้ว่าธารยังอยากอยู่ใกล้ๆ พ่อ เลยให้ย้ายมาอยู่คอนโดพี่จนกว่าจะเรียนจบ เตรียมใจสักปีสองปี ไว้จบม.ปลายแล้วค่อยไป”
คำพูดของพี่ภูทำให้ผมนิ่งอึ้งไป ไม่ต้องอธิบายอะไรให้ยืดยาวกว่านี้ผมก็เข้าใจทุกอย่าง...พี่ภูบอกแม่เรื่องของผมกับพ่อ แม่เลยอยากให้เราสองคนอยู่ห่างกันจะได้ไม่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีก
...แม่จะเกลียดผมไหมนะ บางทีคงจะเกลียดจนไม่อยากเห็นหน้าเลยไล่ผมไปอเมริกา แล้วพ่อล่ะ แม่จะโกรธพ่อไหม จะทะเลาะกันรึเปล่า ระหว่างที่ผมหลับไปเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“พี่ภูหนีธารไปไม่พอ ยังจะมาพรากพ่อไปจากธารอีก พี่ทำแบบนี้เพื่ออะไร!?”
ตอนนี้ผมกังวลสับสนไปหมด เครียดและกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนไม่รู้จะทำยังไงดี เลยได้แต่โทษพี่ภู...โทษคนที่เอาเรื่องนี้ไปบอกแม่ และทำให้ผมกับพ่อไม่ได้อยู่ด้วยกัน
“ธาร...พี่ไม่ได้พรากพ่อไปจากธาร แล้วพี่ก็จะไม่หนีไปไหน” พี่ภูยกแขนขึ้นมาโอบไหล่ผมที่นั่งอยู่ข้างๆ เขา ก่อนที่มือข้างนั้นจะลูบหัวไหล่ของผมเบาๆ
แปลกเนอะ ทั้งที่มือของพี่ภูทั้งหนาและแข็งแรง แต่มันกลับไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกปลอดภัย...ไม่ได้รู้สึกว่ามันจะปกป้องผมได้ เหมือนกับมือของพ่อ
“พี่จะอยู่กับธารที่นี่จนกว่าธารจะเรียนจบ แล้วเราค่อยย้ายไปอเมริกาด้วยกัน...ธารยังจะได้เจอพ่อเท่าที่ธารอยากเจอ แต่ไม่ใช่ในที่ลับตาคนหรืออยู่ด้วยกันสองต่อสอง”
“ไหนบอกว่าไม่ไว้ใจตัวเอง ไม่อยากอยู่ใกล้ธารไง แล้วนี่อะไร จะอยู่ที่ไทยต่อ อยู่กับธารเพื่อจะกีดกันธารจากพ่องี้เหรอ!?”
ผมอยากอยู่กับพี่ภู ผมรักพี่ภูไม่น้อยไปกว่าพ่อ แต่แปดปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าถึงไม่มีพี่ภูอยู่ข้างๆ ก็คงไม่เป็นไร กลับกัน...พ่อเป็นเหมือนโลกทั้งใบของผม ผมขาดพ่อไม่ได้ แล้วก็คงไม่มีใครเห็นผมเป็นทุกอย่างในชีวิต ให้ความสำคัญกับผมมากกว่าอะไรในโลก และรักผมมากกว่าตัวเอง เหมือนกับที่พ่อรัก
เพราะแบบนี้ไง แทนที่ผมจะมีความสุขที่ได้อยู่กับพี่ภู ผมกลับทรมานเหมือนจะขาดใจที่ต้องห่างกับพ่อเพราะเขา
“ใช่ พี่ไม่ไว้ใจตัวเอง แต่พี่ไม่ไว้ใจคนอื่นมากกว่า...พี่ยอมให้คนอื่นมาทำร้ายธารไม่ได้”
อ้อ พี่ภูเลยเลือกที่จะให้ผมอยู่กับเขา ดีกว่าปล่อยให้ผมอยู่กับพ่อ ยอมเสี่ยงที่จะพลาดพลั้งทำร้ายผมด้วยมือตัวเอง ดีกว่าให้ผมต้องบุพสลายในมือคนอื่นอย่างนั้นใช่ไหม
“พ่อไม่เคยทำร้าย ไม่เคยบังคับธาร เราแค่รักกัน...ถ้าพี่ภูยังคิดว่าสิ่งที่พ่อทำมันผิด...ธารก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าตอนที่พี่ภูเป็นคนทำมันเองอีกครั้ง ตอนนั้นพี่ภูจะรู้สึกยังไง”
[Special Tawan’s Part]
@Phuket Thailand
สองชั่วโมงก่อน...
“คุณมันโรคจิต นั่นมันลูกคุณนะตะวัน แล้วเขาก็แค่เด็กอายุสิบสี่...เขาเพิ่งจะสิบสี่!” น้ำเสียงแหลมสูงของน้ำดังมาจากปลายสาย เราคุยเรื่องนี้กันมาเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้วแต่ก็ยังหาข้อสรุปที่ดีไม่ได้ และอารมณ์คุกรุ่นของเธอก็ไม่มีทีท่าจะสงบลงเลย
หนึ่งชั่วโมงก่อนน้ำโทรมาหาผม แจ้งผ่านเลขาว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ทำให้ผมต้องยกเลิกการประชุมลงกลางคันเพื่อมาคุยกับเธอ แค่ประโยคแรกที่เธอพูด ผมก็เข้าใจได้ทันทีว่าเรื่องนั้นสำคัญขนาดไหน และเธอเพิ่งไปรู้อะไรมา...ความลับของผมกับธารไม่เป็นความลับอีกต่อไป
ยอมรับว่าผมตกใจ แต่ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ผมก็ตั้งสติได้ และรู้ตัวว่าควรจะรับมือกับมันยังไง ผมเคยเจอปัญหาหนักหนากว่านี้หลายเท่าแต่ก็ยังผ่านมาได้ เรื่องคราวนี้ผมเลยมองมันเป็นแค่ปัญหาเล็กๆ เพราะผมเองก็ไม่อยากจะปิดบังความสัมพันธ์ระหว่างผมกับธารไปตลอดชีวิตอยู่แล้ว ผมตั้งใจจะบอกน้ำตอนที่ธารอายุครบสิบแปด การที่เธอรู้เรื่องนี้ล่วงหน้าแค่ไม่กี่ปีก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่
“ใจเย็นก่อนน้ำ ถ้าคุณยังเอาแต่วีนผมแบบนี้ ทั้งวันเราก็คงคุยกันไม่รู้เรื่อง” ผมถอนหายใจแรงๆ จงใจให้ปลายสายได้ยิน น้ำเป็นผู้หญิงหัวสมัยใหม่ที่ทั้งเก่งและฉลาด ผมเชื่อว่าถ้าเธอมีสติมากกว่านี้ เธอจะยอมรับฟังเหตุผลของผม และเราจะหาข้อสรุปให้กับเรื่องนี้ได้โดยไม่ต้องพูดอะไรให้ยืดยาว
“เราต้องพาธารไปพบจิตแพทย์...คุณก็ด้วย”
“ธารอยู่ในวัยที่อยากรู้อยากลอง เด็กผู้ชายมีเซ็กส์ในวัยนี้เป็นเรื่องธรรมดา แล้วผมก็ไม่ได้เป็นโรคจิต ไม่ได้มีรสนิยมแปลกๆ แบบพวก Pedophilia[1] ผมไม่ได้รักเด็กทุกคน ผมรักแค่ธารคนเดียว และต่อให้ธารโตกว่านี้ความรู้สึกของผมก็ไม่มีทางเปลี่ยน ที่สำคัญ...ถึงผมจะเลี้ยงธารมา แต่เราไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน ผมไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของธาร ถ้าเรื่องที่เกิดขึ้นมันผิด ก็คงผิดที่ผมกับธารไม่ได้ชอบผู้หญิง และเรื่องนี้มันเกิดขึ้นก่อนเวลาที่สมควรเท่านั้น”
ในต่างประเทศ พี่น้องบุญธรรมแต่งงานกันก็ยังมี พ่อบุญธรรมแต่งงานกับลูกบุญธรรมก็มีให้เห็น อาจจะผิดข้อกฎหมายถ้าหากจดทะเบียนสมรส แต่แล้วไงล่ะ? ผมไม่เห็นว่ามันแปลก แล้วผมกับธารก็ไม่มีทางจดทะเบียนสมรสกันได้อยู่แล้ว
“ยังกล้าพูดอย่างนี้อีกเหรอ ฉันไม่แจ้งความก็ดีเท่าไหร่แล้ว”
ที่น้ำไม่แจ้งความไม่ใช่เพราะเธอกลัวว่าเรื่องนี้จะลุกลามใหญ่โต เป็นข่าวทำให้เสื่อมเสียกระทบถึงธุรกิจของเรา แต่เธอเป็นห่วงความรู้สึกของธาร ไม่อยากให้ลูกต้องอับอาย เลยเลือกที่จะปิดเงียบแล้วหาทางกีดกันไม่ให้ผมเข้าใกล้ธารอีก ไม่งั้นตอนนี้ผมคงโดนข้อหากระทำชำเราเด็กอายุต่ำกว่าสิบห้า แล้วต้องวิ่งโร่หาทนายแทนที่จะมาคุยโทรศัพท์อยู่กับน้ำเป็นชั่วโมงๆ
“โอเค ผมขอโทษที่ผมทำแบบนั้นกับลูก แต่ผมขอยืนยันว่าผมรักธาร...ผมยอมทำตามข้อตกลงของคุณ แต่ไม่ทั้งหมด เมื่อไหร่ที่ธารอายุครบสิบแปด เราจะหย่ากัน แล้วธารต้องไปอยู่กับผมที่ต่างประเทศ”
“ตะวัน!”
“เรายังมีเวลาอีกตั้งสี่ปีนะน้ำ ถึงตอนนั้นถ้าพวกเรายังยืนยันคำเดิม ก็ให้ธารเป็นคนตัดสินใจแล้วกันว่าลูกจะเอายังไง...ยังไงพวกเราสองคนก็เห็นความสุขของลูกมาก่อนอยู่แล้วนี่”
“.....”
“เรื่องมันเกิดขึ้นแล้วผมคงย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ถึงเราทะเลาะ เถียงกันไปมาก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมีแต่จะแย่ลง ในเมื่อผมยอมรับปากทำตามข้อตกลงของคุณ คุณก็ยอมให้เรื่องมันจบแค่นี้เถอะ...ป่านนี้ธารรู้เรื่องเข้าคงร้องไห้งอแงแย่แล้ว”
“ก็ได้...ฉันจะรีบกลับไทย แล้วเราจะคุยเรื่องนี้กันอีกที”
เฮ้อ...สรุปว่ายังไม่จบสินะ แต่ผมจะโวยวายอะไรได้ล่ะ ในเมื่อผมเป็นคนผิด แล้วน้ำก็มีสิทธิ์เต็มที่เพราะเธอเป็นแม่ของธาร ลูกใครใครก็หวง เธอไม่จ้างมือปืนมายิงผมทิ้งก็ดีเท่าไหร่แล้ว
“ครับ แค่นี้ก่อนนะ ผมต้องไปสนามบินแล้ว อยากรีบกลับไปปลอบลูก”
“อย่าให้...”
ยังไม่ทันที่น้ำจะพูดจบประโยค ผมก็กดตัดสายแล้วโทรออกหาเลขา สั่งให้จองตั๋วเครื่องบินไฟท์ล่าสุดไปกรุงเทพ และส่งรถมารับผมหน้าโรงแรมทันที อีกไม่เกินสามสี่ชั่วโมงผมก็คงได้ปลอบธารสมใจ
[End Tawan’s Part]
Pie2Na
เอิ่ม...ได้สังเกตชื่อคอนโดกันบ้างไหม มันคือ...คอนโดเดียวกับกฤษ พี่ภูเหมือนจะมองข้ามเรื่องนี้ไปเนอะ...หนีเสือปะจระเข้แล้วไหมล่ะ ส่วนตอนหน้า พ่อก็บินกลับมาอย่างเร่งด่วน จะมาเจอธารสภาพไหน อะไรยังไง พี่อติณกับกฤษจะโผล่หน้ามาได้รึยัง ไว้รออ่านเนอะครับ ^^
ปล. เฉลยแล้วว่าตะวันไม่ใช่พ่อแท้ๆ แต่ธารยังไม่รู้นี่ดิ ถ้ารู้จะยังไงอีก...เฮ้อ (เขียนเองเหนื่อยเอง 5 5 5 5 )
ปล1.อติณกับกฤษควรจะมีบทบ้างได้แล้ว รู้สึกลำเอียงกระจายบทไม่ทั่วถึงยังไงไม่รู้ ไหนจะตัวปลากรอบที่ปล่อยไปแต่ยังไม่เก็บมาใช้ซ้ำ ทั้งกายม้ามืด โผล่มาหน่อยคาบพี่ภูไปแหลก (เอิ่ม) อีกคนก็ณัฐ คู่ขากฤษ แล้วยังมีผองเพื่อนน้องธารอีก...อืม สกิลจำชื่อตัวละครของคนเขียนนับว่ายังใช้ได้ แต่ทำไมทีชื่อเพื่อนในกลุ่มละดันลืม หนักเลย
เจอกันตอนหน้า อีกสามสี่วันนี่แหละ คอมเม้นกันด้วยน้า แสดงตัวตนกันหน่อยจะได้รู้ว่ามีคนอ่านหน้าเก่าหายไปไหม หน้าใหม่มาเพิ่มรึเปล่า เนอะ
ขอบคุณครับ ^^
[1] Paedophile หมายถึง ผู้มีพฤติกรรมฝักใฝ่ทางเพศหรือล่วงละเมิดทางเพศกับเด็ก
พูดคุยถึงเรื่องนี้ แอบนินทาพี่กฤษ ธาร อติณ พี่ภู พ่อตะวัน ใครก็แล้วแต่!
ติดแท็ก #ฮาเร็มของธาร ในเฟสบุ๊คกับทวิสเตอร์นะครับบบ
ชอบเรื่องนี้ กด โหวตให้ดาว ที่รูปอติณ กดAdd Favที่รูปพี่ภูครับ ^^
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

พี่ภูรู้ปุ๊บเอาน้องไปอยู่ด้วยปั๊บ แต่ธารไม่รู้สึกเหมือนเดิมด้วยแล้ว คล้ายๆ ว่าอยากเอาชนะแค่ตอนแรกแบบให้พี่ภูยอมรับออกมาว่าชอบตัวเอง แต่พอมามีอะไรกันจริงๆ พี่ภูไม่ได้ถนอมธารเลย ไม่เหมือนกับพ่อที่ให้ทั้งความรักความอบอุ่น ถนอมธารทุกอย่าง เลยไม่แปลกที่ธารจะไม่อยากห่างจากพ่อและรู้สึกดีกับพ่อขนาดนั้น
รออ่านอยู่นะคะ ติดตามอยู่เน้อออออ