คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : จิตสังหาร
สองเท้าพากายย่างเก้าเดินไปตามสายทางที่เกิดจากคนเดินภายในป่า เขามุ่งหน้ามาตามแผนที่ที่ซื้อมาดู จุดหมายคือประตูขนาดใหญ่ยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าเขาห่างออกไป 5 กิโลเมตร บานประตูเหล็กสองบานสลักด้วยลวดลายที่งดงามยิ่ง เหล่าธิดานางฟ้าบนบานประตูดูแล้วเหมือนพวกนางช่างมีความสุขยิ่งนัก พวกนางกำลังเต้นรำเฉลิมฉลองให้กับโอกาสดีดีอะไรสักอย่าง มีนางฟ้าเพียงองค์เดียวที่ดูแล้วช่างไร้ซึ่งความสุขใด ๆ ทั้งสิ้น ถึงใบหน้าของนางจะยิ้มอยู่ แต่แววตาของนางช่างเศร้าหมองเสียนี่กระไร
“โห ประตูนี่ ดูดูแล้วสูงถึง 200 เมตรเลยนะเนี่ย” สายตาทอดมองความยิ่งใหญ่ของประตูบ้านยักษ์อย่างชมเชยในความพยายามของผู้สร้าง ที่สามารถสร้างมันออกมาได้ใหญ่ยักษ์และงดงามยิ่งนัก นี่ยังไม่นับรวมกำแพง ที่ทั้งใหญ่และยาวยิ่งกว่าประตู
“อะ แฮ่ม” เสียงกระแอ่มไอเล็กน้อยดังขึ้นทำลายบรรยายกาศอันสุนทรีของเขาจนพังย่อยยับ เขาหันไปมองเจ้าของเสียง ก่อนจะเปลี่ยนท่าทีที่กำลังโมโหเป็นอารมณ์ดีอย่างรวดเร็ว
“มีอะไรเหรอครับ พี่สาวคนสวย” ปากที่หวานกว่าหน้าเริ่มทำงาน พร้อมกับฉีกยิ้มหวานไปให้
‘อุ๊ย นาน ๆ ทีจะเจอเด็กปากหวาน อย่างนี้ต้องแกล้ง’ คิดเสร็จก็ส่งกระดาษพร้อมปากกาลูกลื่นที่ดูจะโบราณ ๆ หน่อยให้กับเด็กหนุ่ม “นี่จ้ะ เขียนชื่อลงตรงนี้นะ แล้วเดี๋ยวพี่จะเปิดประตูให้” และเมื่อเด็กหนุ่มตรงหน้าเขียนเสร็จ ก็หยิบกระดาษและปากกาคืนมา พร้อมกับพูดเสียงหวานว่า “ประตูจะเปิดแค่ 10 วินาทีเท่านั้นนะจ๊ะ”
พูดจบพี่แกก็กลายเป็นสายลมหายไป พร้อมกับบานประตูที่เปิดออกอย่างช้า ๆ ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟู่ ฟู่ๆๆๆๆ จากกระแสลมแผ่วเบาก็ค่อย ๆ ทวีความรุนแรงมายิ่งขึ้น
“ประตูเปิดเข้าไปด้านในไหงมันมีลมพัดออกมาได้ฟะ” ยังไม่ทันจะได้ฝันหวานถึงพี่คนสวยคนนั้น ก็เจอเข้ากับลมพายุที่มีความรุนแรงเทียบเท่าพายุโทนาโดเลยก็ว่าได้ “นี่สินะที่พี่คนสวยบอกว่าประตูจะเปิดแค่ 10” พูดจบก็ยิ้มอย่างมีเลศนัยน์ แล้วจากท่าทางที่ดูทุลักทุเลที่จะพยายามทรงตัวให้ได้ ก็กลายมาเป็นท่าทางที่นิ่งสบายไม่หวั่นเกรงต่อพายุตรงหน้า
เขาก้าวย่างเข้าไปในประตูอย่างช้า ๆ ไม่รีบร้อน และไม่ไหวเอนไปตามแรงลมเลยแม้แต่น้อย เมื่อเขาผ่านประตูเข้ามาลมพายุก็อันตรธานหายไป พร้อมกับบานประตูที่ปิดลง
“เก่งจริงนะพ่อหนุ่มน้อย” ด้านนอกประตูบนต้นไม้ใหญ่ หญิงสาวเมื่อครู่ยิ้มออกมาเล็กน้อยพรางมองใบรายชื่อในมือตน “นาย เวล สวอร์ด ฝีมือเจ้าเด็กนี่เก่งไม่น้อยไปกว่าปากเลย”
สองเท้าเดินย่างก้าวเข้ามาในป่าช้า ๆ จุดหมายก็คงจะเดาได้ไม่ยาก นั่นคือปราสาทสีขาวที่อยู่ห่างออกไป 23 กิโลเมตร ตึง! ตึง! ตึง! ปีศาจกระทิงที่เขาชอบดูในหนังทีวี ตอนนี้มันเดินสองเท้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า พร้อมกับกระบองไม้ที่มันแบกมาด้วย ขนาดตัวของมันเมื่อดูดูแล้ว คงไม่ต่ำกว่าสองเมตร
“ซวยสิ นี่อายุ 17 เขาทดสอบกันขนาดนี้แล้วเรอะ!” พูดจบมันก็ยกกระบองฟาดลงมาที่เขา “ว๊ากกกกก!” ปล่อยคลื่นเสียงซะหนึ่งทีแล้วกระโดดหลบไปทางซ้ายซะหลายเมตร “แผนที่ 1 หากเกิดสถานการณ์ไม่คาดฝันอย่างคือ”
สองเท้าถีบพื้นเต็มกำลังพุ่งตัวไปด้าน “เผ่นก่อนละนะครับ” ว่าแล้วก็ใส่เกียร์หมาวิ่งเต็มฝีเท้า
“ไม่เห็นจะเก่งอย่างที่ยัยเรเชลว่าเลย” ชายร่างใหญ่ยืนบ่นอย่างเซ็งอารมณ์อยู่บนยอดไม้ เท้าทั้งสองข้างมีสายลมโอบอุ้มเอาไว้
“งั้นเหรอ แต่เจ้าสังเกตมั้ยว่ายังไม่มีกระบองท่อนไหนฟาดโดนตัวเจ้าหมอนั่นเลยสักนิด ต่อให้เป็นนาย มาเป็นฝูงขนาดนั้นก็คงจะต้องโดนสักผัวะบ้างละ” เพื่อนที่ยืนอยู่ยอดไม้ข้าง ๆ พูดด้วยน้ำเสียงอันเรียบนิ่ง ตามแบบฉบับเด็กเรียน
เขาวิ่งหนีเจ้าตัวแรกมา แต่ไม่รู้ทำไมวิ่งไปวิ่งมาถึงได้โผล่มาเพิ่มเรื่อย ๆ แบบนี้สิน่า ซึ่งตอนนี้ก็มีเยอะจน
“เสร็จกัน โดนล้อมแล้วเหรอเนี่ย” ในขณะที่เผลอใจคิดไป เจ้าตัวหนึ่งก็กระโดดฟาดกระบองใส่เขาเต็ม ๆ มือสองข้างยกขึ้นกันตามสัญชาตญาณในใจก็คิดว่า “เละแน่เรา”
ตึง! เสียงไม้ปะทะกล้ามเนื้อดังสนั่นหวั่นไหว ฝุ่นฟุ้งตลบไปทั่วบริเวณ ฟิ้ว สายลมพัดหวิวเข้ามา พัดพาฝุ่นควันให้จางหายไป
“ไม่เจ็บเลยสักนิด” เสียงที่เต็มไปด้วยจิตสังหารดังมากจากใต้กระบองไม้ “เห็นเป็นสัตว์ในเทพนิยาย ก็นึกว่าจะแน่สักเท่าไหร่ ที่แท้ก็แค่เศษสวะ” เปรี้ยง สิ้นคำพูดหมับขวาอัพเปอร์คัต ก็เสยขึ้นระเบิดกระบองไม้แตกเป็นเสี่ยง
เจ้ากระทิงตัวนั้นถอยไป พร้อมกับมองมือตนเองที่สั่นไม่หยุดอย่างมึนงง
“นั่นเขาเรียกความกลัว แล้วเดี๋ยว พวกแกจะได้กลัวมากกว่านี้อีก” วูมสิ้นคำพูดจิตสังหารอันรุนแรงก็แผ่ออกไปรอบด้าน ทำกระทิงบางตัวถึงกับล้มตายน้ำลายฟูมปากเลยทีเดียว ส่วนพวกที่เหลือบ้างก็แข็งทื่อ บ้างก็เข่าทรุด
ฟุ่บ ๆๆๆๆ เท้าสองข้างขยับขึ้นลงโยกตัวเป็นฟุตเวิร์ก มือทั้งสองตั้งการ์ดแบบนักมวย “จัดเต็ม”
สองเท้าขยับเข้าประชิด หมัดขวาอัดเข้าที่สีข้างของเจ้ากระทิง แรงหมัดมีพลังขนาดที่ว่าดันเนื้อหนา ๆ ของมันยุบเข้าไปถึงสามเซนติเมตร แค่หมัดเดียวก็ส่งผลให้มันล้มไปนอนกองกับพื้นสิ้นใจตายในเสี้ยววินาที
“อึก จิตสังหารนี่มัน” ผู้ชมทั้งสองถึงกับเหงื่อแตกพลัก เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตแห่งนักฆ่าของเด็กหนุ่ม
“แย่แล้ว รีบกางข่ายมนตรากั้นไว้เร็ว ตรงนั้นมีผู้ทดสอบคนอื่นหลงมาสองคน” รุ่นพี่มาดเด็กเรียนสั่ง ทั้งสองรีบกระโดดลงจากยอดไม้ทันที
“คุกสีขาว” วูม สิ้นเสียงของผู้ชมทั้งสอง แสงสีขาวใสก็กระจายตัวกันเป็นกรอบสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก ครอบพื้นที่ที่เด็กหนุ่มกำลังต่อสู้กับเหล่ากระทิงอยู่ แต่อันที่จริงพูดได้ว่าฝูงกระทิงโดนกระทำอยู่ฝ่ายเดียวมากกว่า แค่อัพเปอร์คัตหมัดเดียวก็ทำเอาพวกมันคางแตกไปเป็นแถว นี่ยังมีกระโดดหมุนเตะสวิงเข้าที่ใบหน้าความแรงขนาดที่ว่าทีเดียวก็คอหักเลย
(สวิง ท่าเตะของนักเทควันโด คล้ายท่าฟาดหางจระเข้ของมวยไทย)
“เฮ้ เจ้าหนู หยุดปล่อยจิตสังหารเดี๋ยวนี้” ชายร่างใหญ่รีบวิ่งเข้าไปในข่ายเวท และมุ่งตรงไปหาเด็กหนุ่ม
“ครับ” วูบเขาสลายจิตสังหารไปอย่างรวดเร็ว สายตาหันไปมองผู้มาเยือน
“แกเป็นใครกันแน่” ชายร่างใหญ่ตะโกนถาม เขางุนงงสักพักก่อนจะบอกชื่อตัวเองออกไป
“เวล สวอร์ด”
“นั่นชื่อเจ้าสินะ แต่ข้าไม่เชื่อ” หนุ่มมาดเด็กเรียนเดินตามเพื่อนเข้ามา
“ผมพูดจริง ไม่ได้โกหกซะหน่อย”
“ผม” ทั้งสองย้ำคำที่เขาพูด
“เอ่อ ข้าพูดจริง ๆ ไม่ได้โกหก” เด็กหนุ่มรีบแก้คำพูด เพราะคำว่าผมของที่นี่มีแต่ชนชั้นสูงที่ใช้กัน และเขาก็ไม่ใช่ชนชั้นสูงด้วย
“งั้นเดี๋ยวเราจะพิสูจน์กัน ตามข้ามา” ชายทั้งสองหันหลังแล้วเดินไปทางทิศที่ปราสาทสีขาวตั้งอยู่ ซึ่งเวลก็ยอมเดินตามไปแต่โดยดี เพราะขืนมีเรื่องกับพวกนี้คงจะลำบากไม่น้อย ส่วนเจ้าพวกกระทิง พวกมันหนีไปตั้งแต่จิตสังหารคลายลงแล้ว
เวลเดินตามทั้งสองมาจนถึงห้องใต้ดินของปราสาทสีขาว ซึ่งในทางที่เขาผ่านมาก็เห็นบุคคลที่คาดว่าน่าจะเป็นรุ่นพี่รอรับรุ่นน้องที่ทดสอบผ่านอยู่หน้าประตูปราสาทสีขาวแห่งนี้ ทางลงมายังชั้นใต้ดินนั้นอยู่ ณ ใจกลางปราสาท ซึ่งมีลักษณะเป็นน้ำพุรูปมังกรแบบมังกรอเมริกัน และเมื่อชายมาดเด็กเรียนร่ายคาถาเล็กน้อยพวกเขาก็กลายเป็นสายน้ำไหลเข้าไปในปากของมังกร ซึ่งมันเป็นทางที่น้ำพุพุ่งออกมา
“เจ้าสินะ ที่ปล่อยจิตสังหารรุ่นแรงขนาดนั้น” ชายชราที่อยู่รออยู่ภายในห้องแคบ ๆ เอ่ยทักเมื่อทั้งสามเปิดประตูห้องเข้าไป
“อืม” เขาแค่พยักหน้ารับ เพราะเขารู้ดีว่ายามเขาจะฆ่าใครทีไรจะชอบมีความคิดที่อยากจะฆ่าคน ๆ นั้นอย่างรุนแรงมากเลยทีเดียว
“ผู้ที่ปล่อยจิตสังหารได้ขนาดนี้ มีแต่ผู้ที่มีจิตใจมืดดำเท่านั้น” ชายชราค่อยเดินเข้ามาหา มือขวาแนบที่หัวใจเขาซึ่งมันทำให้เขารู้สึกแปลก “แต่จิตใจของเจ้านั้นว่างเปล่า เหมือนดังน้ำที่ใสสะอาด ไร้ซึ่งสิ่งเจือปนใด ๆ ทั้งสิ้น” ชายชรายังคนพูดต่อไป “เรารู้จักเจ้า สุนัขผู้ภักดี อาวุธสังหารชั้นเลิศของแม่หนูน้อยคนนั้น”
พูดถึงตรงนี้อยู่ดีดีเขาก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นในหัว ร่างกายโอนเอนไปมา แล้วสติก็เรือนร่างลงเรื่อย ๆ ดวงตาสองข้างค่อย ๆ ปรือลงแล้วสติที่มีอยู่เพียงน้อยนิดก็ดับไปในที่สุด
“อาจารย์ใหญ่ ไม่ทราบว่าเด็กคนนี้คือใครกันแน่ เหมือนท่านจะรู้จักเขาเป็นอย่างดี” ชายร่างใหญ่เอ่ยถามสองมือจับเด็กหนุ่มแบกขึ้นมาไว้บนบ่า
“เด็กคนนี้ไม่ใช่คนที่พวกเจ้าคิดหลอก” อาจารย์ใหญ่หยุดพูดแล้วยิ้มเล็กน้อย “ให้เขาผ่านการทดสอบ และพาเขาไปพักผ่อนเถอะ ส่วนเรื่องเขาเป็นใครนั้น เดี๋ยวข้าจะเรียกเจ้าทั้งสองคนมาคุยกันอีกที”
“ครับ อาจารย์ใหญ่” แล้วทั้งสองก็หันหลังเดินออกมาจากประตูห้องไป
“สุนัข จะร้ายหรือจะดี ก็ขึ้นอยู่กับนายของมัน” ชายชราพูดกับตัวเองอย่างแผ่วเบา ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มละมัยตามภาษาคนแก่
ในห้องพักที่ไม่ได้เลิศหรูมากมายอะไรนัก เด็กหนุ่มผู้ถูกหามมาวางไว้บนเตียงกำลังหลับสบาย แต่ในไม่กี่อึดใจ ดวงตาทั้งสองข้างก็เปิดออก เผยให้เห็นนัยน์ตาสีฟ้าใส
“อุ้ย ดวงตาสีฟ้า หายากนะเนี่ย” หญิงสาวที่ทำหน้าที่เฝ้าเด็กหนุ่มก้มหน้าเข้ามาใกล้ใบหน้าหวานที่ดูบอบบาง สายตาจ้องดวงตาทั้งสองข้างอย่างหลงใหล
“ก้มอีกนิด โดนจูบแน่ครับ” เขาเอ่ยเรียกสติของรุ่นพี่สาวให้กลับเข้าร่างอย่างรวดเร็ว
“โทษทีจ้ะ พอดีพี่เห็นว่าดวงตาของเธอมันสวยดี” รุ่นพี่สาวค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนช้า ๆ ใบหน้าขึ้นสีเล็กน้อย ก่อนจะกระแอ่มไอสักหนึ่งทีแก้อาการเขินแล้วพูดว่า “ข้างล่างกำลังมีงานเลี้ยงรับน้องกัน ถ้าเธอฟื้นแล้วก็เชิญลงไปร่วมสังสรรค์กับเพื่อน ๆ ได้นะ พี่ขอตัวก่อนละ”
รุ่นพี่สาวรีบเผ่นออกจากห้องด้วยอาการเขินอายทันที ปล่อยให้เขานั่งนิ่งคนเดียวอยู่ภายในห้อง
“เจ้าแก่นั่น ทำไมมันถึงรู้จักเรา” พูดกับตัวเองอย่างแผ่วเบา พลางเอามือลูบหัวใจตัวเองอย่างแผ่วเบาแล้วเลื่อนลงมาที่ท้องอย่างช้า ๆ แต่แล้วมันก็เกิดเสียงประหลาดดังขึ้น โครก! คราก! จะท้องน้อยส่งเสียงคำรามต่ำ ๆ ออกมา เพื่อประท้วงบอกนายมัน “หิวจังแฮะ ลงไปกินเลี้ยงกับพวกข้างล่างนั่นจะดีกว่า”
เมื่อเขาเดินลงมาถึงห้องอาหารที่อยู่ชั้นหนึ่งของปราสาทแห่งนี้ ก็ไม่แปลกใจเลยในคำพูดของรุ่นพี่ผู้หญิงคนนั้น เพราะทุกคนที่เขาเห็นส่วนมากจะมีสีผมออกไปทางสีน้ำตาล สีแดง และสีดำ ซึ่งผู้หญิงส่วนมากจะสีผมก็จะออกไปทางสีแดงเพลิง สีแดงไหม้ สีน้ำตาลแดง ผู้ชายก็จะเป็น สีดำ น้ำตาลเข้ม และน้ำตาลอ่อน ส่วนนัยน์ตาของแต่ละคนเมื่อลองสังเกตดูก็มีอยู่ประมาณสามสี นั่นคือสีดำ สีน้ำตาลอ่อน และสีน้ำตาลเข้ม
ทามกลางสายตามากมายที่มองมา เขาเดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้าง ๆ สาวผมทองคนหนึ่ง ซึ่งมันว่างอยู่ที่เดียวพอดี เขาหยิบน่องไก่ในจานมากินอย่างไม่สนใจในสายตาของคนอื่นที่กำลังมองมาทางเขา และแอบหันไปซุบซิบนินทากันเป็นการใหญ่
“นั่นไง น้องคนนั้นไงที่ข้าว่าหน้าตาน่ารักโคตร กรี๊ดดด! ทนไม่ไหวแล้วอยากเข้าไปหอมแก้มสักฟอด” รุ่นพี่สาวคนที่ขึ้นไปเฝ้าเวลตอนหลับพูดพร้อมประกอบท่าทาง
“น่ารักจริง ๆ นั่นแหละแก แต่ถ้าไม่ใส่ชุดนักศึกษาชายเข้ามา ข้าไม่มีทางเชื่อแน่ว่าเป็นเด็กผู้ชาย” เพื่อนที่นั่งข้าง พูดพลางจ้องไปที่แก้มบาง ๆ ของเด็กหนุ่ม ซึ่งมันทั้งขาวทั้งเนียนยิ่งกว่าผู้หญิงตัวจริง ๆ อย่างพวกเธอเสียอีก
ครืด ในขณะที่เขากำลังนั่งกินไก่และฟังพวกรุ่นพี่นินทาอย่างสบายอารมณ์ หญิงสาวผมทองที่นั่งข้าง ๆ ก็ยืนกระดาษแผ่นหนึ่งให้
ซึ่งเมื่อหันไปมองก็จำได้ทันทีว่าเธอคือ ปากอ้ากำลังจะพูดออกมา ถ้าไม่ติดที่สายตาของคุณเธอประมาณว่า ถ้าขืนพูดอะไรไปมากกว่านี้แกตาย
เขาแอบเก็บกระดาษใส่กระเป๋าเสื้อตัวเอง แล้วหันไปสนใจอาหารตรงหน้าต่อ โดยไม่ได้เห็นเลยสักนิด ว่าตอนนี้คนที่ส่งกระดาษให้นั้นกำลังก้มมองพื้นโต๊ะด้วยสายตาอันเศร้าหมอง
“ข้าชื่อสมิธ” มีเสียงดังมาจากทางด้านหลัง เขาลามือจากอาหารตรงหน้า แล้วหันกลับไปมองชายหนุ่มด้านหลังเขา หมอนี่มีผมสีน้ำตาลเข้ม กับนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่ดูเข้ากับสีผิวสีแทนไม่น้อยเลยทีเดียว
“ส่วนนี่เพื่อนข้า เจราล” คราวนี้มันดึงชายหนุ่มหน้ามน ที่ดูแล้วหล่อบาดตาบาดใจสุด ๆ แต่ผมสีดำสนิท กับนัยน์ตาสีดำดุดุ ทำให้เจ้าหมอนี่ดูมาดเข้มสุด ๆ เหมาะกับหน้าหล่อ ๆ ของมัน
“ข้าชื่อเวล ยินดีที่ได้รู้จัก” เวลทักตอบตามมารยาท แต่คำถามที่อีกฝ่ายถามกลับมานั้นเรียกได้ว่าเสียมารยาทมากกับคนแบบเขา
“นี่เจ้า ตกลงเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายกันแน่” คำถามนี่เล่นเอาคิวกระตุก อยากจะกระโดดฟรีคลิกใส่มันสักที ถ้าไม่ติดที่ว่าเหลือบไปเห็นสายตาคนอื่น ๆ ที่มองมาแบบอย่างรู้อยากเห็นอยากได้ยินคำตอบกันเต็มแก่
“ฟังชัด ๆ นะ” พูดจบก็นวดลำคอเล็กน้อย พร้อมกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายเข้าใกล้ ๆ แล้วปล่อยคลื่นเสียงเต็มกำลังอีกครั้ง
“ผู้ชายโว้ยยยยยย!”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ เจ้านี่มันเหมือนอิสตรีจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือผิวพรรณ” สมิธ เพื่อนใหม่กำลังลูบแผ่นหลังเขาเล่นอย่างเมามือในวงดื่มชาของผู้ชาย เนื่องจากอายุยังไม่ถึงเกณฑ์ให้ดื่มเหล้า ไอ้ลูบหลังนี่ไม่เท่าไหร่แต่มือมันชักจะเริ่มลามมาข้างหน้าซะงั้น “ถ้าได้เจ้าเป็นเมี๊ยะ”
ตุบ! พูดยังไม่ทันจบ มือขวาก็จับหัวอีกฝ่ายฟาดลงกับพื้นโต๊ะซะหนึ่งที สมิธหลับคาทีไปโดยปริยาย
“สงสัยมันคงเมาน่ะ” พูดด้วยน้ำเสียงอันเรียบนิ่ง แล้วขอตัวออกจากวงดื่มชาเพื่อไปตามนัดที่หญิงสาวผมทองนั่นนัดเอาไว้
“อืม มันคงจะดื่มมากไป” เจราลพูดอย่างไม่แยแส แถมออกจากสมน้ำหน้าเพื่อนของตนหน่อย ๆ ด้วยซ้ำ ส่วนคนอื่น ๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วย เพราะกลัวโดนจับฟาดอีกคน
ณ ริมระเบียงบนห้องแห่งหนึ่งที่เป็นห้องพักของนักศึกษาแห่งแซนเดล ห่างมองจากตรงนี้ไปจนสุดสายตา จะเห็นพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าที่ดูสวยงามยิ่งนัก สายลมพัดหวิวอย่างแผ่วเบา ช่วยบรรเทาความทุกข์ร้อนในใจให้สงบลงบ้าง แต่ถึงกระนั้น หญิงสาวผู้ยืนอยู่ริมระเบียงก็ยังไม่อาจที่จะสงบจิตใจของตัวเองให้ผ่อนคลายลงได้
“นัดผู้ชายให้มาหา ไม่สมกับเป็นเจ้าหญิงเลยนะครับ” คำเอ่ยที่กัดอีกฝ่ายเล็กน้อยหลุดออกมาจากปาก พร้อมฝีเท้าที่ขยับเดินเข้าไปยืนเคียงข้างเธอ
“รู้ได้ไงว่าฉันเป็นเจ้าหญิง” เธอถึงกับหันควับมามองด้วยความตกใจ เพราะฐานะของเธอนั้นแทบไม่มีใครรู้เลยนอกจากคนในวัง และพวกที่เป็นเชื้อพระวงศ์ด้วยกัน ไม่มีทางที่เด็กทุนอย่างเขาจะรู้ตัวตนของเธอได้
เนื่องจากว่าการคัดเลือกนั้นใช้เฉพาะกับสามัญชน ส่วนพวกเชื้อพระวงศ์และลูกขุนนางจะได้สิทธิพิเศษในการเข้ามาเรียนที่นี่ แต่ทางโรงเรียนก็ไม่ได้มีแจ้งอยู่แล้วว่าใครเป็นเชื้อพระวงศ์ที่เข้ามาโดยสิทธิพิเศษ หรือใครเป็นสามัญชนที่สอบเข้ามา
“ก็ ห้องของคุณดูสะอาดแล้วก็สวยงามมาก แต่มือคุณกับไม่หยาบกระด้างเลยแม้แต่น้อย จะว่าวันนี้คุณนึกอยากจะจัดห้องตัวเองขึ้นมากะทันหันก็ไม่ใช่ จะต้องมีคนมาจัดห้องให้คุณแน่ ๆ และพวกที่มีคนใช้ได้ก็มีแต่พวกลูกขุนนางหรือเจ้าหญิงเจ้าชายเท่านั้น และเมื่อกี้ผมก็ลองเรียกคุณว่าเจ้าหญิงเล่น ๆ ดูเฉย ๆ” พูดจบก็ส่งรอยยิ้มอันยียวนกวนประสาทให้อีกฝ่าย
“นายหลอกให้ฉันพูด” ปากพูดออกไปมือขวาก็ขยับยกขึ้นหวังจะตบแก้มซ้ายอันบอบบางนั่นให้ช้ำสักที แต่มีหรือนักฆ่ามือฉกาจจะยอมโดนง่าย ๆ มือซ้ายขวาจับข้อมือบางเอาไว้แน่น ก่อนจะกระชากอีกฝ่ายให้เข้ามาใกล้
“คุณให้ผมแอบขึ้นมาให้คุณ ถ้าผมจะทำร้ายคุณก็ไม่มีทางที่จะเหลือหลักฐานแน่นอน และไม่มีใครรู้ด้วย” ปากพูดไปสายตาจ้องประสานสายตา ขู่ให้อีกฝ่ายหนึ่งกลัวและยอมที่จะเดินกลับเข้ามาในห้องกับตน
เมื่อเข้ามาภายในห้อง เขาก็กระตุกผ้าม่านให้ปิดลง ห้องทั้งห้องเกือบจะมืดสนิท มีเพียงแสงอันน้อยนิดที่เล็ดลอดผ้าม่านเข้ามาให้แสงสว่างแกเขาทั้งสอง
“นายจะทำอะไรน่ะ” ความหวาดกลัวเริ่มพุ่งขึ้นสูงขึ้น และสูงขึ้นอีกยามเมื่ออีกฝ่ายค่อย ๆ ดันเธอให้ถอยหลังไปหาเตียงสีชมพูอย่างช้า ๆ
“คุณนัดผมมาด้วยเรื่องอะไรผมก็ไม่รู้ แต่ผมรู้ว่าคนที่หมดทางไปอย่างผมจะสามารถอยู่รอดได้หากมีคนคอยหนุนหลัง ซึ่งถ้ามีศักดิ์เป็นถึงเจ้าหญิงอย่างคุณด้วยนี่ ยิ่งดีสุด ๆ ไปเลย”
“หมายความว่าไง นายคิดจะทำอะไรกันแน่” เธอพูดด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ ทั้งสภาพแวดล้อม และสายตาที่จ้องมา มันบีบให้เธอต้องหวาดกลัวจนถึงที่สุด และยอมทำตามที่อีกฝ่ายอยากให้ทำอย่างว่าง่าย
มือสองข้างดันหญิงสาวตรงหน้าให้นั่งลงบนเตียงอย่างช้า ๆ ตัวเธอนั้นไม่มีอาการขัดขืนเลยแม้แต่น้อย แต่แววตาแสดงความหวาดกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“หึๆๆๆ ฮ่าๆๆๆๆๆ” เสียงหัวเราะระเบิดกล้องออกมาอย่างอดไม่อยู่ “นี่หรือผู้เป็นเจ้าหญิง ทำช่างออนแอแบบนี้” สายตามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความสมเพจ ก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่มีการเกรงอกเกรงใจ
“เจ้า! เจ้าแกล้งข้า” คำสามัญชนหลุดออกจาปากของเธออย่างอดไม่อยู่
“อ้าว หลุดมาดเจ้าหญิงซะแล้วเหรอ” พูดจบก็ก็ปล่อยหัวเราะต่ออีกรอบ
“ไอ้คนบ้า!”
เพี๊ยะ คราวนี้มือน้อย ๆ หวดเข้าใส่ที่แก้มซ้ายอย่างจัง หยุดเสียงหัวเราะลงในทันที
“มันเจ็บนะโว้ย!” เขาเงยหน้าขึ้นมาตะคอกใส่ “หือ” แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นตราเวทสีม่วงขนาดเท่าดวงตาปรากฏขึ้นตรงหน้า ปึก มันอัดบางอย่างใส่กลางหน้าผากเขาและทำให้เขาสลบไปในไม่กี่วินาทีต่อมา
ความคิดเห็น