คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : บทที่2 เธอเชื่อที่พี่พูดหรือเปล่า 5
“อารมณ์ขันกว่าที่คิดนะครับพ่อเลี้ยง” จักรภพเปลี่ยนท่านั่งเป็นท่าทีสบายๆ “ที่เขาว่ากันว่า คนกำลังปลูกต้นรัก โลกมักจะสดใส เห็นแล้วท่าจะจริง”
ใบหน้าคมคายถึงกับกระตุกคล้ายโดนแหย่หนวดเสือ เขาไม่สนว่าไอ้คนตรงหน้ามาจากหน่วยงานห่าเหวอะไร จะลับแค่ไหน แต่ถ้าล้ำเส้นกันมากก็ไม่มีเหตุผลให้ไว้หน้า
“ผมกำลังคิดว่าสายสืบกับสายเสือก มีความหมายไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก”
จักรภพยกมือยอมแพ้ แม้ใจจะนึกหมั่นไส้ไม่น้อย ได้แต่ท่องว่าทำเพื่องาน เขามาเพื่อดึงให้คทาธรมาเป็นพวกตัวเอง
“ผมกำลังตามสืบเรื่องใหญ่ พวกค้ามนุษย์แล้วก็อาจจะมีสิ่งผิดกฎหมายอย่างอื่นร่วมด้วย” ข้อมูลต่างๆ ถูกเลื่อนไปตรงหน้าพ่อเลี้ยงหนุ่ม “ผมว่าพ่อเลี้ยงน่าจะคุ้นกับสถานที่นี้”
สถานที่ที่จักรภพว่านั้นคือมูลนิธิโรงเจในชุมชนที่เขาเคยอาศัยอยู่เมื่อตอนเด็กๆ ซึ่งมันถูกเปิดขึ้นมาเพื่อเอาไว้ฟอกเงินสำหรับธุรกิจมืด
ฉากหน้าคือนักบุญในชุดนุ่งขาวห่มขาว แต่น้อยคนที่จะรู้ว่าเสื้อขาวเหล่านั้นเปื้อนเลือดคนอื่นมานักต่อนัก
“ที่ผมมาที่นี่เพราะอยากขอความร่วมมือจากคุณ”
คทาธรผุดยิ้มก่อนยกแก้วขึ้นจรดริมฝีปาก นั่งจิบวิสกี้เครื่องดื่มอันโปรดปรานราวกับต้องการประวิงเวลา และดูเหมือนตำรวจหนุ่มจะมีความอดทนมากกว่าที่คิด
“ถ้าร่วมมือกับผู้กอง ผมจะได้อะไรตอบแทน” การร่วมมือกับตำรวจย่อมมีผลอันตรายต่อตัวเอง จักรภพควรมีข้อแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจพอที่จะทำให้เขาคล้อยตามไม่ใช่เหรอ
“ผมจะช่วยสืบเรื่องของนางดาหลา”
“เรื่องนั้นผมทำอยู่แล้ว” คทาธรไหวไหล่
“พ่อเลี้ยงไม่คิดเหรอว่าบางทีเป้าหมายของเราอาจจะเป็นคนเดียวกัน” จักรภพลองหย่อนเบ็ดแล้วก็ได้ผลเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายชะงักไป “สิ่งที่คุณกำลังสงสัย พวกผมกำลังรวบรวมสืบหาข้อมูลเพื่อมัดตัวการใหญ่”
“…”
“ทำคนเดียวมันเสี่ยงเกินไป ร่วมมือกับผมดีกว่ามั้ง” ที่ผ่านมาใช่ว่าคนอย่างคทาธรจะมือสะอาด โลกของผู้ชายคนนี้ไม่ได้ขาวใสแต่ก็ยังไม่ถึงกับดำมืดจนเกินไป
บนโลกใบนี้มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับ กับบางเรื่องเราก็ควรเลือกที่จะปล่อยผ่านไปบ้าง ปิดตาลงหนึ่งข้างเพื่อที่จะได้ก้าวเดินต่อไป
จักรภพคิดว่าคทาธรน่าจะรู้ดีอยู่แล้ว หากยอมร่วมมือกับทางตำรวจก็เท่ากับว่าประวัติของชายหนุ่มจะถูกล้างจนไร้ราคีไม่มีแม้แต่มลทิน แต่ดูเหมือนเรื่องพวกนั้นไม่ได้อยู่ในความสนใจของพ่อเลี้ยงเท่าไหร่นัก
กว่าจะตามสืบจนล่วงรู้ว่าสิ่งที่พ่อเลี้ยงแห่งไร่พิรุณพยัคฆ์ตามหานั้นคืออะไรก็เล่นเอาเหงื่อตก
อีกอย่างจักรภพรู้ดีว่าคทาธรน่าจะทราบล่วงหน้าอยู่แล้วว่าถึงอย่างไรเขาก็ต้องมาเยือนที่นี่ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ได้เหยียบพื้นดินที่ไร่นี้ง่ายๆ แน่
การที่เขาเปรยเรื่องเมื่อครู่ขึ้นมานั้นได้ผลชะงัด จากนี้ต่อไปมันคือการยื่นหมูยื่นแมว
“หลักฐาน” คทาธรเปรยขึ้นมา “จนกว่าผู้กองจะหาหลักฐานได้ ผมถึงจะยอมตกลง”
จักรภพยืดอกขึ้น รู้สึกโล่งใจราวกับก้อนหินที่แบกรับก่อนหน้าหายไปจากบ่า การเข้าถึงคทาธรไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไหร่นัก กว่าจะสืบเสาะเจาะข้อมูลแต่ละอย่างได้ก็กินเวลาไปหลายเดือน
“เจอกันครั้งหน้า ผมจะเอาข้อมูลมาวางตรงหน้าพ่อเลี้ยง” และวันนั้นคนที่หยิ่งทะนงจนน่าหมั่นไส้จะต้องยอมเสียหน้าเพื่อทำตามในสิ่งที่ตัวเองพูดในวันนี้
ต่างฝ่ายต่างมองหน้าเหมือนต้องการลองเชิง สุดท้ายฝ่ายนายตำรวจเป็นคนขยับตัวก่อนเพราะไม่ชอบสายตาที่อีกฝ่ายใช้มองมาเท่าไหร่นัก
สายตาแบบนี้นี่มัน…จะว่าน่ากลัวก็ไม่ใช่ ดูแคลนกันก็ไม่เชิง แต่ก็ทำให้รู้สึกอึดอัดพอตัว
“ผมกลับก่อนดีกว่า” จักรภพตัดสินใจเอ่ยขอตัว “เจอกันครั้งหน้า หวังว่าเราจะได้ร่วมงานกันนะครับพ่อเลี้ยง”
“ทัช !” คทาธรเปล่งเสียงเข้ม ไม่นานทัชกรก้าวมาเข้ามา ห่างออกไปไม่กี่ก้าว “ส่งแขก”
ความทรงจำในวัยเด็กเกี่ยวกับมูลนิธิฯ นั่นคือกลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นหรือกลุ่มเศรษฐีมักรวมตัวกันที่นั่นเวลามีงานบุญ ชาวบ้านมักไปต่อแถวรอเพื่อรอรับของบริจาครวมถึงแย่งกันรับเศษเงินที่นักบุญโปรยลงมา
แน่นอนเขาเองก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น
ติ๊ง !
เสียงแจ้งเตือนดังขึ้นทำให้คทาธรปัดเรื่องหนักสมองออกไป มันยังไม่ถึงเวลาที่ต้องเครียดขนาดนั้น
มุมปากยกยิ้มพอใจกับข้อความล่าสุดที่หญิงสาวตอบกลับมา บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าสิ่งที่รู้สึกในตอนนี้เรียกว่าอะไร รู้เพียงว่ามันทำให้เขาอารมณ์ดีกว่าเมื่อครู่มากนัก
Junjao : ไว้คุยกันวันเสาร์นะคะ
Junjao : ส่งสติกเกอร์ยิ้ม
ความคิดเห็น