คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่1 จันทร์เจ้า 2
‘ชัดขนาดนี้ยังมานั่งถามอีก’
‘มากกว่านี้พี่รามคงติดป้ายบิลบอร์ดบอกแกแล้วมั้งนังจันทร์’
‘เขา-จีบ-แก’
‘คนอย่างพี่รามเนี่ยนะ จีบฉัน’
‘คนอย่างแกมันทำไมยะ อย่าดูถูกตัวเอง’
นรีจันทร์ไม่ได้จะดูถูกตัวเอง แต่สิ่งที่เพื่อนสันนิษฐานจากคำบอกเล่าของเธอนั้นมันก็ชวนให้ใจปั่นป่วนพอตัว เพราะโลกของเธอกับคทาธรเหมือนเส้นขนานที่ไม่น่ามาบรรจบกันได้
ชีวิตประจำวันของเธอมีเพียงตื่นมาทำงานแปดโมงเช้าและเลิกงานในเวลาสี่โมงเย็น จากนั้นก็ตุนเสบียงสำหรับมื้อเย็น เธอแบ่งเวลาปั่นงานราวๆ สองชั่วโมงได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น ที่เหลือเป็นเวลาแห่งการเสพความสุข ดูซีรีส์ นั่งดูไลฟ์หรือวาไรตี้อะไรก็ว่าไป เว้นถ้าวันไหนมีนัดกับเพื่อนคืนนั้นก็จะไม่ได้ปั่นงาน ถึงห้องก็อาบน้ำนอนตื่นมาก็ตรงไปทำงานวนลูปเดิม
มีคนถามว่าเป้าหมายของเธอคืออะไร นรีจันทร์ตอบได้เต็มปากเต็มคำว่าอยากเป็นคนรวยที่ว่างงาน
แต่คนรวยที่ไหนเขาจะว่างงานกันเล่า ! ไม่มีเสียหรอก
เพราะฉะนั้นขอเป็นคนรวยที่ยังต้องทำงานอยู่ก็ได้ เงินเท่านั้นคือปัจจัยหลักในการดำรงชีวิต
ในขณะที่เธอกำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่นั้น โทรศัพท์ก็แผดเสียงดังจนนรีจันทร์เผลอสะดุ้งดึงตัวเองกลับสู่ปัจจุบัน ตอนนี้เธอนั่งอยู่บนรถของคทาธร ซึ่งปลายทางคือไร่ของพ่อเลี้ยงชิษณุ
หญิงสาวทำทีหันหน้าออกไปด้านนอก แต่ยังคงรับรู้ได้ถึงสายตาของชายหนุ่มที่เหลือบเธออยู่ตลอด ดูเหมือนเขาจะกดตัดสายทิ้งเพราะเธอไม่ได้ยินเสียงพูดคุย แต่ไม่นานเจ้าเครื่องมือสื่อสารก็ร้องขึ้นอีกครั้ง
“อืม ว่าไง” คราวนี้คทาธรยอมรับสาย ไม่ได้อยากเผือกอะไรหรอกนะ แต่เสียงนั้นมันเล็ดลอดออกมาทำให้รู้ว่าปลายสายเป็นผู้หญิง
“วันนี้ไม่ว่าง ไว้วันอื่น”
เขาวางสายไปแล้ว
ทั้งที่ตั้งแต่ขึ้นรถมาทั้งเขาและเธอก็ยังไม่ได้คุยกันสักคำและไม่ได้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด แต่ตอนนี้กลับสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ดูคุกรุ่นยังไงชอบกล
นรีจันทร์สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ควรชวนเขาคุยหรือยังไงดี ไม่งั้นเธอคงได้นั่งตัวเกร็งจนตะคริวกินจนกว่าจะถึงจุดหมายแน่ๆ
เธอว่าศราคงสันนิษฐานเรื่องที่คทาธรจะจีบเธอผิดไป ต่อให้ไม่เคยมีความรักใช้ชีวิตแบบใสๆ เลย แต่นรีจันทร์ก็พอจะรู้ว่าเวลาผู้ชายจีบผู้หญิงที่ชอบมันก็ควรชวนคุยไม่ใช่เหรอ
นี่นั่งเงียบแถมยังตีหน้าดุเหมือนยักษ์วัดแจ้ง ไม่น่าใช่แล้วละ
คิดได้แบบนี้ก็โล่งใจขึ้นมาหนึ่งเปราะ ไม่ใช่ว่าเธอรังเกียจคทาธร เพียงแต่เธอค่อนข้างกริ่งเกรงผู้ชายอย่างเขา เหมือนชายหนุ่มมีอานุภาพแผ่รังสีบางอย่างทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัวได้ไม่ยากเพียงแค่สบตา
“เปิดเพลงฟังได้ไหมคะ” ที่พูดนี่ก็กลั้นใจอยู่
“เอาสิ”
“ขอบคุณค่ะ แหะๆ” มืออย่าสั่นสิ นรีจันทร์ได้แต่ก่นด่าตัวเองตอนเอื้อมมือไปกดปุ่ม ปรับไปช่องวิทยุที่ตัวเองฟังบ่อยๆ บางครั้งไม่รู้ว่าอยากฟังเพลงอะไรการฟังวิทยุก็เป็นทางเลือกที่ดี ให้เป็นหน้าที่ดีเจไปแล้วกัน
พอมีเสียงเพลงขึ้นมาก็ค่อยยังชั่วขึ้นหน่อย ดูเหมือนอีกฝ่ายจะผ่อนคลายมากขึ้นด้วยไม่ใช่แค่เธอคนเดียว นรีจันทร์ฮึมฮัมตามเนื้อเพลงตาก็มองออกนอกหน้าต่าง ก่อนจะคลี่ยิ้มบางเบาเมื่อเห็นหมาจรจัดวิ่งเล่นกันอยู่ข้างทาง
นึกถึงเมื่อก่อนที่เธอยังมีหมาคู่ใจอยู่ ซึ่งเป็นหมาจรจัดที่อยู่ละแวกบ้านนี่แหละ
“จันทร์เจ้า”
หืม ?
นรีจันทร์หันขวับไปทางคนที่นั่งอยู่ตำแหน่งคนขับรถ เขาปรายตามองเธอแวบหนึ่งก่อนยกยิ้มมุมปากคล้ายพอใจที่เธอมีปฏิกิริยาเช่นนี้
ก็ชื่อ ‘จันทร์เจ้า’ จริงๆ เป็นชื่อเล่นเต็มๆ ของเธอ แต่คิดว่ามันยาวไปเลยบอกคนอื่นว่าตัวเองชื่อจันทร์ น้อยคนที่จะเรียกเธอว่าจันทร์เจ้า ประเด็นคือคทาธรรู้ได้ยังไง
“เพราะดี” เขาพูดขึ้นมาอีกครั้ง “พี่เรียกเธอชื่อนี้ได้ไหม”
อยู่ๆ หัวใจก็ทำงานหนักแถมยังร้อนผ่าวไปทั้งหน้า อยากจะเถียงอยู่เหมือนกันแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคืออาการเก้อเขิน เมื่อครู่เพิ่งบอกกับตัวเองไปหยกๆ ว่าสิ่งที่ศราสันนิษฐานนั้นมันผิด
ถ้าผิดแล้วทำไมเธอถึงมีอาการแบบนี้
“ว่าไง” คทาธรทวงคำตอบเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไป
“ได้ค่ะ”
ดีแค่ไหนที่ก่อนหน้านี้ตัดสินใจขอเปิดเพลง ไม่อย่างนั้นคงมีคนได้ยินเสียงเต้นของหัวใจเธอแน่ๆ
แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่อยากเชื่อว่ามันจะเต้นเร็วขนาดนี้
“จันทร์เจ้า” คทาธรเรียกอีกครั้ง
“คะ” เธอเผลอตอบโดยอัตโนมัติ
“วันหยุดนี้ว่างหรือเปล่า” เขาเข้าตรงประเด็นไม่มีการอ้อมค้อม แต่เพราะเจ้าตัวเอาแต่วิ่งหนีเลยไม่เคยได้คุยกันอย่างจริงจังสักที “พี่อยากชวนเธอไปกินข้าวเย็น”
“จันทร์ไม่แน่ใจ” นรีจันทร์ตอบเสียงแผ่ว มือที่กุมกันอยู่เริ่มบีบกันจนแน่น “ไว้บอกอีกทีได้ไหมคะ”
“อืม”
คทาธรมุ่นหัวคิ้วอย่างไม่เข้าใจกับคำตอบของอีกฝ่าย นรีจันทร์ดูระแวงและไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาทำอยู่ ยังมีอะไรที่ไม่ชัดเจนอีก ?
ความคิดเห็น