ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ล่ามรักคนพาล

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่1 เมียตีทะเบียน 3

    • อัปเดตล่าสุด 13 ธ.ค. 64


    ล่ามรักคนพาล
    มีวางจำหน่ายในรูปแบบ e-book แล้วค่ะ

    หนังสือสามารถซื้อได้ที่ร้านนายอินทร์นะคะ






           ‘กลิ่นเกสร เปิดมาราวๆ สามปี ตั้งอยู่ย่านอารีย์เป็นร้านอาหารโดยเน้นอาหารไทยเป็นหลัก มีเครื่องดื่มรวมถึงขนมไทยบ้างประปราย มัสยาหุ้นกับเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยทุ่มแรงกายแรงใจจนกว่าจะอยู่ตัว ตอนนี้กำลังวางแพลนจะขยายสาขาไปยังห้างสรรพสินค้าเพิ่ม

           สมัยนี้ร้านอาหารรวมถึงคาเฟ่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด มีให้คนเลือกเยอะพอๆ กับร้านสะดวกซื้อ สิ่งที่จะทำให้ดำรงอยู่ได้ก็คือคุณภาพ ลงทุนสูงส่วนเรื่องกำไรอย่าเพิ่งไปคาดหวังมาก มัสยามองว่ากำไรทั้งหมดก็อยู่กับข้าวของรวมถึงเครื่องไม้เครื่องมือในร้าน

           ไม่อยากถูกมองเป็นคนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ อยากพิสูจน์ตัวเองให้คนอื่นเห็นว่าเธอสามารถพึ่งพาตัวเองได้ แม้ว่าความจริงเงินทุนที่สร้างร้านนี้ขึ้นมาจะมาจากมารดาส่วนหนึ่ง แต่เธอก็แบ่งเก็บแยกบัญชีไว้จนสามารถคืนเงินต้นทุนทุกบาททุกสตางค์จนครบ

           มัสยาค้นพบช่องทางสร้างรายได้หลายทาง และไม่อิดออดที่จะทำมองว่าเราต้องปรับตัวให้เข้ากับอะไรยุคสมัย แต่กว่าร้านจะเริ่มอยู่ตัวมันไม่ใช่เรื่องง่าย บ่อยครั้งที่เธอรู้สึกท้อจนอยากปิดกิจการ แต่ถ้าปิดแล้วพนักงานที่ร้านจะเป็นยังไง ถึงจะมีไม่กี่คนแต่เธอก็รักเหมือนญาติเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง

           ช่วงสายๆ ตลอดไปถึงบ่ายลูกค้าทยอยเข้ามา ละแวกนี้มีสำนักงานตั้งอยู่พอสมควร ดังนั้นลูกค้าส่วนมากจะเป็นวัยทำงานมากกว่า หากเป็นช่วงวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ ก็จะเป็นอีกค้ากลุ่มวัยรุ่นซึ่งพากันมานั่งจับกลุ่มติวหนังสือ หรือนัดพูดคุยถ่ายรูปเช็คอิน

           “พี่กลับก่อนนะน้ำมนต์ ฝากปิดร้าน เช็กของให้เรียบร้อยด้วยนะ

           ชลตีเป็นพนักงานคนแรกยื่นใบสมัครกับเธอ อยู่ด้วยกันตั้งแต่เริ่มเปิดร้านจนถึงตอนนี้ น้องยังเป็นนักศึกษาหางานทำส่งตัวเองเรียน แม้จะเป็นพาร์ทไทม์แต่มัสยากลับมองว่าไม่ใช่ปัญหา ถือว่าช่วยๆ กันไป

           “ได้เลยค่ะพี่ว่านเด็กสาวยิ้มกว้าง ยินดีอีกครั้งนะคะ

           “จ้ะคงหมายถึงเรื่องงานแต่งกระมัง อย่าลืมเอาของกลับไปกินด้วย ได้ไม่ต้องไปซื้อ

           การจราจรในเมืองค่อนข้างติดขัด ยิ่งเป็นช่วงเย็นตอนคนเลิกงานยิ่งไม่ต้องพูดถึง อีกอย่างบ้านครอบครัวสามีนั้นอยู่แถบชานเมือง ดังนั้นคงต้องใช้เวลาพอสมควรถึงจะฝ่าไปได้

           นี่ก็ถึงเวลานัดแล้วแต่โมกข์ยังไม่มา คิดว่ารถคงติดอยู่แถวไหนสักที่กระมัง แรงสั่นบวกกับเสียงร้องของโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าดังขึ้น คนโทรคือโมกข์อย่างที่คิด มัสยากดรับตั้งใจจะบอกว่าเดี๋ยวเดินไปรอหน้าปากซอย เขาจะได้ไม่ต้องวนรถเข้ามารับมันจะเสียเวลา

           ทว่า...ปลายสายกลับพูดขึ้นมาห้วนสั้นแต่กระชับใจความ

           ขวามือแค่นั้นสายก็ตัดไป

           มัสยามั่นใจว่าเธอมองรอบๆ แล้วแต่ไม่เห็น แต่เมื่อเพ่งมองดีๆ อีกทีถึงได้เข้าใจ

           ตอนเช้าขับรถยนต์แล้วเหตุใดตกค่ำถึงควบมอเตอร์ไซด์ มัสยาไม่มีความรู้เรื่องรถเท่าไหร่แต่มองเจ้าเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนสองล้อสีดำนี้ชื่อของมันคงไม่ใช่อย่างที่เธอคิด

           ขึ้นมาเขาสั่งเสียงเข้ม แถมยังใช้มือตบเบาะเป็นตัวเร่ง หรือรอให้ผมปูพรมให้

           “หมวกกันน็อคล่ะคะมัสยาไม่ได้มีปัญหาในการซ้อนท้ายเจ้ารถคันนี้ แต่โมกข์ควรมีเครื่องป้องกันให้เธอไม่ใช่หรือไง

           เอาไปใส่เองสิ้นคำหมวกนิรภัยหลุดลอยจากมือซึ่งเธอเกือบรับไว้ไม่ทัน มัสยาพยายามระงับอารมณ์ที่เริ่มปะทุในใจ

           กับเธอ...โมกข์ไม่เคยเกรงใจคิดจะกระทำกันยังไงก็ได้

           “ดูเหมือนฝนจะตกนะคะดวงตากลมเหลือบมองฟ้าที่มีเมฆสีมืดกำลังเคลื่อนตัวรวมกลุ่มเกาะกัน ลมที่พัดผ่านมาดูคล้ายมีแววว่าจะตก

           “รู้ดีคนตัวโตแค่นเสียงเย้ยหยัน

           “ว่านดูจากแอปฯ น่ะค่ะไม่กระแนะกระแหนกันสักครั้งคงไม่ใช่โมกข์ มัสยาเตือนตัวเองเสมอว่าอย่าไปโต้ตอบเขามาก เดี๋ยวจะพาให้เครียดจนปวดหัว

           “รีบขึ้นมาชายหนุ่มเพิกเฉยต่อคำเตือนนั่น อย่ามัวแต่ลีลา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×