ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    St.Mardonic โรงเรียนนักรบมหาเวทย์

    ลำดับตอนที่ #1 : Chapter1 :: อดีตที่ไม่น่าจดจำ (Rewrite)

    • อัปเดตล่าสุด 14 ธ.ค. 57


    Chapter 1

    อดีตที่ไม่น่าจดจำ

                   

                    ย้อนกลับไป 10 ปีก่อน

                เด็กสาวผู้มีผมยาวกรอมข้อเท้าสีดำสนิทและไร้การดูแล ทำให้พวกมันพันกันยุ่งเหยิงไปหมด แต่เด็กคนนี้ก็หาได้สนใจไม่ เพราะเธอคิดแต่การเอาชีวิตรอดในแต่ละวันเท่านั้น เธอไร้ที่อยู่ ไร้ผู้ดูแล และไร้พ่อแม่มาตั้งแต่จำความได้ การดิ้นรนคือส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตของเธอ เธอเคยคิดจะหายไปจากโลกแห่งนี้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่เมื่อนึกถึงอนาคตที่อาจจะเป็นไปได้ เธอก็ต้องวางกริชที่จะปลิดชีพตัวเองลงทุกครั้งไป ถึงแม้ว่าอนาคตของเธอจะริบหรี่หรือใครบางคนบอกว่ามันจะไม่มี แต่เธอยังคงหวัง...หวังอยู่เสมอว่าปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้น

                แต่ละวันที่ผ่านไปเธอต้องคอยหลับนอนอยู่ตามซอกมุมของตึกในเอดิช เมืองเล็กๆทางตอนใต้ของไพราลิส*...รัฐแห่งเปลวเพลิงและสงคราม ในเมืองแห่งนี้มีประชากรแออัดเพราะเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อว่า พวก “ไม่มีหัวนอนปลายเท้า” มารวมตัวกันอยู่มากที่สุด อาชญากรรมเป็นเรื่องปกติเมื่อคนจนๆไม่มีแม้แต่เงินสักมาร์นิก**จะซื้ออาหารกิน การจะหาอะไรมาเลี้ยงปากท้องของตัวเองก็ต้องอาศัยความไวของฝีเท้าและความเบาของมือ เพราะฉะนั้นการขโมย จึงเป็นเรื่องปกติที่ประชาชนฐานะปานกลางถึงรวยมากที่อยู่ในรัฐนี้จะพบเจอ

                แน่นอนว่าการแก่งแย่งก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นปกติ หลังจากขโมยอาหารหรือเงินมาได้ ก็ใช่ว่าจะรอด อาจจะมีคนอื่นคอยดักชิงมาจากเธออีกที หากโชคไม่ดีอาจจะถูกทำร้ายเอาได้ ดังนั้น การต่อสู้จึงจำเป็นสำหรับเธอ

                วันหนึ่ง เด็กน้อยที่กำลังวิ่งหนีชายวัยรุ่นผู้หิวโหยได้วิ่งไปชนกับกับดักเวทย์ที่พวกนั้นร่ายไว้เข้า ตัวเธอจึงถูกดูดลงไปในโคลนเกือบครึ่ง ขนมปังก้อนหนึ่งที่คุณป้าใจดีบังเอิญให้ไว้ก็ถูกชิงไป เธอได้แต่คิดว่าถ้าจะจบชีวิตแบบนี้ก็ขออิ่มสักหน่อยก็ไม่ได้...พระเจ้าช่างใจร้ายกับเธอจริงๆ  แต่แล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นกับเธอ เมื่อมีคุณลุงร่างท้วมยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเธอ พวกวัยรุ่นรีดไถพวกนั้นจากไปพร้อมเงินถุงเท่าฝ่ามือที่คุณลุงส่งให้ เด็กสาวขึ้นมาจากหลุมโคลนดูดแล้วมองคนตรงหน้าด้วยแววตาหวาดระแวง

                “เป็นยังไงบ้างแม่หนู?” เขาถามพร้อมยิ้มด้วยความเอ็นดู แต่เด็กสาวยังคงไม่ไว้ใจ เธอถอยหลังออกห่างจากลุงคนนั้นแต่ก็ยังจ้องหน้าเขาอยู่

                “คะ คุณต้องการอะไร” เด็กสาวถามด้วยเสียงสั่นๆแต่ติดจะกระด้างเกินไปสำหรับเด็กวัยนี้

                “ฉันไม่ได้ต้องการอะไรหรอก แค่ช่วยคนที่กำลังเดือดร้อนเท่านั้นเอง” ชายวัยกลางคนหัวเราะในลำคอ แล้วทรุดตัวลงนั่งบนพื้นเพราะคิดว่าคงได้คุยกับเด็กน้อยคนนี้อีกนาน

                “ขอบคุณ ที่ช่วยหนู” เมื่อเด็กสาวไม่เห็นท่าทีเป็นศัตรูก็นั่งลงตรงข้ามพร้อมกล่าวขอบคุณและแย้มรอยยิ้มบางให้

                “ลุงชื่อเดวาล หนูพอจะบอกชื่อของหนูกับลุงได้มั้ย?”

                “ฟรานซ์ หนูชื่อฟรานซ์”

                    “หนูอายุเท่าไหร่เนี่ย ทำไมถึงดูสุขุมเกินวัยจัง”

                “อายุ 5 ขวบ”

                “หนูอาศัยอยู่กับใคร ทำไมถึงปล่อยให้หนูออกมาหาอาหารเองแบบนี้ล่ะ”

                “หนูอยู่คนเดียว หนูไม่มีใคร” เด็กน้อยตอบอย่างใสซื่อ แต่นั่นกลับสะเทือนใจผู้ช่วยเหลือเข้าอย่างแรง

                “หืม? แล้วบ้านหนูอยู่ไหน”

                “หนูไม่มี ทำไมต้องมีล่ะ คิลล่า***ยังนอนในกล่องได้เลย หนูก็นอนได้นะ” เธอตอบอย่างสงสัย ชายกลางคนอดสงสารและเอ็นดูเด็กน้อยคนนี้ไม่ได้ เขาดึงตัวเด็กน้อยมากอดและลูบผมอย่างปลอบประโลม เด็กน้อยได้แต่ทำหน้างงแต่ก็ยอมกอดตอบคุณลุงใจดีที่ช่วยเธอไว้

                “หนูไปอยู่กับลุงนะฟรานซ์ ลุงจะเลี้ยงดูหนูเอง”

                “ไปอยู่บ้านคุณลุงหรอคะ” เด็กน้อยผละจากอ้อมกอดและถามอย่างสงสัย

                “ใช่จ้ะ ไปอยู่กับลุงกับภรรยาลุงนะ”

                “จริงหรอคะ คุณลุงจะพาหนูไปด้วยหรอคะ” เธอถามอย่างตื่นเต้น เขาพยักหน้ายืนยันอีกครั้ง เด็กน้อยก็โผเข้ากอดเขาอย่างแรง เขาจึงอุ้มเธอขึ้นและพาเธอไปอยู่ด้วย...ไปอยู่ที่บ้านของเขา

     

                บ้านของเขาอยู่ในเมืองรีทท์ ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐแห่งสายลม นั่นคือ “เอวินด้า” รัฐทางตอนใต้ของโซรินานั่นเอง เดวาลจูงมือเด็กสาวที่มองรอบๆบ้านอย่างตื่นตาตื่นใจเข้ามาพบกับภรรยาของเขา

                “กลับมาแล้วหรอคะคุณ อุ๊ย นี่เด็กที่ไหนคะเนี่ย”

                “ผมรับเธอมาเลี้ยงน่ะเซราน ผมอดสงสารและเอ็นดูเด็กคนนี้ไม่ได้จริงๆ”

                “สวัสดีค่ะคุณป้า หนูชื่อฟรานซ์ คุณลุงพาหนูมาและบอกว่าจะให้หนูอยู่ด้วย” เด็กน้อยตอบเสียงใสและยิ้มให้เซราน แน่นอนว่าหญิงวัยกลางคนที่มีลูกไม่ได้อย่างเธอก็อดเอ็นดูเด็กคนนี้ไม่ได้อยู่แล้ว

                    ทั้งสองเป็นเศรษฐีตระกูลใหญ่ที่แต่งงานและอยู่ด้วยกันมากว่า 20 ปีแล้ว แต่ด้วยปัญหาสุขภาพทำให้ไม่สามารถมีลูกได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็จะมีญาติฝั่งนู้นบ้างนี้บ้างมาเสนอลูกของตัวเองมาเป็นลูกบุญธรรมให้ทั้งสองเสมอ พวกเขาไม่คิดจะรับเด็กคนไหนไว้ทั้งนั้นเพราะหากรับคนหนึ่งคนอื่นๆก็ต้องตามมาให้เป็นปัญหาเปล่าๆ แต่ไม่ใช่กับเด็กน้อยคนนี้ เด็กน้อยที่ไม่เคยมีแม้แต่พ่อแม่หรือบ้านให้อยู่...

                “จ้ะหนูฟรานซ์ ป้าชื่อเซราน ตั้งแต่นี้ไปหนูจะอยู่ในบ้านนี้กับลุงกับป้านะ”

                “ค่ะคุณป้า หนูขอบคุณมากๆเลยนะคะที่รับเลี้ยงหนู”

     

                ฟรานซ์เติบโตขึ้นเรื่อยๆภายใต้การเลี้ยงดูอย่างดีของเดวาลและเซราน แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น...

                “ไฟไหม้ ไฟไหม้ ใครก็ได้รีบดับมันที” เสียงโหวกเหวกโวยวายทำให้เด็กน้อยวัย 8 ขวบตื่นขึ้นกลางดึก เธอมองไปรอบๆอย่างงุนงง แต่แล้วก็มีเสียงเปิดประตูดังปังเข้ามาในห้อง

                “...” คนที่เข้ามาคือเซรานที่ถูกไฟลวกอย่างรุนแรงเธอรีบปรี่เข้ามาดูอาการของฟรานซ์ที่นั่งช็อกไปแล้ว

                “ฟรานซ์ หนูปลอดภัย ป้าดีใจที่หนูปลอดภัย” เธอยิ้มพลางยื่นมือเพื่อลูบผม แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเปลวไฟที่ลามเลียอยู่บนมือของเธอเอง

                “หนีไปซะฟรานซ์ หนีไปก่อนที่หนูจะเป็นอันตราย” เซรานพูดทั้งน้ำตา

                “หนูไม่ไป หนูจะอยู่กับคุณลุงคุณป้า” ฟรานซ์ร้องไห้โฮออกมาและพยายามจะโผเข้ากอด แต่เซรานถอยหนีเพราะไม่อยากให้เด็กน้อยที่รักของเธอถูกไฟลวก

                “หนูไปอยู่กับพวกเราไม่ได้หรอกจ้ะ พวกเรากำลังไปในที่แสนไกลและจบความวุ่นวายของชีวิตสักที จำไว้นะฟรานซ์ เปลวไฟน่าหลงใหลเสมอ แต่ถึงอย่างนั้นหนูก็ห้ามยื่นมือไปเล่นกับมันเด็ดขาด...

                “...เอาล่ะจ้ะ ตอนนี้หนูต้องหนีไปก่อนที่พวกคนใจร้ายที่จ้องเอามรดกของพวกลุงกับป้าไปจะมาทำร้ายหนู ป้าจะส่งหนูไปที่อื่น หนูต้องใช้ชีวิตให้คุ้มค่าแทนลุงกับป้าด้วยนะ” เซรานร่ายเวทย์ด้วยแรงเฮือกสุดท้ายที่มีแต่เหมือนมันจะไม่พอ แต่มีพลังหนุนสีฟ้าใสของเดวาลที่เพิ่งตามมาด้วยสภาพใกล้สิ้นแรงเต็มที เข้ามาช่วยทำให้เกิดวงแหวนใต้ร่างของฟรานซ์ ประตูมิติค่อยๆเปิดออกและกลืนร่างกายไปพร้อมกับเสียงกรีดร้องของเด็กคนนี้

                “ไม่นะคะ ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”

     

                    เฮือก

                    เด็กสาวสะดุ้งตื่นขึ้นพร้อมกับเหงื่อโชกร่าง 7 ปีแล้วสินะที่เกิดเหตุการณ์ครั้งนั้น เหตุการณ์ที่ไม่น่าจดจำเลยสำหรับเธอ แต่เธอก็ยังคงนึกถึงคุณลุงคุณป้าอยู่เสมอ รวมทั้งคำสอนนั้นของคุณป้า

                    “...จำไว้นะฟรานซ์ เปลวไฟน่าหลงใหลเสมอ แต่ถึงอย่างนั้นหนูก็ห้ามยื่นมือไปเล่นกับมันเด็ดขาด...”

                    เธอแบมือออก เปลวไฟสีม่วงเข้มจนเกือบดำก็ลุกพรึ่บขึ้น เด็กสาวมองมันด้วยแววตาที่เกลียดชัง ก่อนที่น้ำตาจะค่อยๆไหลรินลงมา

                    “ขอโทษนะคะ เพราะหนูใช้ความน่าหลงใหลนั่นไปซะแล้ว แต่หนูสัญญา หนูจะไม่ใช้มันอีก...ไม่อย่างแน่นอน”

     

    กริ๊ง

                    เสียงออดหน้าประตูบ้านทำให้สาวน้อยที่กำลังรดน้ำต้นไม้ด้วยเวทย์น้ำขั้นพื้นฐานอยู่เงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะเดินไปที่นั่นและพบว่ามีซองจดหมายสีน้ำตาลอ่อน 4 ฉบับ ซึ่งทำจากเยื่อไม้เสียบอยู่ในกล่องรับจดหมายหน้าบ้าน เธอเพียงแค่หยิบมันขึ้นมาและใช้เวทย์แห่งลมส่งมันเข้าไปในบ้านเท่านั้นและกลับมารดน้ำต้นไม้ต่อ

                    “ให้ตายเถอะฟรานซ์ เธอจะช่วยสนใจอย่างอื่นนอกจากหนังสือกับต้นไม้บ้างได้มั้ย?” เสียงเนือยๆจากสาวแว่นร่างเล็กที่เพิ่งเดินออกมาจากบ้านดังเข้ามาในโสตประสาททำให้เด็กสาวนาม ฟรานซ์ หันกลับไปหาเธอทันที

                    “ตื่นแล้วหรอยูเร” ฟรานซ์ถามเรียบๆสั้นๆพร้อมรอยยิ้มบางๆ

                    “ก็ตื่นแล้วน่ะสิ ฉันไม่ใช่สกาเร็ตที่นอนกินบ้านกินเมืองนะ” ยูเรเนียร์ตอบกลับพร้อมกับหาวหวอดออกมา

                    “ถ้ายังง่วงก็นอนต่อสิ วันนี้ไม่มีแพลนอะไรนี่”

                    “ใครบอกว่าไม่มี...จดหมายวันนี้ล่ะ” ยูเรเนียร์ถามกลับเมื่อไม่พบสิ่งที่น่าจะส่งมาในวันนี้

                “อ่ะนี่... ฉันเห็นเธอถามถึงจดหมายมาหลายวันแล้วนะ มีอะไรหรอ?” ฟรานซ์ใช้เวทย์ลมดึงจดหมายที่เพิ่งเก็บไปเมื่อครู่กลับมาแล้วส่งให้ยูเรเนียร์ นั่นทำให้สาวแว่นสุดเนือยหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง

                    “นั่นไงล่ะ ฉันเดาผิดซะที่ไหน เอาล่ะดูซิ...ว้าว ไม่ผิดจากที่ฉันคาดไว้เลยแฮะ” ยูเรเนียร์พลิกหน้าพลิกหลังดูจดหมายทั้ง 4 ซอง ก่อนจะวิ่งเข้าไปเพื่อปลุกสาวน้อยที่ยังหลับอยู่ในบ้าน

                    “รีบๆตามมาเลยนะฟรานซ์” สาวร่างเล็กทิ้งท้ายไว้ก่อนจะขึ้นบันไดไป เสียงโวยวายของสกาเร็ตดังขึ้นเหมือนทุกวันเมื่อมีคนไปปลุกเธอเข้า

                    นี่สินะฟ้าหลังฝนน่ะฟรานซ์คิดในใจก่อนจะหยุดเวทย์น้ำและเดินเข้าไปหาอีกหนึ่งสาวที่กำลังขะมักเขม้นกับการทำอาหารอยู่ในครัว

                    “วันนี้ทำอะไรล่ะ เดลล่า?” เดลลาลีนเงยหน้าจากการคุมไม้พายและหันมาตอบเธอ

                    “อรุณสวัสดิ์จ้ะฟรานซ์ กำลังทำฟัวกราส์อยู่น่ะสิ เห็นสกาเร็ตบ่นๆอยู่ว่าอยากกิน”

                    “อืม ฉันว่าไปที่ห้องนั่งเล่นก่อนเถอะ เหมือนยูเรมีอะไรจะบอกนะ” ฟรานซ์พูดขึ้นเมื่อได้ยินเสียงตึงตังๆจากชั้น 2 คาดว่าคงเป็นยูเรเนียร์กับสกาเร็ตที่ตีกันอีกตามเคย ทั้ง 2 หันมามองหน้ากันอย่างเอือมๆก่อนจะเดินออกจากห้องครัวไปที่ห้องนั่งเล่นกลางบ้าน

                    “ให้ตายเถอะ มีอะไรถึงต้องปลุกกันเช้าแบบนี้นะ” สกาเร็ตบ่นอุบทันที

                    “เช้าบ้าอะไรกัน นี่มันจะ 10 โมงแล้วนะยะ เฮ้อ ให้ตายเถอะ...” ยูเรเนียร์ตบหน้าผากตัวเองเพื่อเรียกสติก่อนจะเข้าเรื่อง(สักที)

                    “...พวกเราน่ะ ได้จดหมายเชิญจากโรงเรียนเวทมนตร์อันดับ 1 ของโซรินา จดหมายเชิญจากเซนต์มาร์โดนิกน่ะ”

                    “จริงหรอ เยส” สกาเร็ตส่งเสียงกรี๊ดออกมาเป็นการตบท้ายประโยค

                    “ฉันว่าพวกเรามาเปิดกันดีกว่า” สิ้นคำพูดของยูเรเนียร์ ทั้งสี่ก็หยิบซองจดหมายขึ้นมาคนละฉบับ ก่อนจะใช้ปลายนิ้วชี้ทาบที่ผนึกซอง แต่ละซองเปล่งแสงสีทองออกมา แล้วกระดาษด้านในก็เด้งออกมาและซองนั้นแปลสภาพเป็นแหวนสีเงินเกลี้ยงรัดที่นิ้วชี้ข้างซ้ายของทุกคน

                    “สวยดีแฮะ” สกาเร็ตมองแหวนของตัวเอง เมื่อจ้องมองดีๆจะพบว่ามีตัวเลขสลักอยู่ คาดว่าเป็นลำดับที่ของผู้สอบ

                    “แหม ถ้าจะให้ลำดับที่มาขนาดนี้ ใบสมัครคงไม่ต้องเขียนก็ได้ล่ะมั้ง นี่มันบังคับกันชัดๆ” ยูเรพูดขึ้นก่อนจะเปิดกระดาษที่พับอยู่แล้วก็ต้องตะลึงไปอีกรอบ

                    “ตามนั้นแหละยูเร ใบสมัครก็ไม่ต้องเขียนด้วย” ฟรานซ์บอกพลางนึกสนุกในใจ

                    จดหมายมนตรา เป็นจดหมายเฉพาะของโรงเรียนนี้เท่านั้น เมื่อทำสัญญาเปิดผนึกซอง ซองด้านนอกจะกลายเป็นแหวนรัดที่นิ้วชี้ข้างซ้ายเพื่อเป็นสิ่งยืนยันในการเข้าสอบ และใบสมัครด้านในจะทำการสแกนข้อมูลส่วนตัวของผู้ปลดผนึกและกรอกข้อมูลทุกอย่าง เมื่อทุกตัวอักษรตัวสุดท้ายได้บรรจุลงไป ใบสมัครก็จะถูกส่งตรงไปถึงเซนต์มาร์โดนิกในทันที

                    แต่ถ้าเป็นการสมัครปกติจะเป็นเพียงจดหมายเชิญเวทย์ แต่ของพวกเธอเป็นจดหมายมนตราซึ่งเป็นของว่าที่ผู้คุมกฎทั้ง 7และเป็นชายล้วนๆ ที่ส่งมาให้พวกเธอนั่นก็หมายความว่า ผู้อำนวยการของที่นี่อยากจะลองของกับพวกเธอเข้าซะแล้ว...

                   

     

                    ห้องพักส่วนตัวผู้คุมทั้ง 7

                    “สรุปปีนี้ส่งจดหมายมนตราไปกี่ฉบับ?” ดีลเลอร์ เมอแรงค์ หนึ่งในดราก้อนถามขึ้น

                    “7 ฉบับดิ ใช่มั้ยแอรอน?” มารุโจหันไปถามปริ้นซ์ซึ่งดูจะได้เรื่องที่สุดในพวกเขาแล้ว

                    “10” แอรอนตอบ

                    “หืม? ทำไมปีนี้ส่งไปเยอะจัง” ตัวป่วนที่สุดอย่างคิงถามขึ้นอย่างนึกสนุก

                    “นั่นสิ ปกติจดหมายมนตราจะส่งไปเพื่อให้ตัวเก็งของผู้คุมทั้ง 7 ไม่ใช่หรอ ทำไมปีนี้มันเกินมาตั้ง 3 ล่ะ?”  เจเนซิสถามต่อ

                    “เรื่องนี้ฉันก็ไม่รู้ แต่ท่าทาง...ปีนี้จะได้เล่นกันยาวเลย”

     

                    ตอนนี้พวกเธอกำลังนั่งรถลากเพื่อไปเซนต์มาร์โดเนียร์ บ้านของพวกเธออยู่ทางตอนเหนือของมาร์โดนิก้า รัฐศูนย์กลางของโซรินา แต่เซนต์มาร์โดนิกตั้งอยู่ทางทิศใต้ของรัฐนี้ ดังนั้นพวกเธอจึงต้องใช้เวลาเดินทางกันพอสมควร

    “เดี๋ยวนะ ถ้างั้นใบสมัครของเธอก็ไม่มีข้อมูลสิฟรานซ์” สกาเร็ตถามขึ้นทันทีเมื่อนึกขึ้นได้

                    “เก่งนี่” ฟรานซ์ตอบยิ้มๆ ข้อเสียเพียงอย่างเดียวของจดหมายมนตราคือ ถ้าหากไม่สามารถสแกนข้อมูลของตัวผู้ปลดผนึกได้ครบ มันก็จะไม่ปรากฏข้อมูลใดๆออกมาเลยแม้แต่อย่างเดียว ซึ่งแน่นอนว่ากรณีของฟรานซ์ที่ไม่มีใครรู้ถึงข้อมูลของเธอแม้แต่ตัวเธอเอง ก็ต้องไม่มีข้อมูลออกมาให้เห็นในใบสมัครนี้แน่

                    “แล้วทำยังไงล่ะ” เดลล่าถามขึ้นอย่างเป็นห่วง

                    “เรื่องเล็กน่า ฉันใช้เวทย์เล็กน้อยเพื่อดัดแปลงข้อมูลให้แล้ว แน่นอนว่าเนี้ยบ จับไม่ได้แน่นอน” ยูเรเนียร์ตอบขึ้นเพื่อตัดข้อสงสัยอันน่ารำคาญสำหรับเธอ

                    “ก็ตามนั้นแหละ ไม่ต้องห่วงหรอก” ฟรานซ์บอกกับทั้งคู่ด้วยรอยยิ้ม

                    “อีกเรื่องเถอะ เธอคิดว่าปีนี้จะจัดสอบแบบไหน?” เดลลาลีนถามขึ้นอย่างกังวล

                    “โธ่ เดลล่าน้อยของฉัน เธอจะไปกลัวอะไรมากมาย แค่วาจาสิทธิ์ของเธอก็พังทุกอย่างได้แล้วล่ะ” สกาเร็ตเดินมากอดเดลล่าที่ตัวเล็กกว่าเธออยู่มากและคลอเคลียไม่ห่าง นี่เป็นภาพที่ชินตาสำหรับพวกเธอแล้วล่ะ

                    “ไม่มีใครรู้นี่ว่าพวกเรามีอะไรอยู่กับตัวบ้างนอกจากจดหมายมนตรากับคนที่อ่านมัน” เดลลาลีนตอบเสียงนิ่งซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติเลยสำหรับเธอ

                    “ฉันว่างานนี้มีอะไรแปร่งๆ ไปถึงที่นู่นต้องเจาะข้อมูลสักหน่อยแล้ว” ยูเรเนียร์ยิ้มมุมปากให้ ส่วนฟรานซ์ก็ได้แต่มองออกนอกหน้าต่างและนึกถึงเรื่องอื่นๆที่ผสมปนเปเข้ามาในหัว

     

                    ห้องประชุม เซนต์มาร์โดนิก

                    “ท่านทำอะไรลงไปน่ะ” เสียงหนึ่งจากคณะกรรมการของโรงเรียนเอ่ยถามผู้ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ ซึ่งตั้งแต่เข้ามาเขายังไม่เปิดปากพูดอะไรสักคำ

                    “จดหมายมนตรา 10 ฉบับ นี่มันไม่ใช่เรื่องปกติเลยนะ” เสียงแหลมเล็กดังมาจากฝั่งเดิม

                    “แหมๆ ก็เด็กสมัยนี้เขาเก่งขึ้น จะมีเพิ่มขึ้นบ้างก็ไม่แปลกหรอก จริงมั้ยครับคุณดีลเลอร์” เสียงทุ้มเชิงสนุกสนานดังขึ้นมาจากอีกฝั่ง ดีลเลอร์ เมอแรงค์รวมถึงผู้คุมอีก 6 คนถึงกับงงที่จู่ๆคณะกรรมการที่อายุน้อยที่สุดก็หันมาถามตัวเขาซะงั้น

                    “เอ่อ เกี่ยวอะไรกับผมหรือครับ ท่านมาม่อน” มาม่อน แล็กสกี้ ยิ้มมุมปาก ก่อนจะก้มหัวเป็นเชิงขออนุญาตผู้ที่อยู่หัวโต๊ะ เขาดีดนิ้วหนึ่งครั้งก็ปรากฏจอเวทย์ขึ้นมาตรงหน้าห้องประชุมนี้ ภาพของเด็กทั้ง 10 คนปรากฏขึ้นอยู่สักครู่ก่อนจะหายไปเมื่อมาม่อนดีดนิ้วอีกครั้ง

                    “นี่คือโฉมหน้าของผู้ที่ได้รับจดหมายมนตราทั้ง 10 และผมหวังว่าพวกท่านจะได้เห็นความแข็งแกร่งของเด็กพวกนี้ ผมขอสาบานเลยว่าพวกท่าน...จะไม่ผิดหวัง”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×