คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : NONONNONONONON
‘พูดจาช่างไม่รื่นหูเอาเสียเลย’
‘หนวกหูน่ะ! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ ลุงน่ะ!’
คะนึงคิดถึงวัยเด็กแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
ทำไมกันนะ...ตัวผมในวัยเด็กสักประมาณ4-5ขวบปี
ในวัยกำลังหัดพูดสำหรับหลายๆคนนั้นชอบไปยืนทะเลาะกับชายคนหนึ่ง—
ซึ่งทำงานอยู่ในธุรกิจของพ่อไม่ได้ความที่ให้กำเนิดผม ในฐานะทาส...ใช่ ทาส...
แต่ผู้ชายคนนั้นก็ไม่เคยปริปากบ่นให้โดนลงโทษเหมือนทาสคนอื่นๆ
จนพ่อยอมให้เขามาเป็นอย่างอื่นที่นอกเหนือจากทาส— ตัวตายตัวแทน...องครักษ์
อะไรแบบนั้นแทน
เขาจึงมีสิทธิ์อยู่ที่ชั้นบนของคฤหาสน์ด้านหลังโรงค้าทาสได้...
ถามว่าผมรู้จักเขาไหม? ไม่...
ถามว่าผมอยากให้เขาเป็นทาสไหม? ก็ไม่...
เอาจริงๆตั้งแต่มีพ่อแย่ๆเอาชีวิตคนอื่นมาขายได้ลงคอ แถมยังทรมานพวกเขาทุกวี่วัน
ผมก็ไม่อยากจะอยู่ที่แบบนี้แล้ว— ยิ่งเป็นเด็ก...น้อง? น้องเล็กที่โดนกดดันจากคนรอบตัว
พ่อ เหล่าแม่ๆ และ พวกพี่ๆ ...แค่มีชีวิตผมยังไม่อยากจะมีเลย
โดนขังอยู่แต่ในกรงที่มองไม่เห็น—
โดนรังแกจากพี่ๆ...
กระทั่งวันนั้นผมตัดสินใจจะหนี
หนีออกไปจากคฤหาสน์บ้าบอนั่น...
เขาถึงตามมาจับผมได้...
‘ลุงก็เป็นแค่ไอ้ทาสของพวก—
พวกเฮงซวยนั่น!’
‘จุ๊ๆ
ใครสั่งใครสอนเธอเป็นอย่างนี้เนี่ย’คนที่ผมมักเรียกเขาด้วยสารพัดสรรพนาม
ทั้งตาลุง ไอ้ลุง ไอ้ทาส... เขามีผมสีเทาเงินเหมือนคนแก่
แต่ใบหน้าเขาหนุ่มแน่นแถมยังมีดวงตาสีฟ้าใสแบบน้ำแข็ง
เขามักพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มและดูใจดี— เกินกว่าจะมาเป็นทาส ‘พูดจาไม่น่าฟังเลย
พ่อของเธอไม่สั่งสอนหรืออย่างไร’
‘เป็นแค่ทาส
อย่ามาปากมากนะ!!’
‘ชื่ออะไรน่ะเราน่ะ’ยังคงไม่ฟังผมที่เป็นเด็กแม้แต่น้อย
คงเพราะคำตวาดแบบเด็กๆมันเหมือนแมวขู่ล่ะมั้ง? ‘ถามแล้วก็ตอบพร้อมหางเสียงว่าครับด้วยนะจ๊ะ...’
‘มาจ๊ะมาเจ๊อะอะไร
น่าแขยงชะมัด!’
‘พูดครับ...แล้วก็เลิกหยาบคายซะเถอะ
เธอพยายามทำอย่างนั้นไปก็ไม่ใช่ว่าจะทำให้คนในบ้านยอมเลิกต่อว่ากดดันเธอได้หรอกนะ’
เขาพูดจี้ใจดำผม
นั่นทำให้ผมที่ดิ้นพราดๆเป็นลูกแมวลูกหมายอมหยุดความก้าวร้าวทั้งหมด
นิ่งเงียบทำหน้าบึ้งฮึดฮัดไม่พอใจ— ตอนนั้นก็ได้แต่คิดว่า เป็นแค่ทาสแท้ๆ
ทำไมถึงต้องมาเข้าใจผมด้วย ทำไมถึงรู้ด้วยว่าผมไม่อยากให้พวกนั้นมากดดัน
มารังแกผม...
เพราะทุกคนมันโหดเหี้ยม
จึงต้องป้องกันตัวเอง— เอาชนะพวกเขา
ด้วยการเป็นคนที่เหี้ยมโหดและหยาบโลนที่สุดไม่ใช่หรือ? ทุกคนสอนผมมาแบบนั้น
‘เอาล่ะ...เรามาคุย
กันดีๆเถอะ นะ?’
ตาลุงคนนั้นยิ้มให้อีกครั้งพลางนั่งขัดสมาธคุยกับผม
ให้ระดับสายตาอยู่ไม่ห่างกัน ‘ชื่อของเธอ
ตอบลุงคนนี้มาได้หรือยังล่ะจ๊ะ?’
‘…ชื่อเรามีความหมายเฮงซวย...ไม่เอาหรอก’
‘บอกแล้วไงล่ะว่าอย่าหยาบคาย’
น่าหงุดหงิดเหมือนกัน ผมก็เลยทำท่าจะทุบเขาไปที—
กระนั้นก็โดนจับข้อมือไว้ได้อีกแล้ว ‘ฮึ่ย!’
‘ไม่ตอบ
เพราะ ไม่ชอบ...? ถ้าอย่างนั้นลุงตั้งชื่อให้แล้วกัน เอาเป็น...’
‘ฉันไม่อยากให้ใครมาตั้งชื่อสุ่มสี่สุ่มห้า—
...’
สเปลนดี้ เจย์ ดีไหม?
ตลกดี...
ชื่อที่เขาตั้งให้ผมน่ะ... สเปลนดี้
เจย์ อย่างกะเป็นโค้ดเนมไว้เรียกกันเองอย่างนั้นแหล่ะ—
ตอนหลังก็มาเรียกย่อๆกันเหลือแค่คำว่าเจย์ เจย์...แต่ผมก็ไม่มีอะไรจะเถียง—
เพราะว่าอะไร? เหมือนกับเขารู้ใจผมดีน่ะสิ
เขาถึงได้ตั้งชื่อที่มีความหมายดีๆมากกว่าชื่อแย่ๆที่พวกคนในบ้านเรียกผม
ความหมายดีๆยังไงหรือ?
สเปลนดี้— เขาตัดทอนมาจากคำว่าSplendid ที่แปลว่า ยอดเยี่ยม สง่างาม
ส่วนคำว่าเจย์เขาบอกว่านึกไม่ออก
เลยเอามาสร้อยท้ายคำว่าสเปลนดิธอีกที...งี่เง่าชะมัด
ถึงอย่างนั้น
ผมก็ยอมให้เขาเรียก...และหลังจากวันนั้นเขาก็เอาตัวผมไปส่งที่ห้อง—
ผมโดนกักบริเวณหนึ่งวันพร้อมทั้งโดนยัดเยียดหนังสือเรียนกองโตให้
พี่ๆแสนน่ารำคาญมีเข้ามารังแกล้อเลียนผมบ้าง...อาจจะยกเว้นพี่คนโตของผมไว้หน่อย
เขาเป็นพี่ชายที่ดีและเลือกจะไม่ข้องแวะกับผมให้รู้สึกกดดัน...
หลังจากการกักบริเวณแสนหงุดหงิด
ผมก็ต้องมานั่งเรียนกับอาจารย์บ้าๆบอๆที่พ่อนั่นจ้างมาให้เรียนที่บ้านหลังนี้—
ผมจินตนาการถึงหน้ายายแก่ๆผมหงิกหงอกเดินแทบไม่ไหว ใส่แว่นเหลี่ยมเลนส์หนาเตอะ
แล้วก็มีไม้เรียวยาวๆไว้คอยฟาดก้นผม
ไม่ ไม่มีคนแบบนั้นมาในห้องผม... ‘หน้าตาไม่สดใสเลย เจย์...โดนรังแกมาอีกแล้วหรือ?’
‘!?’ผมเงยหน้าพรวดขึ้นมาสบตาคนที่เข้ามาในห้อง
เฮ้...นี่ล้อเล่นหรือเปล่า เจ้าทาสคนที่จับผมได้คนเมื่อวานตอนนี้เข้ามาในห้องของผม
พร้อมกับหนังสือเรียน— ที่พ่อหวังจะยัดเยียดให้ผมอ่านนักหนา? ‘...ทำไมตาลุงอย่างแกเข้ามาสอนฉันได้วะ!’
‘หัวไวจัง
แต่บอกแล้วนะว่าให้พูด ครับ น่ะ เจย์’
วางหนังสือปุกับโต๊ะผมอย่างใจเย็นก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับผมบนเก้าอี้นวมที่มักมีไว้รับรองพวกป้าแก่ๆให้มานั่ง
‘ไม่อยากอ่านวิทยานิพนธ์ของเผ่ามังกรฟ้า—
งั้นลุงเปลี่ยนเรื่องมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับทะเลให้ฟังดีไหม เจย์?
เธอเคยออกไปเห็นทะเลหรือเปล่า?’
วันนั้นเป็นวันแรกที่ผมตั้งใจฟัง—
ทั้งเรื่องของทะเลทั้งสี่ คาล์มเบลท์ แกรนด์ไลน์ ทหารเรือ โจรสลัด— และ
รวมไปถึงวันพีชที่มีคนเล่าขานกันมา
เป็นครั้งแรก ที่ผมตื่นเต้น—
และอยากจะออกไปข้างนอก...
ครึ่งปีที่เขามาอยู่กับผม
ทำให้อะไรหลายๆอย่างของผมเปลี่ยนไป
จากเดิมที่ผมเรียกเขาตาลุงทาส
ตอนนี้เปลี่ยนมาตั้งโค้ดเนมเขาเสียแทนแล้วน่ะสิ— เพราะอะไรน่ะเหรอ?
เพราะเขาก็บอกมาว่าเขาไม่ชอบชื่อของตัวเองเหมือนกันน่ะสิ...แล้วให้ทำไงล่ะ
ไม่งั้นจะให้ผมเรียกเขาว่าเป็นตาลุงทาส ตาลุงหงอกต่อไปก็ใช่ที่? อีกอย่าง
มันทำให้บางครั้งผมโดนลงโทษโดยการหยิกแก้ม
แถมเขาก็มือหนักมากจนแทบช้ำในตายได้...
เอาเถอะ— ยังไงก็ดีกว่าพวกป้าแก่ใจร้ายที่พวกพ่อส่งเข้ามาก่อนหน้านี้น่ะล่ะ
‘ลุงครอส...’
ผมเรียกเขาคริสครอสหลังจากพิจารณาแล้วว่าเขา—
ดูพ่อพระเกินไป น่ะ... ‘เน่...ลุงครอสเคยออกทะเลมาก่อน
แต่ไหงจู่ๆลุงครอสถึงได้มาเป็นทาสล่ะ?’
มือของตาลุงหัวหงอกที่กำลังเปิดหนังสือการเดินเรือ(ที่พ่วงเรื่องเรียนไปด้วย)ชะงักลง
ดวงตาคมๆสีเหมือนน้ำแข็งของเขาเหลือบมองผมเล็กน้อย
รู้สึกจะจ้องนานพอดูจนผมเริ่มอึดอัดใจ—
พลันจะเข้าไปเขย่าขาถามเจ้าตัวก็หัวเราะออกมาเบาๆด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่
ทีแรกเขาพูดกับผมว่าเขาไม่พร้อมจะเล่าตอนนี้—
ให้เวลาเขาอีกสักหน่อย
และ ใช่...ลุงเขารักษาสัญญา
ในเมื่อบอกให้รอผมก็รอ— สองสามวันให้หลัง
หลังจากได้เรียนต่ออีกเยอะพอดูเขาจึงยอมเปิดปากขึ้นมา ถามว่าผมพร้อมจะฟังหรือยัง?
ลุงครอสบอกว่าตนนั้นเกิดที่เวสท์บลู
เกิดอยู่ในเมืองที่เงียบสงบและสวยงาม— กับ พี่น้อง...เขาบอกว่าเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันสามคน
พี่คนโต เขา และ น้องสาวอีกคนหนึ่ง— เรื่องชื่อ...เขาจงใจไม่บอก
อยู่ด้วยกันมาจนถึงอายุ 20 กว่า ทั้งสามคนก็เริ่มมีปณิธานที่ต่างกัน—
คนโตอยากออกทะเลไปเป็นโจรสลัดผู้มากความสามารถ
ส่วนตัวลุงครอสนั้นบอกว่าอยากจะอยู่และใช้ชีวิตอย่างคนปกติ
รับเลี้ยงเด็กแล้วสอนให้พวกเขาเติบโตมาเป็นคนดี— ส่วนคนสุดท้าย
เธอเลือกจะเป็นโจรสลัดเช่นกัน
โชคไม่ดี—
อย่างแรกก็คือเรือของพี่ชายคนโตนั้นถูกโจมตีเมื่อสักราว 10 ปีก่อน
จนไม่สามารถระบุได้ว่าเขามีชีวิตอยู่ไหม...เป็นตายร้ายดีกลางแกรนด์ไลน์อย่างไร
อย่างที่สองก็คือน้องสาวคนเล็กถูกพวกพ่อค้าทาสจับไปขาย—
เมื่อสัก 6 – 7 ปีก่อนนี้เอง...ลุงครอสก็ไม่ยอมง่ายๆ
ตามดั้นด้นหาเธอจนกระทั่งโดนจับเป็นทาสตามมาและพบว่าเธอได้ตายไปแล้วเพราะเจ้าคนที่ซื้อเธอไป—
ท่อนนี้เขาสูดหายใจลึก
‘…คนซื้อไป
ไอ้พ่อบ้านั่นน่ะเหรอ...?’
‘…อืม’
ก็ว่าแล้วล่ะ
คนพรรค์นั้นมันรู้จักพอเสียที่ไหน ‘แต่เธออย่าไปคิดมากเลยนะ
เจย์’
‘ไม่ให้คิดได้ไง
นิสัยก็แย่ ทรมานคนอื่นได้ตลอดแบบนั้น—
ยิ่งคิดว่าตัวเองเป็นลูกสายเลือดเดียวกัน... เป็นลุงครอสไม่รู้สึกแบบ—
คลื่นไส้มั่งเลยเหรอ?’
‘เจย์…’
‘ฉันคลื่นไส้กับเรื่องแบบนี้มากเลยล่ะ
ลุง— ฉันคิดอยากฆ่าตัวตายมาสักล้านรอบได้แล้ว’
ผมพูดจริง ทั้งพี่น้องแบบนี้
ทั้งพ่อที่วันๆเอาแต่มั่วผู้หญิงไปเรื่อย ทั้งเหล่าทาสที่ต้องร้องทรมานทุกคืนวัน—
บ้างตายบ้างปางตาย โลกนี้มันไม่ได้สวยงาม...ไม่ได้มีสิ่งที่เรียกว่าความสุขในหัวสมองของผมเลย
ทุกวัน ทุกวัน การฆ่าตัวตายอาจจะดีที่สุดก็ได้...
ถ้าตายไปแล้วล่ะก็... ‘ถ้าตายแล้วอาจจะมีความสุขก็ได้’
‘เจย์—
…’มือใหญ่ของของลุงครอสยีหัวของผม ‘ถ้าฉันพาเธอออกไปจากที่นี่—
เธอจะได้เจอความสุขที่ไม่ต้องแลกด้วยความตาย...เพราะฉะนั้น มาสัญญากับลุงนะ’
‘สัญญา...?’
‘ใช่
สัญญา’
สัญญาว่าจะให้เธอ
ได้พบกับความสุขนั้น— อีกครั้ง
เรื่องน่าแปลกประหลาดใจที่สุดได้มาเยือน...
วันนี้ระหว่างที่ผมกำลังเรียนกับอาจารย์ครอส(ผมเรียกอาจารย์มาได้สักระยะแล้วล่ะ)
มันเป็นวันหนึ่งในฤดูหนาวในเขตของบ้านผม— วันนี้อาจารย์นั้นสอนเงียบมากกว่าปกติ
ทั้งยังจริงจังและมีสีหน้าเคร่งเครียดตลอด ราวกับว่าเป็นคนล่ะคนกับก่อนหน้านี้
แต่ที่น่าตกใจกว่าคือคนที่เดินเข้ามาในห้องของผมวันนี้
แอ๊ด
‘…?’
เงยหน้าสบกับผู้ชายตัวสูง—
เขาเป็นคนที่ผมคุ้นหน้าดีทั้งเรือนผมสีน้ำเงินไฮไลท์สีเหลืองซอยสั้น
ใบหน้าคมคายแบบคนกำลังจะย่างเข้าสู่วัยรุ่นในชุดสูทสีขาวสะอาด
ด้านในเป็นเชิ้ตดำอย่างที่ปกติเขาใส่ ดวงตาสองสีประหลาด
ข้างหนึ่งสีอัมพันและอีกข้างเป็นสีอความารีน...
พี่ชายคนโตของที่นี่...
ลูกคนแรกของภรรยาคนที่1กับพ่อ— ควิสโต้...
‘ได้กุญแจแล้ว—
แต่แน่ใจนะว่าทางหนีทีไล่ไปได้น่ะ แถมยังพาเด็กไปอีก’
พะ
พูดเรื่องอะไรของเขาน่ะ...ผมมองพี่คนโตที่ผมค่อนข้างนับถือสลับกับอาจารย์ที่พยักหน้ารับอย่างช้าๆ
‘ฉันพาไปได้— ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยปลดปลอกคอทีนะ
เจีย’
‘เข้าใจแล้ว’
พวกเขาตกลงอะไรกันไว้ผมไม่รู้ ที่ตอนนี้ผมเห็นก็คือเจียเฟยกำลังปลดปลอกคอทาสให้กับอาจารย์อยู่
ไม่นานหลังมีเสียงกริ๊กๆสองสามครั้งปลอกคอตรวนอันใหญ่—
ที่ได้ชื่อว่าทำจากหินไคโรเซคิ— ก็หลุดออกลงไปกองอยู่ที่พื้น
มันไร้พิษสงที่จะระเบิดคอเขาแล้ว
ครั้นผมเงยมองอาจารย์ที่ยืดเส้นยืดสายเขาก็พึมพำออกมา
‘ดาบของฉันอยู่ตรงทางหลังสวนที่เจย์เคยออกไปครั้งก่อน—
ถ้าไม่เหลือบากกว่าแรงก็ช่วยดึงความสนใจจากพวกยามทีล่ะ’
‘ได้
ขอให้พวกคุณปลอดภัยล่ะ’
‘เดี๋ยวสิ’
ผมเข้าไปเขย่าขาอาจารย์ด้วยความงวยงง
เรียกให้พวกเขาหันกลับมามอง ‘นี่มันเรื่องอะไรน่ะอาจารย์—
คุณไม่เห็นบอกเลยว่าพี่ควิสโต้รู้จักคุณ แถมยัง ช่วยคุณอีก...’
‘เรื่องมันยาว
ราธ’
ชื่อเก่าหลุดมาจากปากของเจียเฟย
เล่นเอาผมสะอึก...เมื่อผมนิ่งไปอาจารย์ครอสก็ลูบหัวปลอบผม ‘ควิสโต้...อย่าเรียกเขาชื่อนั้นเลย’ก่อนจะก้มลงมาคุยด้วย ‘ออกไปพ้นจากตรงนี้
ฉันจะเล่าให้เธอฟังทุกอย่างเองแล้วกันนะ เจย์...’
‘ไปได้แล้ว
เดี๋ยวพวกพ่อนั่นกับไอ้เด็กที่เหลือคงมาห้องนี้อีก...ทางหน้าต่างก็ต่อกับหลังสวน
แค่ลงไปดีๆก็พอแล้ว’
นี่เป็นชั้นสามของคฤหาสน์
จะลงไปยังไงไหวกัน— แต่หากพูดแบบนั้นอาจารย์ก็คงมีวิธีล่ะ
ผมปล่อยให้คนสูงกว่าอุ้มผมที่ตัวเล็กกระจ้อย(เนื่องจากไม่ค่อยกินข้าว)ขึ้นแล้วตรงไปทางหน้าต่าง
ขณะที่ฝ่ายของพี่ควิสโต้เดินออกไปนอกห้องพลางปิดประตูอย่างแผ่วเบา
ได้ยินเสียงพวกพี่คนอื่นที่ชอบรังแกผมลงมาจากอีกชั้นด้วย
อาจารย์ครอสเยียบกับขอบหน้าต่างเล็กน้อย
มองระยะทางที่จะลงไปข้างล่าง ‘ฮู่ ยากแฮะ’
‘แบบนี้ให้ผมเกาะหลังอาจารย์ยังลำบากเลยนะ’มีหรือที่ผมจะไม่บ่นอุบออกมา
‘เธอเห็นว่าฉันเป็นใครกันเนี่ยเจย์
ก่อนฉันมาเป็นอาจารย์เธอฉันก็มีพี่มีน้องเป็นโจรสลัดนะ!’
หัวเราะร่าพลันใช้เท้าดีดตัวเองและผมที่เกาะเขาอยู่ออกทางหน้าต่าง
เฮ้ย!!มันจะบ้าดีเดือดเกินไปแล้วนะ
นี่ชั้นสามของคฤหาสน์!ถ้าตกลงไปขาแข้งหักหัวกระแทกนะครับอาจ๊านนนนนนนนนนน!
ตอนเด็กๆผมก็คิดได้แค่นั้นแหล่ะ...
เขาทำในสิ่งที่ทำให้ผมอึ้งมานักต่อนักแล้ว—
อีกสักเรื่องสองเรื่องจะปะไรไป
‘เดินชมจันทร์!’
ทั้งร่างสูงและตัวผมทะยานไปในอากาศสู่ลานด้านหลัง
หนีไปยังทางออกในพุ่มไม้หนาทึบที่ผมเคยแอบทำไว้เมื่อครึ่งปีก่อน
เพื่อรอให้มันเปิดทางสู่อิสระภาพในสักวันหนึ่ง
พวกเราหนีออกมาทางพุ่มไม้หลังสวนก็จะพบกับทางป่ายาวทึบ
อีกไกลพอดูกว่าจะไปถึงชายฝั่งหรือท่าเรือสักแห่งที่ไม่มีคนของพ่อประจำอยู่ และ
ปลอดภัยพอที่อาจารย์ครอสจะโดยสารและพาผมไปให้ไกลจากเกาะแห่งนี้ได้
ผมลองถามเขาว่าทำไมถึงไม่ใช้ท่าเหาะเหินอากาศนั่นไปล่ะ...
เขาก็ตอบมาว่าร่างกายเขาไม่ได้ทำแบบนี้มานาน
ต้องรอทบทวนการใช้พลังอีกสักพักใหญ่กว่าจะวิ่งเป็นระยะทางไกลๆได้— ซึ่งก็ไม่แปลก
เขาโดนจับเป็นทาสแถมใส่ปลอกคอนั่นมาตั้งหกปี จะร่างกายอ่อนปวกเปียกไปบ้างก็มีล่ะ
ระหว่างทางก่อนออกมาผมเพิ่งรู้เหมือนกันว่าเขามีดาบด้วย...
อาจารย์บอกว่าเขาพกดาบไว้เสมอถ้าเป็นเมื่อก่อน
แต่หลังจากไปเป็นทาสก็ต้องปล่อยให้พวกที่เหลือยึดเอาไป โชคดีที่สามารถไหว้วานควิสโต้ที่เป็นลูกสุดรักของพ่อได้
เขาจึงยังรักษาดาบ— ที่ชื่อยาคุโซคุ— เอาไว้ได้...
อ่า...
เรื่องที่เขารู้จักกับควิสโต้ได้อย่างไร
เขาพูดอีกแล้วว่ายังไม่พร้อมจะบอก—
รอให้พวกเราเดินทางออกห่างจากอาณาเขตคฤหาสน์ได้ก่อนจึงจะยอมเอ่ยเล่า
ก็ใช้เวลาโดยรวมประมาณสามวัน
เราจึงพ้นจากรัศมีหน่วยค้นหาของพ่อ
‘เอาล่ะ—
จะให้เล่าเลยไหม?’
‘เล่ามาสิ
อาจารย์— ชอบมีความลับแบบนี้ผมก็ปวดหัวนะ’บ่นอุบใส่เขาทันที
อาจารย์คริสครอสทำแค่หัวเราะ ‘อืม...ที่รู้จักกับควิสโต้น่ะ เพราะ เขาเป็นลูก—
ของพี่ชายฉันน่ะ’
กริบใส่ ผมตีหน้างง— ทำไม
ไม่ใช่ว่าพี่ควิสโต้เขาเป็นลูกชายของพ่อบ้านั่นหรือ
จู่ๆจะเป็นลูกของพี่ชายอาจารย์ได้ยังไง?
‘ฟังนะ
เจย์— เรื่องแบบนี้มันซับซ้อน นิดนึง’
...ก็อยากจะด่านะฮะว่านิดนึงโภ่ง
‘เธอรู้สินะว่าพ่อเธอน่ะชอบฉุด—
เอ้ย จับผู้หญิงคนนู้นคนนี้มาเป็นแม่ใหม่— แฟนของพี่ชายอาจารย์น่ะตอนนั้นเธอท้องอ่อนๆแล้วแต่เธอโดนจับไปเป็นแม่ใหม่อีกคน...ตอนนั้นเธอก็ไม่ได้ท้องใหญ่ก็เลยดูไม่ออกน่ะว่าท้อง
พอควิสโต้ออกมาก็ต้องโดนเข้าใจผิดว่าเป็นลูกเขาอยู่แล้ว’
พยายามทำความเข้าใจ
พยักหน้าตามที่อาจารย์เขาเล่ามา ‘…แล้วเขา พี่ควิสโต้รู้หรือว่าไม่ใช่ลูก...ไอ้พ่อบ้านิสัยแย่นั่นอ่ะ?’
‘รู้
เพราะแม่ของควิสโต้บอกเขาตลอด— แถมยังได้เจอพ่อเขาด้วยนะ’
ดีจัง... ‘...แต่พี่ชายอาจารย์ โดนฆ่าตายไม่ใช่หรือฮะ?’
‘อืม—
โดนตามล่าเพราะโดนจับได้ว่าพยายามลักลอบเข้าไปช่วยทาส’
น่าเศร้า เขาดูเป็นคนดีมากแท้ๆ—
แล้วพี่ควิสโต้ล่ะ เขาจะรู้สึกอย่างไรตอนพ่อเขาตาย? ถ้าเป็นผม— ไม่รู้สิ
ถ้าคนสำคัญมากๆตายผมคงจะร้องไห้จนกระทั่งไม่มีเสียงให้ร้องอีกเลยก็ได้ล่ะมั้ง
ผมนึกได้อีกว่าแม่ของพี่ควิสโต้ตายเพราะโรคหัวใจกำเริบไม่กี่ปีก่อนนี่เอง
พอผมพูดเรื่องที่นึกอยู่ออกไป
อาจารย์ครอสก็บอกว่าเธอตรอมใจตาย...ฟังดูทรมานจัง
หลังเล่าเรื่องของพ่อพี่ควิสโต้เสร็จก็มาถึงเรื่องที่เขารู้จักกัน
ดูเหมือนว่าพี่เจียเฟยจะเป็นเด็กหัวไวมาตั้งแต่เกิด
ตอนเขาเห็นอาจารย์กับน้องสาวที่โดนจับมาเป็นทาสก็นึกถึงเรื่องที่แม่ใหญ่เล่าได้ทันที—
จากนั้นก็ให้การช่วยเหลืออาจารย์อย่างลับๆ...
น่าเสียดาย ต่อให้เขาจะเป็นลูกรักพ่อนั่นแค่ไหนก็ช่วยน้องสาวของอาจารย์ไม่ได้
อาจารย์เล่าว่าน้องสาวเขานั้นเป็นหัวดื้อและรักอิสระ ไม่ชอบการถูกกักขัง
เธอจึงดิ้นรนทุกวิถีทางให้หลุดมาจากในนั้น— ท่านพี่ควิสโต้มาเล่าให้อาจารย์ฟังหลังผมเกิดเพียงปีเดียวว่าเธอฆ่าตัวตายด้วยการกรีดข้อมือตัวเอง
เพื่อไม่ให้ถูกยามในคฤหาสน์จับไปทรมาน
สะเทือนใจชะมัดเวลาได้ฟังเรื่องอะไรใครตายแบบนี้
สรุปก็คือได้ใจความแล้วว่าพี่ควิสโต้ถือเป็นหลานของอาจารย์คนหนึ่ง
เป็นเส้นสายให้เขาเพื่อเข้าไปช่วยตัวน้องสาวที่โดนจับมา— แต่ก็ช้าไปเสียอย่างนั้น
เขาจึงต้องถูกขังอยู่ถึงหกปี ในคฤหาสน์นั่น...
พอสบโอกาสครั้งนี้เขาก็รีบออกมาพร้อมกับผมที่น่าจะเป็นเหมือนผลพลอยได้?
...ทำไมผมรู้สึกเหมือนว่าไม่ใช่ยังไงไม่รู้สิ...
‘แล้ว
ทำไมอาจารย์ไม่รีบออกมา ทั้งที่อาจารย์— หนีได้ตั้งนานโดยมีพี่ควิสโต้ช่วยนี่นา?’
เขายิ้มจางๆ ‘ฉันวานเขาอีกเรื่องนึงน่ะ แล้วก็รอเวลาด้วย’
‘วาน?
รอเวลา??’
‘อืม....รอเวลา’
เขาหันมองผมก่อนจะยีหัวเบาๆด้วยความเอ็นดู
รอยยิ้มที่ทั้งเศร้าและเจ็บปวดนั่นยากจะอธิบาย ผมมองสีหน้าคนไม่เป็นหรอก...แต่เหมือนว่าผมอยู่ใต้บรรยากาศของคนอื่นมานานจึงพออ่านสถานการณ์ได้ลางๆ
ว่าเขากำลังฝืนยิ้ม จิตใจกำลังเศร้าหมอง
เงียบไปพักใหญ่จึงยอมพูดออกมา
ทำให้ผมผงะค้างอยู่กับที่
‘เจย์
รอยยิ้มของเธอน่ะเหมือนกับลูเซีย— แม่ของเธอเลยนะ...’
แม่ของ...ผม งั้นเหรอ...
แมร์รี่ ลูเซียน่า เกว็น...คือชื่อแม่ของผม
ชื่อของน้องสาวอาจารย์คริสครอส
ที่อยู่ตรงหน้าผมนี้...
ตั้งแต่จำความได้ผมไม่เคยเห็นแม้แต่หน้าของแม่เลย—
ส่วนใบหน้าท่าทางทุกส่วนของผม ส่วนใหญ่ก็เป็นเหมือนตาแก่เจ้าของโรงทาสนั่น คือ
ผมสีน้ำตาล...ผิวสีแทนอ่อน ใบหน้าเค้าโครงแทบหาจากผู้แม่ไม่ได้เลย—
นอกจากดวงตาที่เป็นสีแดง นั่นคือเท่าที่ผมรู้
หลังจากที่เขาพูดประโยคนั่นในวันนั้น
ตอนนี้ก็ผ่านมาได้สามวัน เราใกล้ท่าเรือขึ้นไปอีกนิดหน่อย—
ระหว่างทางอาจารย์ก็แทบจะไม่ได้พูดอะไรเลยหากผมไม่ได้เปรยออกมาล่ะก็
‘อาจารย์
ผมอยากเดินบนอากาศได้บ้าง ต้องทำยังไงเหรอ?’
‘หืม?’เขาชะงักมือจากนกย่างที่เขาเพิ่งล่ามาได้ก่อนจะมองมายังผมซึ่งเคี้ยวอาหารในปากหยับๆ
‘เธอหมายถึงที่อาจารย์ทำตอนลงมาจากชั้นสามน่ะเหรอ?’
‘ใช่...’
‘เขาเรียกท่าเดินชมจันทร์...’แก้ให้พลางลุกมานั่งข้างๆเมื่อนกมันสุกได้ที่ ‘การจะเรียนได้เธอต้องหัดวิ่งให้เร็วด้วยน่ะนะ—
นอกจากเดินชมจันทร์ฉันก็คิดว่าอยากจะสอนท่าอื่นไว้สำหรับป้องกันตัวเหมือนกัน...แต่กลัวว่าเธอจะยังเด็กเกินไปน่ะสิ’
‘อยากเรียน...’
‘....งั้น
คงต้องเริ่มสอนเธอตั้งแต่เริ่มต้นน่ะแหล่ะนะ’
อาจารย์คริสครอสยอมสอนในที่สุด...
สิ่งที่อาจารย์ให้ผมทำระหว่าง
นอกจากทฤษฎีฮาคิ(เขามักเป็นพวกสอนภาคทฤษฎีและปฏิบัติไปพร้อมกัน)ก็คือให้ผม วิ่ง
....อือหึ๊ วิ่ง— ให้ผมวิ่งมันทั้งวันด้วยตัวเองนี่แหล่ะ ทั้งวิ่งขึ้นต้นไม้
วิ่งกระโดดกลางอากาศ ไต่ผา ลงเนิน...มีหมด!
เอาให้ผมมีกำลังขาที่มากพอ...
ผมไม่ลำบากอะไรหรอก—
เพราะที่บ้านผมจำเป็นต้องวิ่งหลบ ชกต่อยกับพี่คนอื่นประจำ
ถ้ากลับเข้ามาล็อคห้องทันก็จะไม่เจ็บตัว
แต่ถ้าโชคไม่ดีก็มีเจ็บตัวประจำ...กระทั่งอาจารย์ได้รับหน้าที่สอนผม
ถึงได้รับการดูแลอย่างปลอดภัยจากพวกนั้น... พี่ควิสโต้ก็คงช่วยอย่างลับๆด้วย
...พูดถึงก็นึกอะไรได้
อาจารย์ระหว่างที่ฝึกผมก็ได้บอกกับผมว่า
เขารออยู่ใต้ชายคานั่นถึง
6 ปี...6 ปี เพื่อหาตัวผม—
ลูกของลูเซียน่าซึ่งถูกพรากจากอกแม่ไปตั้งแต่เกิด
รอให้ผมเติบโตมากพอที่จะตัดสินใจด้วยตัวเอง— ตัดสินใจว่าจะเป็นปิศาจร้าย
สุขสบายบนการค้าชีวิตผู้อื่น... หรือ การปลดปล่อยผู้อื่น
ตามหาอิสระภาพที่ทุกชีวิตเท่าเทียม
และเมื่อผมตัดสินใจ
เขาก็พร้อมจะเคลื่อนไหว
เดินชมจันทร์ไม่ใช่การฝึกที่ง่ายแต่ก็ไม่ได้ยาก...
สำหรับอาจารย์
เขามีวิธีสอนแบบประหลาดพอดู— เขาเริ่มให้ผมวิ่งหนีหมูป่าที่เจอระหว่างทาง
ก็เริ่มวิ่งตาลีตาเหลือกหนีมันกันใหญ่... วิ่งๆล้มๆบ้าง มีอาจารย์ใช้ดาบยาคุโซคุผลักพยุง
ทำให้ผมพอจะลุกวิ่งทันก่อนจะโดนมันกระทืบเละคาที่
เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆเกือบสี่ห้าเดือน
บวกกับวิชาหมัดมวยอีกเล็กน้อยให้เคลือบฮาคิได้
อาจารย์ครอสบอกว่าผมเก่งมาก เพราะ
ผมเป็นเด็กเพียงแค่5-6ขวบก็สามารถเรียกฮาคิออกมาได้แล้ว—
จริงๆเขาก็สอนผมเก่งด้วยล่ะ ไม่งั้นผมคงต้องโง่ต่อไปว่าฮาคิมันคืออะไร...
ส่วนวิชาเดินชมจันทร์ผมเริ่มเดินบนอากาศได้แล้ว
แต่เป็นระยะที่สั้นไม่ต่างจากอาจารย์ตอนกระโดดจากตึกชั้นสามมาที่หลังสวน
คงต้องฝึกบ่อยๆให้ขากับปอดแข็งแรงกว่านี้ นั่นเป็นข้อแนะนำของอาจารย์
โดยระหว่างนี้ผมก็ควรจะเดินเล่นไปก่อนด้วยท่านี้
‘นี่เจย์
ถ้าอาจารย์ปล่อยเธอให้อยู่กับคนแปลกหน้าเธอจะทำยังไงหรือ?’
ระหว่างทางก็หาเรื่องคุยไปพลางให้ไม่เบื่อ
ผมนึกทวนคำถามของอาจารย์ครอสก่อนจะตอบออกไปหน้าเหนื่อยหน่าย ‘ก็คงไม่คุยแหล่ะ พวกคนอื่นอาจจะต้องการทำร้ายฉัน—
แบบไอ้พวกพี่ในบ้านนั่นก็ได้’
‘สุภาพหน่อย’
‘ขอโทษครับ’ผมบู้หน้า แต่ทำยังไงก็แก้อาการอยากด่าพวกนั้นเปิงไม่หายอยู่ดี
‘อาจารย์ แล้วอาจารย์จะถามทำไมล่ะ
หลังจากนี้ไปผมกับอาจารย์ก็ต้องอยู่ด้วยกันนี่นา อยู่ไปนานๆเลยไม่ได้หรือ?’
‘ไม่มีทางที่มนุษย์เราจะอยู่ได้โดยมีการสื่อสารกันแค่สองคนนะ
เจย์’
ผมเงยหน้ามองเขา
เปลี่ยนจากฝึกการเกร็งขาเพื่อเดินชมจันทร์มาเดินเงยมองเขา ‘ต่อไปนี้ฉันอยากให้เธอมีเพื่อนเยอะๆ เจย์—
เธออยู่ในคฤหาสน์หลังนั้นมันเริ่มทำให้เธอกลายเป็นพวกหลีกหนีสังคมมากขึ้น
ขังตัวเองอยู่แต่ในห้องแบบนั้นน่ะ’
แล้วก็พูดยาวเกี่ยวกับเรื่อง Avoidance Personally Disorder.
....ผมเป็นเด็ก
ผมฟังไปก็ไม่เข้าใจหรอก แต่มันจะเป็นอะไรที่เหมือนพวกเก็บกดในห้อง ประมาณนั้น?
‘แล้วอีกอย่างอาจารย์ก็ไม่ได้อยู่กับเธอไปตลอดชีวิตนะ
อาจารย์ก็ปาเข้าไป— เอ ปีนี้ 46แล้ว...
ถ้านับตามอายุขัยปกติคนอื่นๆที่60 ก็เหลือแค่12ปีเองนะ! เผลอๆสั้นกว่านั้นอีก’
ผมน้าบึ้ง ‘ทั้งที่แข็งแรงขนาดนี้เนี่ยนะ
ทำไมอาจารย์ไม่รักษาสุขภาพอะไรแบบนั้นอ่ะ!’
‘เพราะอาจารย์ทำไม่ได้ไง
ถึงอยากให้เธอลองเชื่อใจคนอื่นบ้าง
มีเพื่อนเยอะๆคอยประคับประคองเธอหลังจากนี้เผื่อว่ามันเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นน่ะ’เขาเอ็ดจนแทบจะตะคอก
จนเมื่อเห็นว่าผมเม้มปากแน่นเถียงไม่ออก เขาจึงเสยผมขึ้นพูดอย่างลำบากใจ ‘อาจารย์เป็นเหมือนแม่เธอนั่นแหล่ะ
ต้องสู้ตลอดเวลาแม้ว่าจะมีจุดมุ่งหมายที่ต่างกัน คนหนึ่งเพื่ออิสระภาพ
คนหนึ่งเพื่อปกป้องผู้ที่ตนรัก— แต่สิ่งที่พวกเราต้องการเหมือนกันตอนนี้ คือ
พาเธอกลับสู่โลกปกติของสามัญชนให้ได้’
...ผมไม่รู้จะตอบอะไรออกไปจึงทำแค่พยักหน้ารับช้าๆฟังเขาพูดต่อ
‘ถ้าเธอเปิดใจยอมมีเพื่อนมากมายได้นะเจย์
เธอจะทำให้อาจารย์สบายใจมาก— ใช้สัญชาตญาณของเธอมองคนอื่น
เป็นเพื่อนกับคนดีๆที่จะทำให้ชีวิตเธอปลอดภัยจากคนพวกนั้นในคฤหาสน์นั่น...นั่นจะทำให้อาจารย์ดีใจมาก
และ สบายใจมากเลยล่ะนะ’
‘…ถ้าอาจารย์ว่าอย่างงั้น
ก็ตกลงครับ— แต่ผมไม่รู้นะว่าจะมีเพื่อนได้มากแค่ไหน’ก็ผมมัน..อย่างงี้
‘ไม่เป็นไร
อย่างน้อยมีเพื่อนก็ดีกว่าไม่มี’
เขายิ้มให้พลางเอื้อมมือมาให้ผมจับ ‘เดินทางกันต่อเถอะ
อาจารย์จะเล่าเรื่องไปด้วยระหว่างทางแล้วกันนะ...เผื่อจะทำให้สนุกขึ้นมาได้บ้าง
ผมยิ้มตอบก่อนจะขานรับ
แล้วพวกเราจึงเริ่มออกเดินทางต่อ
วันนี้วันที่ 29 กรกฎาคม...
วันแห่งฤดูฝน— ครบรอบวันเกิดอายุ 6 ขวบของผมในปีนี้...
ผมไม่ได้สนใจวันเกิดของผมนักหรอก
ตอนนี้ทั้งฮาคิของผมและท่าเดินชมจันทร์พัฒนาไปเยอะมากจนเท่าอาจารย์ตอนก่อนโดนจับเห็นจะได้(ก็เขาว่ามาอย่างนั้น)
ใช้เวลาร่วมอีกครึ่งปีในการฝึกตรงนี้—
ดูๆไปแล้วน่าจะเหนื่อยมากแต่มันกลับทำให้ผมสนุกมากกว่านั่งเรียนอยู่ในห้องแคบๆของคฤหาสน์
วันนี้พวกเรารีบหาสเบียงกันเพื่อไปหลบเมฆฝนในโพรงถ้ำ
ผมรับอาสามาหาผลไม้ตามกิ่งไม้ด้านบนในขณะที่อาจารย์ครอสรับอาสาล่าพวกนกที่บินผ่านมาด้วยดาบของเขา
เจ๋งดี ถ้าผมมีดาบมั่งผมก็อยากจะซัดคลื่นดาบได้ไกลๆไปถึงบนเมฆได้บ้างล่ะ
ผมเคยลองถามเขาด้วยว่าผมฝึกแบบนั้นได้ไหม
อาจารย์ก็บอกว่าได้— แต่ต้องรอถึงเวลาก่อน
แล้วเขายังจะส่งยาคุโซคุต่อให้กับมือของผมอีกต่างหาก...
ผมชอบดาบเล่มนี้มากเลยนะ
มันเป็นดาบยาวที่สูงประมาณไหล่ของอาจารย์ได้ ปลอกดาบลงด้วยสีแปลกๆ—
ที่อาจารย์บอกว่ามันคือนาค หรือ ทองชมพู
ผ่านการลงรักมาเป็นลวดลายบนปลอกสีดำอย่างดี
ด้ามดาบเป็นสีขาวมีห้อยพู่ยาวสีขาวชมพูไหวริก
พอเอาปลอกดาบออกจะเห็นว่าดาบมีสองชั้น
ชั้นนอกทำให้ยาคุโซคุดูเป็นดาบที่มีคมกว้างใหญ่เหมือนดาบใหญ่
แต่พอถอดออกมาอีกชั้นจะเป็นรูปร่างจริง—
มันเป็นดาบตรงยาวขนาดเล็กกว่าดาบอาศวินปกติครึ่งหนึ่ง
แต่เมื่อสะท้อนแสงมันจะมีไอประกายสีน้ำเงินสง่างาม
เขาบอกว่าเขาทำขึ้นมาเอง
จากสินแร่ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก— หินไคโรเซคิ
เจ๋งไปเลย ผมก็เคยเห็นมันบ่อย— แต่เป็นพวกตรวนสำหรับลากจูงทาส...เห็นแล้วไม่เจริญลูกตาเท่าไหร่แต่ดูจากที่ทาสที่กำลังจะโดนขายพยายามทุบมันยังไงก็ไม่พังแสดงให้เห็นได้ว่ามันแข็งแรงมาก
เรื่องนั้นผมเก็บไปคิดที่หลังเมื่อผมเจออะไรแปลกๆขณะที่เดินอากาศหาผลไม้ใส่เสื้อ(ที่เปลี่ยนมาทำเป็นถุงหอบอาหารชั่วคราว)ก็เจอกับผลไม่หน้าตาแปลกๆเข้า—
กินได้ไม่ได้ไม่รู้เหมือนกัน แต่จากที่ฝนใกล้ตก ผมไม่ควรเอาเวลาเก็บมาคิดเท่าไหร่
รีบคว้ามันใส่ถุงพร้อมกับวิ่งกลับไปที่โพรงถ้ำซ่อนตัว
หลังผมหลบเข้าไปฝนก็เทสาดลงมาห่าใหญ่
โชคดีชะมัด ไม่งั้นผมคงต้องเปียกเป็นลูกหมาแน่ๆ...
ครั้นเมื่อพวกเราก่อไฟขนาดเล็กๆพอให้ความอบอุ่นในถ้ำได้ก็เริ่มตรวจดูสเบียงอาหาร
อาจารย์ล่านกกับกระต่ายแปลกๆมาได้เยอะแยะ—
ถึงจะน่าสงสารแต่ถ้าไม่ทำพวกเราก็คงขาดสารอาหารตายนั่นล่ะ
‘เธอได้อะไรมาน่ะเจย์?’
‘ครับ?’ผมกระพริบตาปริบๆก่อนจะมองตามสายตาของอาจารย์ไปทางผลไม้ประหลาดที่ได้มา
‘อ้อ ผมเจอมันอยู่บนกิ่งใกล้ๆนี่น่ะฮะ...
ไม่รู้ว่ากินได้รึเปล่าก็เลยหยิบมาด้วย’
‘งั้นเหรอ’
เขาเอื้อมไปหยิบมันมาดู
พิจารณาด้วยสายตาคร่ำเคร่งก่อนจะหยิบถุงผ้าใบเล็กของเขาเอง— เทสิ่งของทั้งหมดที่เขาเคยพก
ทั้งนาฬิกา ทั้งกำไรข้อมือ แหวนที่หวังว่าจะขายในเมืองแลกค่าที่พัก
ค่าเดินทางต่างๆนานาเขายอมทิ้งมันไปหมดก่อนจะใส่ผลไม้นั่นเข้าถุงนั่น—
มัดให้แน่นหนาแล้วยื่นมาให้ผมเป็นสัญญาณว่าให้เก็บไว้กับตัว
‘ผลไม้นี่—
เธอต้องเก็บไว้ กินเฉพาะเมื่อตอนที่เธอจวนตัว
แต่มีข้อแม้ว่าเมื่อเธอกินไปเธอจะลงทะเลไม่ได้อีกเป็นครั้งที่สอง—
เธอจะแวะลงเล่นน้ำแบบก่อนหน้านี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้วนะ’
ผมผงะรับมันมาด้วยสายตางุนงง ‘ทำไมล่ะฮะ...’
‘เพราะมันคือ—
…’
ปังๆๆๆ!!!
‘!!!?’ ‘!?!?’
‘หาให้ทั่ว! องค์ชายน้อยกับเจ้าทาสเฮงซวยนั่นมันอยู่ที่นี่!!’
‘ชิ...รีบหนีกันเถอะเจย์’
ดูท่าวันนี้ทางนั้น
คงตั้งใจจะทำให้มันจบเร็วขึ้นไปอีก
นำพาฝันร้ายตลอดกาลมาให้ผม
ที่ผมกับอาจารย์ทำได้ตอนนี้คือวิ่งไปบนต้นไม้เพื่อใช้พวกมันต่างที่กำบังไม่ให้โดนกระสุน
การวิ่งครั้งนี้ต้องแข่งกับทั้งเวลา
ความอึด และ ความอดทนต่อภาวะโดนตามล่าสุดหล้าฟ้าเขียวอย่างสูงเลยทีเดียว
เพราะตอนนี้พวกผมโดนกลุ่มทหารประจำคฤหาสน์ร่วมร้อย—
หรือพันกว่าคนตามล่าเป็นหมาล่าเนื้อเลยทีเดียว
ทั้งนี้ท่าเรือที่เราเฝ้าตามหาก็อยู่อีกแค่ไม่ไกลนัก—
แต่ต้องใช้แรงกำลังอย่างมากเพื่อจะไปให้ถึงตรงนั้น แถมยังต้องหาเรือออกทะเลหนีไปให้ได้โดยไม่บาดเจ็บด้วย
ผมได้ยินเสียงยิงปืนมาจากข้างหลัง
เฉี่ยวต้นขาของผมไป...เกือบจะล้มแถมยังหันไปมอง
อาจารย์จึงกระชากแขนผมใช้ท่าเดินชมจันทร์วิ่งต่อ ‘อย่าหันไปมอง เจย์ ความเร็วเธอจะตกทันทีถ้าไม่มีสมาธิ’
‘คะ ครับ!’
ผมวิ่งต่อ
วิ่งนานมากแต่เพียงครู่เดียวหลังกระสุนเฉี่ยวขาตัวเองไม่นานก็มีเสียงปืนยิงดักมาจากข้างหน้า
เหมือนกับพวกเราจะโดนดักไม่ให้ไปถึงท่าเรือ ‘ชิ...!
พวกมันไวขนาดนี้เชียวรึเนี่ย’
‘อะ
อาจารย์ครับ...!’
ผมลนลาน
เป็นพวกคุณอายุเท่าผมไม่ลนลานหรือ?
พวกเราโดนทหารนักล่านับพันตามติดด้วยอาวุธปืนมาถึงนี่
แถมหนทางเดียวที่เราจะหนีรอดไปได้กลับโดนดักล้อมไว้หมดแล้วอย่างนี้...
พวกเราจำเป็นต้องวิ่งต่อเมื่ออาจารย์ไม่มีท่าทีจะหยุด
ดวงตาสีน้ำแข็งของเขามั่นใจมากว่าจะต้องฝาไปได้— ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขาจะทำอะไรต่อ
อาจารย์ครอสดึงผมขึ้นไปอุ้มชิดกับอกของเขาแถมยังใช้ผ้าคลุมที่พกมาด้วยปิดกันตัวผมเอาไว้อีกชั้น
กระซิบแผ่วเบาว่าให้ก้มหัวไว้ เขาไม่ทำกระสุนโดนผมแน่นอน
ผมทำตาม
เหลือบเห็นยาคุโซคุที่ถูกกระชากออกมาจากปลอก—
มือของเขาควงดาบครึ่งรอบก่อนจะยกขึ้นมากลางอก
หันปลายดาบใส่พวกที่อยู่ห่างไปไม่ถึงเมตร
วาดดาบไปด้านซ้าย
ผมได้ยินเสียงปลดล็อคอะไรบางอย่าง... ‘Release!’
ฉั่วะ!!
‘!!’ ดาบชั้นนอกถูกปล่อยออกไปโดยมีสายตรวนเหล็กติดกับดาบชั้นในเอาไว้
เคลือบฮาคิอย่างแน่นหนาพร้อมกับวาดดาบเป็นแนวกว้าง มันเป็นการเพิ่มระยะของดาบให้ยาวเท่าง้าว
มีแรงฟันที่หนักหน่วงมากกว่าการถือดาบระยะปกติเพราะแรงเหวี่ยง มันจึงสามารถฟันคนจำนวนเกือบร้อยด้านหน้าขาดเป็นสองท่อนในพริบตา
ครั้นเมื่อจัดการเคลียร์ทางได้ระยะหนึ่งก็กระชากให้ดาบชั้นนอกกลับมาคลอบดาบจริงดังเดิม
ทางข้างหน้ามีแต่เลือดแต่อาจารย์ไม่ทำอะไรกับมันนอกจากสะบัดเลือดที่เลอะใบดาบออก ‘ไม่อยากทำเลยจริงๆแฮะ—
แต่เราก็ไม่มีเวลาวิ่งหลบกระสุนต่อจริงๆ’
‘อาจารย์...’
‘มันอยู่นั่น!! จับมัน!!เอาองค์ชายน้อยมา!’
อยู่ตรงนั้นได้ไม่นานก็มีเสียงไล่ตาม
อาจารย์ครอสถอนหายใจหนักหน่วงพลางวางผมลงตรงจุดที่ไม่มีเลือดเลอะพื้น
ผมพยายามไม่มองภาพพวกนั้นขณะที่อาจารย์หยิบอะไรออกมาจากกระเป๋าเสื้อเลอะๆของคนพวกนั้น—
ระเบิดมือ...ขนาดความรุนแรงน่าจะมากโขอยู่...
นี่ถึงขนาดพกพวกนี้มาไม่น่าเรียกว่ามาพาผมกลับแล้วล่ะมั้ง ไอ้พ่อเฮงซวย...
‘เจย์
เดี๋ยวเธอวิ่งไปก่อนตกลงไหม— ฮาคิอาจารย์ตรวจดูแล้วไม่มีคนพวกนั้นอยู่ด้านหน้า
นี่เป็นกรุ๊ปเดียวที่นำมาก่อน—
อาจารย์ต้องอยู่ที่นี่ตัดทอนกำลังอีกนิดหนึ่งก่อนจะตามเธอไปทีหลัง’
‘แต่ว่า...’ผมไปคนเดียว ผมจะไปได้ยังไง...
‘ไม่เป็นไร
เธอวิ่งไปบนกิ่งไม้ ตรงไปเรื่อยๆต้นไม้จะเริ่มทึบพอบังเด็กๆแบบเธอได้แน่นอน’เขาอธิบายไปพลางชี้ไปพลาง
มือเก็บระเบิดเข้าไปในกระเป๋าที่น่าจะหยิบสะดวกที่สุด ‘อย่าลืมที่อาจารย์บอกล่ะ เรื่องของกินนั่นรอจวนตัวอย่างเช่นไม่มีอะไรกินจริงๆแล้วค่อยหยิบขึ้นมา
เธอต้องมั่นใจว่าตัวเองห่างจากทะเลและปลอดภัยมากพอถึงจะกินนะ ตกลงนะ?’
‘คะ
ครับ...’
‘ดี
งั้นเริ่มวิ่งไปได้แล้ว’เขายิ้มให้ด้วยสีหน้าที่เหมือนเดิม อบอุ่น—
เหมือนคนในครอบครัวที่ผมเฝ้ารอมาตลอด พร้อมกับกอดร่างเล็กๆของผมส่งท้าย ‘แฮ้ปปี้เบิร์ดเดย์นะ เจย์’
‘!!’
ทิ้งผมไว้แค่นั้นแล้วก็วิ่งบนอากาศกลับไปทางเดิม
มีหุ่นปลอมที่ทำจากเศษเสื้อเก่าของผมในอ้อมแขนเพื่อใช้เป็นตัวล่อ
ทำเหมือนโดนทหารทางนี้ดักจนหมดหนทางแล้ววิ่งไปทางอื่น
ผมทำได้แค่เม้มปากแน่นกลั้นไม่ให้น้ำตามันไหลออกมา
ทำไม...ผมดีใจ ดีใจมากที่อาจารย์รู้วันเกิดของผม
รู้สึกดีใจที่ได้เกิดมาเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาบนโลกใบนี้...
เปลี่ยนทิศทาง
ผมหาทางวิ่งต่อไปยังท่าเรือ...หนีไปให้ได้ ไปรออาจารย์ที่นั่น...
แต่ว่าคนพวกนั้นมากันเยอะมาก
ถ้าเกิดอาจารย์เป็นอะไรไปขึ้นมาล่ะ...ถ้าเขาไม่ตามมาอย่างที่ได้สัญญากับผมไว้ล่ะ—
ผมหยุดวิ่งหลังออกวิ่งมาได้พักใหญ่
อยู่บนต้นใหม่ใหญ่ยักษ์ที่กิ่งก้านสาขาใหญ่โตโอฬารมากพอจะเห็นรอบด้านได้บนจุดที่สูงที่สุด
ทิศตะวันออกที่อยู่ติดกับทะเลเป็นผาชันมีควันระเบิดและเสียงปืนดังลั่น
ผมเห็นกลุ่มคนที่น่าจะเป็นคนของพ่อได้วิ่งกรูกันเข้าไประดมยิงอาจารย์คนเดียว
ซึ่งยืนอยู่แทบจะริมผาใหล้ตกลงไปด้านล่างแล้ว
ไม่นะ อาจารย์—
อาจารย์ครอสก็นับได้ว่าอายุมากแล้ว เขารับมือกับคนพวกนี้แบบเมื่อก่อนไม่ไหวหรอก
ยิ่งอยู่กับผมมาหกปีโดยไม่ทำอะไรเลย ร่างกายของเขาก็ยิ่งอ่อนแอ—
แค่ตอนซ้อมบางทีผมยังแอบเห็นเขาหยุดพักหายใจบ้างก็มี
ผมไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น
บางที ผมควรจะไปช่วยอาจารย์....
เสียงระเบิดดังกันวุ่นวาย
ทั้งเสียงฟาดฟันและเสียงกระสุนปืนลั่นก็ยังคงดังต่อเนื่องเหมือนกับในหนังละครที่มักมีฉายให้ได้ดูบ่อยๆ
ผมวิ่งย้อนกลับมาตามทางต้นไม้เพื่อมาทางฟากที่อาจารย์อยู่
ภาพสงครามปรากฎแก่สายตาเมื่อผมหลบมาอยู่บนต้นไม้ที่อยู่ด้านหลังกองทหารไปไกลพอสมควร
จำนวนคนที่มาตามล่าลดฮวบฮาบจนเหลือเพียงสิบกว่าคน
แต่ในบรรดาสิบกว่าคนนั้นก็มีคนหนึ่งที่เริ่มส่งสัญญาณให้พวกที่เหลือหลบไปพร้อมกับถือดาบใหญ่ออกมา
คิดจะต่อสู้ตัวต่อตัว...ทางอาจารย์ครอสผมเริ่มเห็นเขาหอบหนักขึ้นเรื่อยๆแถมยังมีอาการสั่นเกร็งก็อีก
ถึงกระนั้นก็ยังทำท่ากอดตุ๊กตาตัวปลอมนั่นเอาไว้
ชายกำยำที่ก้าวออกมาตะโกนออกมา ‘องค์ชายน้อยไม่ได้อยู่กับแกสินะ’
ผมสะอึก เขารู้งั้นเหรอ...
‘พูดเรื่องอะไร
หืม...? ฉันไม่มีทางปล่อยเขาห่างตัวหรอกน่า’อาจารย์ฝืนแค่นยิ้มให้ดูเหมือนถือไพ่เหนือกว่า
‘ก็ครอบครัวของฉันนี่...’
ก็ครอบครัว...ของฉันนี่...
งั้นเหรอ...
‘ถ้าเป็นครอบครัวจริงคงไม่เอาเด็กมาเสี่ยงในสนามรบด้วยกันหรอก’
ชายฉกรรจ์พูดกับอาจารย์พลางชี้ดาบใหญ่ยักษ์ใส่เขา
‘ยิ่งไอ้คนอย่างแกที่รู้ๆกันดีว่าเป็นหัวคิดให้สองคนนั้น—
ลูเซียน่ากับเดสมอนด์ยอดโจรสลัด ที่เคยมีค่าหัวถึง350ล้านเบรี น่ะ รักครอบครัวเกินกว่าจะทำแผนที่พาลทำให้พวกเขาตาย...’
‘…’
คราวนี้อาจารย์เงียบก่อนจะสบถ—
เขาคงคิดแล้วว่ามันไร้ประโยชน์หากจะใช้แผนนี้ต่อไปจึงทำการโยนตุ๊กตาเศษผ้านั่นลงพื้นให้เห็นต่อหน้า...
อาจารย์ครอสมองพวกเขาทำท่าเหมือนกับโดนหลอกเสียเวลาเข้าแล้ว
แถมยังเป็นส่วนใหญ่อีกต่างหากที่คิดว่าผมลงเรือหนีไปแล้วจึงคิดจะวิ่งไปทางท่าเรือ
แต่อาจารย์ไม่ปล่อยให้ทำแบบนั้น
เขาฉวยโอกาสทีเผลพวกนั้นกำจัดคนที่เหลือทันที ‘Release!!’
ฉั่วะ!!โครม!!
‘!!’
พวกมือปืนสิบคนโดนคลื่นดาบฟาดจนขาดเป็นสองท่อนตายคาที่ไปพร้อมกับต้นไม้ที่ล้มระเนระนาด
ผมหลับตาปี๋เกือบต้องร่วงไปแบบต้นไม้ต้นอื่นแล้วถ้าหากไม่มีลุงกล้ามถือดาบใหญ่คนนั้นป้องกันไว้ด้วยฮาคิเหมือนกัน
ท่าทางฝีมือความแกร่งคงไม่แพ้อาจารย์ครอสเลยทีเดียว
ผู้ชายคนนั้นยิ้มได้ใจ ‘ลอบกัดได้เก่งดี เป็นแค่นักคิดแท้ๆนะ’
‘ชิ
ใช้ฮาคิเกราะได้อย่างที่คิดจริงๆสินะ’อาจารย์เริ่มเสียงสั่นพอควร
เขาใช้ฮาคิเกินขีดจำกัดไปแน่ๆเลยเมื่อครู่นี้น่ะ—
ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ก็ควรจะหนีไปสิ อาจารย์ว่ายน้ำได้ไม่ใช่หรือ
ถ้าเป็นตรงนี้ต้องไม่มีหินโสโครกแน่ อาจารย์หนีไปเลยสิ!!
แต่เขาไม่ทำ
ทั้งยังตั้งท่าถือดาบจะสู้ต่ออีก ‘แต่ถ้าฉันลงแรงอีกทีกับดาบจริงล่ะก็คงมีสิทธิ์’
‘จะดีเรอะ
เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าเก่งขนาดฟาดภูเขาเป็นสองซีกได้— แต่ถ้าทำแบบนั้นล่ะก็
เจ้าเด็กนั่นที่รออยู่บนต้นไม้ก็ต้องโดนลูกหลงไปด้วยนะ…อาจารย์ อะไรนะ คริสครอส? หึหึ’
‘!!’ ทำไมเขารู้ว่าผมอยู่นี่ล่ะ
ดูเหมือนอาจารย์จะตาเหลือกกว้างด้วยความตระหนกเหมือนกัน
เขาน่าจะกำลังใช้ฮาคิตรวจสอบเพื่อดูความจริงแน่ๆถึงได้แสดงท่าทีตกใจออกมาแบบนั้น
ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไร
ไอ้ลุงกล้ามนั่นก็เปลี่ยนทิศทางทันที ‘ถ้างั้นฉันก็เอาตัวองค์ชายน้อยไปล่ะ’
ไม่นะ เขากำลังพุ่งมาทางนี้แล้ว!!!
ฉึบ!!
‘!!?’อาจารย์!?
ร่างสูงผมสีเงินมาอยู่ตรงหน้าผมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ริมฝีปากขยับพูดกระซิบออกมาเบาๆในเสี้ยววินาทีนั้น ‘ขอโทษนะ เจย์…’
ก่อนที่จะหยิบปลอกดาบยาคุโซคุมาจากข้างลำตัวพร้อมกับกระแทกร่างของผมกลิ้งหลุนลงไปจากต้นไม้ออกไปอยู่ที่พุ่มไม้ไม่ห่างจากตรงนั้นนัก
ผมจุกพอดู แต่โชคยังดีที่อาจารย์ผ่อนแรงมากพอจะทำให้ผมไม่ช้ำเครื่องในพัง
ผมเบิกตาลืมขึ้นมองตามอาจารย์ ‘อาจารย์!!!’
ผู้ชายคนนั้นเข้ามาใกล้จะประชิดตัวอาจารย์แล้ว—
แม้ความเร็วของท่าเดินชมจันทร์ผู้ชายคนนั้นจะมีน้อยกว่าแต่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าอาจารย์มากนัก!
เขาหมุนตัวกลับไปทันพอดีกับดาบใหญ่ที่หมายจะฟาดลงมาผ่าเขา
อาจารย์...เขา...
เขาหยิบระเบิดลูกสุดท้ายที่พกไว้ติดตัวออกมา
ดึงสลักด้วยความเร็วที่พอจะทำได้ด้วยมือซ้ายก่อนจะโยนมันออกไปด้านหน้าของตัวเอง
ระหว่างช่วงลำตัวของชายร่างยักษ์แล้วก็...
ฉั่วะ!!!ตูม!!!!!!
ฟาดดาบจริงของยาคุโซคุเคลือบฮาคิ
ทะลุตัวระเบิดและผ่ากลางลำตัวของชายคนนั้นจนเลือดสาดกระเซ็น
ดาบชำแรกเข้าไปในเนื้อหนังที่หนาหนักกล้ามได้ง่ายประหนึ่งตัดหยวกก่อนจะถูกแสงสว่างกลืนกินไป
‘อาจารย์!!!!!!!!’
โอ้ ไม่...โอ้ ไม่นะ...
ผมรีบลืมตาหลังแสงและเสียงวินาศสันตะโรนั่นสงบลง
ต้นไม้ในอาณาบริเวณมีกลิ่นฉุนไหม้จากแรงระเบิดทั้งยังมีรอยคล้ำเกรียมจากความร้อน
ผมฝืนกายลุกจากพุ่มไม้ที่ผมนอนพังพาบอยู่
วิ่งตามหาร่างของอาจารย์ว่าจะกระเด็นไปที่ไหนด้วยความกระวนกระวายใจถึงที่สุด
อาจารย์ครอสอยู่ที่ไหน อาจารย์ อาจารย์!!
ซึ่บ...
‘!!?’ผมได้ยินเสียงเหมือนคนขยับตัวมาจากด้านขวา
วิ่งไปตามเสียงที่แม้จะเบาแผ่วๆแต่ก็ชัดเจนที่สุดในความพินาศเหล่านี้
ดวงตากวาดหาร่างที่คุ้นเคยอย่างร้อนรนแบบที่ไม่เคยเป็น
ไม่นานผมก็เจอร่างของอาจารย์ที่นอนพังพาบกับพื้น
ในมือเปื้อนเลือดเคลือบฮาคิไว้นั้นมีก้อนเนื้อที่ถูกขยี้เล็กอยู่ก้อนหนึ่ง—
ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร ที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือตัวอาจารย์
วิ่งเข้าไปนั่งใกล้ๆร่างของเขาที่มีร้อยไหมเต็มตัวจากสะเก็ดระเบิด
ใบหน้าไหมไปครึ่งซีก ทั้งยังดวงตาที่ปิดสนิทนั้นมีเลือดไหลออกมา
ริมฝีปากกระอักเลือดคำโต— ทั้งยังไม่ตอบผมหลังจากที่ผมตะโกนเรียกเขา ‘อาจารย์!! อาจารย์ อาจารย์ครอส!! อย่าตายนะฮะ อาจารย์ อาจารย์!ฮึก...’
‘…’มือข้างที่เคยถือยาคุโซคุเลื่อนมาจากตัวดาบเพื่อเอื้อมมาจับใบหน้าของผม
แม้ครั้งแรกจะแตะโดนหัวแต่ก็สามารถเลื่อนมาจนถึงใบหน้าของผมได้ ‘เจย์...เธอใช่ไหม?’
‘อาจารย์....ฮึก
ฮือ....’
น้ำตาที่ผมกลั้นไว้ไหลพรั่งพรูออกมาจากดวงตา—
ไม่ต่างจากเมื่อสองปีก่อนที่ผมร้องไห้อย่างบ้าคลั่งข้ามวันข้ามคืน
ผมไม่สามารถอธิบายได้ว่าครั้งเหมือนเมื่อตอนนั้นหรือเปล่า ผมรู้สึกเจ็บปวด
รู้สึกเป็นห่วง รู้สึกกลัว รู้สึกเสียใจและโกรธแค้นไปพร้อมๆกัน
จนประดังประเดกันออกมา
ผมไม่อยากให้อาจารย์ตาย...
เขาเป็นครอบครัวคนเดียวของผม
อาจารย์คริสครอสเป็นคนเดียวที่ผมรักและเคารพเพียงคนเดียว
เขาเป็นเหมือนพ่อของผมที่มาช่วยผมจากโลกสีดำนั่น
ช่วยผมออกมาจากกรงขังชั่วนิรันดร์นั่น
ผมยังไม่พร้อม จะเสียเขาไป...
คุณเข้าใจใช่ไหม
ผมยังไม่พร้อมจะเสียครอบครัวคนเดียวที่ผมมีไป...
ไม่เอา ไม่เอาแบบนั้น ไม่เอา...!
‘ชู่ว...ชู่ว
เจย์— เจย์ เงียบ’
‘ฮึก...อาจารย์
อาจารย์...ฮึก อย่าตายนะครับ’
อาจารย์ยิ้มให้ผมฝืนๆให้ผมออกมา
ยังไม่ตอบในทันทีพลางใช้นิ้วสั่นพร่าของเขาเช็ดน้ำตาของผม ‘ขอโทษนะ— อาจารย์น่ะ มองอะไรไม่เห็นแล้ว
เสียงอาจารย์ก็ไม่ได้ยิน... ร่างกายก็รับแรงกระแทกกับสะเก็ดระเบิดเต็มๆเลยล่ะ...คงทำได้แค่รับรู้ตัวตนเธอผ่านฮาคิเท่านั้น’
ผมผงะอึ้ง
น้ำตาหลายสายยังคงหยดหยาดลงผ่านรูปหน้าของผมสัมผัสกับแก้มของอาจารย์ ‘ทำ...ไม ทำไม อาจารย์ ทำแบบนั้น...’
‘อาจารย์คิดวิธีที่จะทำให้เขาไม่ฟื้นโดยที่ไม่ฆ่าไม่ออกเลย’อาจารย์ครอสยังคงพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า ‘แล้วเจย์ เธอก็ตกอยู่ในอันตราย—
อาจารย์ก็เลยเลือกใช้วิธีนั้นแทน ฟาดยังไงฮาคิเกราะของเขา ต้องหนามากๆแน่
ถ้าทำให้ตาบอดแล้วใช้มือควักหัวใจมันเร็วกว่า— ...’
‘พอแล้ว
พอแล้วอาจารย์ อาจารย์ครอส...คุณบาดเจ็บนะ ผม ผมจะทำแผลให้...’
เขาทำเพียงแค่ยิ้ม
ทั้งที่ดวงตาบอดมืดเพราะแรงระเบิด ทั้งที่ร่างกายถูกแรงมหาศาลกระแทกอัดจน
ทั้งที่หูไม่อาจรับโสตใดเข้าไปถึงสมองได้แล้ว
แต่มือหยาบยังสามารถสัมผัสถึงตัวตนของผมได้
สัมผัสถึงน้ำตาของผมที่อาบไหลรินแก้มนี้...
มือของเขายังอุ่นร้อน
แต่มันเริ่มเย็นเยียบ...ค่อยๆ ไร้ชีวิต...
‘เจย์...’ฝืนยิ้มให้ผมทั้งที่มองไม่เห็นผมแล้ว ‘ฉันขอโทษนะ— ฉันหวังว่าพวกเราจะได้มีความสุขกัน
ฉันหวังแบบนั้นจริงๆนะ...แต่ฉันไม่สามารถแม้แต่จะรักษาสัญญานั่นได้’
‘อาจารย์...’ อย่าพูดแบบนั้น อย่าพูดเหมือนคุณจะตาย...
‘นี่
เจย์...ไหนๆแล้วนะ ทำตามสิ่งที่ฉัน ปรารถนา— เป็นครั้งสุดท้ายได้ไหม?’
ไม่เอา ไม่ฟัง
ผมจะไม่ทำตามถ้าหากอาจารย์ไม่หาย อาจารย์ต้องไม่ตาย...
‘เจย์...’
อาจารย์ ได้โปรด อยู่กับผม...
‘...
6 ปี...ที่ฉันไม่ได้ไปหาทะเลผืนนั้น
ไม่ได้กลับไปบนพื้นดิน— ที่เรียกว่าโลก... เจย์
ฉันอยากจะเห็นมัน...
อยากจะรู้สึกถึงมันอีกสักครั้ง— สิ่งที่เรียกว่า โลก นี่น่ะ.....’
โปรดมีชีวิตอยู่...
โลดแล่นไปบนโลกกว้าง สดับเสียงลมและกลิ่นอายของท้องทะเล
แทนฉัน—
ที่ไม่อาจมีชีวิตอยู่เคียงข้างนายได้อีกแล้ว...ทีเถอะนะ...
วันที่ 1 สิงหาคม...
วันนี้เป็นวันที่ฝนตกหนักเหลือเกิน—
ผมที่คลุมผ้าคลุมขาดๆของอาจารย์ที่ยังเหลืออยู่เดินสะโหลสะเหลเข้าเมืองมาได้สักพักแล้ว
ทว่าเมืองท่าแห่งนี้เป็นเหมือนเมืองท่าที่ยากจน นานครั้งจึงจะมีเที่ยวเรือไปกลับมา
เหมือนเป็นเมืองขยะขนาดย่อมๆก็คงพูดได้...
ผมทั้งหิว ทั้งหมดความหวัง
ผมไม่มีที่จะไป ไม่รู้จะเดินต่อไปทำไม...
ทรุดตัวลงนั่งในซอกตึกร้างแห่งหนึ่งหลังหาที่หลบฝนไม่ได้
มันหนาวเหลือเกิน ไม่สามารถหาที่อุ่นๆอยู่ได้เลยสำหรับที่แห่งนี้—
เลวร้ายเหลือเกิน...
ผมควรทำยังไงดี...
เมื่อย้อนถามตัวเองทุกครั้งก็จะต้องกลับไปนึกถึงเรื่องนั้น
ความสูญเสียอันใหญ่หลวงในชีวิต—
ผมที่นั่งท่ามกลางห่าฝนตะโกนร้องใส่ร่างของอาจารย์ที่หายใจรวยริน เสียงก็แทบไม่มีพูดหรือตอบผม...ผมจับมือของเขาเอาไว้แน่น
หวังว่าเขาจะยังรอด— แต่ก็ไม่เป็นแบบนั้น...
‘ถ้าเป็นไปได้ เธอไปกับพวกทหารเรือนะเจย์’เขาเริ่มพูดขาดห้วงลงทุกขณะ ‘เมื่อพบแล้ว—
ก็พูดกับพวกเขาด้วยโค้ดเนมของฉัน...พวกเขาจะพาเธอกลับไปอย่างปลอดภัย’
...โค้ดเนม แซงค์ทิตี้(Sanctity)...
พูดแล้วก็ไม่เคยรู้จักชื่อจริงๆอาจารย์เลย—
นอกจากชื่อที่ตั้งให้อย่างคริสครอส กับ โค้ดเนมใช้กับทหารเรืออย่างแซงค์ทิตี้ก็อีก
เขาเป็นใครกันแน่...ผมไม่รู้จักเขาเลยทั้งที่เป็นครอบครัว...
ยิ่งแค้นใจก็ยิ่งปวดกระเพาะและกบาล
ผมไม่รู้ตัว ตอนนี้ผมแค่หิว
หิวมากๆจึงได้หยิบของออกมาจากถุงผ้าด้วยความเคยชิน
ผลไม้หน้าตาประหลาดที่อาจารย์พูดถึง ตอนนี้ผมปลอดภัยจากทั้งทะเลและผู้คนที่ตามล่า
น่าจะใช้ประทังชีวิตไปวันๆได้—
ต่อให้มันอาจจะเน่าในแต่ทนกินไปสักหน่อยจะได้มีแรงเดิน
กรุบ...
...อี๋ย์ รสชาติห่วยแตกสิ้นดี
ไอ้นี่มันกินได้จริงๆเหรอ— บ่นไปก็เท่านั้นล่ะมั้ง...
‘เอ้า อย่ากินเหลือนะ ไม่งั้นโดนหยิกแก้มแน่’
ผมคิดกับตัวเองว่าถ้าอาจารย์ยังอยู่ตรงนี้คงพูดแบบนี้กับผม
ถ้าหากผมเงยมองสักนิดผมก็จะต้องเห็นอาจารย์นั่งเท้าคางยิ้มตลกๆให้ผมรอว่าจะกินหมด
หรือ จะโดนลงโทษ...
ผมเงยหน้าตามความเคยชิน—
ก่อนจะรู้ว่ามันว่างเปล่า...
ไม่สิ เขาต้องอยู่ตรงนี้สิ
ทำไมเขาไม่อยู่ตรงนี้กันล่ะ...เขายังไม่ตายสักหน่อย เขาเก่งจะตาย
เขาต้องกลับมาหาผมได้แน่ๆ—
ไม่ก็เขาก็ต้องมีพลังพิเศษแบบที่เคยมีเรื่องเล่าในบทเรียนสิ ผลปิศาจเอย
เผ่าท้องฟ้าเอย ทะเลสีขาว— ทุกอย่าง— มันต้องทำให้เขาคืนชีพได้สิ...
‘กินไปร้องไห้ไปไม่ดีนะ เจย์...เดี๋ยวก็สำลักหรอก’
ผมเม้มปากสะอื้นไปด้วย ปากรีบกินเคี้ยวผลไม้นั่นให้หมด
ให้อิ่มท้องแล้วพูดตอบเมื่อกินหมด ‘ไม่เป็นไร
อาจารย์— ผมแค่ เหนื่อยนิดหน่อย ผม...ดีขึ้นแล้ว...’
‘....เหรอ ถ้างั้น เดินไหวหรือยัง— เราต้องรีบออกไปจากที่นี่นะ’
‘ครับ...’
เสียงหูดเรือดังกังวานด้วยความฉงน ท่ากลางเสียงฝนที่แสนเย็นชานี้กลับมีเสียงหูดเรือที่ผมไม่คุ้นเคยจึงทำให้ผมประหลาดใจมาก—
แต่อาจารย์กลับพูดกับผมราวกับไม่ประหลาดใจอะไร ‘หูดทหารเรือ รีบไปกันเถอะ
นั่นน่าจะเป็นสัญญาณเรียกให้รีบกลับมารวมตัวเพื่อออกจากที่นี่’
ไม่รอช้า ผมเอาเรี่ยวแรงทั้งหมดที่พอมีพอเหลือ
ใช้ท่าวิ่งชมจันทร์เฮือกสุดท้ายตามเงาร่างที่ผมเห็นอย่างลางเลือนไปทางที่มีเสียงเมื่อครู่—
ไม่นึกเอะใจ ไม่นึกสงสัยอะไรว่าทำไมภาพของอาจารย์ถึงยังอยู่
ทั้งที่ตัวเขาโดนโจมตีไปแบบนั้น...
อาจจะเป็นวิญญาณ หรือ แค่ภาพหลอน
ไม่เป็นไร จะยังไงก็ได้ ขอแค่อาจารย์อยู่ตรงนี้กับผม...
แต่ครั้นเมื่อจะแตะร่างสูงที่อยู่ห่างเพียงแค่เอื้อมได้แล้วผมก็ต้องใจสลาย
เสี้ยวหน้าที่หันมาเพียงเล็กน้อยหายไปพร้อมกับตัวเขาที่กลายเป็นอากาศธาตุ
ทำให้ผมเสียงสูญที่จะประคองร่างตัวเองไปให้ถึงที่สุด
เรี่ยวแรงที่มีหายไปเพียงเพราะความผิดหวังครั้งเดียว
โครม!!
‘เฮ้ย!?’ ‘เสียงอะไรวะน่ะ!?’ ‘เด็กตกลงมาจากฟ้า!?’
ผมตกลงมาบนดาดฟ้าเรือโดยที่ไม่รู้ตัว
โชคดีที่ตกลงบนกองลังไม้ที่ไม่แข็งเกินไปจนทำผมตาย—
ตาของผมพยายามปรับโฟกัสมองเหล่าทหารเรือชุดสีขาวแปลกๆหลายคนที่เข้ามามุงพร้อมกับปืนในมือ
ผมยังคงมีน้ำตาอาบหน้า แต่สมองรีบประมวลผลอย่างรวดเร็ว
‘แซงค์ทิตี้...
แซงค์ทิตี้!! ผมมากับแซงค์ทิตี้!!’
ตะโกนกู่ร้องแข่งกับเสียงฝนทีสาดพร่ำลงมา
‘ฮึก ...ผมมากับเขา ได้โปรด!!ให้ผม ฮึก... เป็นทหารเรือ ด้วยเถอะ!’
เพื่อจุดมุ่งหมาย ที่สักวัน—
ผมจะต้องแข็งแกร่งกว่านี้...แข็งแกร่งกว่านี้เพื่อช่วยคนสำคัญทุกคน
เพื่ออาจารย์...
‘เธอมีแผลที่ขา
แถมเลือดยังไหลเกือบตลอดเวลาอีก...ดีแค่ไหนแล้วล่ะเนี่ยที่ไม่เสียเลือดตายก่อนมาเจอพวกทหารเรือน่ะ’
ผมนั่งให้คุณหมอประจำเรือทำแผลโดนยิงที่ขา
ทั้งที่เป็นแผลโดนยิงถากๆไปแต่ก็เรียกเลือดได้มากพอดู...มิน่าเล่า
หลังๆมาผมถึงมีอาการมึนหัวจะล้มแหล่มิล้มแหล่แบบนั้นน่ะ...
หลังพันผ้าพันแผลกับปิดพลาสเตอร์ที่หน้าของผมเสร็จก็เก็บอุปกรณ์
คุณหมอช้เวลาที่ยังว่างขณะรอออกเรือพูดคุยกับผม ‘แล้ว คุณแซงค์ทิตี้เขาให้เธอมาหาพวกเราหรือ?’
‘อืม...!ครับ อาจารย์พาผมมา!’
‘พาเธอมา?’คุณหมอแอบสงสัยเล็กน้อย
ผมไม่พูดอะไรก่อนที่หางตาจะเหลือบไปเห็นร่างเลือนรางที่คุ้นเคยอยู่ตรงประตูทางเข้าห้อง
ผมหันไปมองพร้อมกับยิ้มให้เขา—
เพียงแค่ไม่นานหลังจากอาจารย์ครอสยิ้มตอบเขาก็หายไปอีกครั้ง...อีกแล้วงั้นเหรอ...
คุณหมอจับสังเกตได้ด้วยล่ะมั้ง
เขาจึงมองตามไป...ครู่ต่อมาก็มีคนเดินเข้ามา ‘คุณหมอ
พวกเราส่งหน่วยสำรวจไปแล้ว— แต่ท่าว่าคุณแซงค์จะ...’
‘เขายังไม่ตายสักหน่อย’
ไม่รู้ทำไมแต่ผมเถียงออกไปทันที
ทั้งที่...ผมเป็น คนเห็นเขาตายไปต่อหน้าแท้ๆ ‘เขายังไม่ตาย...
เมื่อกี้เขายังยืนอยู่หน้าประตูอยู่เลย’
‘เฮ้
นี่เธอ—...’
‘เขายังไม่ตาย’เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมยืนยันเสียงหนักแน่น พวกเขา
จึงเงียบไปในที่สุด...
‘เด็กคนนั้น...’
‘ขอโทษแทนแกด้วยนะครับเรือเอก...’เสียงของชายวัยกลางคนกล่าวกับเรือเอกที่รู้จักหน้าคร่าตาอย่างดี
เขามองหน้าชายยศสูงกว่าด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ‘ดูจากที่เด็กเขาใช้ทั้งฮาคิและเดินชมจันทร์เป็นก็พอรู้แล้วล่ะว่าเป็นลูกศิษย์ของแซงค์ทิตี้จากหน่วยสืบราชการลับ...’
‘อ่า...แต่ดูเขา—
ไม่ปกติเลยนะ’
‘เด็กน่ะ
ได้รับการกระทบกระเทือนทางใจง่ายนะครับ จิตใจของพวกเขาเปราะบางบ้าง
แข็งแกร่งบ้างต่างกันไป— กับเด็กคนนั้น...’
การที่เขาเห็นอาจารย์ที่เคารพรักตายไปต่อหน้าต่อตา
ทำให้เขาปฏิเสธความจริงนั่น— ด้วยการสร้างภาพหลอน
เพื่อปลอบประโลมจิตใจที่ว่างเปล่าของตัวเองน่ะครับ...
ความคิดเห็น