คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ครอบครัวของเฟรีส
แสงแดดลอดผ่านช่องใต้หน้าต่าง สว่างไปถึงเปลือกตาของเด็กชายที่กำลังนอนหมดสภาพอยู่บนเตียง เช้าวันใหม่เริ่มขึ้นอีกครั้งเหมือนกับทุกๆ วัน กิจวัตรหลายๆ อย่างต้องหยุด อีกหลายอย่างกำลังเริ่มต้น
เด็กชายค่อยๆ ลืมตาขึ้นทีละนิด เพื่อให้สายตาปรับสภาพกับแสงที่พึ่งเข้ามาใหม่ หลังจากไม่ได้ทักทายกันมานานหลายวัน
“ที่นี่มันที่ไหนกันนะ” เด็กชายคิดในใจ เพราะบนเตียงที่เขานอนอยู่ มันไม่ใช่เตียงที่คุ้นเคยเอาเสียเลย
เด็กชายหันมองซ้าย มองขวาเพื่อสำรวจทุกอย่างภายในห้อง และที่โต๊ะข้างๆ เตียง มีชุดและข้าวของส่วนตัวของเขาวางอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ดูเหมือนว่าแม้แต่เสื้อผ้าก็จะถูกซักรีดให้เรียบร้อยแล้ว
“เราทำอะไรมานะ ถึงได้มาอยู่ที่นี่”
“นี่เรา ฆ่าใครลงไปอีกอย่างนั้นหรอ ให้ตายสิ”
“เรื่องเมื่อตอนนั้น ไม่ใช่มีแค่เราคนเดียวนี่นา!”
“ยัยเด็กผู้หญิงผมเปียนั่นหละ หรือว่าเรา เราเผลอฆ่ายัยนั่นไปแล้ว”
ขณะที่เด็กชายกำลังคิดฟุ้งซ่านเป็นตุเป็นตะอยู่นั่นเอง จู่ๆ เสียงเสียดสีกันเอี๊ยดๆ ก็ดังมาจากประตูห้อง
เด็กผู้หญิงผมเปียคนเดียวกับที่เด็กชายเคยคุยด้วย เดินเข้ามาในห้อง สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
“น่ะ นี่นาย ฟื้นแล้วหรอเนี่ย!” เด็กสาวพูดออกมา น้ำเสียงตื่นเต้นพิกล
“ก็ใช่หนะสิ ฉันพื้นแล้ว ว่าแต่เธอ...”
เด็กชายไม่ทันพูดจบ ก็ถูกตัดบทสนทนาด้วยเสียงตะโกนโหวกเหวกของเด็กสาว
“พ่อ.... แม่.... เขาฟื้นแล้ว รีบขึ้นมาเร็ว”
“คงใช่ยัยนี่แน่นอนสินะ ดูเหมือนจะไม่เป็นอะไรเท่าไหร่ ก็ดีแล้วหละ โล่งอกไปที”
เสียงฝีเท้าดัง ตุ้บ ตุ้บ ดังไล่ขึ้นมาตามขั้นบันไดไม้ของบ้านหลังนี้ ทั้งพ่อและแม่ของเด็กสาวกำลังวิ่งขึ้นมาอย่างรุกรี้รุกรนเพื่อมาดูอาการของเด็กชายที่พึ่งฟื้นจากอาการป่วย
“ฟื้นแล้วหรอเนี่ย เจ้าหนู” ชายร่างยักษ์พูดกับเด็กชาย
“เอ่อ... ครับ ว่าแต่มันแปลกตรงไหนหรอครับ” เด็กชายโต้ตอบบทสนทนานั้น
“ก็เธอสลบไปตั้ง 7 วันหนะสิ ป้าหละเป็นห่วงแทบตาย” คราวนี้เป็นเสียงของผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ชายร่างยักษ์นั่น
“งั้นหรอครับ ขอบคุณสำหรับการดูแลนะครับ”
เด็กชายลุกขึ้นจากเตียง แล้วหยิบเสื้อผ้าของเขาขึ้นมา เตรียมจะเดินออกไปจากห้องนี้
“นี่นายจะไปไหนของนายหนะ”
“ฉันคงอยู่ที่นี่นานไม่ได้ ขอโทษทีนะ”
“ทำไมหละ นายยังไม่หายดีเลยนี่ อยู่ที่นี่ซักพักจนหายดีแล้วค่อยไปก็ได้”
“ต้องขอโทษด้วย แต่ฉันคงอยู่ต่อไม่ได้จริงๆ”
เด็กชายเดินตรงไปที่ประตู แต่ชายร่างยักษ์คนนั้นกลับมายืนขวางทางออกจนไม่มีช่องว่างให้ลอดไปได้
“จริงๆ เธออยู่ที่นี่ก่อนก็ได้ เรารู้เรื่องของเธอหมดแล้วหละ”
“พวกเราไม่ถือหรอกนะ คิดซะว่ามันเป็นบ้านของเธอก็แล้วกัน”
“คือว่าผม...”
“ไม่ต้องมีแต่หรืออะไรหรอก ยังไงซะลูกฉันก็เป็นคนพาเธอมาและพวกเราก็เป็นคนดูแลเธอ เพราะฉะนั้นเธอช่วยอยู่ที่นี่จนหายดีแล้วค่อยไปก็แล้วกัน เพราะถ้าไปแล้วเป็นอะไรขึ้นมา ฉันคงรู้สึกไม่ดีแน่”
เด็กชายทำหน้าสลด ก้มหน้าลงมองเท้าตัวเอง
“ถ้างั้น... เอาอย่านั้นก็ได้ครับ ผมจะอยู่ที่นี่ต่อละกัน”
“เย่! ฉันจะได้มีเพื่อนเล่นกะเขาซะที” เด็กสาวกระโดดโลดเต้นไปรอบห้อง
“ใครว่าฉันจะเล่นกับเธอ ฉันแค่บอกว่าจะอยู่ที่นี่ก็เท่านั้นเอง”
“อะไรของนาย ชอบพูดขัดคอฉันอยู่เรื่อย ให้ตายสิ”
“นี่เลิกเถียงกันได้แล้วเด็กๆ ลูกก็ลงไปข้างล่างได้แล้ว ให้เอ่อ... ว่าแต่หนูชื่ออะไรหรอจ๊ะ”
“ไซโรครับ”
“ให้ไซโรเขาพักผ่อนก่อน เดี๋ยวแข็งแรงเมื่อไหร่ค่อยไปเล่นด้วยกันก็ได้”
“ค่ะ แม่” เด็กสาวทำหน้าเซ็งๆ แล้วเดินออกจากห้องไป
ทั้งชายร่างยักษ์และผู้หญิงที่มาด้วยกันนั้น ก็เดินออกจากห้องไปแล้ว ประตูห้องถูกปิดลงแบบเงียบๆ เด็กชายเดินกลับไปที่เตียง คงเป็นเพราะความอ่อนเพลีย ไม่นานหลังจากที่เขาทิ้งตัวลงนอน เปลือกตาของเขาก็ปิดลงอีกครั้ง
ดวงอาทิตย์ใกล้จะลาขอบฟ้าเต็มที เด็กชายตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าจนเสร็จเรียบร้อย เขาค่อยๆ เดินออกจากห้องและลงบันไดไปอย่างเงียบๆ เพื่อหวังว่าจะได้ไปจากบ้านนี้โดยไม่มีใครรู้ และเขาจะไม่กลับมาอีกแน่นอน
“อ้าวตื่นแล้วหรอจ๊ะ พอดีเลย ป้าทำกับข้าวเสร็จพอดี มากินด้วยกันสิ” เสียงของผู้หญิงคนนั้นเรียกเด็กชายจากโต๊ะอาหารที่ใกล้จะจัดเสร็จแล้ว รอเพียงแค่คนมานั่งเท่านั้นเอง
“อ่าครับ...”
คงเป็นโชคไม่ดีของเด็กชาย หรือเป็นโชคชะตา เด็กชายต้องเดินตรงไปที่โต๊ะอาหารเพื่อรับประทานอาหารกับคนที่พึ่งจะคุยกันได้ไม่ถึงสิบประโยคด้วยซ้ำไป แทนที่เขาจะได้เดินตรงไปที่ประตูบ้านแล้วไปจากที่นี่ซะ
ทุกคนมานั่งกันพร้อมหน้าแล้ว อาหารทุกอย่างวางอยู่ตรงหน้า
“กินแล้วนะคะ” เด็กสาวมัดผมเปียบอกให้ทุกคนในโต๊ะอาหารรู้ ก่อนที่จะเริ่มลงมือจัดการอาหารที่อยู่ตรงหน้า
“นี่นายหนะ ไม่กินหรือไง แล้วนี่เปลี่ยนชุดจะไปแล้วหรือไง” เด็กสาวหันไปถามเด็กชายที่นั่งนิ่งอยู่ข้างๆ ไม่ยอมแตะอะไรบนโต๊ะอาหารแม้แต่น้อย
“ปะ ป่ะ เปล่าหรอก พอดีฉันถนัดใส่ชุดนนี้มากกว่า” เด็กชายตอบคำถาม แล้วเริ่มลงมือกินอาหารที่อยู่ตรงหน้า
“นี่ไซโร เดี๋ยวเธอกินข้าวเสร็จแล้วมาคุยกับฉันหน่อยนะ” ชายร่างยักษ์บอกเด็กชาย ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นเอาจานไปเก็บ
เด็กชายหันไปมอง ทำหน้างงๆ แต่ก็ต้องทำตามที่ชายคนนั้นบอก หลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จ
เด็กชายกำลังยืนเงยหน้ามองชายร่างยักษ์อยู่ที่ห้องครัว
“มีอะไรหรอครับ” เด็กชายเป็นคนเริ่มต้นบทสนทนา
“คือฉันมีเรื่องจะขอร้องเธอหน่อยหนะ”
“คือว่า... เธอช่วยอยู่ที่นี่ต่ออีกซักพักเลยจะได้ไหม ฉันรู้นะ ว่าเธออยากไปจากที่นี่เต็มทนแล้ว ที่เธอเปลี่ยนชุดมานี่คงตั้งใจจะไปจากที่นี่แบบเงียบๆ สินะ แต่คงมาเจอพวกฉันก่อนก็เลยไม่ได้ไป”
“เอ่อ... คือว่าเรื่องนั้น” ยังไม่ทันพูดจบ เด็กชายก็ถูกแทรก
“ช่วยหน่อยเถอะนะ ช่วยอยู่เป็นเพื่อนเฟรีส ลูกของฉันไปซักพักเถอะ ตั้งแต่เราย้ายมาที่นี่ เธอก็ยังไม่มีเพื่อนเลยซักคน และยิ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนนั้น เธอก็คงจะหาเพื่อนแถวๆ นี้ยากแล้ว ก็คงเหลือแต่เธอเท่านั้นแหละ ที่จะเป็นเพื่อนกับเขาได้ เฟรีสหนะเค้ารอเธอฟื้นมาตลอดเลยนะ เขาหวังว่าเธอจะเป็นเพื่อนกับเขาได้”
เด็กชายเถียงคำพูดของชายคนนั้นไม่ออก ไม่รู้จะพูดอย่างไร และพยายามเข้าใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
“แต่ว่าผม... อยู่ที่ไหนนานๆ ที่นั่นกจะ...”
“ไม่เป็นไรหรอก ขอแค่เธออยู่เป็นเพื่อนเฟรีสก็พอแล้ว ขอแค่เด็กคนนั้นได้มีเพื่อนเล่นเหมือนเด็กคนอื่นๆ เขาบ้างก็พอ”
“เอ่อมม... ครับ”
หลังจากบทสนทนาจบลง ชายร่างยักษ์นั่นก็เดินออกจากห้องไป เด็กชายนั่งลงที่โต๊ะ
“เราคงต้องอยู่ที่นี่ต่อสินะ จะไปขัดเขาก็ไม่ได้ และอีกอย่างเด็กนั่นก็ต้องมาเป็นแบบนี้ก็เพราะเรา”
“เฮ้อ.... ให้ตายสิ วุ่นจริงๆ เลย”
เด็กชายมองออกไปผ่านหน้าต่าง เขาเห็นเด็กหญิง, เฟรีส เธอกำลังนั่งห้อยชิงช้าอยู่คนเดียว สีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก
“ออกไปดูอาการซะหน่อยก็ดีแฮะ”
เด็กชายเดินออกไปด้านนอกของตัวบ้าน แล้วเดินตรงไปหาเฟรีสที่ชิงช้า แล้วนั่งลงที่ชิงช้าข้างๆ เขาค่อยๆ เริ่มแกว่งมันเบาๆ
“เธอก็อยู่เงียบๆ เป็นกับเขาเหมือนกันแฮะ” เด็กชายทักทายด้วยคำพูดยียวนกวนประสาท
“นายมาตอนไหนเนี่ย! นี่นายหลอกด่าฉันอีกแล้วใช่ไหม” เฟรีส เด็กสาวทำหน้าตาตกใจที่เด็กชายมานั่งอยู่ข้างๆ
“เฮ้อ... ก็เพราะอย่างนี้แหละนะ ถึงไม่ค่อยมีใครเค้าอยากคุยกับเธอ”
“...” เด็กหญิงเงียบไป
“อ้าว เป็นอะไรไปหละ ถึงไม่มีใครคุยกับเธอ แต่วันนี้ฉันจะยอมอยู่เป็นเพื่อนเล่นด้วยก็ได้”
“จริงนะ นายจะอยู่เป็นเพื่อนฉันจริงๆ ใช่ไหม” เด็กหญิงเงยหน้าขึ้น มีรอยยิ้มกว้างๆ แปะอยู่บนหน้าซึ่งเปี่ยมไปด้วยหวัง
“ก็ใช่หนะสิ คงต้องวันอื่นด้วยหละนะ ฉันคงต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนาน”
“เย้! ฉันจะมีเพื่อนเล่นแล้ว ฉันจะมีเพื่อนเล่นแล้ว” เด็กสาวลุกจากชิงช้าแล้วกระโดดโลดเต้น พูดซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น
สามีภรรยาคู่หนึ่งกำลังยืนดูลูกสาวของตัวเองตื่นเต้นดีใจที่ได้เล่นกับเพื่อน หลังจากที่พวกเขาไม่ได้เห็นภาพรอยยิ้มที่จริงใจของลูกสาวของเขามานานมากพอสมควรแล้ว
“ได้เค้ามาอยู่เป็นเพื่อนเฟรีสอย่างนี้ก็ดีเหมือนกันนะ ไม่ได้เห็นเด็กคนนี้มีความสุขมานานมากแล้ว”
“ฉันก็ว่าอย่างนั้น ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากจะขอให้เขาอยู่กับเราตลอดไปเลยหละ เพราะเท่าที่ฉันรู้มา เด็กคนนี้ก็ไม่มีที่ไปเป็นหลักแหล่งอยู่แล้ว”
“แล้วเราจะทำยังไงกับเรื่องของเด็กคนนี้ที่ชาวบ้านเขาลือกันดีหละ เป็นแบบนี้มีหวังเราคงแย่ไปด้วยแน่ๆ”
“เรื่องนั้นเอาไว้หลังจากที่เวลาผ่านไปนานกว่านี้ก่อนก็แล้วกัน เพราะตอนนี้พวกชาวบ้านก็ยังไม่รู้ว่าเขามาอยู่ที่บ้านเรา”
“หวังว่าพวกชาวบ้านคงไม่รู้ในเร็วๆ นี้หรอกนะ อย่างน้อยให้เฟรีสได้มีเวลาแห่งความสุขซะบ้างก็ยังดี”
ความคิดเห็น