คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #26 : ตอนที่ 25
ตอนที่ 25
บ่ายสองโมง ณ สวนสาธารณะมินาโมริ เคนอิจิเดินไปยังที่ที่นัดหมายไว้กับคัทสึเอะด้วยความรู้สึกหลายอย่างที่ประดังประเดเข้ามา อดีตภรรยาที่ไม่ได้เจอหน้าค่าตากันมากว่าสิบปีจู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเรื่องของเคโตะที่คนเป็นแม่อย่างเธอต้องการคุย แต่... เรื่องอะไรล่ะ? เคนอิจิคิดอย่างมีความหวังว่าบางทีคัทสึเอะอาจจะกลับมาอยู่กับเขาอีกครั้งก็ได้ แม้ในสมองจะคิดอย่างนั้นแต่ในใจเขาไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นเลย
เคนอิจิหยุดยืนอยู่กับที่เมื่อเขาเดินไปถึงใต้ต้นซากุระต้นใหญ่ที่แผ่ใบปกคลุมให้ร่มเงาเย็นสบาย ใจเขาสั่นไหวเมื่อคัทสึเอะหันมาสบตากับเขา เธอยังคงสวยเหมือนเดิมแม้เวลาจะผ่านมานานแล้วก็ตาม แต่ถึงกระนั้นแววตาที่เธอมองมากลับไม่ใช่แววตาที่อ่อนโยนและอบอุ่นเหมือนอย่างเคย แววตาของเธอช่างเย็นชาเหมือนกับ... เหมือนกับแววตาของเคโตะเวลาที่โกรธเขาเหลือเกิน
คัทสึเอะได้ยินเสียงฝีเท้าที่หยุดยืนอยู่ข้างหลัง ด้วยความที่รู้ว่าเป็นใครทำให้เธอแทบอยากจะหนีไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ ความจริงเธอเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเขา แต่เพราะเคโตะทำให้เธอหันหลังกลับไม่ได้ เธอจะปล่อยลูกชายให้อยู่กับคนแบบนี้ต่อไปได้ยังไง คัทสึเอะหันมาเผชิญหน้ากับอดีตสามี ท่าทางของเขายังคงความเฉยเมยไม่เปลี่ยนแปลง จู่ๆเธอก็รู้สึกได้ถึงความกลัวในจิตใจส่วนลึก เธอไม่รู้ว่าความกลัวนั้นคืออะไร เธอกลัวเรื่องเคโตะหรือ? หรือเธอยังทำใจไม่ได้เรื่องที่เคนอิจิมีภรรยาอีกคน?
คัทสึเอะรวบรวมความกล้าก่อนจะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฉันมาคุยเรื่องของเคโตะ”
เคนอิจิสบตากับเธอนิ่งก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาไม่แพ้กัน “ผมรู้แล้ว”
คัทสึเอะถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะเฉมองไปทางอื่น “เขาเป็นยังไงบ้าง เขายังสบายดีหรือเปล่า”
เคนอิจิรับรู้ถึงความเฉยเมยที่อดีตภรรยาส่งมาให้ ทำไมรู้สึกเหงาแปลกๆ นะ “เขาสบายดี”
“เหรอ?” ชั่วขณะนั้นที่คัทสึเอะหันมาสบตากับเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ “คุณบอกว่าเขาสบายดีเหรอ แล้วเรื่องที่คุณไล่เขาออกจากบ้านล่ะจะว่ายังไง”
เคนอิจิมองหน้าอดีตภรรยาด้วยตกใจ “คุณไปรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหน”
คัทสึเอะหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยความรู้สึกสมเพซเวทนา เธอไม่รู้ว่าคนที่เธอสมเพซคือเคนอิจิหรือตัวเธอเองกันแน่ “มันไม่สำคัญหรอกว่าฉันรู้มาจากไหน คุณบอกฉันสิ คุณทำอย่างนั้นจริงๆน่ะเหรอ?”
เคนอิจิหลบสายตาอดีตภรรยาอย่างตื่นตระหนก เขานึกถึงเหตุการณ์ในวันที่เผลอใช้อารมณ์กับเคโตะมากจนเกินไปจนป่านนี้เรื่องนั้นยังคงเป็นเหมือนตราบาปในหัวใจเขาอยู่ไม่จบสิ้น เขาไม่รู้ว่าคัทสึเอะรู้เรื่องนี้ได้ยังไง เรื่องนี้ทำให้เขาไม่มีข้อแก้ตัวใดๆกับเธอทั้งสิ้น “ผม... ผมไม่ได้ตั้งใจ”
ดวงตาของคัทสึเอะแดงก่ำด้วยความโกรธก่อนที่น้ำตาหยดใสๆจะเอ่อล้นออกมา “คุณไม่รักเขาแล้วเหรอ? ใช่สิ! คุณก็มีลูกอีกคนหนึ่งนี่ เคโตะคงไม่สำคัญกับคุณแล้วใช่มั้ยล่ะคุณถึงได้เลี้ยงเขาแบบทิ้งๆ ขว้างๆ แบบนั้น”
“ผมไม่ได้เลี้ยงเขาแบบทิ้งๆ ขว้างๆ นะ”
“แล้วที่คุณทำมันคืออะไรล่ะ! ไล่เขาออกจากบ้าน นั่นไม่ใช่การทิ้งขว้างหรือไง”
“แล้วคุณล่ะ” เคนอิจิกัดฟันถามออกไปอย่างเก็บอารมณ์
“อะไรนะ?”
จนถึงตอนนี้ ความรู้สึกทั้งหมดของเคนอิจิราวกำลังจะปะทุออกมา “แล้วคุณล่ะคัทสึเอะ สิ่งที่คุณทำไม่ใช่การทิ้งลูกหรือไง คุณต่างหากที่ไม่รักเขาตลอดสิบปีมานี้เขาเป็นยังไงคุณเคยสนใจเขาบ้างมั้ย”
คัทสึเอะเม้มริมฝีปากแน่นน้ำตาไหล ไร้ซึ่งการเอื้อนเอ่ยคำใดๆ ออกมา
“คัทสึเอะ” เคนอิจิพูดด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความโกรธและเสียใจ “คุณไปอยู่ไหนมา รู้มั้ยว่าเคโตะคิดถึงคุณแค่ไหน เขาร้องไห้คิดถึงคุณทุกวันแต่คุณก็ยังทิ้งเขาได้ลงคอ จนถึงตอนนี้เคโตะทำใจได้แล้ว เขาดีขึ้นมากแล้ว แล้วคุณกลับอีกมาทำไม” คำพูดของเคนอิจิเต็มไปด้วยความรู้สึกแห่งโทสะที่รุนแรง
คัทสึเอะเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างลวกๆ ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่นเพื่อหลบสายตาของอดีตสามี คำถามนั้นเป็นเหมือนหนามที่ทิ่มแทงจิตใจเธอให้เจ็บปวดเหลือแสน เธอกลับมาทำไม? เธอเพิ่งจะรับรู้ถึงความโง่เขลาของตัวเอง แม้เธอจะรักลูกมากแค่ไหน แต่แม่ที่ทิ้งลูกไปอย่างเธอคงไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวเขาอีกแล้ว เธอสะอื้นไห้อย่างกลั้นอารมณ์ไว้ไม่อยู่ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังเถียงกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ “ฉันไม่คิดว่าเคโตะจะดีขึ้นหรอกตราบใดที่เขายังอยู่กับคุณ ฉันรู้ว่าฉันมันเป็นแม่ที่ไม่ดีแต่คนที่มีแต่ตัวอย่างฉันตอนนั้นจะเลี้ยงลูกได้ยังไงคุณไม่คิดบ้างเหรอ? นังเมียน้อยนั่นมันล้างสมองคุณไปหมดแล้วหรือไง”
“คัทสึเอะ!” เคนอิจิพูดเสียงดัง “หยุดพูดถึงยูมิโกะแบบนั้นซะที”
“ทำไมฉันจะพูดไม่ได้ ก็มันเป็นความจริง นังเมียน้อยนั่นคงล้างสมองคุณไปหมดแล้วใช่มั้ยล่ะ” เธอเถียงกลับด้วยความโกรธไม่แพ้กัน “ถ้าฉันรู้อย่างนี้ฉันคงไม่ปล่อยเคโตะไว้กับคนอย่างพวกคุณหรอก”
“คนอย่างผมมันไม่ดีตรงไหน อย่างน้อยผมก็ไม่เอาเรื่องเล็กน้อยมากวนใจจนหนีเตลิดเปิดเปิงไปเหมือนคุณหรอก”
“คุณคิดว่าการที่คุณมีเมียน้อยนั่นมันเรื่องเล็กเหรอ”
เคนอิจิยักไหล่อย่างจงใจทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเขารู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เขาทำกับเธอมากเหลือเกิน แต่ทิฐิกลับทำให้เขาไม่ยอมเอ่ยคำขอโทษ “ก็ไม่เห็นจะมีอะไรนี่ พวกผู้หญิงนี่วุ่นวาย อยู่กันอย่างสงบไม่ได้หรือไง”
ด้วยคำพูดนั้นทำให้หัวใจของคัทสึเอะเจ็บปวดอย่างสุดจะทานทน “เคโตะไม่น่ามีพ่อแบบคุณเลย”
เคนอิจิหัวเราะอย่างแสร้งทำ “เจ้าเคโตะมันเป็นลูกของผม คุณทิ้งเขาไปแล้วยังจะมาอ้างสิทธิ์อะไรอีก ตอนนี้แม่ของเคโตะไม่ใช่คุณแต่เป็นยูมิโกะ เข้าใจแล้วใช่มั้ย ลูกชายผม ผมดูแลเองได้”
คัทสึเอะจ้องหน้ากลับไป เธอนิ่งงันอยู่นานด้วยคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเธอยิ่งนัก เธอได้แต่จ้องมองอดีตสามีน้ำตาไหลพรากโดยไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำพูดใดๆ ออกมาได้ เธอรู้สึกราวกับตัวเองกำลังลอยคอกลางมหาสมุทรไร้ซึ่งที่ยึดเหนี่ยว เธอกลับมาทำไม? เธอเรียกเคนอิจิมาคุยเพื่ออะไร? ความจริงแล้วเธอต้องการอะไรกันแน่? เธอก็แค่รู้สึกคิดถึง... คิดถึงเคโตะมากเหลือเกินเท่านั้น
คัทสึเอะหันหลังเดินกลับไปอย่างช้าๆ ความเสียใจที่เอ่อล้นขึ้นมาจุกแน่นที่หน้าอกจนแทบหายใจไม่ออก ไม่ใช่เธออีกต่อไปแล้ว ยูมิโกะต่างหากที่เป็นแม่ของเคโตะโดยชอบธรรม เธอมันก็แค่แม่ที่ทิ้งลูกแล้วเธอจะมาเสียใจในเรื่องที่ผ่านไปแล้วทำไม ยอมรับซะ เธอบอกตัวเอง น้ำตาหยาดหยดลงมาจากหัวใจที่เจ็บปวด ยอมรับความจริงซะคัทสึเอะ เธอไม่ใช่แม่ของเคโตะอีกแล้ว
เคนอิจิเฝ้ามองร่างของอดีตภรรยาที่กำลังเดินจากไป เขารู้สึกทั้งโกรธ ทั้งเสียใจและสับสนพอๆ กันกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ คัทสึเอะมาเพื่อต่อว่าเขาแล้วก็เดินจากไปพร้อมน้ำตาอีกเช่นเคย เขาคิดถึงเมื่อสิบปีก่อนในวันที่คัทสึเอะจากไป ตอนนั้นก็เหมือนตอนนี้ เขาไม่แม้แต่จะห้ามเธอ ไม่แม้แต่จะขอร้องให้เธออยู่ ทั้งๆที่เขารักเธอ แต่ความผิดที่เขาทำกับเธอทำให้เขาไม่กล้าพอที่จะยื้อความรักนี้ไว้
เคนอิจิหันหลังเดินกลับอย่างเชื่องช้าเพื่อทบทวนความรู้สึกตัวเอง เขาว่าเธอแรงไป เขารู้ เขาคิดถึงคำพูดของยูมิโกะที่เคยพูดกับเขา คุณยังรักคุณคัทสึเอะอยู่ เคนอิจิหยุดเดินและหันหลังกลับหวังให้ได้พบกับคัทสึเอะ แต่เธอจากไปแล้ว ไม่มีแม้แต่เงาของเธออยู่ที่นั่นราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่เป็นเพียงแค่ความฝันที่สายลมหอบพัดพาให้หายไป เขานิ่งคิดอย่างเสียใจ สายไปอีกแล้ว
ณ หน้าวัดโบราณชื่อดังที่แออัดไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติ พนักงานจากโอคายะแยกออกเป็นสามกลุ่มเพื่อสำรวจกลุ่มเป้าหมายของแต่ละพื้นที่ ยูโตะกับริวทาโร่ เคโตะกับเรียวสุเกะ และชินจิกับโคตะ
ยูโตะเดินไปตามถนนหน้าวัดพร้อมสอบถามคนขายของแถวนั้นไปตลอดทางเพื่อเก็บข้อมูล ริวทาโร่จดข้อมูลสำคัญลงในสมุดอย่างคล่องแคล่วตามหน้าที่รองผู้จัดการชั่วคราวของโอคายะสาขาที่สาม ยูโตะหยุดเดินเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขากดรับ “ว่าไงยามะจัง”
เรียวสุเกะถามคำถามกลับมาอย่างร้อนรน [ตอนนี้ยูโตะคุงอยู่ที่ไหน?]
“ก็ห่างจากเดิมสักสามสิบเมตรได้ ทำไมเหรอ?”
[แย่แล้วยูโตะคุง ผู้จัดการหายไป]
“อะไรนะ!”
ริวทาโร่ตกใจกับเสียงร้องของยูโตะ “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” เขาถาม
ยูโตะมองริวทาโร่ด้วยคิ้วที่ขมวดจนเป็นปมแต่ไม่ได้ตอบอะไร สายในโทรศัพท์นั้น น้ำเสียงของเรียวสุเกะดูตื่นตระหนก [เผลอแป๊ปเดียวผู้จัดการก็หายไปเลย โทรศัพท์ก็ฝากฉันไว้ด้วย ฉันหาเขาไม่เจอเลยยูโตะคุง ฉันไม่รู้ว่าผู้จัดการอยู่ที่ไหน]
ยูโตะพยายามควบคุมความตกใจของตัวเอง “ยามะจังลองหาแถวนั้นดีหรือยัง”
[ฉันดูหมดแล้วแต่ไม่เห็นผู้จัดการอยู่แถวนี้เลย ฉันกลัวจังเลยยูโตะคุง]
ยูโตะถอนหายใจอย่างเป็นกังวล “ใจเย็นๆนะยามะจัง นายอยู่ที่ไหนฉันจะไปหาเดี๋ยวนี้”
ในยามเที่ยงที่แสงแดดสาดแสงแรงกล้าแต่ต้นไม้มากมายที่นี่ช่วยทำให้อากาศไม่ร้อนมากมายนัก เคโตะเดินคนเดียวไปตามท้องถนนที่เต็มไปด้วยร้านขายของสำหรับนักท่องเที่ยวที่รายล้อมอยู่สองข้างทาง บรรยากาศของที่นี่คึกคักด้วยเสียงดังเจื้อยแจ้วของนักท่องเที่ยวที่พูดคุยกันถึงวัดที่ได้ไปเที่ยวกันอย่างสนุกปาก เขามาที่นี่เพื่อมาดูทำเลดีๆ สำหรับการประชาสัมพันธ์ร้านพร้อมเรียวสุเกะ แต่เพราะนักท่องเที่ยวที่มากเหลือล้นทำให้เขาพลัดหลงกับเรียวสุเกะจนได้ แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน การได้อยู่ท่ามกลางคนที่ตัวเองไม่รู้จักอาจทำให้เขาคิดอะไรดีๆ ออกหรือเข้าใจความรู้สึกอะไรบางอย่างมากขึ้นก็ได้
เคโตะเดินอยู่ที่นี่คนเดียวมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว เขาแวะเข้าร้านนั้นออกร้านนี้โดยที่ไม่ได้ซื้ออะไรติดตัวมาเลย แค่เข้าไปดูไปดูเผื่อจะมีไอเดียอะไรใหม่ๆ บ้าง
“อันนี้สำหรับโชคลาภ อันนี้สำหรับการเงิน” เสียงของไกด์สาวอธิบายให้นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศกลุ่มหนึ่งฟังเกี่ยวกับคุณสมบัติของเครื่องรางต่างๆ ที่วางขายอยู่อย่างคล่องแคล่ว ภาษาอังกฤษของไกด์คนนั้นยังพูดต่อไปอย่างไหลลื่น “ถ้าการเรียนต้องอันนี้ค่ะ” เธอพูดพร้อมยกหินสีเขียวที่ถูกแกะสลักให้มีรูปร่างคล้ายหนังสือย่อส่วนนั้นขึ้นมา มันเป็นหินธรรมดาแค่ถูกตกแต่งให้ดูขลังด้วยด้ายสีแดงก็เท่านั้น
“ฉันอยากได้สำหรับความรักค่ะ” นักท่องเที่ยวสาวคนหนึ่งพูด
ไกด์สาวอธิบายให้ชายชราเจ้าของร้านฟังเป็นภาษาญี่ปุ่นอย่างรวดเร็วก่อนจะหยิบเครื่องรางที่มีรูปร่างคล้ายไม้สั้นๆ สองอันประกบกันไว้ผูกด้วยด้ายแดงไว้เช่นเคย นักท่องเที่ยวคนนั้นหน้าบึ้งเล็กน้อยก่อนจะบ่นออกมาเป็นภาษาอังกฤษให้ไกด์สาวฟัง
“ฉันนึกว่ามันจะเป็นรูปหัวใจหรือเป็นแม่กุญแจแบบที่ไปเที่ยวเกาหลีมาซะอีก”
ชายชราฟังคำแปลจากไกด์อย่างตั้งใจก่อนยิ้มออกมาด้วยใบหน้าอันเหี่ยวย่นของตัวเอง แกชี้ไปที่เครื่องรางนั้น “เครื่องรางเป็นเพียงแค่สิ่งของ” แกพูดด้วยภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่นก่อนจะชี้เข้ามาที่หน้าอกด้านซ้ายของตัวเอง “แต่ความรักไม่ใช่สิ่งของ”
นักท่องเที่ยวสาวส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจก่อนจะเอาเครื่องรางนั้นใส่กระเป๋าแล้วหยิบเงินให้ตามราคา นักท่องเที่ยวสาวหัวเราะเล็กน้อยก่อนที่คณะทัวร์นั้นจะเดินจากไป
เคโตะเฝ้ามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าจนกระทั่งนักท่องเที่ยวกลุ่มนั้นเดินจากไป เขาหันไปมองเจ้าของร้านขายเครื่องราง ใบหน้าเหี่ยวย่นนั้นยังคงยิ้มแย้มไม่เปลี่ยนแปลง ดวงตาสุกใสของชายชราช่างดึงดูดให้เขาเดินเข้าไปหานัก
ชายชราหันหน้ามาเมื่อเคโตะเดินเข้าไปหน้าร้าน แกยิ้มอย่างใจดีเช่นเคย “จะเอาอะไรเหรอพ่อหนุ่ม” แกถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้งแต่กลับแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนและเข้มแข็ง
เคโตะอึกอัก นั่นสิ เขามาซื้ออะไรงั้นเหรอ? “เอ่อ...” เคโตะกวาดสายตามองเครื่องรางตรงหน้าพลางใช้ความคิด
“การงานเหรอ?” ชายชราถาม เคโตะเงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ เสียงแหบแห้งของเจ้าของร้านยังคงดังอย่างต่อเนื่อง “คนวัยอย่างเธอถ้าไม่เรื่องเงินก็เรื่องงานนั่นแหละ”
เคโตะหัวเราะน้อยๆก่อนจะตอบกลับไป “เปล่าครับ เรื่องพวกนั้นไม่เป็นปัญหาสำหรับผม”
“ถ้างั้นก็เรื่องความรักล่ะสิ?”
เคโตะยิ้ม “ก็คงงั้นล่ะมั้ง”
ชายชรายิ้มใจดีก่อนจะหยิบเครื่องรางแบบเดียวกับที่ขายให้นักท่องเที่ยวสาวเมื่อสักครู่ขึ้นมาให้เคโตะชิ้นหนึ่ง “เครื่องรางเป็นแค่สิ่งของ แต่ความรักไม่ใช่สิ่งของนะ” แกพูดก่อนจะให้มันแก่เคโตะ
เคโตะรับเครื่องรางชิ้นเล็กนั้นมาพิจารณาครู่หนึ่ง “ที่คุณพูดเมื่อกี้ มันหมายความว่าอะไรเหรอครับ”
ชายชรายิ้มให้เคโตะด้วยแววตาเปล่งประกาย “สิบปีก่อนภรรยาฉันตาย ถ้าฉันคิดว่าเธอเป็นสิ่งของจนถึงตอนนี้เธอก็คงไร้ค่าไปแล้ว แต่ภรรยาฉันไม่ใช่สิ่งของ เพราะเธอคือความรักของฉัน” ชายชราพูด แววตาสุกใสนั้นเปล่งประกายมากขึ้นเมื่อพูดถึงภรรยาที่ตายไป
เคโตะหัวเราะน้อยๆ “ถ้ายังยึดติดอยู่กับความรักเดิมๆ แบบนี้ก็มีความรักใหม่ไม่ได้น่ะสิครับ”
ชายชราหัวเราะ “รู้อะไรมั้ยพ่อหนุ่ม การที่เราเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ด้วยความรัก นั่นเป็นข้อพิสูจน์ว่าความรักเก่าของเรามีค่าพอที่จะทำให้หัวใจของเราพร้อมสำหรับรักใหม่”
เคโตะขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผมไม่เข้าใจ”
ชายชรายังคงยิ้มพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆดังให้ได้ยิน “เราไม่ได้มีความรักไว้ให้เฉพาะแฟนตัวเองนี่นา”
“หมายความว่ายังไงครับ”
“รักพ่อแม่มั้ยล่ะพ่อหนุ่ม?” ชายชราถามด้วยรอยยิ้มแต่กลับเป็นคำถามที่ทำให้คนฟังถึงกับอึ้ง รักมั้ย งั้นเหรอ? เคโตะก้มหน้าลงทบทวนความรู้สึก แน่นอน เขารักเคนอิจิมาก แต่ทำไมนะ? ทำไมครอบครัวเขาถึงได้กลายเป็นแบบนี้ได้ รอยยิ้มของชายชรายังไม่จางหาย น้ำเสียงแหบแห้งนั้นยังคงดังอย่างต่อเหนื่อยราวกับไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าของเคโตะในตอนนี้เลย “เก็บรักเก่าไว้ในใจแล้วเริ่มต้นชีวิตด้วยรักใหม่ อย่างน้อยมันก็ดีกว่าการเริ่มต้นด้วยความเกลียดไม่ใช่เหรอ?”
เคโตะถอนหายใจเล็กน้อยเพื่อลดความอึดอัดในใจ ชั่วขณะนั้นที่ภาพของยูมิโกะและยูโตะผุดขึ้นมาในจินตนาการของเขาทันทีที่ชายชราพูดจบ ความเกลียดงั้นเหรอ? สองคนนี้น่ะเหรอคือคนที่เขาเกลียด? เคโตะรู้สึกเจ็บแปล๊บในหัวใจ เขาส่ายหัวเพื่อสลัดภาพพวกนั้นออกไปจากความคิด ต้องไม่ใช่สิ เขาไม่ได้อยากจะเกลียดสองแม่ลูกนั่นสักหน่อย
ชายชรามองดูปฏิกิริยาของเคโตะแล้วยิ้มอย่างเข้าใจ “แต่ถึงยังไงซะ ทุกคนก็ต้องเคยมีคนที่เกลียดทั้งนั้นแหละ” ชายชราหยิบเครื่องรางจากมือเคโตะใส่ถุงกระดาษก่อนจะยื่นให้เขาอีกครั้ง “ประสบการณ์จะช่วยสอนเธอเอง รักษาความรักในหัวใจของเธอไว้ให้ได้ก็พอ” ชายชราหัวเราะเบาๆ เมื่อเคโตะรับเครื่องรางไป แกพูดย้ำประโยคเดิม “เครื่องรางเป็นแค่สิ่งของ แต่ความรักไม่ใช่สิ่งของ เธอต้องใช้หัวใจของเธอล้วนๆ ในการทำความเข้าใจกับมัน มันยากนะ แต่ฉันเชื่อว่าเธอทำได้”
เคโตะจ้องหน้าชายชรากลับไป “คุณรู้เหรอว่าผมคิดอะไรอยู่”
ชายชราหัวเราะเบาๆอีกครั้ง “แววตาเธอมันฟ้องทุกอย่างอยู่แล้ว”
“พี่ชายครับ!” เสียงของยูโตะดังขึ้นท่ามกลางฝูงชนที่แออัด เคโตะหันไปตามเสียงนั้น ยูโตะยิ้มแป้นก่อนจะรีบเดินไปยืนอยู่ข้างเคโตะพร้อมริวทาโร่และเรียวสุเกะที่เดินมาพร้อมกัน “ตกใจหมดเลยตอนที่พี่ชายหายไป นึกว่าจะเป็นอะไรไปแล้วซะอีก” ยูโตะพูดอย่างดีใจ เขาลืมความกลัวที่มีต่อเคโตะไปหมดเมื่อความดีใจที่ได้เจอพี่ชายเข้ามาแทนที่
เคโตะจ้องมองน้องชายต่างแม่ด้วยความตกใจ แววตาเปล่งประกายของยูโตะยังคงฉายแววซุกซนไม่เคยเปลี่ยน ความบริสุทธิ์ใจที่ฉายผ่านแววตานั้นยังคงเหมือนเมื่อครั้งที่พวกเขาเจอกันครั้งแรก เคโตะเผลอยิ้มให้ยูโตะอย่างลืมตัว
ยูโตะจ้องมองพี่ชายอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง เมื่อกี้นี้เคโตะยิ้มใช่หรือเปล่านะ? ยูโตะรู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูก “เอ่อ... พี่ชายเป็นอะไรหรือเปล่าครับ แล้วพี่มาทำอะไรที่นี่เหรอ?”
เคโตะก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อหลบสายตา จู่ๆก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมาอย่างประหลาดเมื่อได้เห็นน้องชาย เขายัดเครื่องรางนั้นลงไปในมือของยูโตะ “เครื่องรางสำหรับความรัก เอาไปให้ยามาดะสิ ความรักของพวกนายจะได้ยั่งยืน” เขาพูดแค่นั้นแล้วเดินจากไป
ยูโตะหันไปมองหน้าริวทาโร่กับเรียวสุเกะอย่างแปลกใจ ริวทาโร่ส่ายหน้าแบบไม่รู้ไม่ชี้ เขาเองก็แปลกใจในพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของเคโตะเช่นกัน ยูโตะหันไปยิ้มให้ชายชราเจ้าของร้าน ชายชรายิ้มก่อนจะพูดด้วยประโยคเดิมซ้ำอีก “ความรักไม่ใช่สิ่งของนะ” ยูโตะยิ้มให้ชายชราแบบงงในคำพูดก่อนจะเดินจากมาเหลือไว้เพียงรอยยิ้มและคำพูดเดิมจากชายชราคนนั้น “ความรักต้องใช้หัวใจนะ”
ยูโตะหัวเราะเบาๆ ขณะที่เดินห่างจากร้านนั้นมาไกลมากแล้ว รู้อยู่หรอกน่าว่าต้องใช้หัวใจ เขาคิดแล้วเดินตามเคโตะต่อไปพร้อมเรียวสุเกะและริวทาโร่ที่เดินตามหลังมา
---------------------------------------------------------------------------
ไรเตอร์อารมณ์ติส ผู้ไม่มีกำหนดการที่แน่นอนมาอัพให้แล้วจ้า J
ทั้งๆที่บอกว่าจะหายไปเป็นเดือนแต่ดันไปขโมยเน็ตชาวบ้านเขาใช้ได้สุดท้ายก็เลยได้อัพ ฮ่าๆๆๆๆ
แต่คราวนี้ล่ะหายไปจนถึงต้นเดือนหน้าจริงๆ แน่(มั้ง)
อย่าเอาแน่เอานอนกับข้าพเจ้าเลย ถ้ามีอารมณ์อัพก็อัพให้ มีอารมณ์แต่งแม้ไม่ได้นอนทั้งคืนข้าพเจ้าก็ยอม
ตอนที่แล้วมีถามไว้ว่า “มาทำอะไรที่กรุงเทพเหรอ?”
คำตอบคือ มาสอบสัมภาษณ์ มาเข้าค่าย และสิ้นเดือนก็มีสอบชิงทุนอีก(อันชิงทุนจะสมัครทำไมก็ไม่รู้ หนังสือกะบ่อ่าน เฮ้อ)
หวังว่าจะชอบตอนนี้กันนะคะ ฮ่าๆๆๆ ทำให้ใครผิดคาดหรืเปล่าเนี่ย?
ความคิดเห็น