ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic [HSJ-OkaRyu , NakaYama] Love ~Thank you~ (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #26 : ตอนที่ 25

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 260
      0
      14 ต.ค. 55

    ตอนที่ 25

    บ่ายสองโมง  ณ  สวนสาธารณะมินาโมริ  เคนอิจิเดินไปยังที่ที่นัดหมายไว้กับคัทสึเอะด้วยความรู้สึกหลายอย่างที่ประดังประเดเข้ามา  อดีตภรรยาที่ไม่ได้เจอหน้าค่าตากันมากว่าสิบปีจู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเรื่องของเคโตะที่คนเป็นแม่อย่างเธอต้องการคุย  แต่... เรื่องอะไรล่ะ?  เคนอิจิคิดอย่างมีความหวังว่าบางทีคัทสึเอะอาจจะกลับมาอยู่กับเขาอีกครั้งก็ได้  แม้ในสมองจะคิดอย่างนั้นแต่ในใจเขาไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นเลย

    เคนอิจิหยุดยืนอยู่กับที่เมื่อเขาเดินไปถึงใต้ต้นซากุระต้นใหญ่ที่แผ่ใบปกคลุมให้ร่มเงาเย็นสบาย  ใจเขาสั่นไหวเมื่อคัทสึเอะหันมาสบตากับเขา  เธอยังคงสวยเหมือนเดิมแม้เวลาจะผ่านมานานแล้วก็ตาม  แต่ถึงกระนั้นแววตาที่เธอมองมากลับไม่ใช่แววตาที่อ่อนโยนและอบอุ่นเหมือนอย่างเคย  แววตาของเธอช่างเย็นชาเหมือนกับ...  เหมือนกับแววตาของเคโตะเวลาที่โกรธเขาเหลือเกิน

     

    คัทสึเอะได้ยินเสียงฝีเท้าที่หยุดยืนอยู่ข้างหลัง  ด้วยความที่รู้ว่าเป็นใครทำให้เธอแทบอยากจะหนีไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้  ความจริงเธอเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเขา  แต่เพราะเคโตะทำให้เธอหันหลังกลับไม่ได้  เธอจะปล่อยลูกชายให้อยู่กับคนแบบนี้ต่อไปได้ยังไง  คัทสึเอะหันมาเผชิญหน้ากับอดีตสามี  ท่าทางของเขายังคงความเฉยเมยไม่เปลี่ยนแปลง  จู่ๆเธอก็รู้สึกได้ถึงความกลัวในจิตใจส่วนลึก  เธอไม่รู้ว่าความกลัวนั้นคืออะไร  เธอกลัวเรื่องเคโตะหรือ?  หรือเธอยังทำใจไม่ได้เรื่องที่เคนอิจิมีภรรยาอีกคน?

    คัทสึเอะรวบรวมความกล้าก่อนจะพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา  “ฉันมาคุยเรื่องของเคโตะ”

    เคนอิจิสบตากับเธอนิ่งก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาไม่แพ้กัน  “ผมรู้แล้ว”

    คัทสึเอะถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะเฉมองไปทางอื่น  “เขาเป็นยังไงบ้าง  เขายังสบายดีหรือเปล่า”

    เคนอิจิรับรู้ถึงความเฉยเมยที่อดีตภรรยาส่งมาให้  ทำไมรู้สึกเหงาแปลกๆ นะ  “เขาสบายดี”

    “เหรอ?”  ชั่วขณะนั้นที่คัทสึเอะหันมาสบตากับเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ  “คุณบอกว่าเขาสบายดีเหรอ  แล้วเรื่องที่คุณไล่เขาออกจากบ้านล่ะจะว่ายังไง”

    เคนอิจิมองหน้าอดีตภรรยาด้วยตกใจ  “คุณไปรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหน”

    คัทสึเอะหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยความรู้สึกสมเพซเวทนา  เธอไม่รู้ว่าคนที่เธอสมเพซคือเคนอิจิหรือตัวเธอเองกันแน่  “มันไม่สำคัญหรอกว่าฉันรู้มาจากไหน  คุณบอกฉันสิ  คุณทำอย่างนั้นจริงๆน่ะเหรอ?”

    เคนอิจิหลบสายตาอดีตภรรยาอย่างตื่นตระหนก  เขานึกถึงเหตุการณ์ในวันที่เผลอใช้อารมณ์กับเคโตะมากจนเกินไปจนป่านนี้เรื่องนั้นยังคงเป็นเหมือนตราบาปในหัวใจเขาอยู่ไม่จบสิ้น  เขาไม่รู้ว่าคัทสึเอะรู้เรื่องนี้ได้ยังไง  เรื่องนี้ทำให้เขาไม่มีข้อแก้ตัวใดๆกับเธอทั้งสิ้น  “ผม...  ผมไม่ได้ตั้งใจ”

    ดวงตาของคัทสึเอะแดงก่ำด้วยความโกรธก่อนที่น้ำตาหยดใสๆจะเอ่อล้นออกมา  “คุณไม่รักเขาแล้วเหรอ?  ใช่สิ!  คุณก็มีลูกอีกคนหนึ่งนี่  เคโตะคงไม่สำคัญกับคุณแล้วใช่มั้ยล่ะคุณถึงได้เลี้ยงเขาแบบทิ้งๆ ขว้างๆ แบบนั้น”

    “ผมไม่ได้เลี้ยงเขาแบบทิ้งๆ ขว้างๆ นะ”

    “แล้วที่คุณทำมันคืออะไรล่ะ!  ไล่เขาออกจากบ้าน  นั่นไม่ใช่การทิ้งขว้างหรือไง”

    “แล้วคุณล่ะ”  เคนอิจิกัดฟันถามออกไปอย่างเก็บอารมณ์

    “อะไรนะ?”

    จนถึงตอนนี้  ความรู้สึกทั้งหมดของเคนอิจิราวกำลังจะปะทุออกมา  “แล้วคุณล่ะคัทสึเอะ  สิ่งที่คุณทำไม่ใช่การทิ้งลูกหรือไง  คุณต่างหากที่ไม่รักเขาตลอดสิบปีมานี้เขาเป็นยังไงคุณเคยสนใจเขาบ้างมั้ย”

    คัทสึเอะเม้มริมฝีปากแน่นน้ำตาไหล  ไร้ซึ่งการเอื้อนเอ่ยคำใดๆ ออกมา

    “คัทสึเอะ”  เคนอิจิพูดด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความโกรธและเสียใจ  “คุณไปอยู่ไหนมา  รู้มั้ยว่าเคโตะคิดถึงคุณแค่ไหน  เขาร้องไห้คิดถึงคุณทุกวันแต่คุณก็ยังทิ้งเขาได้ลงคอ  จนถึงตอนนี้เคโตะทำใจได้แล้ว  เขาดีขึ้นมากแล้ว  แล้วคุณกลับอีกมาทำไม”  คำพูดของเคนอิจิเต็มไปด้วยความรู้สึกแห่งโทสะที่รุนแรง

    คัทสึเอะเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างลวกๆ ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่นเพื่อหลบสายตาของอดีตสามี  คำถามนั้นเป็นเหมือนหนามที่ทิ่มแทงจิตใจเธอให้เจ็บปวดเหลือแสน  เธอกลับมาทำไม?  เธอเพิ่งจะรับรู้ถึงความโง่เขลาของตัวเอง  แม้เธอจะรักลูกมากแค่ไหน  แต่แม่ที่ทิ้งลูกไปอย่างเธอคงไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวเขาอีกแล้ว  เธอสะอื้นไห้อย่างกลั้นอารมณ์ไว้ไม่อยู่  แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังเถียงกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้  “ฉันไม่คิดว่าเคโตะจะดีขึ้นหรอกตราบใดที่เขายังอยู่กับคุณ  ฉันรู้ว่าฉันมันเป็นแม่ที่ไม่ดีแต่คนที่มีแต่ตัวอย่างฉันตอนนั้นจะเลี้ยงลูกได้ยังไงคุณไม่คิดบ้างเหรอ?  นังเมียน้อยนั่นมันล้างสมองคุณไปหมดแล้วหรือไง”

    “คัทสึเอะ!”  เคนอิจิพูดเสียงดัง  “หยุดพูดถึงยูมิโกะแบบนั้นซะที”

    “ทำไมฉันจะพูดไม่ได้  ก็มันเป็นความจริง  นังเมียน้อยนั่นคงล้างสมองคุณไปหมดแล้วใช่มั้ยล่ะ”  เธอเถียงกลับด้วยความโกรธไม่แพ้กัน  “ถ้าฉันรู้อย่างนี้ฉันคงไม่ปล่อยเคโตะไว้กับคนอย่างพวกคุณหรอก”

    “คนอย่างผมมันไม่ดีตรงไหน  อย่างน้อยผมก็ไม่เอาเรื่องเล็กน้อยมากวนใจจนหนีเตลิดเปิดเปิงไปเหมือนคุณหรอก”

    “คุณคิดว่าการที่คุณมีเมียน้อยนั่นมันเรื่องเล็กเหรอ”

    เคนอิจิยักไหล่อย่างจงใจทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเขารู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เขาทำกับเธอมากเหลือเกิน  แต่ทิฐิกลับทำให้เขาไม่ยอมเอ่ยคำขอโทษ  “ก็ไม่เห็นจะมีอะไรนี่  พวกผู้หญิงนี่วุ่นวาย  อยู่กันอย่างสงบไม่ได้หรือไง”

    ด้วยคำพูดนั้นทำให้หัวใจของคัทสึเอะเจ็บปวดอย่างสุดจะทานทน  “เคโตะไม่น่ามีพ่อแบบคุณเลย”

    เคนอิจิหัวเราะอย่างแสร้งทำ  “เจ้าเคโตะมันเป็นลูกของผม  คุณทิ้งเขาไปแล้วยังจะมาอ้างสิทธิ์อะไรอีก  ตอนนี้แม่ของเคโตะไม่ใช่คุณแต่เป็นยูมิโกะ  เข้าใจแล้วใช่มั้ย  ลูกชายผม  ผมดูแลเองได้”

    คัทสึเอะจ้องหน้ากลับไป  เธอนิ่งงันอยู่นานด้วยคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเธอยิ่งนัก  เธอได้แต่จ้องมองอดีตสามีน้ำตาไหลพรากโดยไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำพูดใดๆ ออกมาได้  เธอรู้สึกราวกับตัวเองกำลังลอยคอกลางมหาสมุทรไร้ซึ่งที่ยึดเหนี่ยว  เธอกลับมาทำไม?  เธอเรียกเคนอิจิมาคุยเพื่ออะไร?  ความจริงแล้วเธอต้องการอะไรกันแน่?  เธอก็แค่รู้สึกคิดถึง...  คิดถึงเคโตะมากเหลือเกินเท่านั้น

    คัทสึเอะหันหลังเดินกลับไปอย่างช้าๆ  ความเสียใจที่เอ่อล้นขึ้นมาจุกแน่นที่หน้าอกจนแทบหายใจไม่ออก  ไม่ใช่เธออีกต่อไปแล้ว  ยูมิโกะต่างหากที่เป็นแม่ของเคโตะโดยชอบธรรม  เธอมันก็แค่แม่ที่ทิ้งลูกแล้วเธอจะมาเสียใจในเรื่องที่ผ่านไปแล้วทำไม  ยอมรับซะ  เธอบอกตัวเอง  น้ำตาหยาดหยดลงมาจากหัวใจที่เจ็บปวด  ยอมรับความจริงซะคัทสึเอะ  เธอไม่ใช่แม่ของเคโตะอีกแล้ว

    เคนอิจิเฝ้ามองร่างของอดีตภรรยาที่กำลังเดินจากไป  เขารู้สึกทั้งโกรธ  ทั้งเสียใจและสับสนพอๆ กันกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่  คัทสึเอะมาเพื่อต่อว่าเขาแล้วก็เดินจากไปพร้อมน้ำตาอีกเช่นเคย  เขาคิดถึงเมื่อสิบปีก่อนในวันที่คัทสึเอะจากไป  ตอนนั้นก็เหมือนตอนนี้  เขาไม่แม้แต่จะห้ามเธอ  ไม่แม้แต่จะขอร้องให้เธออยู่  ทั้งๆที่เขารักเธอ  แต่ความผิดที่เขาทำกับเธอทำให้เขาไม่กล้าพอที่จะยื้อความรักนี้ไว้

    เคนอิจิหันหลังเดินกลับอย่างเชื่องช้าเพื่อทบทวนความรู้สึกตัวเอง  เขาว่าเธอแรงไป  เขารู้  เขาคิดถึงคำพูดของยูมิโกะที่เคยพูดกับเขา  คุณยังรักคุณคัทสึเอะอยู่  เคนอิจิหยุดเดินและหันหลังกลับหวังให้ได้พบกับคัทสึเอะ  แต่เธอจากไปแล้ว  ไม่มีแม้แต่เงาของเธออยู่ที่นั่นราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่เป็นเพียงแค่ความฝันที่สายลมหอบพัดพาให้หายไป  เขานิ่งคิดอย่างเสียใจ  สายไปอีกแล้ว

     

    ณ หน้าวัดโบราณชื่อดังที่แออัดไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติ  พนักงานจากโอคายะแยกออกเป็นสามกลุ่มเพื่อสำรวจกลุ่มเป้าหมายของแต่ละพื้นที่  ยูโตะกับริวทาโร่  เคโตะกับเรียวสุเกะ  และชินจิกับโคตะ

    ยูโตะเดินไปตามถนนหน้าวัดพร้อมสอบถามคนขายของแถวนั้นไปตลอดทางเพื่อเก็บข้อมูล  ริวทาโร่จดข้อมูลสำคัญลงในสมุดอย่างคล่องแคล่วตามหน้าที่รองผู้จัดการชั่วคราวของโอคายะสาขาที่สาม  ยูโตะหยุดเดินเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น  เขากดรับ  “ว่าไงยามะจัง”

    เรียวสุเกะถามคำถามกลับมาอย่างร้อนรน  [ตอนนี้ยูโตะคุงอยู่ที่ไหน?]

    “ก็ห่างจากเดิมสักสามสิบเมตรได้  ทำไมเหรอ?”

    [แย่แล้วยูโตะคุง  ผู้จัดการหายไป]

    “อะไรนะ!

    ริวทาโร่ตกใจกับเสียงร้องของยูโตะ  “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”  เขาถาม

    ยูโตะมองริวทาโร่ด้วยคิ้วที่ขมวดจนเป็นปมแต่ไม่ได้ตอบอะไร  สายในโทรศัพท์นั้น  น้ำเสียงของเรียวสุเกะดูตื่นตระหนก  [เผลอแป๊ปเดียวผู้จัดการก็หายไปเลย  โทรศัพท์ก็ฝากฉันไว้ด้วย  ฉันหาเขาไม่เจอเลยยูโตะคุง  ฉันไม่รู้ว่าผู้จัดการอยู่ที่ไหน]

    ยูโตะพยายามควบคุมความตกใจของตัวเอง  “ยามะจังลองหาแถวนั้นดีหรือยัง”

    [ฉันดูหมดแล้วแต่ไม่เห็นผู้จัดการอยู่แถวนี้เลย  ฉันกลัวจังเลยยูโตะคุง]

    ยูโตะถอนหายใจอย่างเป็นกังวล  “ใจเย็นๆนะยามะจัง  นายอยู่ที่ไหนฉันจะไปหาเดี๋ยวนี้”

     

    ในยามเที่ยงที่แสงแดดสาดแสงแรงกล้าแต่ต้นไม้มากมายที่นี่ช่วยทำให้อากาศไม่ร้อนมากมายนัก  เคโตะเดินคนเดียวไปตามท้องถนนที่เต็มไปด้วยร้านขายของสำหรับนักท่องเที่ยวที่รายล้อมอยู่สองข้างทาง  บรรยากาศของที่นี่คึกคักด้วยเสียงดังเจื้อยแจ้วของนักท่องเที่ยวที่พูดคุยกันถึงวัดที่ได้ไปเที่ยวกันอย่างสนุกปาก  เขามาที่นี่เพื่อมาดูทำเลดีๆ สำหรับการประชาสัมพันธ์ร้านพร้อมเรียวสุเกะ  แต่เพราะนักท่องเที่ยวที่มากเหลือล้นทำให้เขาพลัดหลงกับเรียวสุเกะจนได้  แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน  การได้อยู่ท่ามกลางคนที่ตัวเองไม่รู้จักอาจทำให้เขาคิดอะไรดีๆ ออกหรือเข้าใจความรู้สึกอะไรบางอย่างมากขึ้นก็ได้

    เคโตะเดินอยู่ที่นี่คนเดียวมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว  เขาแวะเข้าร้านนั้นออกร้านนี้โดยที่ไม่ได้ซื้ออะไรติดตัวมาเลย  แค่เข้าไปดูไปดูเผื่อจะมีไอเดียอะไรใหม่ๆ บ้าง

    “อันนี้สำหรับโชคลาภ  อันนี้สำหรับการเงิน”  เสียงของไกด์สาวอธิบายให้นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศกลุ่มหนึ่งฟังเกี่ยวกับคุณสมบัติของเครื่องรางต่างๆ ที่วางขายอยู่อย่างคล่องแคล่ว  ภาษาอังกฤษของไกด์คนนั้นยังพูดต่อไปอย่างไหลลื่น  “ถ้าการเรียนต้องอันนี้ค่ะ”  เธอพูดพร้อมยกหินสีเขียวที่ถูกแกะสลักให้มีรูปร่างคล้ายหนังสือย่อส่วนนั้นขึ้นมา  มันเป็นหินธรรมดาแค่ถูกตกแต่งให้ดูขลังด้วยด้ายสีแดงก็เท่านั้น

    “ฉันอยากได้สำหรับความรักค่ะ”  นักท่องเที่ยวสาวคนหนึ่งพูด

    ไกด์สาวอธิบายให้ชายชราเจ้าของร้านฟังเป็นภาษาญี่ปุ่นอย่างรวดเร็วก่อนจะหยิบเครื่องรางที่มีรูปร่างคล้ายไม้สั้นๆ สองอันประกบกันไว้ผูกด้วยด้ายแดงไว้เช่นเคย  นักท่องเที่ยวคนนั้นหน้าบึ้งเล็กน้อยก่อนจะบ่นออกมาเป็นภาษาอังกฤษให้ไกด์สาวฟัง

    “ฉันนึกว่ามันจะเป็นรูปหัวใจหรือเป็นแม่กุญแจแบบที่ไปเที่ยวเกาหลีมาซะอีก”

    ชายชราฟังคำแปลจากไกด์อย่างตั้งใจก่อนยิ้มออกมาด้วยใบหน้าอันเหี่ยวย่นของตัวเอง  แกชี้ไปที่เครื่องรางนั้น  “เครื่องรางเป็นเพียงแค่สิ่งของ”  แกพูดด้วยภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่นก่อนจะชี้เข้ามาที่หน้าอกด้านซ้ายของตัวเอง  “แต่ความรักไม่ใช่สิ่งของ”

    นักท่องเที่ยวสาวส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจก่อนจะเอาเครื่องรางนั้นใส่กระเป๋าแล้วหยิบเงินให้ตามราคา  นักท่องเที่ยวสาวหัวเราะเล็กน้อยก่อนที่คณะทัวร์นั้นจะเดินจากไป

    เคโตะเฝ้ามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าจนกระทั่งนักท่องเที่ยวกลุ่มนั้นเดินจากไป  เขาหันไปมองเจ้าของร้านขายเครื่องราง  ใบหน้าเหี่ยวย่นนั้นยังคงยิ้มแย้มไม่เปลี่ยนแปลง  ดวงตาสุกใสของชายชราช่างดึงดูดให้เขาเดินเข้าไปหานัก

    ชายชราหันหน้ามาเมื่อเคโตะเดินเข้าไปหน้าร้าน  แกยิ้มอย่างใจดีเช่นเคย  “จะเอาอะไรเหรอพ่อหนุ่ม”  แกถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้งแต่กลับแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนและเข้มแข็ง

    เคโตะอึกอัก  นั่นสิ  เขามาซื้ออะไรงั้นเหรอ?  “เอ่อ...”  เคโตะกวาดสายตามองเครื่องรางตรงหน้าพลางใช้ความคิด

    “การงานเหรอ?”  ชายชราถาม  เคโตะเงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ  เสียงแหบแห้งของเจ้าของร้านยังคงดังอย่างต่อเนื่อง  “คนวัยอย่างเธอถ้าไม่เรื่องเงินก็เรื่องงานนั่นแหละ”

    เคโตะหัวเราะน้อยๆก่อนจะตอบกลับไป  “เปล่าครับ  เรื่องพวกนั้นไม่เป็นปัญหาสำหรับผม”

    “ถ้างั้นก็เรื่องความรักล่ะสิ?”

    เคโตะยิ้ม  “ก็คงงั้นล่ะมั้ง”

    ชายชรายิ้มใจดีก่อนจะหยิบเครื่องรางแบบเดียวกับที่ขายให้นักท่องเที่ยวสาวเมื่อสักครู่ขึ้นมาให้เคโตะชิ้นหนึ่ง  “เครื่องรางเป็นแค่สิ่งของ  แต่ความรักไม่ใช่สิ่งของนะ”  แกพูดก่อนจะให้มันแก่เคโตะ

    เคโตะรับเครื่องรางชิ้นเล็กนั้นมาพิจารณาครู่หนึ่ง  “ที่คุณพูดเมื่อกี้  มันหมายความว่าอะไรเหรอครับ”

    ชายชรายิ้มให้เคโตะด้วยแววตาเปล่งประกาย  “สิบปีก่อนภรรยาฉันตาย  ถ้าฉันคิดว่าเธอเป็นสิ่งของจนถึงตอนนี้เธอก็คงไร้ค่าไปแล้ว  แต่ภรรยาฉันไม่ใช่สิ่งของ  เพราะเธอคือความรักของฉัน”  ชายชราพูด  แววตาสุกใสนั้นเปล่งประกายมากขึ้นเมื่อพูดถึงภรรยาที่ตายไป

    เคโตะหัวเราะน้อยๆ  “ถ้ายังยึดติดอยู่กับความรักเดิมๆ แบบนี้ก็มีความรักใหม่ไม่ได้น่ะสิครับ”

    ชายชราหัวเราะ  “รู้อะไรมั้ยพ่อหนุ่ม  การที่เราเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ด้วยความรัก  นั่นเป็นข้อพิสูจน์ว่าความรักเก่าของเรามีค่าพอที่จะทำให้หัวใจของเราพร้อมสำหรับรักใหม่”

    เคโตะขมวดคิ้วเล็กน้อย  “ผมไม่เข้าใจ”

    ชายชรายังคงยิ้มพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆดังให้ได้ยิน  “เราไม่ได้มีความรักไว้ให้เฉพาะแฟนตัวเองนี่นา”

    “หมายความว่ายังไงครับ”

    “รักพ่อแม่มั้ยล่ะพ่อหนุ่ม?”  ชายชราถามด้วยรอยยิ้มแต่กลับเป็นคำถามที่ทำให้คนฟังถึงกับอึ้ง  รักมั้ย  งั้นเหรอ?  เคโตะก้มหน้าลงทบทวนความรู้สึก  แน่นอน  เขารักเคนอิจิมาก  แต่ทำไมนะ?  ทำไมครอบครัวเขาถึงได้กลายเป็นแบบนี้ได้  รอยยิ้มของชายชรายังไม่จางหาย  น้ำเสียงแหบแห้งนั้นยังคงดังอย่างต่อเหนื่อยราวกับไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าของเคโตะในตอนนี้เลย  “เก็บรักเก่าไว้ในใจแล้วเริ่มต้นชีวิตด้วยรักใหม่  อย่างน้อยมันก็ดีกว่าการเริ่มต้นด้วยความเกลียดไม่ใช่เหรอ?”

    เคโตะถอนหายใจเล็กน้อยเพื่อลดความอึดอัดในใจ  ชั่วขณะนั้นที่ภาพของยูมิโกะและยูโตะผุดขึ้นมาในจินตนาการของเขาทันทีที่ชายชราพูดจบ  ความเกลียดงั้นเหรอ?  สองคนนี้น่ะเหรอคือคนที่เขาเกลียด?  เคโตะรู้สึกเจ็บแปล๊บในหัวใจ  เขาส่ายหัวเพื่อสลัดภาพพวกนั้นออกไปจากความคิด  ต้องไม่ใช่สิ  เขาไม่ได้อยากจะเกลียดสองแม่ลูกนั่นสักหน่อย

    ชายชรามองดูปฏิกิริยาของเคโตะแล้วยิ้มอย่างเข้าใจ  “แต่ถึงยังไงซะ  ทุกคนก็ต้องเคยมีคนที่เกลียดทั้งนั้นแหละ”  ชายชราหยิบเครื่องรางจากมือเคโตะใส่ถุงกระดาษก่อนจะยื่นให้เขาอีกครั้ง  “ประสบการณ์จะช่วยสอนเธอเอง  รักษาความรักในหัวใจของเธอไว้ให้ได้ก็พอ”  ชายชราหัวเราะเบาๆ เมื่อเคโตะรับเครื่องรางไป  แกพูดย้ำประโยคเดิม  “เครื่องรางเป็นแค่สิ่งของ  แต่ความรักไม่ใช่สิ่งของ  เธอต้องใช้หัวใจของเธอล้วนๆ ในการทำความเข้าใจกับมัน  มันยากนะ  แต่ฉันเชื่อว่าเธอทำได้”

    เคโตะจ้องหน้าชายชรากลับไป  “คุณรู้เหรอว่าผมคิดอะไรอยู่”

    ชายชราหัวเราะเบาๆอีกครั้ง  “แววตาเธอมันฟ้องทุกอย่างอยู่แล้ว”

    “พี่ชายครับ!”  เสียงของยูโตะดังขึ้นท่ามกลางฝูงชนที่แออัด  เคโตะหันไปตามเสียงนั้น  ยูโตะยิ้มแป้นก่อนจะรีบเดินไปยืนอยู่ข้างเคโตะพร้อมริวทาโร่และเรียวสุเกะที่เดินมาพร้อมกัน  “ตกใจหมดเลยตอนที่พี่ชายหายไป  นึกว่าจะเป็นอะไรไปแล้วซะอีก”  ยูโตะพูดอย่างดีใจ  เขาลืมความกลัวที่มีต่อเคโตะไปหมดเมื่อความดีใจที่ได้เจอพี่ชายเข้ามาแทนที่

    เคโตะจ้องมองน้องชายต่างแม่ด้วยความตกใจ  แววตาเปล่งประกายของยูโตะยังคงฉายแววซุกซนไม่เคยเปลี่ยน  ความบริสุทธิ์ใจที่ฉายผ่านแววตานั้นยังคงเหมือนเมื่อครั้งที่พวกเขาเจอกันครั้งแรก  เคโตะเผลอยิ้มให้ยูโตะอย่างลืมตัว

    ยูโตะจ้องมองพี่ชายอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง  เมื่อกี้นี้เคโตะยิ้มใช่หรือเปล่านะ?  ยูโตะรู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูก  “เอ่อ...  พี่ชายเป็นอะไรหรือเปล่าครับ  แล้วพี่มาทำอะไรที่นี่เหรอ?”

    เคโตะก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อหลบสายตา  จู่ๆก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมาอย่างประหลาดเมื่อได้เห็นน้องชาย  เขายัดเครื่องรางนั้นลงไปในมือของยูโตะ  “เครื่องรางสำหรับความรัก  เอาไปให้ยามาดะสิ  ความรักของพวกนายจะได้ยั่งยืน”  เขาพูดแค่นั้นแล้วเดินจากไป

    ยูโตะหันไปมองหน้าริวทาโร่กับเรียวสุเกะอย่างแปลกใจ  ริวทาโร่ส่ายหน้าแบบไม่รู้ไม่ชี้  เขาเองก็แปลกใจในพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของเคโตะเช่นกัน  ยูโตะหันไปยิ้มให้ชายชราเจ้าของร้าน  ชายชรายิ้มก่อนจะพูดด้วยประโยคเดิมซ้ำอีก  “ความรักไม่ใช่สิ่งของนะ”  ยูโตะยิ้มให้ชายชราแบบงงในคำพูดก่อนจะเดินจากมาเหลือไว้เพียงรอยยิ้มและคำพูดเดิมจากชายชราคนนั้น  “ความรักต้องใช้หัวใจนะ”

    ยูโตะหัวเราะเบาๆ ขณะที่เดินห่างจากร้านนั้นมาไกลมากแล้ว  รู้อยู่หรอกน่าว่าต้องใช้หัวใจ  เขาคิดแล้วเดินตามเคโตะต่อไปพร้อมเรียวสุเกะและริวทาโร่ที่เดินตามหลังมา

     

    ---------------------------------------------------------------------------

    ไรเตอร์อารมณ์ติส  ผู้ไม่มีกำหนดการที่แน่นอนมาอัพให้แล้วจ้า J

    ทั้งๆที่บอกว่าจะหายไปเป็นเดือนแต่ดันไปขโมยเน็ตชาวบ้านเขาใช้ได้สุดท้ายก็เลยได้อัพ ฮ่าๆๆๆๆ

    แต่คราวนี้ล่ะหายไปจนถึงต้นเดือนหน้าจริงๆ แน่(มั้ง)

    อย่าเอาแน่เอานอนกับข้าพเจ้าเลย  ถ้ามีอารมณ์อัพก็อัพให้  มีอารมณ์แต่งแม้ไม่ได้นอนทั้งคืนข้าพเจ้าก็ยอม

    ตอนที่แล้วมีถามไว้ว่า “มาทำอะไรที่กรุงเทพเหรอ?”

    คำตอบคือ  มาสอบสัมภาษณ์  มาเข้าค่าย  และสิ้นเดือนก็มีสอบชิงทุนอีก(อันชิงทุนจะสมัครทำไมก็ไม่รู้ หนังสือกะบ่อ่าน เฮ้อ)

    หวังว่าจะชอบตอนนี้กันนะคะ ฮ่าๆๆๆ  ทำให้ใครผิดคาดหรืเปล่าเนี่ย?

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×