ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic [HSJ-OkaRyu , NakaYama] Love ~Thank you~ (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #25 : ตอนที่ 24

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 249
      0
      8 ต.ค. 55

    ตอนที่ 24


    “ริวทาโร่  เก็บของได้แล้ว  เราจะไปเกียวโตกัน”  เสียงสดใสของยูโตะดังขึ้นที่หน้าห้องของริวทาโร่ในเช้าวันหนึ่ง  “เร็วๆสิริวทาโร่  นายเก็บเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้เลยนะ  ไม่งั้นนายอดไปไม่รู้ด้วย”


    ริวทาโร่ขมวดคิ้วอย่างสงสัย  “ทำไมกะทันหันอย่างนี้ล่ะครับ”


    “รองผู้จัดการมัตสึโมโตะเกิดป่วยขึ้นมาน่ะสิ  เร็วเข้าริวทาโร่  พี่ชายฉันก็ไปด้วยนะ”  ยูโตะเร่งเร้าอย่างตื่นเต้น


    “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมล่ะครับ”  ริวทาโร่ทำสีหน้าเบื่อนหน่าย  “ตอนนี้ผมไม่ใช่พนักงานของโอคายะนะ”


    “โอ๊ย!  อย่าเรื่องมากน่าเจ้าหนูแฮม  ฉันอุตส่าห์ขอคุณพ่อได้แล้ว  ถ้านายปฏิเสธฉันจะโกรธนายจริงๆด้วย”


    “ผมเนี่ยนะ  ไปแล้วจะทำอะไรได้?”


    “ทำได้สิ”  ยูโตะยิ้มเจ้าเล่ห์  “คราวนี้ไงที่นายจะได้มีโอกาสสวีทกับพี่ชายฉัน  ฉันก็จะได้สวีทกับยามะจังของฉันเหมือนกัน”  ยูโตะทำสีหน้าเคลิบเคลิ้ม  “บรรยากาศแห่งเมืองเก่าและความสงบ  อาา... โรแมนติกจัง”


    ริวทาโร่มองยูโตะอย่างนึกขำ  เขาพูดเสียงเบาพอให้ตัวเองได้ยิน  “น่าห่วงยามะจังของคุณมากกว่า”


    “นายว่าอะไรนะ?”  ยูโตะถามด้วยความไม่พอใจ  “เมื่อกี้นายว่าอะไร”


    ริวทาโร่ยักไหล่  “เปล๊า  แล้วจะไปกี่โมงล่ะครับ”


    ยูโตะขมวดคิ้วอย่างไม่คลายความสงสัย  “เราจะไปประชุมที่บริษัทกันก่อนแล้วค่อยเดินทางไปเกียวโต  อีกหนึ่งชั่วโมงจะมีคนมารับ  ถ้าตอนนั้นนายยังเก็บของไม่เสร็จฉันจะให้พี่ชายฉันมาจับนายปล้ำซะ”


    ริวทาโร่หัวเราะ  “อย่ามาขู่ซะให้ยากเลย  คุณเก่งจนขนาดสั่งพี่ชายได้เลยเหรอ  ไม่น่าเชื่อ”


    ยูโตะยิ้มเจ้าเล่ห์  “ลองมั้ยล่ะ?”


    ริวทาโร่จ้องหน้ากลับอย่างไม่กลัวเกรง  “ไม่มีทางเด็ดขาด!  ผมไม่เชื่อว่าคุณจะกล้าขนาดนั้นหรอก”


    “เชื่อไว้หน่อยก็ดีเหมือนกันนะ”  เสียงทุ้มต่ำอันน่าฟังดังขึ้นแทรกการสนทนาระหว่างคนทั้งคู่  ยูโตะและริวทาโร่หันไปมองเจ้าของเสียงอย่างตกใจ  ยูโตะก้มหน้าลงอย่างกลัวๆ แต่ริวทาโร่กลับสบตากับเคโตะนิ่ง  “อีกหนึ่งชั่วโมง  เก็บของได้แล้วริวทาโร่  อย่าทำให้คนอื่นเขาต้องรอนาน”  เคโตะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยก่อนจะเดินจากไป


    ยูโตะถอนหายใจอย่างโล่งอกทันทีที่เคโตะเดินพ้นไปจากระยะสายตา  “นึกว่าจะโดนด่าซะแล้ว”


    ริวทาโร่ขมวดคิ้วอย่างแปลกใจปนขำ  “ไม่คิดเลยว่าคุณจะกลัวพี่ชายได้ขนาดนี้”


    ยูโตะแสร้งทำตาขวางใส่ริวทาโร่  “ไปเก็บของเลย  ไม่งั้นฉันจะบอกให้พี่ชายมาจับนายปล้ำซะ”


    ริวทาโร่หัวเราะอย่างท้าทาย  “คุณกล้าเหรอ?”


    ยูโตะยิ้มเจ้าเล่ห์  “ฉันคิดว่าพี่ชายฉันคงไม่ปฏิเสธกับการที่จะ......  กับนาย”  ยูโตะพูดเว้นจังหวะอย่างจงใจ  เขาหัวเราะคิกคักอย่างสะใจก่อนจะเดินห่างออกมา


    ริวทาโร่หน้าบึ้งเพื่อหลบซ่อนความเขินอายและใบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่อ  เจ้าเพื่อนบ้า!  ทำไมชอบทำให้จินตนาการของเขาเลยเถิดอยู่เรื่อย



     

    บนท้องถนนในยามเที่ยงวันของกรุงโตเกียว  เมืองหลวงที่อัดแน่นไปด้วยผู้คนจนแทบไม่เหลือที่ว่างให้หายใจ  คัทสึเอะยืนอยู่เพียงลำพังใต้ร่มไม้ที่แผ่รัศมีปกป้องเธอจากแสงแดดที่กำลังสาดส่องอย่างแรงกล้า  เธอยืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เช้าจนขาทั้งสองนั้นปวดระบมไปหมด  จากตรงที่เธอยืนอยู่นี้  สำนักงานใหญ่ของโอคายะตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า  เธอถามตัวเองอีกครั้งว่ามาที่นี่เพื่ออะไร?  สิบปีมาแล้วที่เธอพยายามหักห้ามความคิดถึงที่มีต่อลูกชายของเธอแต่จนถึงตอนนี้เธอกลับไม่สามารถเก็บมันได้อีกต่อไป  เธอปรารถนาจะได้เห็นหน้าเคโตะ  แม้แค่ชั่ววินาทีก็ยังดี  แล้วเธอจะไปจากที่นี่อย่างไม่ค้างคาใจ


    เธอเฝ้ามองตึกสูงตรงหน้าด้วยความโหยหา   ลูกชายของเธอจะอยู่ที่สำนักงานใหญ่หรือเปล่านะ?  แม้จะเที่ยงแล้วแต่ความหิวก็ไม่ได้ทำให้ความคิดถึงของเธอจางไป  อยากเห็นเหลือเกิน  ลูกชายของเธอจะเป็นอย่างไรบ้าง?  เขาจะยังคงมีรอยยิ้มที่สดใสเหมือนเดิมหรือเปล่า?  พอโตเป็นหนุ่มขึ้นมาแล้ว  หน้าตาของเขาจะเหมือนเธอบ้างมั้ยนะ?  คัทสึเอะได้แต่ยิ้มคนเดียวอย่างขมขื่น  ความรู้สึกที่เก็บกดมาตลอดสิบปีเป็นเหมือนต้นไม้ที่ค่อยๆเจริญเติบโต  วันหนึ่งมันก็โตจนไม่สามารถอยู่ในกระถางได้อีก


    พลันนั้นสายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นบุคคลหนึ่งที่คุ้นตา  โคตะกำลังเดินออกมาจากสำนักงานใหญ่ของโอคายะตรงไปยังร้านกาแฟที่ตั้งอยู่ข้างๆ  คัทสึเอะรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก  ประธานบริษัทที่ฮิคารุเล่าให้ฟังใช่เคนอิจิจริงๆหรือนี่?  เธอเดินตรงไปยังร้านกาแฟร้านนั้นอย่างรีบร้อนก่อนจะนั่งลงข้างๆโคตะที่ทำสีหน้าตกใจเมื่อเห็นเธอ


    “คุณน้ามาที่นี่ได้ยังไงครับ”  โคตะถามด้วยความแปลกใจ


    คัทสึเอะยิ้มกลบเกลื่อนความร้อนใจ  “มาธุระน่ะจ้ะ”  เธอโกหก  “ยาบุคุงทำงานที่บริษัทโอคายะเหรอ  น้าเห็นเธอเดินออกมาจากที่นั่น”


    โคตะพยักหน้าแล้วแสร้งทำเป็นหัวเราะ  เขายังตกใจไม่หายที่เห็นคัทสึเอะแบบไม่ตั้งใจอย่างนี้  “ครับ  ผมทำงานที่นี่เป็นผู้ช่วยมือหนึ่งของท่านประธานเลยนะครับ”  เขายิ้มตาหยี


    “วันนี้งานเยอะมั้ยจ้ะ”


    โคตะยักไหล่  “ก็ไม่เท่าไรครับ  อีกสักครู่ผมต้องเดินทางไปเกียวโตเพื่อประเมินทำเลในการเปิดสาขาใหม่  ที่จริงไม่ต้องถึงผมก็ได้เพราะถึงยังไงผมก็เชื่อมั่นในฝีมือของคุณเคโตะกับคุณยูโตะ  อ้อ!  คุณน้าอาจจะไม่รู้จัก  คุณเคโตะกับคุณยูโตะเป็นลูกชายของคุณเคนอิจิประธานบริษัทน่ะครับ  แต่คุณเคนอิจิคงไม่อยากจะให้มีอะไรผิดพลาดท่านก็เลยให้คนที่มีประสบการณ์มากกว่าตามไปดูด้วย  อย่างผมนี่”  เขาหัวเราะน้อยๆ เขาก็แค่พูดเล่นเพื่อให้บรรยากาศดูสดใสขึ้นแต่ดูเหมือนมันจะไม่ใช่อย่างนั้นเลย


    หูของคัทสึเอะยังคงติดอยู่กับคำว่า  คุณเคนอิจิ ประธานบริษัท  เธอนึกถึงเรื่องราวที่ฮิคารุเคยเล่าให้ฟัง  ผู้ชายคนนี้ไล่ลูกชายของเธอออกจากบ้านจริงๆน่ะหรือ?  เธอไม่อยากจะเชื่อเลย  จากพ่อที่เคยรักลูกปานดวงใจแต่ตอนนี้กลับทำร้ายคนที่เคยเป็นแก้วตาดวงใจของตัวเองอย่างไม่มีชิ้นดี  พ่อแบบนี้สมควรเป็นพ่อคนอยู่อีกเหรอ?


    “คุณน้าครับ  คุณน้า!


    คัทสึเอะสะดุ้งกับเสียงเรียกของโคตะ  เธอหันมาฝืนยิ้มให้แม้ในใจของเธอแทบจะระงับโทสะไม่ไว้อยู่แล้วก็ตาม  “พอดีน้ามีธุระ  ขอตัวก่อนนะ”  เธอลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากร้านกาแฟไปอย่างรวดเร็ว


    โคตะได้แต่เกาหัวอย่างมึนงง  “อะไรวะเนี่ย?  คิดจะมาก็มา  คิดจะไปก็ไป”  เขาบ่นก่อนจะยกคาปูชิโน่หอมกรุ่นขึ้นดื่ม



     

    ในยามบ่ายที่น่าง่วงนอน  เลขาสาวกำลังจัดแจงเอกสารและการนัดประชุมต่างๆ ลงในตารางงานของเคนอิจิอย่างขะมักเขม้น  เธอทำงานเป็นเลขาของเคนอิจิได้ปีกว่าแล้วรู้นิสัยของเจ้านายเธอดี  เขาไม่ชอบอะไรที่เชื่องช้าและไม่มีระเบียบ  ร่างระหงของเธอลุกขึ้นบิดขี้เกียจหลังจากจัดแจงเอกสารทั้งหมดเสร็จสิ้นและกำลังจะออกไปชงกาแฟดื่ม  เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะของเธอดังขึ้น


    “สวัสดีค่ะ ห้องท่านประธานโอคาโมโตะ  จากแผนกไหนคะ?”  เธอยกหูรับแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ใสราวกับแก้ว


    [ฉันต้องการพูดกับประธานโอคาโมโตะเดี๋ยวนี้]  ผู้หญิงที่โทรเข้ามาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม


    “ไม่ทราบว่าเรื่องด่วนหรือเปล่าคะ  ตอนนี้ท่านประธานไม่ว่างที่จะ....”


    [ฉันบอกให้ไปเรียกเคนซังมาพูดกับฉันเดี๋ยวนี้!]  ผู้หญิงในสายตะโกนเสียงดัง


    ด้วยประสบการณ์ที่เคยทำงานตรงนี้มานาน  เธอจึงเคยถูกคนด่ามามากกว่านี้เสียอีกจึงไม่ได้นึกโมโหอะไรนักกับคนที่เธอกำลังพูดด้วย  “ไม่ทราบว่าคุณคือใครคะ  เรื่องสำคัญในระดับไหน?”


    ผู้หญิงคนนั้นเงียบไปสักพักก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบลงแต่กลับปนเปไปด้วยโทสะที่แม้แต่เธอยังสัมผัสได้  [ฉันอยากจะคุยกับเขาเรื่องของโอคาโมโตะ เคโตะ  เรื่องนี้สำคัญมาก  บ่ายสองโมงฉันจะรออยู่ที่สวนสาธารณะมินาโมริ  ฉันชื่อนิชิ  คัทสึเอะ]



     

    ภายในรถตู้ที่ปรับแอร์เย็นฉ่ำ  ริวทาโร่มองไปตามถนนผ่านกระจกรถอย่างตื่นตาตื่นใจ  เมืองเกียวโตทั้งเมืองกำลังตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าเขา  ทั้งร้านรวงต่างๆมากมายและวัดโบราณแต่ละแห่งต่างก็เป็นสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งจากในประเทศและต่างประเทศให้มาเที่ยวที่นี่  ด้านหนึ่งที่เป็นเมืองโบราณประดิษฐานด้วยวัดต่างๆมากมาย  ส่วนเมืองอีกด้านหนึ่งนั้นกลับเต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้าและห้างสรรพสินค้าหลายแห่งซึ่งเป็นข้อแตกต่างที่เข้ากันได้อย่างลงตัว  ทำให้เมืองนี้มีเสน่ห์น่าหลงใหลอย่างประหลาด


    รถตู้แล่นเข้าจอดภายในโรงจอดรถของโรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่งซึ่งทางสำนักงานใหญ่ของโอคายะได้จัดเตรียมไว้ให้  โคบายาชิ  ชินจิ  กรรมการบริหารจากสำนักงานใหญ่และวิศวกรของบริษัทพร้อมด้วยโคตะลงจากรถเป็นคนแรก  ตามด้วยริวทาโร่  ยูโตะและเรียวสุเกะ  จากนั้นจึงเป็นเคโตะที่ลงจากรถเป็นคนสุดท้าย


    ทุกคนเช็คอินเข้าโรงแรมและรับคีย์การ์ดมาก่อนที่บริกรจะจัดการยกกระเป๋าสัมภาระของทุกคนที่ไม่ค่อยจะมีอะไรมากขึ้นไปไว้บนห้องที่ได้จองเอาไว้  เคโตะกับยูโตะที่ห้อง 2273  เรียวสุเกะกับริวทาโร่ที่ห้อง 2274  และชินจิกับโคตะที่ห้อง 2279 ซึ่งเป็นห้องที่มองเห็นวิวของเมืองเกียวโตได้ดีที่สุด  ชินจิเป็นคนเลือกจะอยู่ห้องนี้โดยเฉพาะ



     

    ภายในห้องพักโรงแรมสีขาวสะอาดตาที่อากาศภายในห้องถูกปรับให้เย็นสบายด้วยเครื่องปรับอากาศที่ส่งเสียงดังหึ่งๆ แผ่วเบา

    ยูโตะรู้สึกประหม่าอย่างควบคุมไม่ได้  ครั้งสุดท้ายที่ได้นอนห้องเดียวกับพี่ชายก็คือเมื่อทัศนศึกษาตอน ม.ต้น ปี 2 ที่ชิซึโอกะ  ตอนนั้นเคโตะยังไม่รู้ความสัมพันธ์ของพวกเขาด้วยซ้ำไป  ยูโตะนั่งลงบนเตียงของตนก่อนจะจัดกระเป๋าของตัวเองไปอย่างเงียบเชียบ



     

    เคโตะชำเลืองมองน้องชายที่กำลังจัดกระเป๋าอยู่โดยไม่พูดไม่จาตั้งแต่เข้ามาในห้องนี้แล้ว  เขาถอดเสื้อคลุมแขวนไว้ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋าแล้วเริ่มต้นอ่าน  สิบห้านาทีผ่านไปเคโตะปิดหนังสือลง  ยูโตะจัดวางคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คไว้บนโต๊ะวางของอย่างระมัดระวัง  “นายหิวหรือเปล่า?”  เคโตะพูดขึ้นก่อนที่ยูโตะจะเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นทำงาน


    ยูโตะหันกลับมามองพี่ชายอย่างตกใจ  “เอ่อ... นิดหน่อยครับ”  เขาตอบตะกุกตะกัก


    เคโตะถอนหายใจเล็กน้อยราวกับเรื่องที่กำลังจะพูดมันหนักหนาสาหัสมากมายอย่างนั้นแหละ  “ฉันจะไปหาอะไรกินสักหน่อย  จะไปด้วยกันมั้ย?  แต่ถ้านายไม่อยากไปจะอยู่ที่นี่ฉันก็ไม่ว่า”  เคโตะทำท่าจะเดินออกไป


    “เดี๋ยวก่อนครับ!  ยูโตะร้องขึ้น  เคโตะหยุดยืนเพื่อรอฟัง  “ผมจะไปด้วย  รอแป๊ปนึงนะครับ”


    เคโตะเงียบไปสักพักก่อนจะตอบรับสั้นๆ  “อืม”


    ยูโตะรีบเก็บโน้ตบุ๊คเข้ากระเป๋าทันทีก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือและกระเป๋าสตางค์แล้วเดินตามเคโตะออกไปจากห้อง  ยูโตะมองตามแผ่นหลังของพี่ชายที่เดินอย่างมั่นคงไปตามทางเดินของโรงแรม  เสียงรองเท้าที่กระทบกับพื้นกระเบื้องของทางเดินนั้นดังก้องกังวานไปทั่ว  ยูโตะยิ้มแก้มปริอยู่คนเดียว  ดีใจจัง  แม้จะเป็นน้ำเสียงที่ไม่อ่อนโยนเท่าไรนักแต่มันก็เป็นคำพูดที่เขาคอยฟังจากเคโตะมาตลอดสิบปีเลยทีเดียว  ในที่สุดพี่ชายก็พูดดีกับเขาสักที



     

    เสียงฝีเท้าที่ตามมาข้างหลังทำให้หัวใจของเคโตะรู้สึกอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมานาน  เขาอมยิ้มอยู่คนเดียวอย่างมีความสุข  ถ้าทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับยูโตะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้คงจะดีไม่น้อยเลย



     

    เคเดินเข้าไปภายในร้านราเม็งที่นัดกับมิกิไว้  แต่รอจนเกือบยี่สิบนาทีแล้วยังไม่เห็นแม้แต่เงาของน้องสาวเลย  เคเริ่มรู้สึกกระวนกระใจ  หรือน้องสาวเขาจะเป็นอะไรไปนะ?


    หญิงสาวนางหนึ่งนั่งลงข้างๆ เขาแล้วยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร  เคทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยิ้มแห้งๆตอบกลับไป  “อิโนโอะ เค ใช่หรือเปล่าคะ?”  หญิงสาวถาม


    เคสะดุ้ง  “ครับ  ผมเอง”  เขาตอบไปอย่างตะกุกตะกัก


    หญิงสาวยังไม่คลายรอยยิ้มจากใบหน้า  “ฉันเป็นเพื่อนของมิกิจังค่ะ  เธอฝากมาบอกว่าวันนี้เธอคงมาพบคุณไม่ได้”


    “เอ๋?  ทำไมครับ”


    “เธอไปทำธุระที่เกียวโตค่ะ  ถ้ามีอะไรเธอบอกให้ฝากข้อความไว้ในโทรศัพท์พอเสร็จธุระแล้วเธอจะติดต่อกลับมาเอง”


    “มิกิไปทำอะไรที่นั่นเหรอครับ”


    “อืม... อันนี้คุณก็ต้องถามน้องสาวคุณเองนะคะ  ฉันมาเพื่อบอกคุณแค่นี้  ลาก่อนค่ะ”  หญิงสาวโค้งให้เขาเล็กน้อยก่อนจะเดินออกจากร้านไปปล่อยให้เคนั่งเป็นกังวลใจอยู่คนเดียว


    มิกิไปเกียวโตงั้นเหรอ  จู่ๆ ความกังวลใจก็ถาโถมสู่เขาดั่งพายุที่หอบพัดคลื่นยักษ์มา  “เฮ้ย!  เคร้องออกมาอย่างตกใจ  “ผู้จัดการอยู่ที่เกียวโตนี่หว่า”  เขาวิ่งออกจากร้านราเม็งทันทีที่คิดได้ก่อนจะควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าอย่างร้อนรน


    [ฮัลโล  อิโน่จัง  มีอะไรเหรอ?]  เสียงของไดกิดังมาตามสาย


    “พวกผู้จัดการไปเกียวโตแล้วใช่มั้ย”


    [ใช่  ทำไมเหรอ?]


    เคขมวดคิ้วด้วยความตึงเครียด  “แย่แล้วล่ะไดจัง  ตอนนี้มิกิอยู่ที่นั่น  ผมไม่รู้ว่าเธอไปทำไม”


    [ใจเย็นๆนะอิโน่จัง  น้องสาวของนายอาจจะแค่ไปทำงานก็ได้]


    “ไม่หรอกครับไดจัง”  เคหอบหายใจอย่างตื่นตกใจ  “วันนี้วันหยุด  น้องสาวผมไม่รับงานอะไรทั้งนั้น”


    [มิกิจังอาจจะไปเที่ยวก็ได้นี่นา....]


    “ไม่มีทางหรอกครับ  มิกิเกลียดอะไรที่โบราณจะตาย  เธอเป็นพวกหัวสมัยใหม่เกินไปน่ะครับ”  เคถอนหายใจเพื่อเรียบเรียงคำพูด  “น้องสาวผมต้องไปทำอะไรสักอย่างที่นั่นแน่ๆ  ผมเป็นห่วงผู้จัดการครับไดจัง  คุณเตือนพวกเขาที”


     

    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


    แถลงข่าว!!!


    ไรเตอร์จะไม่อยู่ตลอดเดือนนี้นะคะเพราะต้องไปธุระเรื่องการสอบที่เมืองกรุง(บ้านไรเตอร์อยู่ขอนแก่น ลมหนาวเริ่มพัดมาแล้ว)


    คงจะเป็นสิ้นเดือนหรือต้นเดือนหน้ากว่าจะมีเวลามาอัพตอนต่อไป(ยกเว้นไปไถเน็ตคนอื่นเขาเล่นได้)


    ถ้ามีอะไรอยากจะบอกหรือติชมอะไรก็คอมเม้นท์ไว้ที่นี่หรือโพสต์ไว้หน้าเฟสได้นะคะ  ขออภัยที่ตอนนี้อาจจะสั้นไปหน่อย


    ไรเตอร์จะไปสอบสัมภาษณ์แล้วไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง  เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ  ขอบคุณมากค่ะ J
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×