ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic [HSJ-OkaRyu , NakaYama] Love ~Thank you~ (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 2

    • อัปเดตล่าสุด 24 พ.ค. 55


              ตอนที่ 2

              “เคนซัง”  ยูมิโกะเรียกสามีเมื่ออยู่กันตามลำพัง

              “ว่าไง”  เคนอิจิตอบแบบไม่ค่อยใส่ใจนัก

              “ทำไมคุณทำอย่างนั้นล่ะคะ  เรื่องนี้มันไม่ใช่ความผิดของเคโตะคุงเลย”  น้ำเสียงยูมิโกะดูจริงจัง  เคนอิจิขมวด  แววตาของเคโตะที่มองเขาวันนี้มันทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดและหวั่นใจ  “ฉันอยากไปดูเคโตะคุงค่ะ  ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้าง”
              “นอนเถอะ  เขาไม่เป็นไรหรอก”  เขาพูดและล้มตัวลงนอน

              ยูมิโกะรู้สึกโกรธสามีขึ้นมา  “คุณก็เป็นซะอย่างนี้  คุณไม่สนใจความรู้สึกของเคโตะคุงบ้างหรือไงคะ”

              เคนอิจิลุกขึ้นอย่างรำคาญ  “มันเองก็ไม่ได้สนใจความรู้สึกของผมเหมือนกันน่ะแหละ  ปล่อยไว้แบบนั้นบ้างก็ดี”

              “เคนซัง!

              “เลิกพูดเถอะยูมิโกะ  ผมจะนอนแล้ว”  เคนอิจิล้มตัวลงนอนโดยไม่สนใจเธออีกต่อไป

              ยูมิโกะถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนใจ  เธอลุกขึ้นและเดินออกจากห้อง

     

              ยูโตะค่อยๆ ย่องไปทางห้องของพี่ชาย  เขาไม่อยากจะทำให้มันเกิดเสียงอะไรก็ตามที่จะทำให้คนในบ้านตื่น  หลังจากที่เคนอิจิตบเคโตะวันนี้มันทำให้เขาอยากจะรู้ว่าพี่ชายเป็นยังไงบ้าง  ไม่ว่าพี่ชายจะร้ายกับเขาแค่ไหนแต่เขาก็อดเป็นห่วงไม่ได้และวันนี้ที่พูดกับยูมิโกะว่าเกลียดเคโตะนั้น  เขาเพิ่งรู้ตัวว่าไม่ควรพูดแบบนั้นออกไปเลย  ถึงแม้เคโตะจะเกลียดเขาแค่ไหนแต่เขาก็ไม่อาจทำใจให้เกลียดพี่ชายได้  เขาค่อยๆ ย่องมาที่ประตูแล้วเงี่ยหูฟัง
              “ยูโตะ  นั่นลูกกำลังทำอะไรน่ะ”

              ยูโตะสะดุ้งเขาหันไปตามเสียงที่เรียกเขา  “เปล่าครับคุณแม่  ผมก็แค่...”  เขามองชามน้ำอุ่นที่อยู่ในมือแม่  “แล้วแม่มาทำไมครับ  ทำไมต้องเอาน้ำอุ่นมาด้วย”

              ยูมิโกะยิ้ม  “แม่ก็มาด้วยเหตุผลเดียวกับลูกนั่นแหละ  แม่มาดูเคโตะคุงเขา”

              ยูโตะกอดอกแล้วหันไปทางอื่น  “ผมไม่ได้มาดูเจ้านั่นซักหน่อย”  ยูมิโกะอมยิ้มกับท่าทีดื้นด้านของลูกชาย  ทำไมเธอจะไม่รู้ว่ายูโตะคิดอะไรอยู่  เธอเดินไปเปิดประตูห้องเคโตะแล้วเดินเข้าไป

              ภายในห้องมืดสลัวมีเพียงแสงไฟจากด้านนอกส่องเข้ามาบ้างพอให้เห็นสภาพในห้องได้ลางๆ  เคโตะนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง  ยูมิโกะเดินเข้าไปใกล้  เธอวางชามน้ำอุ่นไว้แล้วเปิดโคมไฟบนหัวเตียงซึ่งทำให้ห้องสว่างขึ้นแต่ก็ไม่มากพอที่จะทำให้คนที่หลับอยู่ตื่นขึ้นมา

              “เขาเป็นยังไงบ้างครับ”  ยูโตะกระซิบถามหลังจากตามแม่เข้ามาข้างใน

              ยูมิโกะบิดผ้าในชามหมาดๆ แล้วค่อยๆวางมันลงบนใบหน้าของเคโตะ  ร่างที่นอนอยู่ขยับตัวเล็กน้อยเพราะสัมผัสที่มาโดนหน้า

              ยูโตะเดินไปอีกฝั่งหนึ่งของเตียงแล้วนั่งลง  ในยามนี้ใบหน้าของพี่ชายนั้นดูสงบอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน  เขาสังเกตเห็นว่ารอยแดงบนหน้าของเคโตะยังคงอยู่เหมือนเดิม  ยูโตะยื่นมือเข้าไปอยากจะลองสัมผัสรอยนั้นดูแต่กลับรู้สึกเขินจนตัดสินใจวางมือไว้ที่หมอนแทน  แต่แล้วเขาก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง  เขาจับหมอนนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจสมมุติฐานของตัวเอง  เขาเงยหน้ามองยูมิโกะที่กำลังประคบใบหน้าเคโตะอยู่อย่างแผ่วเบา  “แม่ครับ  พี่เขาร้องไห้ด้วยล่ะ”

              ยูมิโกะทำเหมือนไม่ได้สนใจ  “ก็มันแน่อยู่แล้ว  โดนพ่อตัวเองตบขนาดนั้นเป็นใครก็ต้องร้องไห้ทั้งนั้นแหละ”

              โตะมองแม่ตัวเองอย่างสงสัย  “แม่รู้ได้ไงครับ”

              ยูมิโกะหัวเราะเบาๆ  “ยูโตะน่ะไม่เคยโดนพ่อตีใช่มั้ยล่ะถึงไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง”  เธอถอนหายใจ  “น่าสงสารเคโตะคุงนะ”

              ยูโตะรู้สึกน้อยใจขึ้นมา  แม่ก็ห่วงแต่พี่น่ะแหละ  “ไม่เห็นจะน่าสงสารตรงไหนเลย  ก็สมควรแล้วนี่อยากทำตัวแบบนั้นเอง”

              ยูมิโกะยิ้มให้ลูกชาย  “เดี๋ยวนี้หัดแอบอิจฉาพี่นะเราน่ะ  เมื่อเช้าโดนพี่ว่าให้ล่ะสิวันนี้ถึงได้อารมณ์เสียแบบนี้”  ปกติแล้วยูโตะเป็นคนน่ารักและรักพี่ชายมาก  แต่พอโดนเคโตะอารมณ์เสียใส่ก็มักจะโกรธพี่ชายจนต้องมาระบายให้แม่ฟังอยู่เสมอ

              “ผมเปล่าซักหน่อย  ไม่เห็นจะมีอะไรให้น่าอิจฉาเลยสักนิด  แล้วผมก็ไม่ได้โดนพี่อารมณ์เสียใส่ด้วย”

              ยูมิโกะอมยิ้มแล้วหันไปเปิดขวดยาเพื่อทาให้เคโตะ  ตอนนี้ยูโตะสังเกตเห็นว่าใบหน้าที่เคยนอนอย่างสงบของเคโตะกลับขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียด  มือก็กำแน่นจนแขนเกร็งไปหมด  ยูมิโกะปิดขวดยาที่ยังไม่ใช้แล้ววางที่เดิม  เธอจับมือเคโตะไว้แต่มือนั่นก็กำแน่นซะจนแกะไม่ออก  ยูโตะตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเขาเข้าไปจับมืออีกข้างของพี่ชายแต่ผลที่ได้คือเหมือนเดิม  เขามองหน้าแม่อย่างต้องการความช่วยเหลือ

              “แม่ครับ  เกิดอะไรขึ้น”

              ยูมิโกะเองก็ตกใจไม่แพ้ลูกชาย  “อาจจะฝันร้ายอยู่ก็ได้”  เธอลูบศีระษะที่เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อของเคโตะอย่างอ่อนโยน  เป็นเวลานานกว่าที่มือของเคโตะจะยอมคลายออก  คิ้วที่ขมวดกันเป็นปมก็เริ่มกลับคืนสู่สภาวะปกติ  ลมหายใจที่ติดขัดก็กลับมาคงที่  ยูโตะยังคงตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น  “ยูโตะเป็นอะไรหรือเปล่า  สีหน้าลูกไม่ดีเลย”

              ยูโตะพยายามควบคุมลมหายใจให้เป็นปกติ  “เปล่าครับ  ผมก็แค่ตกใจนิดหน่อย”

              ยูมิโกะถอนหายใจ  “ปกติเคโตะคุงก็เป็นคนไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว  ไม่คิดเลยว่าขนาดในฝันเขาก็ยังไม่ยอมพูดอะไรออกมา”

              “แล้วแม่จะอยากรู้เรื่องของพี่ทำไมล่ะครับ  เรื่องของเขาก็ปล่อยให้เขาจัดการไปสิ”

              ยูมิโกะถอนหายใจอย่างเหนื่อยอกกับความดื้นด้านของลูกชาย  ทำไมถึงไม่ยอมเข้าใจนะ  “อยู่บ้านเดียวกันถ้าไม่เห็นใจกันอยู่กันไปก็จะมีแต่ความทุกข์”

              “แต่ผมไม่ได้อยากจะอยู่กับมันสักหน่อย”

              “แล้วเราตามแม่เข้ามาทำไม  ไม่ใช่เพราะห่วงเคโตะคุงหรอกเหรอ”  ยูมิโกะมองลูกชายอย่างรู้ทัน

              ยูโตะหลบตาแม่บังเกิดเกล้า  ทำไมแม่ถึงทำเป็นรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเขาหมดเลยนะ  เขาลุกขึ้นยืน  “ผมง่วงแล้ว  ไปนอนดีกว่า”

              ยูมิโกะหัวเราะกับปฏิกิริยาของลูกชาย  เธอหันกลับมายังร่างที่นอนอยู่บนเตียง  เมื่อจ้องมองใบหน้านั้นความเสียใจก็เกาะกุมจิตใจเธออีกครั้ง  ตั้งแต่เธอก้าวเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เคโตะต้องพรากจากแม่ของเขา  และความรู้สึกผิดนี้ก็ยังคงฝังตรึงในหัวใจของเธอตลอดมา  ทุกครั้งที่เห็นเคโตะเธอจึงพยายามทำดีเพื่อชดใช้สิ่งที่ทำให้เขาต้องสูญเสีย  แต่ทุกสิ่งมันก็ไม่สามารถทดแทนสิ่งที่เคโตะขาดหายไปได้  “ฉันขอโทษนะเคโตะคุง”

     

              เคนอิจิเดินลงมานั่งบนโต๊ะอาหารที่มีอาหารเช้าส่งกลิ่นหอมวางไว้รอให้เขาได้รับประทาน  ยูโตะอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว  สองพ่อลูกทักทายกันก่อนที่เคนอิจิจะเริ่มต้นกินอาหาร  “เคโตะล่ะ”  เขาถามหลังจากกินข้าวไปได้แค่คำเดียว

              ยูมิโกะเดินมาวางอาหารสองชุดไว้บนโต๊ะสำหรับตัวเธอและเคโตะ  แต่วันนี้ยังไม่เห็นเคโตะลงมาเลยทั้งๆ ที่ปกติเขาจะเป็นคนลงมากินอาหารเช้าเป็นคนแรก  “เดี๋ยวฉันขึ้นไปดูเขาให้ค่ะ  อาจจะยังไม่ตื่นก็ได้”  ยูมิโกะถอดผ้ากันเปื้อนออก

              “ไม่ต้องหรอก  ไม่อยากกินก็ไม่ต้องลงมา”  เคนอิจิกินข้าวต่อไปโดยทำเป็นไม่สนใจเคโตะทั้งๆ ที่ในใจกลับห่วงลูกชายเต็มกำลัง  สองแม่ลูกสบตากันโดยไม่พูดอะไร  ยูมิโกะนั่งลงกินอาหารเช้ากับสามีและลูกชายต่อไป  เธอเก็บจานไปล้างหลังจากทุกคนกินเสร็จแต่ถึงกระนั้นเคโตะก็ยังไม่ลงมา

              “ผมไปทำงานแล้วนะครับ”  ยูโตะลุกขึ้นแล้วเดินออกไป

              ยูมิโกะมองสามีที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์โดยทำเป็นไม่สนใจสิ่งใด  เธอส่ายหน้าน้อยๆ  ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าสามีเป็นห่วงลูกชายคนโตแค่ไหน  แต่ทำไมนะ  สองพ่อลูกนี้ถึงได้นิสัยเหมือนกันเสียจริงๆ  ทั้งหยิ่งในศักดิ์ศรี  ไม่ยอมลงให้ใครง่ายๆ  “ถ้าห่วงก็ขึ้นไปดูสิคะเคนซัง”  เธอพูดขึ้นเมื่ออยู่กันตามลำพัง  แต่เคนอิจิยังนิ่งเฉยอ่านหนังสือพิมพ์ต่อไป  ยูมิโกะมองสามีอย่างเหนื่อยใจ  เธอหยิบถาดอาหารเช้าแล้วเดินขึ้นข้างบน

              “นั่นเธอจะไปไหน”  เคนอิจิถาม

              “ฉันจะเอาอาหารเช้าไปให้เคโตะคุงน่ะค่ะ  คุณคงไม่ห้ามฉันใช่มั้ย”  ยูมิโกะไม่ได้สนใจสามีอีกต่อไปว่าเขาจะพูดอะไร  เธอเดินตรงไปยังห้องของลูกเลี้ยงพร้อมอาหารเช้าในมือ

     

              เคโตะตื่นขึ้นมาพร้อมความหนักอึ้งในหัวสมอง  เขาค่อยๆ ยันตัวเองขึ้นรู้สึกถึงร่างกายที่อ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง  ลมหายใจก็ร้อนผิดปกติ  เขารู้สึกกระหายน้ำและเจ็บคอจนแทบจะส่งเสียงออกมาไม่ได้  เคโตะลุกขึ้นยืนแต่หน้ากลับมืดขึ้นมาจนต้องยืนพิงกำแพงไว้  เขาหยิบขวดน้ำเปล่าขึ้นมาดื่มค่อยรู้สึกดีขึ้นหน่อยอย่างน้อยก็ช่วยให้อาการเจ็บคอของเขาทุเลาลงบ้าง

              เคโตะเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำแต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้เขารู้สึกสดชื่นขึ้น  เขากลับไปนอนเหมือนเดิมเพราะรู้สึกปวดหัวและเหนื่อยล้าจนเดินต่อไปไม่ไหว

              เสียงเคาะประตูดังขึ้น  “เคโตะคุง  ฉันเข้าไปได้มั้ย”  เคโตะไม่ได้ตอบเธอ  ยูมิโกะเปิดประตูเข้ามาในห้อง  การที่เห็นเคโตะยังนอนอยู่นับเป็นเรื่องผิดปกติ  เธอวางถาดอาหารลงบนโต๊ะ  “ฉันเอาอาหารเช้ามาให้นะเคโตะคุง”  แต่เคโตะก็ไม่ได้ตอบเธออีก  เขานอนหันหลังให้เพื่อที่เธอจะได้ไม่เห็นใบหน้าซีดเซียวของเขาวันนี้

              “วางไว้ตรงนั้นแหละ  ขอบคุณครับ”  ประโยคหลังเคโตะพูดเบาจนแทบไม่ได้ยิน

              ยูมิโกะยิ้ม  เธอกำลังจะเดินออกไปแต่แล้วก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง  เธอเดินกลับไปยังเตียงของเคโตะ  “เคโตะคุงไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”

              เคโตะไอออกมาสองสามครั้งแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังถือดีกับแม่เลี้ยง  “ผมไม่เป็นไร  ออกไปได้แล้ว”

              ยูมิโกะจับน้ำเสียงที่แหบแห้งผิดปกตินั้นได้  “ถ้าไม่สบายทำไมไม่บอกฉันล่ะ  อย่าฝืนร่างกายตัวเองสิ”

               “คุณเป็นแม่ผมหรือไง”

              แค่ประโยคเดียวจากเคโตะก็ทำให้ยูมิโกะต้องนิ่งเงียบ  เธอกำลังจะเดินออกจากห้องแต่ก็อดห่วงลูกเลี้ยงไม่ได้  เธอลังเลอยู่ที่หน้าประตูก่อนจะตัดสินใจเดินกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง  เธอหยิบถาดอาหารเช้าขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะหัวเตียง  “ตื่นขึ้นมากินข้าวเถอะนะเคโตะคุงแล้วจะได้กินยา  ไม่งั้นอาจจะเป็นหนักกว่านี้ก็ได้”

              เคโตะลุกขึ้นมองเธออย่างรำคาญ  ชั่วขณะนั้นที่ความปวดเมื่อยได้แล่นไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็วแต่เคโตะก็ยังคงฝืนไว้  “ผมบอกว่าผมจะนอนไง  อย่ารบกวนผมได้มั้ย”

              “แต่ฉันเป็นห่วงเคโตะคุงนะ”

              “แม้แต่พ่อยังไม่ห่วงผมเลย  คุณเป็นใครถึงได้มาล้ำเส้นแบบนี้”

              ยูมิโกะรู้สึกเสียใจกับคำพูดนั้นแต่ก็พูดอะไรออกมาไม่ได้ในเมื่อสิ่งที่เคโตะพูดนั้นเป็นความจริงทุกอย่าง  เธอเป็นใครถึงได้กล้าห่วงเขา  ยูมิโกะถอนหายใจ  เธอหยิบถาดอาหารขึ้น  “แต่หน้าที่ของฉันคือต้องดูแลเคโตะคุงให้ดีที่สุด  ถ้าไม่ให้ฉันห่วง  เธอก็ต้องห่วงตัวเองบ้าง  กินข้าวนะ”

              เคโตะปัดมือเธออกอย่างรำคาญจนทำให้ถาดอาหารหล่นกระจายบนพื้น  “บอกว่าไม่กินไง!

              “เคโตะ!  เสียงของเคนอิจิดังขึ้นที่หน้าห้อง  หลังจากเห็นว่ายูมิโกะขึ้นไปห้องเคโตะนานแล้วเขาจึงขึ้นมาดูเผื่อว่าเคโตะจะเป็นอะไรอย่างที่ภรรยาว่า  แต่เขากลับเห็นปฏิกิริยาก้าวร้าวที่เคโตะทำกับแม่เลี้ยงทำให้เขารู้สึกโกรธลูกชายคนนี้ขึ้นมาอีกครั้ง  “ฉันชักจะทนแกไม่ไหวแล้ว!  เขาเข้าไปกระชากแขนลูกชายเพื่อต่อว่าแต่สิ่งที่พบกลับเป็นการที่เคโตะไร้เรี่ยวแรงที่จะต่อต้านเขา  อุณหภูมิในตัวก็ร้อนแบบผิดปกติแต่ถึงกระนั้นสายตาที่เคโตะมองเขาก็ยังคงนิ่ง

              “ผมทำให้เมียพ่อต้องเสียใจอีกแล้ว  เอาสิ  จะตีผมอีกกี่ครั้งก็เชิญเลย  ผมสู้พ่อไม่ได้แล้วนี่”  เคโตะยิ้มให้พ่ออย่างท้าทาย

              เคนอิจิกำแขนเคโตะแน่น  “ป่วยจะตายอยู่แล้วยังทำมาเป็นอวดดีอีก!

              เคโตะหัวเราะ  “งั้นก็ปล่อยให้ผมตายสิ  ผมมันก็แค่ส่วนเกินไม่ใช่หรือไง”

              เคนอิจิจ้องหน้าลูกชายนิ่ง  เขาปล่อยมือเคโตะแล้วหันไปคว้าแขนของภรรยา  “ออกไปเถอะยูมิโกะ  ถ้าไม่อยากให้ดูแล  คุณก็ไม่ต้องดูแล  ถ้าอยากอยู่คนเดียวก็ให้อยู่ไป”

              ยูมิโกะพยายามห้าม  “แต่ว่า....”

              “ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น”  เคนอิจิลากภรรยาออกไปจากห้อง

              เคโตะรู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกแน่นที่หน้าอกก่อนที่น้ำตาที่กลั้นไว้จะไหลออกมา  เขาปัดมันออกไปอย่างรำคาญ  อยากจะร้องไห้แต่ก็รู้สึกว่านี่มันช่างอ่อนแอเหลือเกิน  ตัวเขาในเวลานี้ไม่สามารถต้านทานแม้แต่อารมณ์เล็กๆ น้อยๆ ของตัวเองได้  เขาปิดปากตัวเองไว้เพื่อไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกไป  ทำไมเขาถึงได้รู้สึกโดดเดี่ยวอย่างนี้นะ

     

               “เคนซังคะ  เคนซัง  ปล่อยมือฉันเธอนะคะ”  ยูมิโกะพยายามแกะมือของสามีออกจากแขนของเธอ  เคนอิจิลากภรรยาลงมาข้างล่างก่อนจะปล่อยเธอให้เป็นอิสระ  เธอมองสามีอย่างเสียใจ  “เคโตะคุงไม่สบายอยู่นะคะ  ทำไมคุณทำแบบนี้”

              เคนอิจินั่งลงบนโซฟาอย่างรำคาญใจ  “คุณไม่ต้องไปดูแลมันแล้ว  มันอยากจะทำอะไรก็ตามใจมัน”

              ยูมิโกะนั่งลงข้างๆ สามี  เธอพยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบ  “อย่าทำอย่างนี้เลยนะคะเคนซัง  เคโตะคุงต้องการคุณ”

              เคนอิจิหัวเราะ  “อย่าพูดปลอบผมเลยยูมิโกะ  มันไม่ได้ต้องการผมหรอก  มันไม่อยากจะเห็นหน้าผมด้วยซ้ำ!  เขาพูดเสียงดังด้วยความโมโห  “ต่อไปนี้คุณไม่ต้องไปดูแลมันอีกแล้ว”

              “คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะคะ  คุณบอกฉันเสมอว่าให้ดูแลยูโตะให้ดีแต่ทำไมกับเคโตะคุงคุณถึงได้ปล่อยปละละเลยเขาแบบนี้  ถ้าคุณทำแบบนี้มันก็ไม่ผิดหรอกที่เขาจะบอกว่าคุณรักลูกไม่เท่ากัน”

              “ยูมิโกะ”  น้ำเสียงเคนอิจิดูอ่อนลง

              “ถึงยังไงก็ปล่อยให้เคโตะคุงอยู่คนเดียวไม่ได้”  เธอยืนยันคำพูดตัวเองหนักแน่น

              “แต่คนที่จะดูแลเคโตะต้องไม่ใช่คุณ  หน้าที่ของคุณคือดูแลยูโตะให้ดีก็พอแล้ว  ส่วนเรื่องของเคโตะ  มันโตแล้วคงดูแลตัวเองได้”

              ยูมิโกะมองหน้าสามีอย่างอ่อนใจ  “แต่เคนซังคะ  คุณก็รู้ว่าเคโตะคุงต้องการที่พึ่งแค่ไหน  และอีกอย่างเราอยู่บ้านเดียวกันจะให้ฉันนิ่งดูดายเขาได้ยังไง”  เธอเงียบไปเพื่อดูปฏิกิริยาจากสามี  “เขาเป็นลูกของคุณนะคะ”

              คำพูดของยูมิโกะทำให้เคนอิจิใจเย็นลงบ้าง  เขาถอนหายใจอย่างหนักหน่วง  “ผมขอโทษ  ผมคงใจร้อนไปหน่อย”

              ยูมิโกะจับมือสามีเพื่อให้กำลังใจ  “ไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ  เคโตะคุงอาจจะแค่เครียดนิดหน่อย  ได้พักผ่อนบ้างก็ดีเหมือนกัน”

              เคนอิจิพยักหน้า  “ขอบคุณยูมิโกะ”

              ยูมิโกะยิ้ม  “ถ้าอย่างนั้นฉันขึ้นไปดูเขาหน่อยนะคะ”  เธอว่าแล้วก็เดินขึ้นไป

              ความคิดของเคนอิจิวนเวียนอยู่ในหัวของเขาไม่จบไม่สิ้น  ถ้าคุณอยู่ลูกก็คงไม่เป็นแบบนี้ใช่มั้ยคัทสึเอะ

     

              ----------------------------------------------------

              ต่อไปนี้อาจจะอัพช้าหน่อยนะคะ  ต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว

              แต่จะหาเวลามาอัพบ่อยๆ นะ  ไม่ปล่อยให้รอนานแน่นอนค่ะ ^___^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×