คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1
ตอนที่ 1
เสียงเคาะประตูดังขึ้น เคนอิจิละสายตาจากทิวทัศน์ของเมืองหลวงตรงหน้า ผู้ช่วยของเขาเข้ามาแล้วโค้งให้ “เป็นยังไงบ้างคุณยาบุ ลำบากคุณอีกแล้ว”
“ผมยินดีเสมอครับท่านประธาน” โคตะยิ้มและรายงานต่อ “ร้านสาขาที่คุณเคโตะดูแลอยู่กำลังไปได้ดีครับ อัตราการเติบโตอยู่ที่ 15 เปอร์เซ็นต์ในไตรมาสแรก”
“เหรอ งั้นก็ดีแล้ว” เคนอิจิกลับมานั่งที่เก้าอี้ โคตะนั่งลงตรงหน้า “แล้วพฤติกรรมการทำงานเป็นยังไงบ้าง”
“จากที่ผมสอบถามพนักงานของสาขานั้น ไม่มีใครเคยเห็นคุณเคโตะมาทำงานเลยครับ”
“ว่าไงนะ” เคนอิจิถามเสียงดัง
“พนักงานไม่มีใครเคยเห็นคุณหนูใหญ่เลยสักคนเดียว” โคตะรายงาน
เคนอิจิขมวดคิ้ว “เป็นไปได้ยังไง”
“ผมก็ไม่ทราบครับ ไม่รู้ว่าคุณเคโตะอยู่ที่ไหนในเวลางานแต่ทุกสิ่งทุกอย่างมักจะถูกจัดการอย่างเรียบร้อยเสมอโดยรองผู้จัดการยามาดะ เรียวสุเกะ ซึ่งผมก็สอบถามไปแล้วคุณยามาดะบอกว่ารับคำสั่งมาจากคุณเคโตะอีกทีหนึ่ง”
เคนอิจิขมวดคิ้ว รู้สึกแปลกใจกับวิธีการทำงานของลูกชายคนโต ทำงานโดยที่พนักงานไม่เคยเห็นหน้า เป็นไปได้ยังไง “แล้วยูโตะล่ะ”
“ของคุณยูโตะ เป็นไปได้ดีครับ อัตราการเติบโตอยู่ที่ 13 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าดีมากสำหรับเด็กใหม่”
เคนอิจิพยักหน้า “ดีแล้ว” เขาลุกขึ้นยืน
“ท่านประธานจะไปเยี่ยมสาขาของคุณหนูทั้งสองมั้ยครับ”
“ไม่ล่ะ” เสียงทุ้มต่ำของเขาเอ่ยตอบ “รอดูต่อไปก่อนให้เขาสองคนจัดการกันเองก็แล้วกัน”
โคตะโค้งให้ “เข้าใจแล้วครับ”
เคค่อยๆ ย่องไปข้างหลังของหนุ่มหน้าหวานที่ทำความสะอาดโต๊ะอาหารอยู่ เขาเดินเข้าไปใกล้และจับไหล่คนตัวเล็กกว่าไว้ “จ๊ะเอ๋!! ไดจัง”
ไดกิสะดุ้งตะใจ “อะไรของนายเนี่ย อิโน่จัง” เขากล่าวอย่างอารมณ์เสียนิดๆ
เคทำเหมือนมันไม่ได้มีอะไรมากมายเลย “เลิกงานแล้วไปกินข้าวเย็นกันนะ”
ไดกิหันมาทำตาเขียวปัด “ไม่ไป”
เคออดอ้อน “น่านะ ไปนะไดจัง ขอร้องนะ นะนะนะ”
ไดกิมองด้วยสีหน้าเอือมระอา “ก็ได้ แต่ให้ฉันทำความสะอาดให้เสร็จก่อนได้มั้ยล่ะ”
เคยืดอกขึ้น “เฮ้ย เคโตะ มานี่หน่อยสิ” เขาหันไปเรียกชายหนุ่มในชุดพนักงานที่อยู่อีกมุมหนึ่งของร้าน
เคโตะเดินเข้ามาหาเขา “พี่อิโนะ มีอะไรหรือเปล่าครับ” เขาถามอย่างนอบน้อม
“วันนี้ฉันกับไดจังจะไปเดทกัน...”
“ใครจะไปเดทกับนายมิทราบ!” เสียงไดกิแว้ดขึ้นแต่เคไม่สนใจ
“นายช่วยทำในส่วนของไดจังให้ทีนะ แล้วฉันจะซื้อของกินมาฝาก ไปน้าา” ว่าแล้วก็ลากไดกิไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยไม่ได้สนใจเสียงคัดค้านของร่างเล็กเลย เคโตะได้แต่มองตามอย่างอึ้งๆ แต่ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ เขาหวังแค่ว่าความรักของพวกเขาทั้งสองจะไม่เป็นเหมือนพ่อแม่ของเขา
เรียวสุเกะขมวดคิ้วแบบไม่ตั้งใจขณะที่ยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมด เขาเข้าไปแย่งผ้าเช็ดโต๊ะจากเคโตะที่เริ่มต้นทำงานอีกครั้ง “ผมทำเองครับ” เขาพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำซึ่งเคโตะรู้ดีว่าทำให้ผู้ช่วยผู้จัดการคนนี้โกรธอีกแล้ว เขาแย่งผ้าเช็ดโต๊ะกลับคืนไป
“มันก็แค่งานกะดึกเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเองน่า ฉันทำเองได้”
“แต่คุณเป็นลูกชายของท่านประธานนะครับ คุณจะมาทำอย่างนี้ได้ยังไง” เรียวสุเกะพูดอย่างอารมณ์เสีย
เคโตะเช็ดโต๊ะต่อไปโดยทำเป็นไม่ได้ยินเสียง เรียวสุเกะจะเข้าใจความรู้สึกของเขาได้ยังไง “เพราะเป็นลูกชายไงถึงต้องทำ เพราะต้องทำงานต่อไปถึงต้องเข้าใจหัวอกของพนักงานทุกคน ฉันบอกนายแล้วนะยามาดะ”
เรียวสุเกะเหนื่อยใจ “ใช่ครับ แต่ว่า...”
“เลิกพูดได้แล้ว ไปจัดเตรียมเอกสารไว้แล้วฉันจะได้ตรวจดูให้ละเอียดอีกครั้งหลังปิดร้าน”
เรียวสุเกะถอนหายใจ ถึงยังไงซะเขาก็เถียงสู้เจ้านายตัวเองไม่ได้หรอก เรียวสุเกะหันหลังเดินกลับไปยังเคาท์เตอร์แล้วตรวจเช็ครายได้ของวันนี้ เขาเหลือบมองเคโตะที่กำลังเก็บเก้าอี้ให้เข้าที่อยู่ “เมื่อวานนี้ คุณได้กินพิซซ่าที่ผมซื้อให้หรือเปล่าครับ ปกติคุณมักจะเหลือไว้แล้วมาแบ่งอิโนะโอะ แต่วันนี้ผมไม่เห็นเลย”
เคโตะชะงักแล้วนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวาน เขาเกือบจะลืมมันไปแล้ว เขาหันไปยิ้มแห้งๆ ให้ผู้ช่วย “ฉันลืมน่ะ”
เรียวสุเกะถอนหายใจเฮือกใหญ่ “โธ่ ผู้จัดการครับ”
“อย่าเรียกฉันอย่างนั้นสิ” เคโตะเอ็ด “เดี๋ยวคนอื่นก็รู้กันหมดหรอก เรียกเคโตะก็พอ”
“แต่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้วนะครับ คุณไม่ต้องกลัวก็ได้” เขามองเคโตะอีกอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง “ถึงยังไงก็ต้องกินข้าวบ้างนะครับ ผมอุตส่าห์ซื้อพิซซ่าให้คุณแต่ก็ยังไม่ยอมกินซะได้ คุณผอมลงมากเลยนะช่วงนี้”
เคโตะก้มลงดูตัวเองแล้วหัวเราะแห้งๆ “งั้นเหรอ ไม่รู้ตัวเลยนะเนี่ย”
“คุณโอคาโมโตะครับ หยุดทำแบบนี้เถอะครับผมขอร้อง คุณเหนื่อยเกินไปแล้ว”
เคโตะฝืนยิ้ม “ที่ฉันทำเพราะฉันอยากจะทำ”
“แต่ว่า....”
“ยามาดะเลิกพูดได้แล้ว วันนี้ฉันยังมีงานต้องทำอีกเยอะ”
เรียวสุเกะก้มหน้าลงอย่างจนมุม ไม่มีทางที่เขาจะเปลี่ยนใจเจ้านายคนนี้อีกแล้วใช่มั้ย
“ทำอะไรอยู่เหรอยูมิโกะ” ยูมิโกะสะดุ้งตื่นขึ้นหลังจากฟุบหลับบนโต๊ะอาหารเมื่อไรก็ไม่รู้ เธอมองไปยังสามีที่เดินลงมาจากชั้นบน “ทำไมยังไม่นอนอีก” เคนอิจิถาม
ยูมิโกะนวดขมับเบาๆ เพื่อให้ความง่วงหายไป “ฉันกำลังรอเคโตะคุงน่ะค่ะ ป่านนี้ก็ยังไม่กลับมาเลย”
เคนอิจิเหลือบมองนาฬิกาบนผนังที่บอกเวลาเที่ยงคืน “เจ้าลูกคนนี้นี่!” เขากล่าวอย่างอารมณ์เสีย “คุณดีกับมันขนาดนี้มันยังทำให้คุณเสียใจได้ทุกวัน แล้วคุณจะไปสนใจอะไรมันนักหนายูมิโกะ”
“เพราะเขาเป็นลูกชายของคุณค่ะเคนซัง” ยูมิโกะกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ลูกของคุณก็เหมือนกับลูกของฉัน”
เคนอิจิเข้าไปโอบภรรยาไว้ “แต่นี่มันดึกแล้ว คุณต้องพักผ่อนบ้าง เดี๋ยวเจ้าเคโตะมันก็กลับมาเองน่ะแหละ”
ยูมิโกะมองหน้าสามี “คุณไม่ห่วงลูกชายของคุณบ้างเหรอคะ เขายังเด็ก กลับบ้านดึกแบบนี้อันตราย”
เคนอิจิละอ้อมกอดและนั่งลง “ก็เจ้านี่มันเคยกลับบ้านเร็วซะที่ไหนล่ะ แล้วอีกอย่างเคโตะมันเป็นผู้ชายคงดูแลตัวเองได้” เขามองภรรยา “คุณไปนอนเถอะ แล้วอาหารนี่ก็เก็บไปได้แล้ว เคโตะคงกินอะไรจากข้างนอกมาแล้วล่ะ”
“แต่ว่า....”
“ยูมิโกะ!” เคนอิจิสั่งเสียงเฉียบขาด
ยูมิโกะพยักหน้าเข้าใจ “ถ้าอย่างนั้นขอเวลาฉันเก็บของนะคะ แล้วเดี๋ยวฉันจะตามขึ้นไป”
“ถ้างั้นก็ตามใจ”
ยูมิโกะยิ้มให้สามีก่อนที่เขาจะเดินกลับขึ้นข้างบน เธอหันไปมองหน้าประตูอีกครั้ง สงสัยจะไม่กลับมาแล้วมั้ง เธอเก็บกับข้าวที่ยังไม่ได้ถูกแตะต้องเข้าไปในตู้เย็นเผื่อเคโตะจะกลับมา
“คุณแม่ครับ” ยูมิโกะหันไปตามเสียงเรียก “ทำไมแม่ต้องดีกับมันขนาดนี้ด้วย” ยูโตะพูด ยูมิโกะปิดตู้เย็นแต่ไม่พูดอะไร “มันเกลียดพวกเรา แม่ไม่จำเป็นจะต้องไปทำอะไรให้มันเลย”
“ยูโตะอย่างพูดอย่างนั้น เขาเป็นพี่ของลูกนะ”
“แต่มันไม่เคยเห็นผมเป็นน้อง” ยูโตะพ่นลมหายใจอย่างโกรธแค้น “มันทำอย่างกับพวกเราเป็นคนที่เข้ามาเกาะคนอื่นกิน มันเห็นเหมือนพวกเราเป็นกาฝาก”
“เคโตะคุงเขาไม่คิดอย่างนั้นหรอก”
“มันคิดแน่” ยูโตะจ้องมองแม่ของตัวเองเขม็ง รู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหล เขาสงสารแม่ที่ต้องมารับภาระนี้ สองพ่อลูกนั่นทำให้แม่ของเขาต้องทนทุกข์ทรมานกับความรู้สึกผิด ถ้าไม่มีเขาแม่ก็คงจะไม่ต้องลำบากแบบนี้ “ผมเกลียดมัน”
“ยูโตะ” ยูมิโกะเรียกอย่างใจหาย “ลูกพูดแบบนี้ออกมาได้ยังไง” ยูโตะไม่ตอบ เขาเดินปึงปังขึ้นห้องไปอย่างอารมณ์เสีย เสียงรถวิ่งเข้ามาจอดในบริเวณบ้าน ยูมิโกะละสายตาจากลูกชายแล้ววิ่งออกไป เคโตะลงมาจากรถพร้อมกระเป๋าเอกสาร “เคโตะคุงกลับมาแล้วเหรอจ้ะ” เธอถามด้วยรอยยิ้ม
เคโตะมองเธอด้วยสายตารำคาญ ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะอยู่ที่ร้านจนดึกเพื่อจะไม่ต้องเจอกับคนในบ้านนี้แล้วแต่แม่เลี้ยงก็ยังตามราวีไม่เลิก “ครับ” เขาตอบห้วนๆ แล้วเดินจากไป
ยูมิโกะเดินตาม “เคโตะคุงกินอะไรมาหรือยัง ฉันหาอะไรให้กินเอามั้ย”
พอยูมิโกะถามแบบนี้เคโตะก็เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองหิว ตอนที่ทำงานอยู่ที่ร้านก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย “ผมกินแล้ว” เคโตะเดินจากไป ยูมิโกะรับรู้ได้ว่าลูกเลี้ยงของเธอกำลังโกหก เธอหยิบอาหารที่เพิ่งเอาเข้าตู้เย็นเมื่อสักครู่ออกมาอุ่น
เสียงเคาะประตูห้องทำให้เคโตะละสายตาจากแฟ้มเอกสารตรงหน้า เขาเหลือบมองนาฬิกา ตีหนึ่งแล้วใครจะมาคุยอะไรกับเขาอีกไม่คิดจะให้เขาพักผ่อนบ้างหรือไง “นั่นใครน่ะ”
“ฉันเองนะเคโตะคุง”
เคโตะขมวดคิ้ว เขาวางเอกสารลงและลุกไปเปิดประตู “มีอะไรครับ” เขามองถาดอาหารที่อยู่ในมือยูมิโกะก็รู้ว่ายูมิโกะมาเคาะห้องเขากลางดึกทำไม เขาไม่เคยเข้าใจว่าทำไมแม่เลี้ยงถึงดีกับเขาถึงขนาดนี้ทั้งๆ ที่เขาก็ร้ายกับเธอมาตลอดและแสดงออกด้วยว่าเกลียดเธอ นับวันเขาก็ยิ่งรู้สึกผิด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็โกรธเธอเพราะเธอเป็นต้นเหตุที่ทำให้แม่ของเขาจากไป “ผมไม่หิว”
ยูมิโกะใช้มือข้างหนึ่งดันประตูไว้ขณะที่เคโตะกำลังจะปิดมันลง “ฉันรู้ว่าเคโตะคุงยังไม่กินอะไร อย่างน้อยก็กินนมสักหน่อยนะแล้วค่อยนอน”
เคโตะมองเธออย่างอารมณ์เสีย “ก็บอกว่าผมไม่หิวไง”
ยูมิโกะคว้าข้อมือเคโตะไว้ “กินสักหน่อยนะ ไม่งั้นพ่อเธอจะเป็นห่วง”
“พ่อไม่ห่วงผมหรอก” เขาสะบัดมือออก ด้วยแรงของเคโตะทำให้ยูมิโกะทำถาดอาหารตกบนพื้น เศษแก้วแตกกระจาย เคโตะรู้สึกผิดแต่เขาก็ไม่อาจทำอะไรได้ เคนอิจิและยูโตะวิ่งมาทางพวกเขาทั้งสอง
“เกิดอะไรขึ้น” เคนอิจิถาม
ยูมิโกะยิ้มเพื่อลดสถานการณ์รุนแรง เธอรู้ว่าสามีเธอโกรธง่ายแค่ไหนโดยเฉพาะกับลูกชายคนโตด้วยแล้วเวลาโกรธไม่มีใครห้ามอะไรได้ “ไม่มีอะไรหรอกค่ะเคนซัง ฉันซุ่มซ่ามเอง”
เคนอิจิมองไปยังลูกชายคนโตที่ทำหน้าแบบไม่รู้ไม่ชี้อยู่ “แกใช่มั้ยเคโตะ”
เคโตะสบตาพ่ออย่างท้าทาย “ใช่ ผมเอง มีอะไรมั้ย” เคนอิจิรู้สึกถึงพายุแห่งความโกรธที่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาฟาดมือใหญ่ไปบนใบหน้าของลูกชาย
“เคนซัง!/คุณพ่อ!” ยูโตะกับยูมิโกะอุทานออกมาพร้อมกันอย่างตกใจ ปกติแล้วถึงแม้จะโกรธแค่ไหนแต่เคนอิจิก็ไม่เคยใช้กำลังกับลูกของตัวเองสักครั้ง แต่ครั้งนี้กลับไม่ใช่
“ยูมิโกะเขาดีกับแกขนาดไหนทำไมแกไม่สำนึกบ้าง!” เคนอิจิตะคอกใส่หน้าลูกชาย
เคโตะหันมามองหน้าพ่อด้วยสีหน้าปราศจากอารมณ์ ยูมิโกะมองรอยแดงบนใบหน้าของเคโตะอย่างใจหาย “แค่นี้ใช่มั้ย ผมจะได้นอนซะที” เขาปิดประตูลง ถึงแม้จะอยู่ในห้องแต่เคโตะก็ยังได้ยินเสียงคนทั้งสามข้างนอกอยู่ดี เขายืนพิงประตูไว้รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินของบ้านหลังนี้ เคโตะปล่อยให้น้ำตาตัวเองไหลออกมาอย่างเงียบเชียบ เขาอยากให้แม่อยู่กับเขาที่นี่จริงๆ
ความคิดเห็น