ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Hotel Of The Death (3 ความสยองต่อเนื่อง)

    ลำดับตอนที่ #4 : chapter 2 เรื่องประหลาดกลางดึก

    • อัปเดตล่าสุด 7 เม.ย. 48




      “สวัสดียามดึกครับ  เผอิญเราเห็นพวกคุณเพิ่งมาพักที่นี่ เลยอยากเข้ามาทำความรู้จักด้วย  จะเป็นการรบกวนรึเปล่าครับ”

    ชายคนหนึ่งดูมีอายุ  หนวดและผมสีขาวโพลน ถามซีนเทียร์ โดยมีผู้หญิงตัวผอมสูงและเด็กหญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหลัง  



    “เอ่อ . . . ไม่เป็นการรบกวนหรอกค่ะ”  ซีนเทียร์ตอบ แล้วหลีกทางให้ทั้งสามคนผู้มาเยือนเข้ามาในห้อง  



       “ผมชื่อ โรเจอร์    ดรูวส์ เพิ่งมาค้างที่นี่เมื่อตอนบ่าย  ผมอยู่ห้อง 219 ครับ  และนี่ - - ภรรยาผม  เอเวลีน”  

    โรเจอร์พยักเพยิดไปทางภรรยาของเขา  จูเลียหันไปยิ้มให้เธอเล็กน้อย  



    “นี่ลูกสาวผม - - เคลลี่”     โรเจอร์ชี้ไปยังเด็กหญิงตัวเล็ก   ที่ใส่ชุดนอนสีฟ้าอ่อน ผมสีเหลืองอมส้ม  



    “สวัสดีค่ะ”  เคลลี่ทักทาย  



      “ครอบครัวผม วางแผนจะไปเที่ยวเกาะโรสไอแลนด์  แต่กลับหลงทางมาที่นี่  ซึ่งก่อนหน้าเรา  มีนักเขียนคนหนึ่ง

    เขาชื่อ เอ่อ - - เอ่อ … เขาชื่ออะไรนะ”  โรเจอร์หันไปถาม   เอเวลีน    “ลีโอนาโด!” ภรรยาของเขาตอบเบาๆ  



    “อ้อ! ใช่ คนที่ชื่อลีโอนาโด พักอยู่ห้อง 216 น่ะ เขาไม่เคยออกไปไหนเลย   เอาแต่ขลุกอยู่ในห้องทั้งวัน

    พวกเราไปเคาะประตูเขาก็ไม่ยอมเปิด  ยังดีที่พวกคุณเป็นพวกที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี  คุณรู้รึเปล่าว่าทั้งโรงแรมมีแต่

    พวกเราเท่านั้นเอง”  โรเจอร์บอก  



    “เอ่อ . . . ฉันพอรู้จากเจ้าของโรงแรมมาบ้างแล้วล่ะค่ะ” จูเลียบอก  เธอยังไม่สามารถสลัดความกลัวในตอนแรกนั้นออกไปได้

      

    “ยายมากาเร็ตหัวหงอกนั่นน่ะเหรอ  พูดตามตรงผมไม่ค่อยจะชอบเธอสักเท่าไหร่ หรือพูดให้ตรงยิ่งกว่านั้นก็คือ ผมรู้สึกแปลกๆ

    เหมือนกับว่าผมกลัวเธอมาก แต่ไม่รู้สาเหตุของมัน   เอ้อ - - แล้ว - - พวกคุณมากันกี่คนล่ะครับ”  โรเจอร์ถาม  



    “หกคนครับ!”   แซมตอบ



    “อ้าว! คุณเป็นผู้ชายคนเดียวในนี้นี่ โทษทีนะแต่ผมไม่ทันได้สังเกต  เอ่อ - - แต่จริงๆแล้วคุณไม่ควรจะมา - - แบบว่า

    - -พักรวมกันกับพวกผู้หญิงไม่ใช่หรือ” โรเจอร์เลิกคิ้ว  



    “คือ ผู้ชายอีกสองคนยังไม่กลับมาน่ะค่ะแล้วเราก็กำลังรอพวกเขาอยู่” จูเลียอธิบาย  



    “อ้อ - - แต่ว่า  คุณกลัวอะไรหรือครับ - - คุณ…”     “แซม ครับ!”  แซมตอบเสียงฉาดฉาน



    “เอ้อ - - คุณแซมผมคิดว่า - - คงไม่ใช่ผมคนเดียวซะล่ะมั้งที่รู้สึกแปลกๆกับสถานที่แห่งนี้”  

    โรเจอร์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆแซม  จนเขาต้องผงะถอยหลัง…





          รถคันหนึ่งจอดอยู่ระหว่างหมู่ต้นสน  ฝนหนาเม็ดและลมที่กระแทกเข้ามาทำให้ต้นสนพริ้วไหวในความมืดอย่างน่าขนลุก

    บิลลี่วิ่งเข้าไปตรงจุดที่รถจอดอยู่  ภาพที่เห็นคือ  ประตูรถเปิดอ้าอยู่ - - กุญแจรถหล่นอยู่ที่พื้นโคลนเปียกแฉะ - -

    และไม่ไกลกันนักมีเสื้อคลุมสีเทาของคีธตกอยู่ - - แต่ไม่มีคีธ!  บิลลี่มองไปรอบๆ  ถึงแม้คีธจะเป็นคนผิวดำแต่ยังไงก็น่า

    จะมองเห็นได้ในความมืดเช่นนี้   อุปสรรคสำหรับงานนี้คือ ฝนที่ทวีความหนักขึ้นเรื่อยๆ  เขาตัดสินใจวิ่งไปดูในรถอีกครั้ง

    เบาะเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝนที่สาดเข้ามา



    เขาตรวจดูที่หลังรถไม่พบอะไรเลย  จึงปิดประตูรถ  แต่ในเสี้ยววินาทีหนึ่งที่ประตูรถปิด ...

    เขาได้ยินเสียงคนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด - -



                          บิลลี่ตกใจมาก  เขาพยายามควบคุมสติหันกลับไปมองในรถ  มีบางอย่างซ่อนอยู่ในความมืดด้านหลังรถ

    บิลลี่เพ่งมองผ่านม่านน้ำฝนเข้าไป  และเขาก็ได้เห็น  

    ‘มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ที่เบาะหลังรถ!’  บิลลี่ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนกำลังเห็น  

    เขาคิดว่าตรวจดูอย่างดีแล้วว่าไม่มีใครในรถก่อนที่จะปิดประตู   ขณะนี้หล่อนกรีดร้องเสียงดังจนบิลลี่ซึ่งอยู่ข้างนอกรถ

    ยังได้ยินเสียงร้องของเธอ  ตอนนี้เขาเริ่มเก็บความหวาดกลัวที่มีอยู่ข้างในไว้แทบไม่ไหวแล้ว  



                 แสงของดวงจันทร์อ่อนๆเริ่มทาทาบลงมาบนรถ  เผยให้เห็นตาโตแดงก่ำของเธอ และเหงื่อเม็ดหนาเท่าเม็ดส้ม

    ประพรมอยู่ทั่วแผ่นหน้า เธอเอามือที่มีเล็บยาวแหลมจิกที่หนังศีรษะ  พร้อมกับกรีดร้องด้วยเสียงอันโหยหวน  

    เธอก้มๆเงยๆอยู่พักหนึ่งอย่างบ้าคลั่งจึงหมดแรงล้มลง…

                    บิลลี่รวบรวมความกล้าทั้งหมดเท่าที่มีเหลืออยู่ เดินเข้าไปเปิดประตูรถ

      ฝนที่เปียกชุ่มตัวทำให้เขารู้สึกหนักตัว  เสียงฟ้าผ่าลงมาทำให้เขาสะดุ้ง!  

    เขาพยายามใหม่  ในการเดินเข้าไป  เขาเหลือบเห็นหน้าต่างหลังรถแล้ว - -

    ใกล้เข้าไป… ใกล้เข้าไป … และ - - ที่ที่ควรจะมีร่างของหญิงบ้าคลั่งนอนอยู่กลับเป็น...

    “คีธ!”     บิลลี่รีบเข้าไปรวบตัวคีธเอาไว้  รู้สึกขอบคุณพระเจ้าที่ช่วยให้เขาเจอคีธเสียที



                 เขาไม่มีเวลาจะคิดถึงภาพเมื่อสักครู่นี้ได้ และไม่สามารถอธิบายได้ด้วย  ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะ

    ไม่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เพื่อนๆฟัง  คีธน้ำหนักพอดีกันกับเขา จึงไม่ค่อยลำบากนักในการที่จะแบกตัวไป

    เขาวิ่งฝ่าพายุฝนเข้าไป  ลมที่พัดแรงทำให้เขาถึงกับเซล้มลง

    เข่าถลอกเป็นแผลยาว  เขาฝืนตัวสู้กับแรงลม ใช้แรงเกือบทั้งหมดที่มีพาร่างตัวเองและเพื่อนของเขาไป



      เมื่อถึงประตูโรงแรมที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เขาก็แทบจะทิ้งตัวเข้าไปข้างในด้วยความเหน็ดเหนื่อย  

    ประตูปิดกลับเข้าไป พร้อมกับฝากเสียงเอี๊ยดอ๊าดไว้ให้ขนลุก..



                         ณ  ห้อง 222 ชั้นสี่  ทุกคนกำลังสนุกสนานกับการดื่มเบียร์ร่วมกัน

    โรเจอร์เสนอให้ทุกคนผลัดกันเล่าเรื่องผี   ซึ่งทุกคนล้วนแต่แต่งเรื่องกันขึ้นมาทั้งนั้น

    ที่มุมหนึ่งจูเลียยังนั่งรอคอยการกลับมาของบิลลี่และหวังว่าคงจะมีคีธกลับมากับเขาด้วย  

    เธอเริ่มรู้สึกง่วงนอน จึงเงยหน้าดูนาฬิกา ซึ่งตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่ม ยี่สิบห้านาที



                 เธอลุกไปหยิบโฟมล้างหน้าในกระเป๋า แล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ  ทุกคนต่างเมามันกับการเล่าเรื่องสยองขวัญ  

    โรเจอร์หน้าแดงก่ำเพราะฤทธิ์จากเบียร์สามกระป๋อง  เคลลี่คอยพยายามปิดหูเพื่อไม่ฟังเรื่องที่แอนนาแต่งขึ้น

    เธอเล่าเกี่ยวกับเรื่องผีหัวขาดในโรงเรียนว่าเธอเจอหัวคนอยู่ในล็อกเกอร์   ซึ่งเธออดยิ้มไม่ได้ในระหว่างเล่าเพราะมัน

    เป็นเรื่องที่เธอใช้เล่าหลอกเด็กมาตั้งแต่อยู่ชั้นป.4    แซมนั้นดูเหมือนต้องเรียกว่าดมกลิ่นของเบียร์มากกว่าการดื่มเบียร์

    เพราะเขาได้แต่มองและทำท่าเหมือนกับกำลังจะดื่มแต่ก็ไม่ยอมดื่มมันสักที     เอเวลีน  นั่งกินมันฝรั่งทอดที่ซีนเทียร์ส่งให้  

      ในขณะที่เอเวลีนยื่นมือหยิบมันฝรั่งทอดจากถุงมาใส่ปาก  แอนนาก็สังเกตเห็นแหวนสีแดงส่องประกายเจิดจ้าอยู่ที่นิ้วนางของเธอ  

    “โอ - - มันสวยมากเลยค่ะ แหวนอะไรหรือคะเนี่ย”



                                             แอนนาอดสอดรู้สอดเห็นไม่ได้   เอเวลีนถอดแหวนออกแล้วยื่นส่งให้กับแอนนา



              “แหวนทับทิมจ้ะ ซื้อมาจาก วัตสันจีเวล  ฉันไม่ขอบอกราคาเธอหรอกนะเพราะเดี๋ยวเธอจะหัวใจวายเสียก่อน”

    เอเวลีนกล่าวเสียงสูง

    แอนนาชื่นชมมันอยู่พักหนึ่งจึงส่งแหวนวงนั้นคืนให้กับเอเวลีน    



          อย่างไรก็ตามระหว่างนั้น จูเลียก็กำลังมีความสุขกับการดูแลผิวหน้าของเธอภายในห้องอาบน้ำหรูหราของโรงแรม

    แต่ใครจะนึกว่าขณะที่เธอกำลังใช้น้ำล้างโฟมออกจากผิวหน้าอันบอบบางของเธอนั้น

    ไฟทั้งโรงแรมก็เกิดดับวูบลงอย่างกะทันหัน!



                       มืด - - มืด – มืด  แล้วก็มืด   ไม่มีอะไรนอกจากความมืด  จูเลียได้ยินเสียงคนข้างนอกโวยวายดังลั่น

    เสียงโรเจอร์ที่กำลังเมา  เสียงซีนเทียร์ร้องเรียกหาเธอ

    เสียงแซมตะโกนว่า “อยู่รวมกลุ่มกันไว้”      

    เสียงเคลลี่ร้องไห้ด้วยความกลัว และเสียงเอเวลีนปลอบลูกของเธอ



                    แต่มีอีกเสียงที่ไม่น่าจะได้ยิน  แต่เธอเองก็ได้ยิน  เธอไม่แน่ใจว่ามันเป็นเสียงของอะไร

    แต่มันอยู่ใกล้เธอเหลือเกิน เธอพยายามตั้งใจฟัง



                                  เสียงลมจากช่องระบายอากาศนั่นเอง!  



                    เธอคงคิดมากไปหน่อย - - เธอรีบเดินไปที่ประตูเพื่อจะออกไปรวมกับคนอื่นๆ  แต่… ประตูเปิดไม่ออก!

    ทำไงดี? เธอเริ่มกระวนกระวายใจ  ความมืดโดยรอบเริ่มทำให้เธอรู้สึกกดดันมากขึ้น อยู่ดีๆ   อีกเสียงหนึ่งที่ทำให้เธอ

    ขนลุกไปจนถึงปลายศีรษะ ก็คือ  



                                 เสียงคนกดชักโครก....



                      “วิ้วววววว  ครอกกกกกก”  เสียงน้ำในชักโครกหมุนวนเป็นเกลียวลงไป  

    จูเลียรู้แน่แล้วว่าเธอกำลังเผชิญหน้าอยู่กับอะไร   เธอพยายามจะกรีดร้องออกมาแต่ก็ร้องไม่ออก    

      เธอได้ยินเพียงเสียงหายใจแผ่วเบาจากปากของตัวเอง

            เสียงต่างๆเงียบไป ...



                     จูเลียตัวสั่นงันงก    ทำไมเธอไม่ได้ยินเสียงคนข้างนอกเลย?  เธอเริ่มรู้สึกเหมือนอยู่คนเดียว

    ในช่วงวิกฤตแห่งความน่ากลัวนี้  เธอหลับตาปี๋ มือหยิกเนื้อตัวเองจนชาไปทั่วตัว  เธอลองเอื้อมมือไปหมุนลูกบิดประตูอีกครั้ง

       ไม่ออก!   และแล้วเสียงใหม่ก็เข้ามาแทนที่ …



                         เสียงน้ำจากฝักบัวไหลลงมากระทบพื้นห้องน้ำ “เปาะแปะเปาะแปะ เปาะแปะ”      

    จูเลียรู้สึกเหมือนหัวใจจะวายด้วยอาการช็อก “หยุดสักที     ฉันไม่ไหวแล้ว  ไม่!  ไม่!  ไม่!   กรี๊ดดดดดดดดดดดดด”





                    

                     ใบหน้าแรกที่เธอเห็นคือ บิลลี่    “บิลลี่! คุณกลับมาแล้ว” เธอโผเข้ากอดเขาแน่น ร้องไห้อย่างรู้สึกปลดปล่อย  

    “ฉันกลัว - - กลัวมาก - - คุณอย่าทิ้งฉันไปอีกนะ”



                             แอนนาเห็นท่าทีของจูเลียแล้วอดปากมากไม่ได้อีกตามเคย  

    “กะอีแค่ไฟดับแค่นี้เนี่ยนะ     ทำอย่างกับจะเป็นจะตาย!”  



    “มันไม่ใช่เรื่องนั้น  ที่นี่มีอาถรรพ์  ฉันได้ยินเสียงนั่น!”   แอนนายั่วโมโหจูเลียได้อีกตามเคย  

    แอนนาทำเมินหน้านี้พลางทำสายตารังเกียจอย่างไม่เชื่อคำพูดของจูเลีย  เพราะเธอคิดว่าจูเลียถือโอกาสทำให้บิลลี่เห็นใจเธอ

    และจะได้รักเธอมากขึ้น    

        

    “เรื่องนั้นฉันเชื่อเธอ - -“  บิลลี่กล่าวช้าๆ และเบาราวเสียงกระซิบ



    “อะไรนะ!” แอนนาพูดเสียงดัง          “ทำไม..”  เธอทำหน้างงงวย  



                    “เพราะ - - เฮ้อ!  ฉันเองก็เจอเรื่องแปลกๆนี้มาเหมือนกัน  - - ตอนแรกฉันกะไว้ว่าจะไม่เล่าให้ใครฟัง

    เพราะกลัวพวกนายไม่เชื่อ  แต่ในเมื่อ จูเลียเองก็เจอเหมือนกับฉัน  ฉันก็คิดว่ามันเป็นเครื่องยืนยันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

    ได้อย่างดี”  เขาเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ฟังเกี่ยวกับผู้หญิงหน้าตาน่ากลัวที่ร้องโหยหวนอยู่ในรถ

    แล้วก็กลายมาเป็นคีธนอนอยู่ที่เบาะหลัง….





                 เมื่อโรเจอร์และครอบครัวของเขากลับไปที่ห้อง  219 หลังจากนัดกับเด็กวัยรุ่นทั้งหกคนว่าพรุ่งนี้

    หลังจากรับประทานอาหารเช้า จะไปเยี่ยมลีโอนาโด นักเขียนที่ห้อง 216      พร้อมกันก่อนที่จะเดินทางต่อ  

    แล้วทุกคนต่างก็ไม่พูดอะไรกันอีกเลย  พวกผู้ชายย้ายกลับไปอยู่ที่ห้อง 221   เมื่อหัวถึงหมอนต่างก็ผล็อยหลับกันไป

    แต่คีธ  บิลลี่   และจูเลีย ซึ่งเป็นครึ่งหนึ่งในกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่ได้เห็นเหตุการณ์ประหลาดกลางดึกที่แสนวุ่นวายนี้อย่างติดต่อกัน  

    ยังคงนอนไม่หลับ   ส่วนอีกครึ่งหนึ่งคือ แอนนา  ซีนเทียร์ และ แซม ก็ยังไม่แน่ใจในสิ่งที่เกิดขึ้น  พวกเขาก็ได้แต่ภาวนา

    ไม่ให้เกิดอะไรกับตัวเอง…



        เสียงพายุฝนโหมกระหน่ำอยู่ที่ด้านนอกเป็นสัญญาณบอกถึงลางร้ายที่เริ่มต้นขึ้น ณ  สถานที่แห่งนี้ และลางร้ายนี้จะจบลง

    ในลักษณะใดไม่มีใครอาจล่วงรู้ได้  แต่ที่แน่ๆ ในขณะที่พวกเขาหลับอย่างกระวนวายอยู่บนเตียงอันแข็งกระด้างในห้องสี่เหลี่ยม

    ผืนผ้าของโรงแรมนั้น  มีบางสิ่งซ่อนตัวอยู่ในเงามืดและจ้องมองมาด้วยสายตาวิงวอน…

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×