ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : chapter 1 การเดินทางที่พลิกผัน
        “ได้ . . . ได้เลยจ้ะที่รัก  อย่าลืมชวนพวกเรามากันเยอะๆล่ะ  อือฮึ! ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละ 
แล้วเจอกันนะ  ราตรีสวัสดิ์”  เด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่งวางหูโทรศัพท์ แล้วเดินไปที่ตู้เก็บของ  ค้นหาอะไรบางอย่าง
แล้วเธอก็หยิบกระเป๋าใบใหญ่ๆขึ้นมาหนึ่งใบ  จัดข้าวของเครื่องใช้จำเป็น  ทั้งเสื้อผ้า  เครื่องสำอาง และ
ชุดว่ายน้ำ  เธอหาวหวอดยาวๆ    ก่อนจะล้มตัวลงนอน ทันทีที่มีเสียงโทรศัพท์มา  เธอก็สะดุ้งตื่น 
          “ฮัลโหล  - -“    เธอกล่าวเสียงงัวเงีย    “ซีนเทียร์เหรอ  มีอะไรรึเปล่า?” เธอถาม   
              “นี่จูเลีย! รู้เรื่องที่พวกเราจะไปพักร้อนกันที่ ซีบีช รึยังจ๊ะ” เสียงในโทรศัพท์ถาม 
“อือ ฉันรู้แล้วล่ะ  บิลลี่เพิ่งโทรมาบอกฉันเมื่อตะกี้นี้เอง”    จูเลียพูด เธอยังอารมณ์เสียนิดๆที่มีคน
โทรศัพท์มาขณะเธอกำลังจะหลับ   
             
          “คือ- - ฉันอยากถามว่า  เธอจะเอาชุดว่ายน้ำไปกี่ตัวเหรอ” ซีนเทียร์ถามเสียงอู้ๆ   
“ฉันเอาไปตัวเดียวก็พอแล้ว  ฉันไม่อยากลงน้ำมากนัก  กลัวผิวจะเสีย”
“อ้าวเหรอ!  แต่ฉันกะว่าจะเอาไปหลายๆตัว เผื่อว่าอยากลงน้ำอีก  ฉันจะได้ไม่ต้องใส่ชุดว่ายน้ำแฉะๆ
ก่อนลงไปว่ายน้ำ”  ซีนเทียร์ทำเสียงแหลมเล็ก 
              “ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหมซีนเทียร์  ถ้าวันหลังจะโทรมาล่ะก็ ขอให้ดูเวลาด้วยนะ  ถ้าเกินกว่า
3 ทุ่มฉันก็เข้านอนแล้ว”  จูเลียทำเสียงฟึดฟัด   
“เดี๋ยวสิ! เธอรู้ไหมว่าใครไปกับพวกเราบ้าง”  ซีนเทียร์พูด
  “เรื่องนั้นฉันไม่สนใจหรอก ขอแค่บิลลี่ไปด้วยก็พอ”  จูเลียตอบ   
  “แน่ใจเหรอว่าไม่อยากรู้”     
  “แน่!” เสียงโทรศัพท์เงียบไปครู่หนึ่ง สักพักซีนเทียร์จึงเริ่มพูดขึ้น 
                  “ยังไงฉันก็ต้องบอกเธอว่า - - กลุ่มที่พวกเราจะไปน่ะมีด้วยกัน 6 คน  - - ฉัน  เธอ  บิลลี่ 
แซม  คีธ  และ แอนนา” 
“แอนนา งั้นเหรอ!  ใครเป็นต้นคิดชวนยัยนั่นไปล่ะ!”  จูเลียเสียงเขียว
                    “โธ่ - - เธอก็รู้นิสัยแอนนาดี  ว่าหล่อนชอบถามนู่นถามนี่จากคนอื่น  แล้ว 
สุภาพบุรุษอย่างบิลลี่น่ะเหรอจะไม่เอ่ยปากบอกอะไรเลยสักคำ”    ซีนเทียร์บอก 
“ขออย่ามาวุ่นวายให้มากนักละกัน  ยัยนั่นน่ะยิ่งปากมากอยู่ด้วย  เดี๋ยวถ้าเกิดหล่อนเห็น
ชุดว่ายน้ำของฉันแล้ววิจารณ์อะไรขึ้นมา บิลลี่ต้องหัวเราะเยาะฉันแน่” จูเลียทำเสียงเนือยๆ 
          “โอ๊ะ! แม่ฉันเรียกแล้วล่ะ  ฉันคงลืมปิดแก๊ส  รู้ไหมแม่ฉันน่ะเจ้าระเบียบสุดๆเลย 
แม่บอกเสมอว่าฉันน่ะเป็นผู้หญิงต้องมีมารยาท  ต้องทำงานละเอียดรอบคอบ  ต้องขยันทำงานบ้านงานเรือน
แต่รู้อะไรไหม - - ฉันทำไม่ได้เลยสักอย่างเดียว!  - - ไม่มีอะไรแล้วล่ะราตรีสวัสดิ์  นะจ๊ะ จูเลีย  เจอกันพรุ่งนี้” 
  “ราตรีสวัสดิ์”  จูเลียวางหูโทรศัพท์ลงด้วยความง่วง แล้วเอนตัวลงนอนอย่างเมื่อยล้า พรุ่งนี้จะเป็นวันที่แสนสุข
หรือเป็นจุดจบในชีวิตของเธอกันแน่ .
                    เช้าวันต่อมาจูเลียลุกจากที่นอนเมื่อนาฬิกาปลุกตอน หกโมง  เธออาบน้ำและปฏิบัติภารกิจต่างๆ
ที่ผู้หญิงทั่วไปมักทำกันในตอนเช้า หลังจากนั้นเธอจึงบอกลาพ่อ และแม่  ซึ่งพวกเขาก็ไม่ได้เต็มใจนักและ
ไม่ไว้ใจที่จะให้ลูกสาวของพวกเขาไปเที่ยวรวมกลุ่มกับผู้ชายแบบนี้ แต่ความดื้อของจูเลียทำให้พ่อและแม่
ต้องปล่อยให้จูเลียไป  โดยให้รับปากไว้ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเพื่อนผู้ชายโดยเด็ดขาด   
จุดที่ทุกคนนัดกันมาเจอคือปั๊มน้ำมันหน้าโรงงานเก่า    จูเลียขึ้นรถแทกซี่ไปที่ร้านขายอาหารกลางทาง
แวะซื้อแซนด์วิชและขนมจุกจิกนิดหน่อย ก่อนจะไปถึงที่นัดหมาย 
          “เฮ้! จูเลียเป็นไงบ้าง”    เพื่อนชาย หรืออาจจะเรียกว่า แฟนหนุ่มของจูเลียที่ชื่อ บิลลี่ กล่าวทักทายเธอเมื่อพบกัน   
“ไง! บิลลี่” เธอทักทายตอบ แต่เมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ข้างๆบิลลี่ เธอก็แทบจะช็อกตาย
                    “เอ่อ - - ไง! แอนนา” ถึงแม้เธอจะไม่ค่อยชอบหน้าของแอนนาขนาดไหนแต่เธอเองก็ต้องรักษามารยาท 
“อือ!” แอนนาตอบกลับด้วยเสียงเมินๆ  ดูเหมือนเธอเองก็จับได้ในน้ำเสียงของจูเลียว่าไม่ได้มีความจริงใจ
เมื่อจูเลียรู้สึกขุ่นเคืองใจเล็กน้อยที่ต้องเดินทางร่วมกับแอนนาเธอจึงหันไปพูดกับบิลลี่เพื่อระงับความโกรธ
      “วันนี้อากาศดีนะ” จูเลียบอก 
“ใช่ - - ใช่แน่นอน  เธอไม่ต้องบอก  พวกเราก็รู้อยู่แก่ใจว่าอากาศมันดีหรือไม่ดี  ไม่จำเป็นที่เธอต้องมาบอกเราหรอกนะ!”
แอนนาแทรกขึ้นมาทำเอาจูเลียฉุนโกรธมากขึ้น
              “ฉันจะบอกอะไรให้นะ คนอย่างเธอด้วยนิสัยแบบนี้ เกิดอีกสักกี่ชาติก็ไม่มีใครอยากคบหาสมาคมด้วยหรอก 
จริงๆแล้วงานครั้งนี้เป็นการไปพักร้อนของกลุ่มพวกเราห้าคน    ไม่เกี่ยวกับเธอเลย  เพียงแต่เธอเลือกที่จะ
เกลี้ยกล่อมบิลลี่ของฉัน ให้เห็นใจเธอแล้วยอมให้เธอมาด้วย  ถ้าเธอยังไม่รู้ตัวอีกล่ะก็  ขอให้รีบตัดสินใจ
กลับบ้านไปซะดีกว่า  เพราะเธออาจจะไม่มีความสุขเลยก็ได้ ถ้าไปกับฉันและซีนเทียร์” 
จูเลียปล่อยออกมาหนึ่งชุดอย่างเดือดพล่าน ทำเอาแอนนาจอมปากมากถึงกับพูดไม่ออกไปหลายนาที
                  “ไฮ! จูเลีย เป็นไงจ๊ะ”  ซีนเทียร์เพิ่งมาถึงและเข้าสวมกอดกับจูเลียด้วยความคิดถึง    ตอนนี้คีธกับแซม
มาถึงแล้ว  คีธเป็นหนุ่มนิโกรผิวดำ อารมณ์ดี ขี้เล่น
                  ส่วนแซมเป็นเด็กรักเรียนประจำห้องที่ใส่แว่นหนาเตอะ  เมื่อทุกคนมารวมตัวกันพร้อมและจัดข้าวของ
ใส่ท้ายรถเสร็จเรียบร้อยแล้ว    บิลลี่จึงขึ้นรถและสตาร์ทเครื่องยนต์      ในชั่วอึดใจ รถของกลุ่มวัยรุ่นก็มุ่งหน้าไปเรื่อยๆ
ในถนนทอดยาวสู่ ซีบีช  ซึ่งตลอดทางบิลลี่ต้องคอยช่วยเกลี้ยกล่อมจูเลียกับแอนนา หรือไม่ก็ ซีนเทียร์กับแอนนา
ไม่ให้ทะเลาะกัน  แต่ด้วยความปากมากของแอนนาทำให้ใครก็ทนไม่ได้  แม้แต่ตอนที่ซีนเทียร์สวนกลับด้วยคำพูด
ดูถูกทรงผมหยิกยุ่งของแอนนา ยังทำเอาแซมและคีธหัวเราะกันจนตัวงอ    ช่วงนั้นแอนนาจึงดูสงบลงบ้าง 
                    ช่วงบ่ายพวกเขาแวะจอดรถซื้อแฮมเบอเกอร์ พิซซ่า และอาหารอุ่นไมโครเวฟจากร้านสะดวกซื้อในละแวกนั้น
ซึ่งตอนนี้การเดินทางมาถึงกว่าครึ่งทางแล้ว
บิลลี่เริ่มเหนื่อยล้าจากการขับรถ    คีธจึงอาสามาขับรถต่อแทน 
                  ช่วงการเดินทางในครึ่งหลังนี้มีฝนตกลงมาปรอยๆ  ท้องฟ้าเป็นสีเทาอ่อน  ทุกคนหวังว่าฝนคงไม่ตก
มากไปกว่านี้  เพราะถ้าฝนตกมากพวกเขาอาจจะไม่ได้เล่นน้ำทะเลหรือนอนอาบแดดบนชายหาดอย่างที่ตั้งใจไว้ 
คีธขับรถอย่างระแวดระวัง ถนนลื่นมากในยามที่ฝนตก  แซมกระโดดมาที่เบาะหน้า เพื่อช่วยดูความปลอดภัย
ฝนสาดลงมาหนาเม็ดขึ้น  จนมองไม่เห็นทางแม้แต่นิด “สงสัยจะมีพายุฝนนะ” คีธพูดขณะที่ค่อยๆเหยียบเบรกรถอย่างช้าๆ
            “เราคงไปต่อไม่ได้แล้ว  นี่จะสี่โมงแล้วนะ  ทำไงดี”  คีธทำเสียงอ้อนวอนราวกับจะให้ฝนซาลง
แต่ยิ่งนานขึ้นพายุฝนก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น  จนรถสั่นไปมาอย่างน่ากลัว  แอนนาถึงกับกรีดร้องสุดเสียงเมื่อมี
ซากสุนัขตายตัวหนึ่งถูกแรงพายุพัดมาติดอยู่หน้ากระจกรถข้างที่เธอนั่ง 
“ฉันไม่อยู่แล้ว! รีบทำอะไรสักอย่างเถอะน่า!”  แอนนากรีดร้อง  คีธตกใจมือสั่นเขาพยายามควบคุมสติเอาไว้
แล้วขับรถต่อไป ภายใต้เสียงลมพายุและเสียงวัตถุต่างๆที่ถูกพัดมากระทบกับกระจกรถ 
              ในเวลาต่อมา ลมเริ่มลดความแรง  คีธจึงพอมองเห็นทัศนียภาพรอบๆตัวในเวลากลางคืนได้ดีขึ้น
  ตอนนี้รอบๆตัวพวกเขาเต็มไปด้วยภูเขา และป่าสนทึบทึมมากมาย  คีธเริ่มเร่งความเร็วมากขึ้น  ดูเหมือนคีธจะ
คิดว่าเสียงเครื่องยนต์เร่ง จะทำให้บรรยากาศดูน่ากลัวน้อยลง  แต่แล้วเขาก็คิดผิดเพราะเมื่อเขาขับรถด้วยความเร็วสูง
ชั่วขณะหนึ่งนั้นเอง เขาก็ขับรถชนผู้หญิงคนหนึ่งกลางทางเข้าเสียแล้ว!
              “นายทำบ้าอะไรเนี่ยคีธ นายนี่มันโง่จริงๆ!” แอนนาร้องโวยวาย    เขารีบหยุดรถอย่างทันทีจนแทบไม่หายใจ 
 
          เขาเปิดประตูลงไปเพื่อดูว่าหล่อนเป็นอย่างไรบ้าง  ฝนหนาเม็ดยังคงสาดเข้าที่ใบหน้า
คีธพยายามมองหาหญิงคนนั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาวิ่งไปในจุดที่คิดว่าเห็นผู้หญิงคนนั้นเมื่อไม่นานมานี้
เขาวิ่งไปวิ่งมากว่าสิบรอบ  ก็ยังไม่เจออะไร  แต่สิ่งที่ทำให้เขาตะลึงงันก็คือ  ...
                รถของพวกเขามาจอดอยู่หน้าโรงแรมแห่งหนึ่งพอดี !
                โรงแรมแห่งนั้นดูมั่นคงแข็งแรงอย่างพิเศษ  โครงสร้างที่สูงขึ้นไปเสียดฟ้า
ทำให้ดูลึกลับชอบกล  เสียงฝนตกกระทบหลังคารถดังเปาะแปะไปมาอยู่เป็นระยะ
คีธรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นยะเยือกที่อาจไม่ได้มาจากน้ำฝน  เขาเดินเปียกชุ่มไปทั้งตัวกลับไปที่รถ 
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นไงบ้าง” บิลลี่ถาม 
          “ฉันยังไม่เจอเธอเลย  แต่มีโรงแรมอยู่ข้างๆ  ฉันคิดว่าเราน่าจะพักที่นั่นก่อน”  คีธบอก   
“ไหนล่ะโรงแรมที่ว่าน่ะ  ฉันก็เหนื่อยเต็มทีแล้วเหมือนกัน” 
ซีนเทียร์ชะโงกหน้าออกไปนอกหน้าต่าง  พินิจพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง
“ก็ดูไม่เลวนะ  คืนนี้พักที่นี่กันเถอะ    ถึงยังไงเราก็ไม่รู้ด้วยว่าจะมีโรงแรมอื่น แถวนี้อีกเมื่อไหร่”  ซีนเทียร์เสนอ 
\"เอาล่ะ! งั้นเดี๋ยวฉันจะจอดรถหลบไปข้างทาง พวกนายก็เอาร่มที่ท้ายรถไปที่โรงแรมนั้นก่อนละกัน”  คีธว่า
              จากนั้นเมื่อทุกคนลงจากรถเรียบร้อยแล้ว คีธจึงรับหน้าที่เคลื่อนรถไปข้างทางที่มีต้นสนอยู่เป็นแนว
น้ำฝนไหลเป็นสายอยู่ที่กระจกรถ คีธจึงเปิดที่ปัดน้ำฝนเพื่อไล่น้ำออกไปให้หมด  แต่เขารู้สึกสะเทือนเหมือนมี
ใครบางคนกระโดดไปมาอยู่ที่เบาะหลังอย่างแรง จึงหันไปมอง  แต่ก็พบเพียงหยาดฝนที่หน้าต่างด้านหลังเท่านั้น 
เขาควบคุมสติใหม่  แล้วขับรถถอยเข้าไปจอดในช่องระหว่างหมู่ต้นสน  เขาดับเครื่องยนต์ - - เปิดประตูรถ - -
ลุกออกมา - - ฝนตกลมแรง - - เขากำลังจะเดินไป   
มีคนดึงชายเสื้อเขาไว้จากในรถ
เขาตกใจดิ้นสุดกำลังจนเมื่อสิ่งที่ดึงเขาไว้นั้นหลุดออกเขาก็หงายหลังล้มตึงลงกับพื้น
                    ที่โรงแรม  เด็กวัยรุ่นทั้ง 5 คน กำลังเปิดประตูเข้าไปพบกับบรรยากาศมืดและวังเวง
  เสียงฟ้าผ่าไม่เป็นจังหวะข้างนอกอาคาร ทำให้ทุกคนสะดุ้งทุกครั้ง ขณะที่เดินอย่างช้าๆไปยัง
เคาน์เตอร์โรงแรมที่ดูเหมือนไม่ได้ทำความสะอาดมาครึ่งปี    เสียงเอี๊ยดอ๊าดจากบานประตูที่เลื่อนปิดเข้าไป
เมื่อพวกเขาเดินเข้ามา ทำให้ชวนขนลุก
บิลลี่เดินนำหน้า    จูเลีย  แอนนา และซีนเทียร์ เดินตามมา โดยมีแซมเป็นคนปิดท้ายขบวน
พวกเขาเดินตรงไปใกล้เคาน์เตอร์โรงแรมเรื่อยๆ   
            อยู่ดีๆอะไรบางอย่างที่มีสีดำก็กระโดดออกมาจากความมืดหลังเคาน์เตอร์นั้น
  “กรี๊ดดดดดดดด”  แมวดำตัวหนึ่งโผเข้าใส่แอนนา 
                เธอกรีดร้องเสียงดังลั่นทั่วโรงแรม  จนทำให้ไฟทุกดวงในโรงแรมที่ดูเหมือนไม่เคยได้ใช้เปิดสว่างขึ้น 
ความสว่างเข้ามาแทนที่ความน่ากลัวที่ควรจะเป็น
 
        “ ขอต้อนรับ ”    เสียงใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นจากที่ไหนสักแห่ง  จูเลียมองหาต้นเสียงนั้น 
และเธอก็เห็นหญิงมีอายุคนหนึ่งยืนอยู่ที่ชั้นสองซึ่งเชื่อมต่อจากชั้นหนึ่งด้วยบันไดสีทองมันวาวที่ทอดยาว
อยู่ทั้งสองข้างของผนังชั้นที่พวกเขายืนอยู่ 
“เอ่อ คุณคงจะเป็นเจ้าของโรงแรมใช่ไหมคะ   คือ เราอยากจะมาขอพักอยู่ที่นี่สักคืนหนึ่งน่ะค่ะ”
จูเลียเริ่มพูดอย่างกล้าหาญเป็นคนแรก 
      “ใช่ค่ะ! เราหลงทาง แล้วก็มีพายุฝนซะด้วย  เพื่อนเราอีกคนกำลังเลื่อนรถอยู่ที่ข้างนอกน่ะค่ะ”  ซีนเทียร์สานต่อ 
        “ที่นี่เป็นเส้นทางที่ไม่มีอยู่ในแผนที่ ไม่ว่าใครเผลอเข้ามาก็ย่อมหาทางออกไม่เจอกันทั้งนั้น
มันเป็นเรื่องปกติ    วันนี้มีคนหลงทางมาสามกลุ่มแล้วเมื่อรวมพวกเธอ  พวกเขาก็มาพักอยู่ที่นี่เช่นกัน 
ฉันหวังว่าพวกเธอคงจะประทับใจกับการบริการของที่นี่นะ” 
หญิงชราพูดด้วยเสียงที่ฟังดูพิลึก เหมือนกับว่าไม่เคยมีใครหรอกที่จะประทับใจกับการบริการของโรงแรมแห่งนี้ 
ขณะที่หล่อนค่อยๆก้าวเท้าเดินลงมาจากบันไดเรื่อยๆ 
              “เอ่อ ไม่ทราบว่าค่าที่พักของโรงแรมนี้คิดยังไงหรือครับ” บิลลี่ถาม 
“พวกคุณหลงทางมา คงไม่ต้องการอะไรมาก ดังนั้นฉันคิดพวกคุณ คนละ 40%ของค่าเช่าปกติ ละกันนะคะ
ไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัย เพราะรับรองว่า ที่นี่ไม่มีโจรแน่นอน  ถ้าต้องการอะไรก็ขอให้บอกฉันได้
ที่ห้อง 086  ชั้นสอง  เดินเลี้ยวไปตามทางก็จะเห็นเอง    อ้อ! จริงสิ ฉันชื่อ มากาเร็ต    เป็นเจ้าของโรงแรมแห่งนี้
- - มาเถอะ เดี๋ยวฉันจะพาพวกคุณไปดูห้อง” 
หล่อนเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์พร้อมกับหยิบตะเกียงที่มีไฟอ่อนๆลุกอยู่ภายใน แล้วจึงเดินนำพวกเขาไป 
                    “ทำไมต้องเอาตะเกียงไปด้วยล่ะคะ”  ซีนเทียร์ถามมากาเร็ต 
“ตอนกลางคืนที่ห้องโถงกลางจะปิดไฟเพื่อไม่ให้รบกวนแขกที่มาพักทุกคน  ฉันจึงไม่สามารถเปิดไฟที่นั่นได้  เลยต้องนำตะเกียงมา
เดินตรวจตราที่นี่ทุกคืน”
มากาเร็ตตอบโดยไม่หันหลังมามอง
              หล่อนยังคงเดินนำอย่างช้าๆจนกระทั่งผ่านไปถึงรูปปั้นที่ดูคล้ายอนุสาวรีย์   
แต่มีลักษณะเป็นนกเหยี่ยวตัวใหญ่กางปีกไปจนสุดผนังสองข้างของห้องโถงกลาง  จูเลียสังเกตเห็นว่าดวงตา
ของนกตัวนั้นประดับขึ้นจากเพชร ทำให้ส่องประกายไปทั่วบริเวณนั้น
  “นั่นคือสัญลักษณ์ของโรงแรมฉันเองล่ะ ‘ อีเกิลโฮเทล’  ฉันคิดว่าเหยี่ยวเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอิสระ
แต่ บางครั้งมันก็เป็นสัญลักษณ์ของความร้ายกาจเด็ดเดี่ยว เห็นเพชรที่ประดับอยู่ไหม?  ตอนกลางคืนมันจะ
ส่องแสงแวววาวเชียวล่ะ” 
              มากาเร็ตเล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้ต่อไปไม่หยุดเกี่ยวกับโรงแรมของเธอ  หล่อนพาพวกเขามาที่ลิฟต์พิเศษของ
โรงแรมเพื่อนำไปยังชั้นที่สี่ ซึ่งเป็นชั้นที่มีคนมาพักอยู่ด้วยแล้วสองกลุ่ม  ในขณะที่จูเลียนึกขึ้นได้ว่า
พวกเขามัวแต่ตื่นเต้นกับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น  จนลืมแม้กระทั่งเพื่อนของพวกเขาเอง  คีธ!   
“คีธยังไม่กลับเข้ามาเลยนี่นา” จูเลียพูด
              “จริงสิ! เขาไปนานมากแล้วนะ  ฉันว่าฉันจะไปดูเขาหน่อยดีกว่า” บิลลี่บอก             
“ฉันไปกับนายด้วย”  แซมอาสา     
“ไม่ต้องหรอกแซม  นายอยู่กับพวกผู้หญิงที่นี่ก่อน” บิลลี่พูดจบก็วิ่งลงบันไดไป 
“เพื่อนของพวกคุณ คงเจออะไรดีๆเข้าแล้วล่ะ” มากาเร็ตพึมพำ   
แต่จูเลียแอบได้ยินบางถ้อยคำที่หล่อนพูด “ว่าไงนะคะ” 
                “เปล่าหรอกจ้ะ! เราไปกันต่อเถอะ ห้องของพวกคุณอยู่ตรงสุดทางนู่นแน่ะ  นี่กุญแจนะจ๊ะ” 
หล่อนยื่นกุญแจสองดอกที่มีหมายเลข  221 กับ 222 ให้กับจูเลีย
                “ห้องน้ำอยู่ถัดไปจากรูปปั้นนกเหยี่ยวเมื่อตะกี้นี้  ทางขวาเป็นของผู้ชาย ส่วนทางซ้ายเป็นชองผู้หญิง
แต่ที่ห้องพักพวกเธอ จะมีห้องน้ำอยู่แล้ว  พรุ่งนี้เราจะจัดเตรียมมื้อเช้าไว้ที่ข้างล่าง ตอนแปดโมง
พวกคุณจะลงมาทานอาหารก็ได้ หรือ จะออกไปเลยแต่เช้านั่นก็เป็นเรื่องของคุณ  ถ้าตกดึกมีอะไร
เรียกฉันได้ที่ห้อง 086 นะ”  หล่อนพูด
            “คุณอาศัยอยู่คนเดียวหรือคะ”  แอนนาถาม 
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้  แต่ฉันก็ไม่เหงาหรอกนะ  เพราะฉันมีเจ้าเบนจี้อยู่เป็นเพื่อน” 
“เอ่อ คุณคงหมายถึง  แมวดำตัวนั้นน่ะหรือคะ”  แอนนาถามเสียงสั่น   
  “แน่นอน  เธอคงเจอกับมันแล้วสิ  - - มันช่างประจบอย่าบอกใครเชียว - - เอ่อ - - อืม 
นี่ก็ดึกมากแล้วนะฉันจะไม่รบกวนพวกเธอแล้วล่ะ  หลับให้สบายนะจ๊ะ”
มากาเร็ตเดินกลับออกไปในความมืดผ่านรูปปั้นนกเหยี่ยวลงบันไดไป  แสงในบริเวณนั้นมืดมิดมาก
จนมองเห็นได้ก็เพียงแสงสะท้อนจากตาเพชรของรูปปั้นนั้น 
                      “ห้องพวกผู้ชายอยู่ห้อง 221 ส่วนพวกเราจะอยู่ห้อง 222 ละกันนะ”
จูเลียกำหนด  แต่แซมรีบเอ่ยขัดขึ้นมา  “เดี๋ยวสิจูเลีย! ฉันขออยู่ห้องพวกเธอก่อนได้ไหม เพราะว่า ”   
“ฉันเข้าใจเธอนะแซม  ถ้าฉันต้องนอนคนเดียวก็คงไม่เอาด้วยเหมือนกัน”   
จูเลียจึงไขประตูห้อง 222 แล้วให้แอนนา  ซีนเทียร์ และแซมเข้ามาข้างใน
                        จากนั้นจูเลียจึงเปิดสวิตซ์ไฟ - - ห้องนั้นดูสะอาดมากทีเดียว  เตียงคู่สองเตียงสีขาวตั้งอยู่กลางห้อง
มีโทรทัศน์  เครื่องปรับอากาศ  ตู้เย็น  ตู้เสื้อผ้า ฯลฯ    ที่สุดปลายเป็นห้องอาบน้ำ  มีผ้าเช็ดตัว  แชมพูและ
ครีมอาบน้ำครบครัน  แต่พวกผู้หญิงยังไม่กล้าไปอาบน้ำเพราะต่างก็อายสายตาของแซมกันทุกคน
แม้เขาจะเป็นคนไม่คิดอะไร แต่ก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง  ดังนั้นทั้งสี่คนจึงนั่งดูโทรทัศน์เพื่อรอเวลาที่บิลลี่จะกลับมา
พร้อมกับคีธ .
            “ก๊อก  ก๊อก  ก๊อก”  ในขณะนั้นเองก็มีคนมาเคาะประตูทำลายความเงียบในห้อง  ทุกคนต่างโล่งใจที่บิลลี่
และคีธกลับมาแล้ว  จูเลียเป็นคนแรกที่วิ่งไปเปิดประตู  เสียงเคาะประตูยังคงดังอยู่เมื่อเธอไปถึงหน้าประตู
แต่เมื่อเธอเปิดประตูออกไปในเวลาไม่ถึงกึ่งวินาทีหลังจากนั้น  เธอก็พบว่า      .
                  ไม่มีใครยืนอยู่ที่หน้าประตูนั้นเลย  จูเลียมองไปข้างนอกทั้งซ้ายและขวา  ไม่พบใคร
นอกจากแสงที่อยู่สุดทางจากตาเพชรของรูปปั้นนั้นที่ส่งแสงเรืองๆ ให้พอมองเห็นสิ่งต่างๆในตอนกลางคืน
เธอหันไปหันมาอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังไม่พบว่ามีใครอยู่ในละแวกนั้นเลย  เธอเริ่มรู้สึกหนาวขึ้นมา
จึงรีบกลับเข้ามานั่งที่ปลายเตียง
  “เกิดอะไรขึ้น!” ซีนเทียร์ถาม    จูเลียนิ่งเงียบไปสักพักแล้วพยายามจะพูดต่อ    แต่ว่า  
                  “ก๊อก  ก๊อก  ก๊อก” เสียงคนมาเคาะประตูอีกแล้ว 
จูเลียหายใจไม่เป็นจังหวะ  รู้สึกเหมือนมีมะนาวลูกใหญ่มาจุกอยู่ที่ลำคอ  ซีนเทียร์เห็นท่าเธอไม่ค่อยดี
จึงเดินไปเปิดประตูเอง “ก๊อก  ก๊อก  ก๊อก” ยังคงมีเสียงอยู่ - -
ซีนเทียร์ก้าวไปข้างหน้าแล้วหมุนลูกบิดประตูด้วยมืออันสั่นเทา  จากนั้นบานประตูก็เปิดออก - -
มีชายคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู 
แล้วเจอกันนะ  ราตรีสวัสดิ์”  เด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่งวางหูโทรศัพท์ แล้วเดินไปที่ตู้เก็บของ  ค้นหาอะไรบางอย่าง
แล้วเธอก็หยิบกระเป๋าใบใหญ่ๆขึ้นมาหนึ่งใบ  จัดข้าวของเครื่องใช้จำเป็น  ทั้งเสื้อผ้า  เครื่องสำอาง และ
ชุดว่ายน้ำ  เธอหาวหวอดยาวๆ    ก่อนจะล้มตัวลงนอน ทันทีที่มีเสียงโทรศัพท์มา  เธอก็สะดุ้งตื่น 
          “ฮัลโหล  - -“    เธอกล่าวเสียงงัวเงีย    “ซีนเทียร์เหรอ  มีอะไรรึเปล่า?” เธอถาม   
              “นี่จูเลีย! รู้เรื่องที่พวกเราจะไปพักร้อนกันที่ ซีบีช รึยังจ๊ะ” เสียงในโทรศัพท์ถาม 
“อือ ฉันรู้แล้วล่ะ  บิลลี่เพิ่งโทรมาบอกฉันเมื่อตะกี้นี้เอง”    จูเลียพูด เธอยังอารมณ์เสียนิดๆที่มีคน
โทรศัพท์มาขณะเธอกำลังจะหลับ   
             
          “คือ- - ฉันอยากถามว่า  เธอจะเอาชุดว่ายน้ำไปกี่ตัวเหรอ” ซีนเทียร์ถามเสียงอู้ๆ   
“ฉันเอาไปตัวเดียวก็พอแล้ว  ฉันไม่อยากลงน้ำมากนัก  กลัวผิวจะเสีย”
“อ้าวเหรอ!  แต่ฉันกะว่าจะเอาไปหลายๆตัว เผื่อว่าอยากลงน้ำอีก  ฉันจะได้ไม่ต้องใส่ชุดว่ายน้ำแฉะๆ
ก่อนลงไปว่ายน้ำ”  ซีนเทียร์ทำเสียงแหลมเล็ก 
              “ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหมซีนเทียร์  ถ้าวันหลังจะโทรมาล่ะก็ ขอให้ดูเวลาด้วยนะ  ถ้าเกินกว่า
3 ทุ่มฉันก็เข้านอนแล้ว”  จูเลียทำเสียงฟึดฟัด   
“เดี๋ยวสิ! เธอรู้ไหมว่าใครไปกับพวกเราบ้าง”  ซีนเทียร์พูด
  “เรื่องนั้นฉันไม่สนใจหรอก ขอแค่บิลลี่ไปด้วยก็พอ”  จูเลียตอบ   
  “แน่ใจเหรอว่าไม่อยากรู้”     
  “แน่!” เสียงโทรศัพท์เงียบไปครู่หนึ่ง สักพักซีนเทียร์จึงเริ่มพูดขึ้น 
                  “ยังไงฉันก็ต้องบอกเธอว่า - - กลุ่มที่พวกเราจะไปน่ะมีด้วยกัน 6 คน  - - ฉัน  เธอ  บิลลี่ 
แซม  คีธ  และ แอนนา” 
“แอนนา งั้นเหรอ!  ใครเป็นต้นคิดชวนยัยนั่นไปล่ะ!”  จูเลียเสียงเขียว
                    “โธ่ - - เธอก็รู้นิสัยแอนนาดี  ว่าหล่อนชอบถามนู่นถามนี่จากคนอื่น  แล้ว 
สุภาพบุรุษอย่างบิลลี่น่ะเหรอจะไม่เอ่ยปากบอกอะไรเลยสักคำ”    ซีนเทียร์บอก 
“ขออย่ามาวุ่นวายให้มากนักละกัน  ยัยนั่นน่ะยิ่งปากมากอยู่ด้วย  เดี๋ยวถ้าเกิดหล่อนเห็น
ชุดว่ายน้ำของฉันแล้ววิจารณ์อะไรขึ้นมา บิลลี่ต้องหัวเราะเยาะฉันแน่” จูเลียทำเสียงเนือยๆ 
          “โอ๊ะ! แม่ฉันเรียกแล้วล่ะ  ฉันคงลืมปิดแก๊ส  รู้ไหมแม่ฉันน่ะเจ้าระเบียบสุดๆเลย 
แม่บอกเสมอว่าฉันน่ะเป็นผู้หญิงต้องมีมารยาท  ต้องทำงานละเอียดรอบคอบ  ต้องขยันทำงานบ้านงานเรือน
แต่รู้อะไรไหม - - ฉันทำไม่ได้เลยสักอย่างเดียว!  - - ไม่มีอะไรแล้วล่ะราตรีสวัสดิ์  นะจ๊ะ จูเลีย  เจอกันพรุ่งนี้” 
  “ราตรีสวัสดิ์”  จูเลียวางหูโทรศัพท์ลงด้วยความง่วง แล้วเอนตัวลงนอนอย่างเมื่อยล้า พรุ่งนี้จะเป็นวันที่แสนสุข
หรือเป็นจุดจบในชีวิตของเธอกันแน่ .
                    เช้าวันต่อมาจูเลียลุกจากที่นอนเมื่อนาฬิกาปลุกตอน หกโมง  เธออาบน้ำและปฏิบัติภารกิจต่างๆ
ที่ผู้หญิงทั่วไปมักทำกันในตอนเช้า หลังจากนั้นเธอจึงบอกลาพ่อ และแม่  ซึ่งพวกเขาก็ไม่ได้เต็มใจนักและ
ไม่ไว้ใจที่จะให้ลูกสาวของพวกเขาไปเที่ยวรวมกลุ่มกับผู้ชายแบบนี้ แต่ความดื้อของจูเลียทำให้พ่อและแม่
ต้องปล่อยให้จูเลียไป  โดยให้รับปากไว้ว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเพื่อนผู้ชายโดยเด็ดขาด   
จุดที่ทุกคนนัดกันมาเจอคือปั๊มน้ำมันหน้าโรงงานเก่า    จูเลียขึ้นรถแทกซี่ไปที่ร้านขายอาหารกลางทาง
แวะซื้อแซนด์วิชและขนมจุกจิกนิดหน่อย ก่อนจะไปถึงที่นัดหมาย 
          “เฮ้! จูเลียเป็นไงบ้าง”    เพื่อนชาย หรืออาจจะเรียกว่า แฟนหนุ่มของจูเลียที่ชื่อ บิลลี่ กล่าวทักทายเธอเมื่อพบกัน   
“ไง! บิลลี่” เธอทักทายตอบ แต่เมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ข้างๆบิลลี่ เธอก็แทบจะช็อกตาย
                    “เอ่อ - - ไง! แอนนา” ถึงแม้เธอจะไม่ค่อยชอบหน้าของแอนนาขนาดไหนแต่เธอเองก็ต้องรักษามารยาท 
“อือ!” แอนนาตอบกลับด้วยเสียงเมินๆ  ดูเหมือนเธอเองก็จับได้ในน้ำเสียงของจูเลียว่าไม่ได้มีความจริงใจ
เมื่อจูเลียรู้สึกขุ่นเคืองใจเล็กน้อยที่ต้องเดินทางร่วมกับแอนนาเธอจึงหันไปพูดกับบิลลี่เพื่อระงับความโกรธ
      “วันนี้อากาศดีนะ” จูเลียบอก 
“ใช่ - - ใช่แน่นอน  เธอไม่ต้องบอก  พวกเราก็รู้อยู่แก่ใจว่าอากาศมันดีหรือไม่ดี  ไม่จำเป็นที่เธอต้องมาบอกเราหรอกนะ!”
แอนนาแทรกขึ้นมาทำเอาจูเลียฉุนโกรธมากขึ้น
              “ฉันจะบอกอะไรให้นะ คนอย่างเธอด้วยนิสัยแบบนี้ เกิดอีกสักกี่ชาติก็ไม่มีใครอยากคบหาสมาคมด้วยหรอก 
จริงๆแล้วงานครั้งนี้เป็นการไปพักร้อนของกลุ่มพวกเราห้าคน    ไม่เกี่ยวกับเธอเลย  เพียงแต่เธอเลือกที่จะ
เกลี้ยกล่อมบิลลี่ของฉัน ให้เห็นใจเธอแล้วยอมให้เธอมาด้วย  ถ้าเธอยังไม่รู้ตัวอีกล่ะก็  ขอให้รีบตัดสินใจ
กลับบ้านไปซะดีกว่า  เพราะเธออาจจะไม่มีความสุขเลยก็ได้ ถ้าไปกับฉันและซีนเทียร์” 
จูเลียปล่อยออกมาหนึ่งชุดอย่างเดือดพล่าน ทำเอาแอนนาจอมปากมากถึงกับพูดไม่ออกไปหลายนาที
                  “ไฮ! จูเลีย เป็นไงจ๊ะ”  ซีนเทียร์เพิ่งมาถึงและเข้าสวมกอดกับจูเลียด้วยความคิดถึง    ตอนนี้คีธกับแซม
มาถึงแล้ว  คีธเป็นหนุ่มนิโกรผิวดำ อารมณ์ดี ขี้เล่น
                  ส่วนแซมเป็นเด็กรักเรียนประจำห้องที่ใส่แว่นหนาเตอะ  เมื่อทุกคนมารวมตัวกันพร้อมและจัดข้าวของ
ใส่ท้ายรถเสร็จเรียบร้อยแล้ว    บิลลี่จึงขึ้นรถและสตาร์ทเครื่องยนต์      ในชั่วอึดใจ รถของกลุ่มวัยรุ่นก็มุ่งหน้าไปเรื่อยๆ
ในถนนทอดยาวสู่ ซีบีช  ซึ่งตลอดทางบิลลี่ต้องคอยช่วยเกลี้ยกล่อมจูเลียกับแอนนา หรือไม่ก็ ซีนเทียร์กับแอนนา
ไม่ให้ทะเลาะกัน  แต่ด้วยความปากมากของแอนนาทำให้ใครก็ทนไม่ได้  แม้แต่ตอนที่ซีนเทียร์สวนกลับด้วยคำพูด
ดูถูกทรงผมหยิกยุ่งของแอนนา ยังทำเอาแซมและคีธหัวเราะกันจนตัวงอ    ช่วงนั้นแอนนาจึงดูสงบลงบ้าง 
                    ช่วงบ่ายพวกเขาแวะจอดรถซื้อแฮมเบอเกอร์ พิซซ่า และอาหารอุ่นไมโครเวฟจากร้านสะดวกซื้อในละแวกนั้น
ซึ่งตอนนี้การเดินทางมาถึงกว่าครึ่งทางแล้ว
บิลลี่เริ่มเหนื่อยล้าจากการขับรถ    คีธจึงอาสามาขับรถต่อแทน 
                  ช่วงการเดินทางในครึ่งหลังนี้มีฝนตกลงมาปรอยๆ  ท้องฟ้าเป็นสีเทาอ่อน  ทุกคนหวังว่าฝนคงไม่ตก
มากไปกว่านี้  เพราะถ้าฝนตกมากพวกเขาอาจจะไม่ได้เล่นน้ำทะเลหรือนอนอาบแดดบนชายหาดอย่างที่ตั้งใจไว้ 
คีธขับรถอย่างระแวดระวัง ถนนลื่นมากในยามที่ฝนตก  แซมกระโดดมาที่เบาะหน้า เพื่อช่วยดูความปลอดภัย
ฝนสาดลงมาหนาเม็ดขึ้น  จนมองไม่เห็นทางแม้แต่นิด “สงสัยจะมีพายุฝนนะ” คีธพูดขณะที่ค่อยๆเหยียบเบรกรถอย่างช้าๆ
            “เราคงไปต่อไม่ได้แล้ว  นี่จะสี่โมงแล้วนะ  ทำไงดี”  คีธทำเสียงอ้อนวอนราวกับจะให้ฝนซาลง
แต่ยิ่งนานขึ้นพายุฝนก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น  จนรถสั่นไปมาอย่างน่ากลัว  แอนนาถึงกับกรีดร้องสุดเสียงเมื่อมี
ซากสุนัขตายตัวหนึ่งถูกแรงพายุพัดมาติดอยู่หน้ากระจกรถข้างที่เธอนั่ง 
“ฉันไม่อยู่แล้ว! รีบทำอะไรสักอย่างเถอะน่า!”  แอนนากรีดร้อง  คีธตกใจมือสั่นเขาพยายามควบคุมสติเอาไว้
แล้วขับรถต่อไป ภายใต้เสียงลมพายุและเสียงวัตถุต่างๆที่ถูกพัดมากระทบกับกระจกรถ 
              ในเวลาต่อมา ลมเริ่มลดความแรง  คีธจึงพอมองเห็นทัศนียภาพรอบๆตัวในเวลากลางคืนได้ดีขึ้น
  ตอนนี้รอบๆตัวพวกเขาเต็มไปด้วยภูเขา และป่าสนทึบทึมมากมาย  คีธเริ่มเร่งความเร็วมากขึ้น  ดูเหมือนคีธจะ
คิดว่าเสียงเครื่องยนต์เร่ง จะทำให้บรรยากาศดูน่ากลัวน้อยลง  แต่แล้วเขาก็คิดผิดเพราะเมื่อเขาขับรถด้วยความเร็วสูง
ชั่วขณะหนึ่งนั้นเอง เขาก็ขับรถชนผู้หญิงคนหนึ่งกลางทางเข้าเสียแล้ว!
              “นายทำบ้าอะไรเนี่ยคีธ นายนี่มันโง่จริงๆ!” แอนนาร้องโวยวาย    เขารีบหยุดรถอย่างทันทีจนแทบไม่หายใจ 
 
          เขาเปิดประตูลงไปเพื่อดูว่าหล่อนเป็นอย่างไรบ้าง  ฝนหนาเม็ดยังคงสาดเข้าที่ใบหน้า
คีธพยายามมองหาหญิงคนนั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาวิ่งไปในจุดที่คิดว่าเห็นผู้หญิงคนนั้นเมื่อไม่นานมานี้
เขาวิ่งไปวิ่งมากว่าสิบรอบ  ก็ยังไม่เจออะไร  แต่สิ่งที่ทำให้เขาตะลึงงันก็คือ  ...
                รถของพวกเขามาจอดอยู่หน้าโรงแรมแห่งหนึ่งพอดี !
                โรงแรมแห่งนั้นดูมั่นคงแข็งแรงอย่างพิเศษ  โครงสร้างที่สูงขึ้นไปเสียดฟ้า
ทำให้ดูลึกลับชอบกล  เสียงฝนตกกระทบหลังคารถดังเปาะแปะไปมาอยู่เป็นระยะ
คีธรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นยะเยือกที่อาจไม่ได้มาจากน้ำฝน  เขาเดินเปียกชุ่มไปทั้งตัวกลับไปที่รถ 
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นไงบ้าง” บิลลี่ถาม 
          “ฉันยังไม่เจอเธอเลย  แต่มีโรงแรมอยู่ข้างๆ  ฉันคิดว่าเราน่าจะพักที่นั่นก่อน”  คีธบอก   
“ไหนล่ะโรงแรมที่ว่าน่ะ  ฉันก็เหนื่อยเต็มทีแล้วเหมือนกัน” 
ซีนเทียร์ชะโงกหน้าออกไปนอกหน้าต่าง  พินิจพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง
“ก็ดูไม่เลวนะ  คืนนี้พักที่นี่กันเถอะ    ถึงยังไงเราก็ไม่รู้ด้วยว่าจะมีโรงแรมอื่น แถวนี้อีกเมื่อไหร่”  ซีนเทียร์เสนอ 
\"เอาล่ะ! งั้นเดี๋ยวฉันจะจอดรถหลบไปข้างทาง พวกนายก็เอาร่มที่ท้ายรถไปที่โรงแรมนั้นก่อนละกัน”  คีธว่า
              จากนั้นเมื่อทุกคนลงจากรถเรียบร้อยแล้ว คีธจึงรับหน้าที่เคลื่อนรถไปข้างทางที่มีต้นสนอยู่เป็นแนว
น้ำฝนไหลเป็นสายอยู่ที่กระจกรถ คีธจึงเปิดที่ปัดน้ำฝนเพื่อไล่น้ำออกไปให้หมด  แต่เขารู้สึกสะเทือนเหมือนมี
ใครบางคนกระโดดไปมาอยู่ที่เบาะหลังอย่างแรง จึงหันไปมอง  แต่ก็พบเพียงหยาดฝนที่หน้าต่างด้านหลังเท่านั้น 
เขาควบคุมสติใหม่  แล้วขับรถถอยเข้าไปจอดในช่องระหว่างหมู่ต้นสน  เขาดับเครื่องยนต์ - - เปิดประตูรถ - -
ลุกออกมา - - ฝนตกลมแรง - - เขากำลังจะเดินไป   
มีคนดึงชายเสื้อเขาไว้จากในรถ
เขาตกใจดิ้นสุดกำลังจนเมื่อสิ่งที่ดึงเขาไว้นั้นหลุดออกเขาก็หงายหลังล้มตึงลงกับพื้น
                    ที่โรงแรม  เด็กวัยรุ่นทั้ง 5 คน กำลังเปิดประตูเข้าไปพบกับบรรยากาศมืดและวังเวง
  เสียงฟ้าผ่าไม่เป็นจังหวะข้างนอกอาคาร ทำให้ทุกคนสะดุ้งทุกครั้ง ขณะที่เดินอย่างช้าๆไปยัง
เคาน์เตอร์โรงแรมที่ดูเหมือนไม่ได้ทำความสะอาดมาครึ่งปี    เสียงเอี๊ยดอ๊าดจากบานประตูที่เลื่อนปิดเข้าไป
เมื่อพวกเขาเดินเข้ามา ทำให้ชวนขนลุก
บิลลี่เดินนำหน้า    จูเลีย  แอนนา และซีนเทียร์ เดินตามมา โดยมีแซมเป็นคนปิดท้ายขบวน
พวกเขาเดินตรงไปใกล้เคาน์เตอร์โรงแรมเรื่อยๆ   
            อยู่ดีๆอะไรบางอย่างที่มีสีดำก็กระโดดออกมาจากความมืดหลังเคาน์เตอร์นั้น
  “กรี๊ดดดดดดดด”  แมวดำตัวหนึ่งโผเข้าใส่แอนนา 
                เธอกรีดร้องเสียงดังลั่นทั่วโรงแรม  จนทำให้ไฟทุกดวงในโรงแรมที่ดูเหมือนไม่เคยได้ใช้เปิดสว่างขึ้น 
ความสว่างเข้ามาแทนที่ความน่ากลัวที่ควรจะเป็น
 
        “ ขอต้อนรับ ”    เสียงใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นจากที่ไหนสักแห่ง  จูเลียมองหาต้นเสียงนั้น 
และเธอก็เห็นหญิงมีอายุคนหนึ่งยืนอยู่ที่ชั้นสองซึ่งเชื่อมต่อจากชั้นหนึ่งด้วยบันไดสีทองมันวาวที่ทอดยาว
อยู่ทั้งสองข้างของผนังชั้นที่พวกเขายืนอยู่ 
“เอ่อ คุณคงจะเป็นเจ้าของโรงแรมใช่ไหมคะ   คือ เราอยากจะมาขอพักอยู่ที่นี่สักคืนหนึ่งน่ะค่ะ”
จูเลียเริ่มพูดอย่างกล้าหาญเป็นคนแรก 
      “ใช่ค่ะ! เราหลงทาง แล้วก็มีพายุฝนซะด้วย  เพื่อนเราอีกคนกำลังเลื่อนรถอยู่ที่ข้างนอกน่ะค่ะ”  ซีนเทียร์สานต่อ 
        “ที่นี่เป็นเส้นทางที่ไม่มีอยู่ในแผนที่ ไม่ว่าใครเผลอเข้ามาก็ย่อมหาทางออกไม่เจอกันทั้งนั้น
มันเป็นเรื่องปกติ    วันนี้มีคนหลงทางมาสามกลุ่มแล้วเมื่อรวมพวกเธอ  พวกเขาก็มาพักอยู่ที่นี่เช่นกัน 
ฉันหวังว่าพวกเธอคงจะประทับใจกับการบริการของที่นี่นะ” 
หญิงชราพูดด้วยเสียงที่ฟังดูพิลึก เหมือนกับว่าไม่เคยมีใครหรอกที่จะประทับใจกับการบริการของโรงแรมแห่งนี้ 
ขณะที่หล่อนค่อยๆก้าวเท้าเดินลงมาจากบันไดเรื่อยๆ 
              “เอ่อ ไม่ทราบว่าค่าที่พักของโรงแรมนี้คิดยังไงหรือครับ” บิลลี่ถาม 
“พวกคุณหลงทางมา คงไม่ต้องการอะไรมาก ดังนั้นฉันคิดพวกคุณ คนละ 40%ของค่าเช่าปกติ ละกันนะคะ
ไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัย เพราะรับรองว่า ที่นี่ไม่มีโจรแน่นอน  ถ้าต้องการอะไรก็ขอให้บอกฉันได้
ที่ห้อง 086  ชั้นสอง  เดินเลี้ยวไปตามทางก็จะเห็นเอง    อ้อ! จริงสิ ฉันชื่อ มากาเร็ต    เป็นเจ้าของโรงแรมแห่งนี้
- - มาเถอะ เดี๋ยวฉันจะพาพวกคุณไปดูห้อง” 
หล่อนเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์พร้อมกับหยิบตะเกียงที่มีไฟอ่อนๆลุกอยู่ภายใน แล้วจึงเดินนำพวกเขาไป 
                    “ทำไมต้องเอาตะเกียงไปด้วยล่ะคะ”  ซีนเทียร์ถามมากาเร็ต 
“ตอนกลางคืนที่ห้องโถงกลางจะปิดไฟเพื่อไม่ให้รบกวนแขกที่มาพักทุกคน  ฉันจึงไม่สามารถเปิดไฟที่นั่นได้  เลยต้องนำตะเกียงมา
เดินตรวจตราที่นี่ทุกคืน”
มากาเร็ตตอบโดยไม่หันหลังมามอง
              หล่อนยังคงเดินนำอย่างช้าๆจนกระทั่งผ่านไปถึงรูปปั้นที่ดูคล้ายอนุสาวรีย์   
แต่มีลักษณะเป็นนกเหยี่ยวตัวใหญ่กางปีกไปจนสุดผนังสองข้างของห้องโถงกลาง  จูเลียสังเกตเห็นว่าดวงตา
ของนกตัวนั้นประดับขึ้นจากเพชร ทำให้ส่องประกายไปทั่วบริเวณนั้น
  “นั่นคือสัญลักษณ์ของโรงแรมฉันเองล่ะ ‘ อีเกิลโฮเทล’  ฉันคิดว่าเหยี่ยวเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอิสระ
แต่ บางครั้งมันก็เป็นสัญลักษณ์ของความร้ายกาจเด็ดเดี่ยว เห็นเพชรที่ประดับอยู่ไหม?  ตอนกลางคืนมันจะ
ส่องแสงแวววาวเชียวล่ะ” 
              มากาเร็ตเล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้ต่อไปไม่หยุดเกี่ยวกับโรงแรมของเธอ  หล่อนพาพวกเขามาที่ลิฟต์พิเศษของ
โรงแรมเพื่อนำไปยังชั้นที่สี่ ซึ่งเป็นชั้นที่มีคนมาพักอยู่ด้วยแล้วสองกลุ่ม  ในขณะที่จูเลียนึกขึ้นได้ว่า
พวกเขามัวแต่ตื่นเต้นกับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น  จนลืมแม้กระทั่งเพื่อนของพวกเขาเอง  คีธ!   
“คีธยังไม่กลับเข้ามาเลยนี่นา” จูเลียพูด
              “จริงสิ! เขาไปนานมากแล้วนะ  ฉันว่าฉันจะไปดูเขาหน่อยดีกว่า” บิลลี่บอก             
“ฉันไปกับนายด้วย”  แซมอาสา     
“ไม่ต้องหรอกแซม  นายอยู่กับพวกผู้หญิงที่นี่ก่อน” บิลลี่พูดจบก็วิ่งลงบันไดไป 
“เพื่อนของพวกคุณ คงเจออะไรดีๆเข้าแล้วล่ะ” มากาเร็ตพึมพำ   
แต่จูเลียแอบได้ยินบางถ้อยคำที่หล่อนพูด “ว่าไงนะคะ” 
                “เปล่าหรอกจ้ะ! เราไปกันต่อเถอะ ห้องของพวกคุณอยู่ตรงสุดทางนู่นแน่ะ  นี่กุญแจนะจ๊ะ” 
หล่อนยื่นกุญแจสองดอกที่มีหมายเลข  221 กับ 222 ให้กับจูเลีย
                “ห้องน้ำอยู่ถัดไปจากรูปปั้นนกเหยี่ยวเมื่อตะกี้นี้  ทางขวาเป็นของผู้ชาย ส่วนทางซ้ายเป็นชองผู้หญิง
แต่ที่ห้องพักพวกเธอ จะมีห้องน้ำอยู่แล้ว  พรุ่งนี้เราจะจัดเตรียมมื้อเช้าไว้ที่ข้างล่าง ตอนแปดโมง
พวกคุณจะลงมาทานอาหารก็ได้ หรือ จะออกไปเลยแต่เช้านั่นก็เป็นเรื่องของคุณ  ถ้าตกดึกมีอะไร
เรียกฉันได้ที่ห้อง 086 นะ”  หล่อนพูด
            “คุณอาศัยอยู่คนเดียวหรือคะ”  แอนนาถาม 
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้  แต่ฉันก็ไม่เหงาหรอกนะ  เพราะฉันมีเจ้าเบนจี้อยู่เป็นเพื่อน” 
“เอ่อ คุณคงหมายถึง  แมวดำตัวนั้นน่ะหรือคะ”  แอนนาถามเสียงสั่น   
  “แน่นอน  เธอคงเจอกับมันแล้วสิ  - - มันช่างประจบอย่าบอกใครเชียว - - เอ่อ - - อืม 
นี่ก็ดึกมากแล้วนะฉันจะไม่รบกวนพวกเธอแล้วล่ะ  หลับให้สบายนะจ๊ะ”
มากาเร็ตเดินกลับออกไปในความมืดผ่านรูปปั้นนกเหยี่ยวลงบันไดไป  แสงในบริเวณนั้นมืดมิดมาก
จนมองเห็นได้ก็เพียงแสงสะท้อนจากตาเพชรของรูปปั้นนั้น 
                      “ห้องพวกผู้ชายอยู่ห้อง 221 ส่วนพวกเราจะอยู่ห้อง 222 ละกันนะ”
จูเลียกำหนด  แต่แซมรีบเอ่ยขัดขึ้นมา  “เดี๋ยวสิจูเลีย! ฉันขออยู่ห้องพวกเธอก่อนได้ไหม เพราะว่า ”   
“ฉันเข้าใจเธอนะแซม  ถ้าฉันต้องนอนคนเดียวก็คงไม่เอาด้วยเหมือนกัน”   
จูเลียจึงไขประตูห้อง 222 แล้วให้แอนนา  ซีนเทียร์ และแซมเข้ามาข้างใน
                        จากนั้นจูเลียจึงเปิดสวิตซ์ไฟ - - ห้องนั้นดูสะอาดมากทีเดียว  เตียงคู่สองเตียงสีขาวตั้งอยู่กลางห้อง
มีโทรทัศน์  เครื่องปรับอากาศ  ตู้เย็น  ตู้เสื้อผ้า ฯลฯ    ที่สุดปลายเป็นห้องอาบน้ำ  มีผ้าเช็ดตัว  แชมพูและ
ครีมอาบน้ำครบครัน  แต่พวกผู้หญิงยังไม่กล้าไปอาบน้ำเพราะต่างก็อายสายตาของแซมกันทุกคน
แม้เขาจะเป็นคนไม่คิดอะไร แต่ก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง  ดังนั้นทั้งสี่คนจึงนั่งดูโทรทัศน์เพื่อรอเวลาที่บิลลี่จะกลับมา
พร้อมกับคีธ .
            “ก๊อก  ก๊อก  ก๊อก”  ในขณะนั้นเองก็มีคนมาเคาะประตูทำลายความเงียบในห้อง  ทุกคนต่างโล่งใจที่บิลลี่
และคีธกลับมาแล้ว  จูเลียเป็นคนแรกที่วิ่งไปเปิดประตู  เสียงเคาะประตูยังคงดังอยู่เมื่อเธอไปถึงหน้าประตู
แต่เมื่อเธอเปิดประตูออกไปในเวลาไม่ถึงกึ่งวินาทีหลังจากนั้น  เธอก็พบว่า      .
                  ไม่มีใครยืนอยู่ที่หน้าประตูนั้นเลย  จูเลียมองไปข้างนอกทั้งซ้ายและขวา  ไม่พบใคร
นอกจากแสงที่อยู่สุดทางจากตาเพชรของรูปปั้นนั้นที่ส่งแสงเรืองๆ ให้พอมองเห็นสิ่งต่างๆในตอนกลางคืน
เธอหันไปหันมาอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังไม่พบว่ามีใครอยู่ในละแวกนั้นเลย  เธอเริ่มรู้สึกหนาวขึ้นมา
จึงรีบกลับเข้ามานั่งที่ปลายเตียง
  “เกิดอะไรขึ้น!” ซีนเทียร์ถาม    จูเลียนิ่งเงียบไปสักพักแล้วพยายามจะพูดต่อ    แต่ว่า  
                  “ก๊อก  ก๊อก  ก๊อก” เสียงคนมาเคาะประตูอีกแล้ว 
จูเลียหายใจไม่เป็นจังหวะ  รู้สึกเหมือนมีมะนาวลูกใหญ่มาจุกอยู่ที่ลำคอ  ซีนเทียร์เห็นท่าเธอไม่ค่อยดี
จึงเดินไปเปิดประตูเอง “ก๊อก  ก๊อก  ก๊อก” ยังคงมีเสียงอยู่ - -
ซีนเทียร์ก้าวไปข้างหน้าแล้วหมุนลูกบิดประตูด้วยมืออันสั่นเทา  จากนั้นบานประตูก็เปิดออก - -
มีชายคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู 
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น