ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    DEV!L C@NTACT คำสั่งนรก

    ลำดับตอนที่ #2 : ch@pter 2 : เงาลึกลับ

    • อัปเดตล่าสุด 20 ต.ค. 48


                             การมาทำงานในที่ใหม่  มาอยู่ในสถานที่ใหม่  ชีวิตใหม่   สังคมใหม่ย่อมต้องการใครสักคนที่มาทำความรู้จัก

    กับเราและช่วยเราในเรื่องของการปรับตัว  และฉันยังลังเลใจอยู่ว่าเพื่อนร่วมงานของฉันจะมีคุณลักษณะที่ฉันกำลังต้องการ

    ขณะนี้หรือไม่?




    “สวัสดีค่ะ”   ฉันกล่าวอย่างสงบเสงี่ยมในขณะที่ผู้หญิงผมยาวสีน้ำตาลแดงสวมแว่นบางๆหันมามองแวบหนึ่งแล้วพยักหน้า

    ให้กับเครื่องพิมพ์ดีดตรงหน้า    



    ห้องสมุดเกรทฟิล์ดเต็มไปด้วยตู้ชั้นเหล็กกว่ายี่สิบตู้เรียงรายเป็นแถวด้านหลัง  

    ในแต่ละชั้นก็ยังเต็มไปด้วยหนังสือหลากหลายขนาดอัดกันจนแน่นเอียด  



    “อะ – แฮ่ม”  ฉันกระแอมดังๆเป็นเชิงประชดเล็กน้อย  แต่ดูเหมือนจะช่วยได้เพียงทำให้ผู้หญิงคนนั้นเหลือบมองเล็กน้อย

    จากหลังกรอบแว่นที่เลื่อนมาอยู่ปลายจมูก



                                เอกสารอะไรต่อมิอะไรกองพะเนินเทินทึกบนโต๊ะของเธอเต็มไปหมดราวกับทั้งเอกสารจำเป็นและไม่จำเป็น

    ก็ไม่มีการจัดแจงโละทิ้งไปบ้างเลย  ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆว่าจะทำงานได้ไม่ราบรื่นในสถานที่แบบนี้และกับคนไร้มนุษยสัมพันธ์

    แบบนี้   เสียงตึกๆๆ ของเครื่องพิมพ์ดีดที่ถูกใช้งานโดยหล่อนเป็นเสียงเดียวที่ดังขึ้นในห้องสมุดแห่งนี้   ตามโต๊ะมีนักเรียนหญิงชาย

    นั่งอ่านหนังสือกันอย่างเงียบเชียบ  หนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ สเตลล่า เด็กหญิงมัธยมต้นเจ้าของใบหน้าอันน่ารักที่เพิ่งจะพาฉันมา

    ที่ห้องสมุดแห่งนี้  เธอกำลังใจจดใจจ่ออ่านหนังสือเล่มหนาๆเล่มหนึ่งอย่างไม่วางตา



    “อะ-แฮ่ม!”  ฉันกระแอมดังๆอีกครั้ง  แต่ปฏิกิริยาตอบสนองกลับมานั้นก็เพียงแค่เหลือบมองสองสามวินาที แล้วก็ก้มหน้าก้มตา

    อยู่กับเครื่องพิมพ์ดีดนั้นอย่างเดิม   ฉันรู้สึกว่าไม่มีตัวตนอยู่ ณ ที่นั้น   และวิธีที่ฉันจะทำต่อจากนี้ก็คือเฉยไว้…  

    ยังไงฉันก็ได้ทำงานอยู่แล้วนี่?  ที่ไม่สมหวังก็คือ  ได้เพื่อนร่วมงานห่วยๆคนหนึ่ง



        ฉันเดินไปหยิบหนังสือพิมพ์ที่แขวนอยู่ด้วยไม้ท่อนยาวออกมานั่งอ่านข้างๆสเตลล่า  

    “นี่เพื่อนๆหนูหรือจ๊ะ”  ฉันถาม  พยายามหันมาเข้ากับเด็กให้มากไว้  อย่างน้อยก็มีสิ่งหนึ่งที่ฉันประทับใจ



    “ค่ะคุณครู…เอ้ย!  พี่เม๊ค”  สเตลล่าบอก  ขณะที่เพื่อนๆของเธอแต่ละคนเงยหน้าจากหนังสือด้วยสายตาที่จ้องมองมายังฉัน

    อย่างแปลกๆ  ราวกับฉันคงมาขัดจังหวะที่จินตนาการของพวกเขาในโลกแห่งหนังสือกำลังพุ่งพล่าน



    “คนนี้ชื่อ โคดี้  ….  ทิน่า …แล้วก็นี่  โพ ค่ะ…พวกเขาเป็นเพื่อนที่รู้จักกันในห้องสมุดของหนู  เราต่างก็เป็นนักอ่านตัวยงค่ะ”  

    ฉันหันมองตามที่สเตลล่าแนะนำ  เด็กชายหน้าตาจืดๆผิวสีแทนที่ชื่อโคดี้   เด็กผู้หญิงผมบ๊อบสีดำขลับกับที่คาดผมสีแดงเข้มที่ชื่อ  

    ทิน่า   แล้วก็เด็กชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามฉันพอดี  เขาใส่แว่นตาหนาเตอะ  ผมยุ่งรุงรังคงพอใช้เป็นรังนกกระจอกได้สักสองตัว



    “ใครเหรอ?”   เด็กหญิงที่ชื่อทิน่าถามเบาๆกับสเตลล่า  แต่ฉันเองก็ได้ยินคำถามของเธอ



    “นี่คือ พี่เม๊ค  จะมาเป็นบรรณารักษ์คนใหม่ของที่นี่”  สเตลล่าบอก



    “บรรณารักษ์คนใหม่งั้นเหรอคะ?”   เสียงนั้นแปร่งๆหู   พอฉันหันไปมองก็พบว่าเป็นหญิงจ้าวนักพิมพ์ดีดนี่เอง

    หล่อนลุกขึ้นจนเก้าอี้ที่เธอนั่งเกือบจะไถลหงายหลัง  แล้วเดินตรงมาที่โต๊ะซึ่งฉันกำลังนั่งอยู่กับกลุ่มเด็กๆ



    “ยินดีต้อนรับค่ะ…ฉันไม่คิดว่าคุณจะ…เชิญค่ะ….ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนะคะ…..อย่าถือสาเลยนะคะ

    …ฉันมักจะไม่สบอารมณ์เวลามีคนมากวนใจขณะใช้สมาธิทำงานน่ะค่ะ!”  หล่อนเข้ามาจับมือทักทายอย่างมีมิตรไมตรีจนน่าตกใจ



    “ฉัน  เม๊ค  ค่ะ   เม๊ค  โอลิเวตมาเป็นผู้ช่วยบรรณารักษ์…และคุณคงเป็น…”



    “เอลเมอร์รี่ค่ะ     เรียกสั้นๆว่าเอลก็ได้ค่ะ  ยินดีที่ได้ร่วมงานนะคะ  ฉันจะบอกถึงขั้นตอนการทำงานและตารางเวลาต่างๆให้เอง

    รวมถึงกฎของห้องสมุดเกรทฟิล์ดแห่งนี้ด้วย   เชิญค่ะ”



        มันดูง่ายดายดีนะ…ง่ายจนฉันตั้งตัวรับไม่ทัน    ตอนนี้ฉันก็พบว่าองค์ประกอบในการใช้ชีวิตการทำงาน

    ที่สมบูรณ์แบบของฉันครบแล้ว  แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดนั้นก็คือ  แผลในใจที่ยังคงไม่เลือนหายไปจากความทรงจำของฉันและโดยเฉพาะ

    อย่างยิ่ง  คนในครอบครัวของฉัน  ช่วงเวลาที่สังเกตได้ง่ายก็คือช่วงเวลาอาหารค่ำ



    “เอาล่ะ…วันนี้พี่ทำอาหารเลี้ยงพิเศษต้อนรับบ้านใหม่กันเลย”  



    ฉันพยายามทำน้ำเสียงให้ร่าเริงเข้าไว้ทั้งที่ใจจริงก็ยังคงไม่ชินกับโต๊ะอาหารที่ไม่มีพ่อร่วมด้วย  

    แต่ในเมื่อตอนนี้ฉันเป็นผู้นำครอบครัวแทนพ่อ  ฉันจะต้องไม่แสดงอาการใดๆออกมาเพื่อทำให้คนอื่นมีอารมณ์โศกเศร้ามากขึ้นไปอีก  

    สิ่งที่ฉันต้องทำคือปั้นหน้ายิ้มและพูดแต่สิ่งที่ดีๆโดยหวังว่าจะทำให้ทุกคนรู้สึกดีขึ้น    

    บนโต๊ะอาหารที่มีแต่อาหารแสนอร่อยกลับมีประโยชน์เพียงแค่ให้ทุกคนนั่งจ้องมองด้วยแววตาเหม่อลอย  

    แต่ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือความอึดอัดที่เข้ามาครอบงำ



    “เราไม่น่าย้ายมาเลย…แม่ไม่อยากทิ้งบ้านของพ่อไป”     แม่ของฉันเอ่ยคำที่ฉันไม่อยากได้ยินที่สุดขึ้นมาจนได้

    จะให้ฉันตอบว่าอย่างไรจึงจะเหมาะสม?  ฉันเงียบ…  ปล่อยให้แม่ได้ระบายความโศกเศร้า



    “ลองกินนี่สิไมเคิล  พี่ว่าน้องต้องชอบ    ร๊อดด้วยนะ”     ฉันตักอาหารให้น้องชายทั้งสองคน



    “พี่ทำอย่างนี้ทำไมฮะ?”   ไมเคิลน้องคนเล็กกล่าว     นั่นก็เป็นคำพูดที่ฉันไม่อยากจะได้ยินที่สุดเหมือนกัน



    “ทำอย่างไหนล่ะจ๊ะ?”  



    “ก็ทำเป็นว่าทุกอย่างปกติดี?   ทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น?”   ไมเคิลพูด   ฉันหันไปมองหน้าแม่ที่น้ำตาคลอเบ้า  

    ไม่รู้ว่านั่นเป็นน้ำตาของความเสียใจหรือว่าโกรธฉันกันแน่



    “ไม่มีอะไรต้องซีเรียสนี่?  เราต้องเริ่มชีวิตใหม่ที่พ้นจากความทุกข์เศร้าโศก”   ฉันควบคุมน้ำเสียงให้มั่นคงมากที่สุดเท่าที่จะมากได้  

    คุณอาจจะพอนึกออกว่าความรู้สึกในสถานการณ์แบบนั้นเป็นอย่างไร  ฉันรู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลัง….ไม่รู้สิ?  

    ฉันไม่แน่ใจว่าทำถูกหรือผิด…  แต่ฉันก็คิดว่าไม่นานคงจะสะสางปัญหานี้ได้  สิ่งเดียวที่จะช่วยได้ก็คือ

    เวลา….  เวลาจะบรรเทาทุกสิ่งทุกอย่างเอง



    “ดูโทรทัศน์ดีกว่านะ  วันนี้มีรายการนั้นด้วยล่ะ”  ฉันแก้ปัญหาโดยการเปิดโทรทัศน์ดู  มันช่วยได้มากทีเดียว

    ช่วยให้ความเงียบสนิทกลับมีอะไรเข้ามาทดแทน  แต่ทว่าแม่ของฉันก็ลุกจากโต๊ะแล้วขึ้นห้องนอนไปทั้งที่ยังไม่ได้แตะอาหารสักนิด  

    น้องชายสองคนมองหน้าฉันราวกับฉันเป็นคนผิด



    “ไม่ต้องคิดจะลุกไปกันอีกหรอกนะ…พวกเธอสองคนต้องทานอาหารให้หมด”  ฉันพูดด้วยน้ำเสียงแข็งเล็กน้อย

    จากนั้นอาหารที่ควรจะทำให้เป็นมื้ออาหารสุดอร่อยกลับมีเพียงสามพี่น้องที่ทานอาหารค่ำผสมน้ำตาท่ามกลางเสียงโทรทัศน์

    ของรายการโปรดที่ดูยังไงก็ไม่สนุกเอาเสียเลย…



        ฉันนอนไม่หลับ….ร้องไห้จนหมอนเปียกชุ่ม….ร้องไห้จนไม่เหลือน้ำตาให้ไหลออกมาได้อีก

    ภาพของพ่อที่ห้อยแกว่งไกวไปมาจากต้นไม้มันยังอยู่ในสมองของฉันไม่ว่าจะลืมตาหรือหลับตา  

    ฉันนึกถามในใจตลอดเวลาว่า…ทำไม?…ทำไม?  ต้องเกิดเรื่องแบบนี้กับฉัน?  พลางสังหรณ์ใจลึกๆว่ามันจะจบเพียงเท่านี้หรือ?



        เช้าวันรุ่งขึ้นฉันก็ออกจากบ้านไปที่มัธยมเกรทฟิล์ดเป็นวันแรกของการทำงานจริง    

    จะว่าไปเอลเมอร์รี่ก็กลายเป็นเพื่อนสนิทคนใหม่ของฉันไปแล้วล่ะ   ด้วยการทำงานกันนานๆเข้าก็คุยกันแบบเป็นกันเองมากขึ้น  

    งานที่ห้องสมุดส่วนใหญ่ก็คือจมปรักอยู่ที่เคาน์เตอร์ยืมคืนหนังสือกับใช้เครื่องพิมพ์ดีด  

    นอกจากนี้สเตลล่ากับเพื่อนๆของเธอก็น่ารักทุกคน    ดังนั้นทั้งฉันกับเอลเมอร์รี่และเด็กๆก็ใกล้ชิดเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น

    และกลายเป็นขวัญใจของเด็กๆในเวลาอันรวดเร็ว  



        ผ่านไปเกือบสองอาทิตย์ตั้งแต่ย้ายมาเกรทฟิล์ด  น้องๆของฉันเริ่มปรับตัวกับโรงเรียนใหม่ได้และปรับตัวเข้ากับ

    ฉันได้ด้วย  ดูเหมือนแม่เองก็พอจะเข้าใจฉันมากขึ้น  ท่านเลิกเก็บตัวและมีรอยยิ้มบนใบหน้าให้เห็นบ้างเป็นครั้งคราว  

    ฉันต้องขอบคุณพระเจ้าที่ช่วยให้เส้นทางผู้นำครอบครัวของฉันเป็นไปตามความคาดหวัง



        อย่างไรก็ตาม  ในช่วงกลางๆเทอมแรก  งานของโรงเรียนอัดเบียดเสียดเข้ามาเทให้กับห้องสมุดมาก  

    ก็คงเพราะเกรทฟิล์ดกำลังเป็นที่รู้จักเด่นชัดในเรื่องของความรู้สติปัญญาอีกทั้งอาจารย์ใหญ่ได้นำห้องสมุดของโรงเรียนไปเป็น

    แกนนำส่งเสริมการอ่านของนักเรียนด้วย  พักหลังนี้ฉันเลยไม่ค่อยได้กลับไปทานมื้อค่ำกับแม่และน้องเลย  

    งานเอกสารมีมากกว่าที่คิด  ฉันกับเอลเมอร์รี่ต้องอยู่ช่วยงานกันจนดึกดื่นทุกวัน



    “งั้นฉันไปปิดไฟก่อนนะ!”  ฉันบอกขณะที่เอลรวบรวมเอกสารของวันนี้ลงแฟ้ม   ฉันเดินไปยังตู้หนังสือเหล็กที่เรียงรายด้านหลังสุด  

    เดินจัดหนังสือบนชั้นให้เรียบร้อยไล่ตั้งแต่หมวดเบ็ดเตล็ดไปจนถึงนวนิยายเรื่องสั้น



    “เหนื่อยหน่อยนะช่วงนี้  ไม่รู้จะโยนงานอะไรมาให้นักหนา?”  เอลตะโกนคุยจากเคาน์เตอร์



    “นั่นสิ…ฉันว่าก่อนกลับเราไปหาอะไรลงท้องก่อนดีไม๊?”  ฉันตะโกนบอกกลับไปพร้อมๆกับที่ท้องสั่นโครกครากพอดีด้วยความหิว



    “มีห้องอาหารแถวนี้…ฉันว่าราคาคงไม่แพงหรอก”  เอลแนะนำขณะที่ฉันก้มลงเก็บหนังสือบนพื้น

    เงาดำๆของใครบางคนก็วิ่งผ่านตู้หนังสือช่องที่ฉันก้มอยู่ไปอย่างรวดเร็วราวกับถูกลมพัดพาผ่านไป  

    ฉันสะบัดหน้าหนึ่งทีพร้อมกะพริบตาปริบๆ




    “มีอะไรเหรอ?”  เอลตะโกนถามเมื่อเห็นฉันเงียบเสียงไปพักใหญ่



    “เปล่า….คงมีนักเรียนมาแอบซนแถวนี้น่ะ  กลับบ้านได้แล้วนะจ๊ะ!”  ฉันตะโกนบอกข้ามตู้หนังสือสูงชะลูดไป  

    โดยคิดว่าคงมีเด็กนักเรียนมาเล่นแอบอยู่    ฉันเดินหาจนทั่วแล้วก็เอะใจว่าคงตาฝาดไปเองล่ะมั้ง



        ฉันปิดไฟห้องสมุดแล้วก็ช่วยเอลเก็บแฟ้มเข้าตู้ก่อนจะออกไปหาร้านอาหารแถวนี้นั่งกินด้วยความหิวโหย  

    งานบรรณารักษ์มันเหนื่อยยากขนาดนี้เลยหรือนี่?  จากนั้นฉันก็ขับรถกลับถึงบ้านในเวลาสี่ทุ่มตรงด้วยความอ่อนล้า…




    @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@=@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×