ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ch@pter 2 : เงาลึกลับ
                        การมาทำงานในที่ใหม่  มาอยู่ในสถานที่ใหม่  ชีวิตใหม่  สังคมใหม่ย่อมต้องการใครสักคนที่มาทำความรู้จัก
กับเราและช่วยเราในเรื่องของการปรับตัว  และฉันยังลังเลใจอยู่ว่าเพื่อนร่วมงานของฉันจะมีคุณลักษณะที่ฉันกำลังต้องการ
ขณะนี้หรือไม่?
“สวัสดีค่ะ”  ฉันกล่าวอย่างสงบเสงี่ยมในขณะที่ผู้หญิงผมยาวสีน้ำตาลแดงสวมแว่นบางๆหันมามองแวบหนึ่งแล้วพยักหน้า
ให้กับเครื่องพิมพ์ดีดตรงหน้า   
ห้องสมุดเกรทฟิล์ดเต็มไปด้วยตู้ชั้นเหล็กกว่ายี่สิบตู้เรียงรายเป็นแถวด้านหลัง 
ในแต่ละชั้นก็ยังเต็มไปด้วยหนังสือหลากหลายขนาดอัดกันจนแน่นเอียด 
“อะ แฮ่ม”  ฉันกระแอมดังๆเป็นเชิงประชดเล็กน้อย  แต่ดูเหมือนจะช่วยได้เพียงทำให้ผู้หญิงคนนั้นเหลือบมองเล็กน้อย
จากหลังกรอบแว่นที่เลื่อนมาอยู่ปลายจมูก
                            เอกสารอะไรต่อมิอะไรกองพะเนินเทินทึกบนโต๊ะของเธอเต็มไปหมดราวกับทั้งเอกสารจำเป็นและไม่จำเป็น
ก็ไม่มีการจัดแจงโละทิ้งไปบ้างเลย  ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆว่าจะทำงานได้ไม่ราบรื่นในสถานที่แบบนี้และกับคนไร้มนุษยสัมพันธ์
แบบนี้  เสียงตึกๆๆ ของเครื่องพิมพ์ดีดที่ถูกใช้งานโดยหล่อนเป็นเสียงเดียวที่ดังขึ้นในห้องสมุดแห่งนี้  ตามโต๊ะมีนักเรียนหญิงชาย
นั่งอ่านหนังสือกันอย่างเงียบเชียบ  หนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ สเตลล่า เด็กหญิงมัธยมต้นเจ้าของใบหน้าอันน่ารักที่เพิ่งจะพาฉันมา
ที่ห้องสมุดแห่งนี้  เธอกำลังใจจดใจจ่ออ่านหนังสือเล่มหนาๆเล่มหนึ่งอย่างไม่วางตา
“อะ-แฮ่ม!”  ฉันกระแอมดังๆอีกครั้ง  แต่ปฏิกิริยาตอบสนองกลับมานั้นก็เพียงแค่เหลือบมองสองสามวินาที แล้วก็ก้มหน้าก้มตา
อยู่กับเครื่องพิมพ์ดีดนั้นอย่างเดิม  ฉันรู้สึกว่าไม่มีตัวตนอยู่ ณ ที่นั้น  และวิธีที่ฉันจะทำต่อจากนี้ก็คือเฉยไว้  
ยังไงฉันก็ได้ทำงานอยู่แล้วนี่?  ที่ไม่สมหวังก็คือ  ได้เพื่อนร่วมงานห่วยๆคนหนึ่ง
    ฉันเดินไปหยิบหนังสือพิมพ์ที่แขวนอยู่ด้วยไม้ท่อนยาวออกมานั่งอ่านข้างๆสเตลล่า 
“นี่เพื่อนๆหนูหรือจ๊ะ”  ฉันถาม  พยายามหันมาเข้ากับเด็กให้มากไว้  อย่างน้อยก็มีสิ่งหนึ่งที่ฉันประทับใจ
“ค่ะคุณครู เอ้ย!  พี่เม๊ค”  สเตลล่าบอก  ขณะที่เพื่อนๆของเธอแต่ละคนเงยหน้าจากหนังสือด้วยสายตาที่จ้องมองมายังฉัน
อย่างแปลกๆ  ราวกับฉันคงมาขัดจังหวะที่จินตนาการของพวกเขาในโลกแห่งหนังสือกำลังพุ่งพล่าน
“คนนี้ชื่อ โคดี้  .  ทิน่า แล้วก็นี่  โพ ค่ะ พวกเขาเป็นเพื่อนที่รู้จักกันในห้องสมุดของหนู  เราต่างก็เป็นนักอ่านตัวยงค่ะ” 
ฉันหันมองตามที่สเตลล่าแนะนำ  เด็กชายหน้าตาจืดๆผิวสีแทนที่ชื่อโคดี้  เด็กผู้หญิงผมบ๊อบสีดำขลับกับที่คาดผมสีแดงเข้มที่ชื่อ 
ทิน่า  แล้วก็เด็กชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามฉันพอดี  เขาใส่แว่นตาหนาเตอะ  ผมยุ่งรุงรังคงพอใช้เป็นรังนกกระจอกได้สักสองตัว
“ใครเหรอ?”  เด็กหญิงที่ชื่อทิน่าถามเบาๆกับสเตลล่า  แต่ฉันเองก็ได้ยินคำถามของเธอ
“นี่คือ พี่เม๊ค  จะมาเป็นบรรณารักษ์คนใหม่ของที่นี่”  สเตลล่าบอก
“บรรณารักษ์คนใหม่งั้นเหรอคะ?”  เสียงนั้นแปร่งๆหู  พอฉันหันไปมองก็พบว่าเป็นหญิงจ้าวนักพิมพ์ดีดนี่เอง
หล่อนลุกขึ้นจนเก้าอี้ที่เธอนั่งเกือบจะไถลหงายหลัง  แล้วเดินตรงมาที่โต๊ะซึ่งฉันกำลังนั่งอยู่กับกลุ่มเด็กๆ
“ยินดีต้อนรับค่ะ ฉันไม่คิดว่าคุณจะ เชิญค่ะ .ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนะคะ ..อย่าถือสาเลยนะคะ
ฉันมักจะไม่สบอารมณ์เวลามีคนมากวนใจขณะใช้สมาธิทำงานน่ะค่ะ!”  หล่อนเข้ามาจับมือทักทายอย่างมีมิตรไมตรีจนน่าตกใจ
“ฉัน  เม๊ค  ค่ะ  เม๊ค  โอลิเวตมาเป็นผู้ช่วยบรรณารักษ์ และคุณคงเป็น ”
“เอลเมอร์รี่ค่ะ    เรียกสั้นๆว่าเอลก็ได้ค่ะ  ยินดีที่ได้ร่วมงานนะคะ  ฉันจะบอกถึงขั้นตอนการทำงานและตารางเวลาต่างๆให้เอง
รวมถึงกฎของห้องสมุดเกรทฟิล์ดแห่งนี้ด้วย  เชิญค่ะ”
    มันดูง่ายดายดีนะ ง่ายจนฉันตั้งตัวรับไม่ทัน    ตอนนี้ฉันก็พบว่าองค์ประกอบในการใช้ชีวิตการทำงาน
ที่สมบูรณ์แบบของฉันครบแล้ว  แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดนั้นก็คือ  แผลในใจที่ยังคงไม่เลือนหายไปจากความทรงจำของฉันและโดยเฉพาะ
อย่างยิ่ง  คนในครอบครัวของฉัน  ช่วงเวลาที่สังเกตได้ง่ายก็คือช่วงเวลาอาหารค่ำ
“เอาล่ะ วันนี้พี่ทำอาหารเลี้ยงพิเศษต้อนรับบ้านใหม่กันเลย” 
ฉันพยายามทำน้ำเสียงให้ร่าเริงเข้าไว้ทั้งที่ใจจริงก็ยังคงไม่ชินกับโต๊ะอาหารที่ไม่มีพ่อร่วมด้วย 
แต่ในเมื่อตอนนี้ฉันเป็นผู้นำครอบครัวแทนพ่อ  ฉันจะต้องไม่แสดงอาการใดๆออกมาเพื่อทำให้คนอื่นมีอารมณ์โศกเศร้ามากขึ้นไปอีก 
สิ่งที่ฉันต้องทำคือปั้นหน้ายิ้มและพูดแต่สิ่งที่ดีๆโดยหวังว่าจะทำให้ทุกคนรู้สึกดีขึ้น   
บนโต๊ะอาหารที่มีแต่อาหารแสนอร่อยกลับมีประโยชน์เพียงแค่ให้ทุกคนนั่งจ้องมองด้วยแววตาเหม่อลอย 
แต่ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือความอึดอัดที่เข้ามาครอบงำ
“เราไม่น่าย้ายมาเลย แม่ไม่อยากทิ้งบ้านของพ่อไป”    แม่ของฉันเอ่ยคำที่ฉันไม่อยากได้ยินที่สุดขึ้นมาจนได้
จะให้ฉันตอบว่าอย่างไรจึงจะเหมาะสม?  ฉันเงียบ   ปล่อยให้แม่ได้ระบายความโศกเศร้า
“ลองกินนี่สิไมเคิล  พี่ว่าน้องต้องชอบ    ร๊อดด้วยนะ”    ฉันตักอาหารให้น้องชายทั้งสองคน
“พี่ทำอย่างนี้ทำไมฮะ?”  ไมเคิลน้องคนเล็กกล่าว    นั่นก็เป็นคำพูดที่ฉันไม่อยากจะได้ยินที่สุดเหมือนกัน
“ทำอย่างไหนล่ะจ๊ะ?” 
“ก็ทำเป็นว่าทุกอย่างปกติดี?  ทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น?”  ไมเคิลพูด  ฉันหันไปมองหน้าแม่ที่น้ำตาคลอเบ้า 
ไม่รู้ว่านั่นเป็นน้ำตาของความเสียใจหรือว่าโกรธฉันกันแน่
“ไม่มีอะไรต้องซีเรียสนี่?  เราต้องเริ่มชีวิตใหม่ที่พ้นจากความทุกข์เศร้าโศก”  ฉันควบคุมน้ำเสียงให้มั่นคงมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ 
คุณอาจจะพอนึกออกว่าความรู้สึกในสถานการณ์แบบนั้นเป็นอย่างไร  ฉันรู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลัง .ไม่รู้สิ? 
ฉันไม่แน่ใจว่าทำถูกหรือผิด   แต่ฉันก็คิดว่าไม่นานคงจะสะสางปัญหานี้ได้  สิ่งเดียวที่จะช่วยได้ก็คือ
เวลา .  เวลาจะบรรเทาทุกสิ่งทุกอย่างเอง
“ดูโทรทัศน์ดีกว่านะ  วันนี้มีรายการนั้นด้วยล่ะ”  ฉันแก้ปัญหาโดยการเปิดโทรทัศน์ดู  มันช่วยได้มากทีเดียว
ช่วยให้ความเงียบสนิทกลับมีอะไรเข้ามาทดแทน  แต่ทว่าแม่ของฉันก็ลุกจากโต๊ะแล้วขึ้นห้องนอนไปทั้งที่ยังไม่ได้แตะอาหารสักนิด 
น้องชายสองคนมองหน้าฉันราวกับฉันเป็นคนผิด
“ไม่ต้องคิดจะลุกไปกันอีกหรอกนะ พวกเธอสองคนต้องทานอาหารให้หมด”  ฉันพูดด้วยน้ำเสียงแข็งเล็กน้อย
จากนั้นอาหารที่ควรจะทำให้เป็นมื้ออาหารสุดอร่อยกลับมีเพียงสามพี่น้องที่ทานอาหารค่ำผสมน้ำตาท่ามกลางเสียงโทรทัศน์
ของรายการโปรดที่ดูยังไงก็ไม่สนุกเอาเสียเลย
    ฉันนอนไม่หลับ .ร้องไห้จนหมอนเปียกชุ่ม .ร้องไห้จนไม่เหลือน้ำตาให้ไหลออกมาได้อีก
ภาพของพ่อที่ห้อยแกว่งไกวไปมาจากต้นไม้มันยังอยู่ในสมองของฉันไม่ว่าจะลืมตาหรือหลับตา 
ฉันนึกถามในใจตลอดเวลาว่า ทำไม? ทำไม?  ต้องเกิดเรื่องแบบนี้กับฉัน?  พลางสังหรณ์ใจลึกๆว่ามันจะจบเพียงเท่านี้หรือ?
    เช้าวันรุ่งขึ้นฉันก็ออกจากบ้านไปที่มัธยมเกรทฟิล์ดเป็นวันแรกของการทำงานจริง   
จะว่าไปเอลเมอร์รี่ก็กลายเป็นเพื่อนสนิทคนใหม่ของฉันไปแล้วล่ะ  ด้วยการทำงานกันนานๆเข้าก็คุยกันแบบเป็นกันเองมากขึ้น 
งานที่ห้องสมุดส่วนใหญ่ก็คือจมปรักอยู่ที่เคาน์เตอร์ยืมคืนหนังสือกับใช้เครื่องพิมพ์ดีด 
นอกจากนี้สเตลล่ากับเพื่อนๆของเธอก็น่ารักทุกคน    ดังนั้นทั้งฉันกับเอลเมอร์รี่และเด็กๆก็ใกล้ชิดเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น
และกลายเป็นขวัญใจของเด็กๆในเวลาอันรวดเร็ว 
    ผ่านไปเกือบสองอาทิตย์ตั้งแต่ย้ายมาเกรทฟิล์ด  น้องๆของฉันเริ่มปรับตัวกับโรงเรียนใหม่ได้และปรับตัวเข้ากับ
ฉันได้ด้วย  ดูเหมือนแม่เองก็พอจะเข้าใจฉันมากขึ้น  ท่านเลิกเก็บตัวและมีรอยยิ้มบนใบหน้าให้เห็นบ้างเป็นครั้งคราว 
ฉันต้องขอบคุณพระเจ้าที่ช่วยให้เส้นทางผู้นำครอบครัวของฉันเป็นไปตามความคาดหวัง
    อย่างไรก็ตาม  ในช่วงกลางๆเทอมแรก  งานของโรงเรียนอัดเบียดเสียดเข้ามาเทให้กับห้องสมุดมาก 
ก็คงเพราะเกรทฟิล์ดกำลังเป็นที่รู้จักเด่นชัดในเรื่องของความรู้สติปัญญาอีกทั้งอาจารย์ใหญ่ได้นำห้องสมุดของโรงเรียนไปเป็น
แกนนำส่งเสริมการอ่านของนักเรียนด้วย  พักหลังนี้ฉันเลยไม่ค่อยได้กลับไปทานมื้อค่ำกับแม่และน้องเลย 
งานเอกสารมีมากกว่าที่คิด  ฉันกับเอลเมอร์รี่ต้องอยู่ช่วยงานกันจนดึกดื่นทุกวัน
“งั้นฉันไปปิดไฟก่อนนะ!”  ฉันบอกขณะที่เอลรวบรวมเอกสารของวันนี้ลงแฟ้ม  ฉันเดินไปยังตู้หนังสือเหล็กที่เรียงรายด้านหลังสุด 
เดินจัดหนังสือบนชั้นให้เรียบร้อยไล่ตั้งแต่หมวดเบ็ดเตล็ดไปจนถึงนวนิยายเรื่องสั้น
“เหนื่อยหน่อยนะช่วงนี้  ไม่รู้จะโยนงานอะไรมาให้นักหนา?”  เอลตะโกนคุยจากเคาน์เตอร์
“นั่นสิ ฉันว่าก่อนกลับเราไปหาอะไรลงท้องก่อนดีไม๊?”  ฉันตะโกนบอกกลับไปพร้อมๆกับที่ท้องสั่นโครกครากพอดีด้วยความหิว
“มีห้องอาหารแถวนี้ ฉันว่าราคาคงไม่แพงหรอก”  เอลแนะนำขณะที่ฉันก้มลงเก็บหนังสือบนพื้น
เงาดำๆของใครบางคนก็วิ่งผ่านตู้หนังสือช่องที่ฉันก้มอยู่ไปอย่างรวดเร็วราวกับถูกลมพัดพาผ่านไป 
ฉันสะบัดหน้าหนึ่งทีพร้อมกะพริบตาปริบๆ
“มีอะไรเหรอ?”  เอลตะโกนถามเมื่อเห็นฉันเงียบเสียงไปพักใหญ่
“เปล่า .คงมีนักเรียนมาแอบซนแถวนี้น่ะ  กลับบ้านได้แล้วนะจ๊ะ!”  ฉันตะโกนบอกข้ามตู้หนังสือสูงชะลูดไป 
โดยคิดว่าคงมีเด็กนักเรียนมาเล่นแอบอยู่    ฉันเดินหาจนทั่วแล้วก็เอะใจว่าคงตาฝาดไปเองล่ะมั้ง
    ฉันปิดไฟห้องสมุดแล้วก็ช่วยเอลเก็บแฟ้มเข้าตู้ก่อนจะออกไปหาร้านอาหารแถวนี้นั่งกินด้วยความหิวโหย 
งานบรรณารักษ์มันเหนื่อยยากขนาดนี้เลยหรือนี่?  จากนั้นฉันก็ขับรถกลับถึงบ้านในเวลาสี่ทุ่มตรงด้วยความอ่อนล้า
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@=@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
กับเราและช่วยเราในเรื่องของการปรับตัว  และฉันยังลังเลใจอยู่ว่าเพื่อนร่วมงานของฉันจะมีคุณลักษณะที่ฉันกำลังต้องการ
ขณะนี้หรือไม่?
“สวัสดีค่ะ”  ฉันกล่าวอย่างสงบเสงี่ยมในขณะที่ผู้หญิงผมยาวสีน้ำตาลแดงสวมแว่นบางๆหันมามองแวบหนึ่งแล้วพยักหน้า
ให้กับเครื่องพิมพ์ดีดตรงหน้า   
ห้องสมุดเกรทฟิล์ดเต็มไปด้วยตู้ชั้นเหล็กกว่ายี่สิบตู้เรียงรายเป็นแถวด้านหลัง 
ในแต่ละชั้นก็ยังเต็มไปด้วยหนังสือหลากหลายขนาดอัดกันจนแน่นเอียด 
“อะ แฮ่ม”  ฉันกระแอมดังๆเป็นเชิงประชดเล็กน้อย  แต่ดูเหมือนจะช่วยได้เพียงทำให้ผู้หญิงคนนั้นเหลือบมองเล็กน้อย
จากหลังกรอบแว่นที่เลื่อนมาอยู่ปลายจมูก
                            เอกสารอะไรต่อมิอะไรกองพะเนินเทินทึกบนโต๊ะของเธอเต็มไปหมดราวกับทั้งเอกสารจำเป็นและไม่จำเป็น
ก็ไม่มีการจัดแจงโละทิ้งไปบ้างเลย  ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆว่าจะทำงานได้ไม่ราบรื่นในสถานที่แบบนี้และกับคนไร้มนุษยสัมพันธ์
แบบนี้  เสียงตึกๆๆ ของเครื่องพิมพ์ดีดที่ถูกใช้งานโดยหล่อนเป็นเสียงเดียวที่ดังขึ้นในห้องสมุดแห่งนี้  ตามโต๊ะมีนักเรียนหญิงชาย
นั่งอ่านหนังสือกันอย่างเงียบเชียบ  หนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ สเตลล่า เด็กหญิงมัธยมต้นเจ้าของใบหน้าอันน่ารักที่เพิ่งจะพาฉันมา
ที่ห้องสมุดแห่งนี้  เธอกำลังใจจดใจจ่ออ่านหนังสือเล่มหนาๆเล่มหนึ่งอย่างไม่วางตา
“อะ-แฮ่ม!”  ฉันกระแอมดังๆอีกครั้ง  แต่ปฏิกิริยาตอบสนองกลับมานั้นก็เพียงแค่เหลือบมองสองสามวินาที แล้วก็ก้มหน้าก้มตา
อยู่กับเครื่องพิมพ์ดีดนั้นอย่างเดิม  ฉันรู้สึกว่าไม่มีตัวตนอยู่ ณ ที่นั้น  และวิธีที่ฉันจะทำต่อจากนี้ก็คือเฉยไว้  
ยังไงฉันก็ได้ทำงานอยู่แล้วนี่?  ที่ไม่สมหวังก็คือ  ได้เพื่อนร่วมงานห่วยๆคนหนึ่ง
    ฉันเดินไปหยิบหนังสือพิมพ์ที่แขวนอยู่ด้วยไม้ท่อนยาวออกมานั่งอ่านข้างๆสเตลล่า 
“นี่เพื่อนๆหนูหรือจ๊ะ”  ฉันถาม  พยายามหันมาเข้ากับเด็กให้มากไว้  อย่างน้อยก็มีสิ่งหนึ่งที่ฉันประทับใจ
“ค่ะคุณครู เอ้ย!  พี่เม๊ค”  สเตลล่าบอก  ขณะที่เพื่อนๆของเธอแต่ละคนเงยหน้าจากหนังสือด้วยสายตาที่จ้องมองมายังฉัน
อย่างแปลกๆ  ราวกับฉันคงมาขัดจังหวะที่จินตนาการของพวกเขาในโลกแห่งหนังสือกำลังพุ่งพล่าน
“คนนี้ชื่อ โคดี้  .  ทิน่า แล้วก็นี่  โพ ค่ะ พวกเขาเป็นเพื่อนที่รู้จักกันในห้องสมุดของหนู  เราต่างก็เป็นนักอ่านตัวยงค่ะ” 
ฉันหันมองตามที่สเตลล่าแนะนำ  เด็กชายหน้าตาจืดๆผิวสีแทนที่ชื่อโคดี้  เด็กผู้หญิงผมบ๊อบสีดำขลับกับที่คาดผมสีแดงเข้มที่ชื่อ 
ทิน่า  แล้วก็เด็กชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามฉันพอดี  เขาใส่แว่นตาหนาเตอะ  ผมยุ่งรุงรังคงพอใช้เป็นรังนกกระจอกได้สักสองตัว
“ใครเหรอ?”  เด็กหญิงที่ชื่อทิน่าถามเบาๆกับสเตลล่า  แต่ฉันเองก็ได้ยินคำถามของเธอ
“นี่คือ พี่เม๊ค  จะมาเป็นบรรณารักษ์คนใหม่ของที่นี่”  สเตลล่าบอก
“บรรณารักษ์คนใหม่งั้นเหรอคะ?”  เสียงนั้นแปร่งๆหู  พอฉันหันไปมองก็พบว่าเป็นหญิงจ้าวนักพิมพ์ดีดนี่เอง
หล่อนลุกขึ้นจนเก้าอี้ที่เธอนั่งเกือบจะไถลหงายหลัง  แล้วเดินตรงมาที่โต๊ะซึ่งฉันกำลังนั่งอยู่กับกลุ่มเด็กๆ
“ยินดีต้อนรับค่ะ ฉันไม่คิดว่าคุณจะ เชิญค่ะ .ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนะคะ ..อย่าถือสาเลยนะคะ
ฉันมักจะไม่สบอารมณ์เวลามีคนมากวนใจขณะใช้สมาธิทำงานน่ะค่ะ!”  หล่อนเข้ามาจับมือทักทายอย่างมีมิตรไมตรีจนน่าตกใจ
“ฉัน  เม๊ค  ค่ะ  เม๊ค  โอลิเวตมาเป็นผู้ช่วยบรรณารักษ์ และคุณคงเป็น ”
“เอลเมอร์รี่ค่ะ    เรียกสั้นๆว่าเอลก็ได้ค่ะ  ยินดีที่ได้ร่วมงานนะคะ  ฉันจะบอกถึงขั้นตอนการทำงานและตารางเวลาต่างๆให้เอง
รวมถึงกฎของห้องสมุดเกรทฟิล์ดแห่งนี้ด้วย  เชิญค่ะ”
    มันดูง่ายดายดีนะ ง่ายจนฉันตั้งตัวรับไม่ทัน    ตอนนี้ฉันก็พบว่าองค์ประกอบในการใช้ชีวิตการทำงาน
ที่สมบูรณ์แบบของฉันครบแล้ว  แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดนั้นก็คือ  แผลในใจที่ยังคงไม่เลือนหายไปจากความทรงจำของฉันและโดยเฉพาะ
อย่างยิ่ง  คนในครอบครัวของฉัน  ช่วงเวลาที่สังเกตได้ง่ายก็คือช่วงเวลาอาหารค่ำ
“เอาล่ะ วันนี้พี่ทำอาหารเลี้ยงพิเศษต้อนรับบ้านใหม่กันเลย” 
ฉันพยายามทำน้ำเสียงให้ร่าเริงเข้าไว้ทั้งที่ใจจริงก็ยังคงไม่ชินกับโต๊ะอาหารที่ไม่มีพ่อร่วมด้วย 
แต่ในเมื่อตอนนี้ฉันเป็นผู้นำครอบครัวแทนพ่อ  ฉันจะต้องไม่แสดงอาการใดๆออกมาเพื่อทำให้คนอื่นมีอารมณ์โศกเศร้ามากขึ้นไปอีก 
สิ่งที่ฉันต้องทำคือปั้นหน้ายิ้มและพูดแต่สิ่งที่ดีๆโดยหวังว่าจะทำให้ทุกคนรู้สึกดีขึ้น   
บนโต๊ะอาหารที่มีแต่อาหารแสนอร่อยกลับมีประโยชน์เพียงแค่ให้ทุกคนนั่งจ้องมองด้วยแววตาเหม่อลอย 
แต่ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือความอึดอัดที่เข้ามาครอบงำ
“เราไม่น่าย้ายมาเลย แม่ไม่อยากทิ้งบ้านของพ่อไป”    แม่ของฉันเอ่ยคำที่ฉันไม่อยากได้ยินที่สุดขึ้นมาจนได้
จะให้ฉันตอบว่าอย่างไรจึงจะเหมาะสม?  ฉันเงียบ   ปล่อยให้แม่ได้ระบายความโศกเศร้า
“ลองกินนี่สิไมเคิล  พี่ว่าน้องต้องชอบ    ร๊อดด้วยนะ”    ฉันตักอาหารให้น้องชายทั้งสองคน
“พี่ทำอย่างนี้ทำไมฮะ?”  ไมเคิลน้องคนเล็กกล่าว    นั่นก็เป็นคำพูดที่ฉันไม่อยากจะได้ยินที่สุดเหมือนกัน
“ทำอย่างไหนล่ะจ๊ะ?” 
“ก็ทำเป็นว่าทุกอย่างปกติดี?  ทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น?”  ไมเคิลพูด  ฉันหันไปมองหน้าแม่ที่น้ำตาคลอเบ้า 
ไม่รู้ว่านั่นเป็นน้ำตาของความเสียใจหรือว่าโกรธฉันกันแน่
“ไม่มีอะไรต้องซีเรียสนี่?  เราต้องเริ่มชีวิตใหม่ที่พ้นจากความทุกข์เศร้าโศก”  ฉันควบคุมน้ำเสียงให้มั่นคงมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ 
คุณอาจจะพอนึกออกว่าความรู้สึกในสถานการณ์แบบนั้นเป็นอย่างไร  ฉันรู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลัง .ไม่รู้สิ? 
ฉันไม่แน่ใจว่าทำถูกหรือผิด   แต่ฉันก็คิดว่าไม่นานคงจะสะสางปัญหานี้ได้  สิ่งเดียวที่จะช่วยได้ก็คือ
เวลา .  เวลาจะบรรเทาทุกสิ่งทุกอย่างเอง
“ดูโทรทัศน์ดีกว่านะ  วันนี้มีรายการนั้นด้วยล่ะ”  ฉันแก้ปัญหาโดยการเปิดโทรทัศน์ดู  มันช่วยได้มากทีเดียว
ช่วยให้ความเงียบสนิทกลับมีอะไรเข้ามาทดแทน  แต่ทว่าแม่ของฉันก็ลุกจากโต๊ะแล้วขึ้นห้องนอนไปทั้งที่ยังไม่ได้แตะอาหารสักนิด 
น้องชายสองคนมองหน้าฉันราวกับฉันเป็นคนผิด
“ไม่ต้องคิดจะลุกไปกันอีกหรอกนะ พวกเธอสองคนต้องทานอาหารให้หมด”  ฉันพูดด้วยน้ำเสียงแข็งเล็กน้อย
จากนั้นอาหารที่ควรจะทำให้เป็นมื้ออาหารสุดอร่อยกลับมีเพียงสามพี่น้องที่ทานอาหารค่ำผสมน้ำตาท่ามกลางเสียงโทรทัศน์
ของรายการโปรดที่ดูยังไงก็ไม่สนุกเอาเสียเลย
    ฉันนอนไม่หลับ .ร้องไห้จนหมอนเปียกชุ่ม .ร้องไห้จนไม่เหลือน้ำตาให้ไหลออกมาได้อีก
ภาพของพ่อที่ห้อยแกว่งไกวไปมาจากต้นไม้มันยังอยู่ในสมองของฉันไม่ว่าจะลืมตาหรือหลับตา 
ฉันนึกถามในใจตลอดเวลาว่า ทำไม? ทำไม?  ต้องเกิดเรื่องแบบนี้กับฉัน?  พลางสังหรณ์ใจลึกๆว่ามันจะจบเพียงเท่านี้หรือ?
    เช้าวันรุ่งขึ้นฉันก็ออกจากบ้านไปที่มัธยมเกรทฟิล์ดเป็นวันแรกของการทำงานจริง   
จะว่าไปเอลเมอร์รี่ก็กลายเป็นเพื่อนสนิทคนใหม่ของฉันไปแล้วล่ะ  ด้วยการทำงานกันนานๆเข้าก็คุยกันแบบเป็นกันเองมากขึ้น 
งานที่ห้องสมุดส่วนใหญ่ก็คือจมปรักอยู่ที่เคาน์เตอร์ยืมคืนหนังสือกับใช้เครื่องพิมพ์ดีด 
นอกจากนี้สเตลล่ากับเพื่อนๆของเธอก็น่ารักทุกคน    ดังนั้นทั้งฉันกับเอลเมอร์รี่และเด็กๆก็ใกล้ชิดเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น
และกลายเป็นขวัญใจของเด็กๆในเวลาอันรวดเร็ว 
    ผ่านไปเกือบสองอาทิตย์ตั้งแต่ย้ายมาเกรทฟิล์ด  น้องๆของฉันเริ่มปรับตัวกับโรงเรียนใหม่ได้และปรับตัวเข้ากับ
ฉันได้ด้วย  ดูเหมือนแม่เองก็พอจะเข้าใจฉันมากขึ้น  ท่านเลิกเก็บตัวและมีรอยยิ้มบนใบหน้าให้เห็นบ้างเป็นครั้งคราว 
ฉันต้องขอบคุณพระเจ้าที่ช่วยให้เส้นทางผู้นำครอบครัวของฉันเป็นไปตามความคาดหวัง
    อย่างไรก็ตาม  ในช่วงกลางๆเทอมแรก  งานของโรงเรียนอัดเบียดเสียดเข้ามาเทให้กับห้องสมุดมาก 
ก็คงเพราะเกรทฟิล์ดกำลังเป็นที่รู้จักเด่นชัดในเรื่องของความรู้สติปัญญาอีกทั้งอาจารย์ใหญ่ได้นำห้องสมุดของโรงเรียนไปเป็น
แกนนำส่งเสริมการอ่านของนักเรียนด้วย  พักหลังนี้ฉันเลยไม่ค่อยได้กลับไปทานมื้อค่ำกับแม่และน้องเลย 
งานเอกสารมีมากกว่าที่คิด  ฉันกับเอลเมอร์รี่ต้องอยู่ช่วยงานกันจนดึกดื่นทุกวัน
“งั้นฉันไปปิดไฟก่อนนะ!”  ฉันบอกขณะที่เอลรวบรวมเอกสารของวันนี้ลงแฟ้ม  ฉันเดินไปยังตู้หนังสือเหล็กที่เรียงรายด้านหลังสุด 
เดินจัดหนังสือบนชั้นให้เรียบร้อยไล่ตั้งแต่หมวดเบ็ดเตล็ดไปจนถึงนวนิยายเรื่องสั้น
“เหนื่อยหน่อยนะช่วงนี้  ไม่รู้จะโยนงานอะไรมาให้นักหนา?”  เอลตะโกนคุยจากเคาน์เตอร์
“นั่นสิ ฉันว่าก่อนกลับเราไปหาอะไรลงท้องก่อนดีไม๊?”  ฉันตะโกนบอกกลับไปพร้อมๆกับที่ท้องสั่นโครกครากพอดีด้วยความหิว
“มีห้องอาหารแถวนี้ ฉันว่าราคาคงไม่แพงหรอก”  เอลแนะนำขณะที่ฉันก้มลงเก็บหนังสือบนพื้น
เงาดำๆของใครบางคนก็วิ่งผ่านตู้หนังสือช่องที่ฉันก้มอยู่ไปอย่างรวดเร็วราวกับถูกลมพัดพาผ่านไป 
ฉันสะบัดหน้าหนึ่งทีพร้อมกะพริบตาปริบๆ
“มีอะไรเหรอ?”  เอลตะโกนถามเมื่อเห็นฉันเงียบเสียงไปพักใหญ่
“เปล่า .คงมีนักเรียนมาแอบซนแถวนี้น่ะ  กลับบ้านได้แล้วนะจ๊ะ!”  ฉันตะโกนบอกข้ามตู้หนังสือสูงชะลูดไป 
โดยคิดว่าคงมีเด็กนักเรียนมาเล่นแอบอยู่    ฉันเดินหาจนทั่วแล้วก็เอะใจว่าคงตาฝาดไปเองล่ะมั้ง
    ฉันปิดไฟห้องสมุดแล้วก็ช่วยเอลเก็บแฟ้มเข้าตู้ก่อนจะออกไปหาร้านอาหารแถวนี้นั่งกินด้วยความหิวโหย 
งานบรรณารักษ์มันเหนื่อยยากขนาดนี้เลยหรือนี่?  จากนั้นฉันก็ขับรถกลับถึงบ้านในเวลาสี่ทุ่มตรงด้วยความอ่อนล้า
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@=@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น